//ตามประสาเขียนจริงจังก่อน แล้วจะไปกรีดทีหลังนะคะ //
เอาจริงไม่คิดว่าจะอ่านเพราะส่วนตัวไม่ชอบแนวปัจจุบัน แล้วก็ไม่ชอบแนววัยเรียน แต่เผอิญช่วงนี้เจอ Pay Attention to Me กับ I Like Your Pheromones เข้าไปหลังจาก Meeting the Wolf ก็เลยอ่านไป กับอีกอย่างที่อ่านก็เพราะคิดว่าจะสั่งหนังสือจากโรสมาส่งบ้านก็เลยต้องสั่งเยอะให้ได้ส่งฟรีด้วย (เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่ายเนาะ)
ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องอ่าน mtl แต่ว่าเก็บ lc ทีหลัง ทำไมไม่อ่านซื้อแล้วอ่าน lc ไปเลยคะ?
นั่นแหละ สองคน Xie Yu กับ He Zhao ต่างเป็นเด็กเรียนเก่งมากทั้งคู่ แต่ว่ากลับทำตัวไม่สนใจเรียน แย่งกันเป็นที่สุดท้ายของระดับชั้นปีในโรงเรียนตลอดมา และชื่อเสียงในโรงเรียนก็ติดลบ เป็นทั้งหัวโจก เด็กเกเร ก้าวร้าวและทุกอย่างที่จะเป็นไปได้ (ตามจินตนาการเด็กนักเรียนคนอื่นในโรงเรียน)
เรื่องเกิดขึ้นเมื่อหัวโจกสองคนต้องมาเรียนห้องเดียวกัน แล้วก็นั่งร่วมโต๊ะเดียวกัน ซึ่งนอกจากจะทำให้สองคนได้เริ่มเปิดใจเข้าหารู้ใจอีกฝ่ายมากขึ้นก็ทำให้เจอคนที่พร้อมจะเป็นหลักในตัวเองด้วย
เอาจริงที่ชอบเรื่องนี้มาก ก็เพราะว่ามันดูสะท้อนประเด็นปัญหาสังคมมากกว่าจะเป็นแค่เรื่องรัก เพราะสองคนมีเหตุผลที่จะต้องแกล้งทำตัวเรียนไม่เก่งไม่สนใจเรียน ซึ่งถ้าพูดจากมุมมองผู้ใหญ่ก็อาจจะมองว่ามันไม่ใช่เรื่องอะไรเลย ไม่ใช่สิ่งที่คุ้มค่าพอจะเอาชีวิตตัวเองไปเสียเปล่าอย่างนั้น แต่ถ้ามองจากมุมมองของเด็กที่ดูว่าปัญหาที่เกิดขึ้นตรงหน้าเป็นเรื่องใหญ่แล้ว และดังนั้น การค่อยๆ คลายตัวออกมาจากปัญหา และก้าวต่อไปจากการตัดสินใจของตัวเองและแรงสนันสนุนจากอีกคนข้างตัวถึงเป็นเรื่องใหญ่และเป็นก้าวที่สำคัญมาก โดยเฉพาะเมื่อการเรียนในเรื่องเกี่ยวพันกับอนาคตต่อไปทั้งชีวิต
อีกอย่างที่ชอบก็คือสองคนรู้ใจตัวเองเร็ว และเลือกที่จะอยู่ด้วยกัน (ในความหมายว่าเป็นแฟนกัน) เมื่อเข้าใจความรู้สึกของตัวเอง และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็เป็นไปในเชิงบวกที่สองคนช่วยเหลือกัน เข้าใจกัน พึ่งพากันได้ I feel their relationship is pretty healthy, when they can be each other’s pillar of strength ทำไมเผลอไปพิมพ์อังกฤษ? และก็เป็นไปอย่างเท่าเทียมด้วย (ช่วงหลังอ่านหลายเรื่องที่ตัวเอกถูกพระเอกชัดจูงทั้งทางตรงทางอ้อมเยอะ เลยดีใจที่เจอตัวเอกที่มีทัศนคติตัวเองชัด) ทั้งเรื่องแสดงความคิด และการเข้าหากัน ... โดยเฉพาะ Xie Yu ที่หน้านิ่งๆ ดูเย็นชา แต่ว่าเป็นคนเริ่มเกมก่อนตลอดเวลา(? 5555)
เหมือน Xie Yu ถูกดึงดูดไปหา He Zhao เพราะอีกฝ่ายตรงข้ามกับตัวเอง ด้วยความที่วัยเด็กไม่มั่นคงทำให้ตัว Xie Yu เหมือนเม่นกางเกราะน้ำแข็งแผ่รังสีอำมหิตเย็นชาไปสามเมตรว่าอย่าเข้าใกล้ฉัน แต่อีพี่ก็ไม่สนใจกระโจนเข้าใส่ถึงตัวจนเกราะไม่เหลือ กลายเป็นรู้ตัวอีกทีก็มีอิทธิพลในใจตัวเองไปแล้วว กับฝั่ง He Zhao ก็เหมือนกัน คนนี้เล่นสนุก เอาตลกบ้าบอมาเป็นหลักแล้วซ่อนความสลดน้ำตาไหลเอาไว้ข้างใน แต่ว่า Xie Yu ก็ดูออก แล้วก็ช่วยเยียวยาอีกฝ่ายเหมือนกัน กลายเป็นอยู่ด้วยกัน เข้าใจกันไป และอีกฝ่ายก็เริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองและรับจุดดีอีกฝ่ายมา โดยเฉพาะ Xie Yu เริ่มที่จะอดทนกับคนรอบข้างมากขึ้น และมีปฎิสัมพันธ์กับคนอื่น แทนที่จะเป็นหมาป่าเดียวดายโดดเดี่ยวเย็นชาเหมือนเมื่อก่อน ขณะที่ He Zhao ก็เริ่มที่จะเห็นค่าตัวเอง และกล้าที่จะปล่อยวางความเห็นที่คนอื่นมีต่อตัวเองด้วยเหมือนกัน
กับอีกอย่าง เพราะสองคนเชื่อมั่นในตัวเองสูง และเชื่อการตัดสินใจตัวเอง เมื่อจะคบกันเป็นแฟน ก็พร้อมจะเปิดโหมดเราสองคนขึ้นมา ไม่ปิดบังความสัมพันธ์ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นธรรมชาติ (ซึ่งช่วงแรกๆ ก็เป็นเพราะคนอื่นในห้องไม่กล้ายุ่งปล่อยให้สองคนหลังห้องตบตีบ้าง นัวเนียบ้างกันไป และหลังจากนั้นก็กลายเป็นชิน และพร้อมจะแก้ต่างให้ทุกคนที่มองว่าความสัมพันธ์สองคนนี้เริ่มออกไปไกล) ชอบที่ He Zhao วิ่งไปซื้อสร้อยข้อมือให้ Xie Yuใส่ และสองคนก็ใส่แบบไม่สนสายตาชาวโลก
ความขำมากก็คือต่างคนต่างเรียนดี แต่ก็ต้องเก็บเป็นความลับเนียนๆ ที่ไม่กล้าบอกอีกฝ่าย ตกดึกแยกเข้าห้องตัวเองเมื่อไหร่ก็ซุ่มทำโจทย์ อ่านหนังสือ ทำแบบฝึกหัดกันของใครของมัน แต่ขณะเดียวกันก็แอบเครียดกับการเรียนดีของตัวเอง แต่เรียนห่วยเกินทนของอีกฝ่าย ถึงขั้นแอบหาวิธีเรียนบ้าง หนังสือเรียนบ้างไปให้อีกฝ่ายไม่ให้รู้ตัวเหมือนกัน และก็คืออ่านไปลุ้นไปว่าเมื่อไหร่ จะเปิดตัวกันเสียที .... ซึ่งโอกาสตอนที่มาถึงก็ “โป๊ะแตก” ไม่รู้จะพูดอย่างไร เมื่อก่อนรู้จักกัน ทั้งคู่ไปโหลดแอปแข่งทำข้อสอบ และก็กลายเป็นแข่งกันชนะอยู่ในแอปไม่รู้ตัว ซึ่งอีแอปนี่ก็ปิดปรับปรุงหายไปก่อนทั้งคู่เปิดเทอม แล้วพอมาเป็นแฟนกันอยู่ด้วยกันไปแล้ว อีแอปก็กลับมาใหม่ แล้วมาแบบอลังการเปิดงานนัดคนบ้าเรียนในแอปไปเจอกันเสียด้วย ซึ่ง Xie Yu ก็ดันเผลอไปท้า He Zhao เพราะความหงุดหงิดเพิ่งตื่นนอนเข้า แล้วความเป็นจริงก็คือ ทั้งสองคนไปเจอกัน และความแตกตอนวันนัด โถ ความพีคยังมีไปถึงว่า He Zhao ลายมืออัปลักษณ์เกินบรรยายเป็นเพราะแกล้งเขียนมือขวาแทนมือซ้ายที่ถนัดด้วยซ้ำ จริงจังกับการเรียนห่วยกันถึงขนาดนี้
แต่ว่าแกล้งโง่มาอย่างไรก็ต้องแกล้งต่อไปอย่างนั้น สองคนก็เลยตกลงกันว่าจะแกล้งฉลาดขึ้นแบบกระเตื้องขึ้นมาทีละนิดๆ ... ซึ่งทำไปได้ครั้งเดียวก็ไปไม่รอด เพราะห้องสามดันไปมีเรื่องกับอีเด็กห้องสี่ข้างๆ จากที่สู้กับในเกมบาส เกมออนไลน์ ไปจนถึงท้าผลสอบด้วยกัน และความโกรธทะลุฟ้าก็ทำให้ทั้ง Xie Yu กับ He Zhao ไม่ออมมืออีกต่อไป ทำข้อสอบเต็มหรือเกือบเต็มในแต่ละวิชาให้เหล่าครูตัวเองจะหัวใจวาย ถึงขั้นต้องสอบใหม่ต่อหน้าครูให้รู้ว่าเป็นเรื่องจริงไม่ได้ลอกมา กลายเป็นที่หนึ่งและที่สองของชั้นปี (และของโรงเรียนข้างๆ ที่ข้อสอบชุดเดียวกัน) และกลายเป็นเรื่องเมาท์ทอล์กออฟเดอะทาวน์ของทั้งโรงเรียน
นอกเหนือจะเปลี่ยนสายตาครูและนักเรียน (และตบหน้าตัวหาเรื่องห้อง 4) สิ่งที่ขำมากที่ตามมาคือ He Zhao รีบไปขอครูให้สองคนอยู่หอห้องเดียวกันได้ เพราะตอนแรกต่างคนต่างต้องปิดเรื่องการโจทย์และแบบฝึกหัดตัวเอง แล้วพอโป๊ะรู้เรื่องอีกคน ครูก็ไม่ให้ย้ายเพราะกลัวว่าสองคนนี่จะเล่มเกมกันโต้ยาว แต่พอคะแนนออกมาดีก็เลยไม่มีเรื่องให้เป็นข้อปฎิเสธแล้ว
เอาจริง ครูเรื่องนี้น่ารักด้วย จากได้ครูประจำชั้นคนแรกมากที่ไม่สนใจเด็ก สนใจแค่เกรดและหน้าตา กลายเป็นครูคนใหม่ที่พยายามทุ่มเท ใส่ใจ และเข้าใจนักเรียนมาก และเพื่อนที่ตอนแรกก็กลัวสองหัวโจกโหดของโรงเรียนตามข่าวลือ แต่ค่อยๆ ใช้ใจยอมรับทั้งสองคน กลายมาเป็นลิ่วล้อจิ๋วๆ แบบไม่รู้ตัว ทั้งสร้างชีวิตวัยเรียนที่มีเพื่อนให้ทั้งคู่ และสร้างปัญหาให้ช่วยแก้ (โดยเฉพาะพวกที่ชอบเอาเรื่องผีบ้าง หนังผีบ้างมาเล่ามาเปิดให้บิ๊กบอสฟัง โดยที่ไม่ได้รู้เล๊ยว่า He Zhao กลัวผีอย่างหนัก)
ซึ่งส่วนที่สนุกก็คือช่วงโป๊ะแตกกับช่วงตบหน้าคนทั้งโลกเนี่ยแหละ และก็เหมือนว่าพอให้ความสำคัญกับสอบเข้ามหาลัยได้ การหนังสือก็รีบจบด้วย ช่วงตอนพิเศษยังอ่านไม่พอเลย ปิดจบอย่างทำร้ายกันเกินไปมาก ฮือ ช่วงแรกให้ C+ นะ เพราะว่าเอื่อยไป กับอ่านเพราะรู้สึกเหมือนตีแผ่ชีวิตและปัญหาเด็กวัยรุ่นมากกว่าอ่านนิยายจริงจัง (แม้ว่าจะเป็นสาย OP กันทั้งคู่ แบบที่ความเป็นนิยายเท่านั้นที่เป็นได้ก็เถอะ) แต่ว่ารวมๆ เพราะเหตุผลนี้ และเพราะทิศทางตอนจบที่คุมได้ดีก็เลยทำให้ได้ A- ไป ไม่มีสรุป gist เพราะนึกไม่ออก แต่ถ้าจะไปซื้อนิยายเพราะชอบต่อก็น่าจะอธิบายได้พอแล้ว
คิดว่าจะไปอ่านภาษาไทยอีกรอบ แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นอย่างไร เพราะเห็นมีคนบ่นเรื่องสำนวนแปลอยู่เหมือนกัน เฮ้อ ช่วงนี้อยู่กับภาษาอังกฤษมากไป จนอ่านภาษาไทยแล้วจับผิด โดยเฉพาะเวลาไปเจอแปลแบบใช้สำนวนศัพท์ฮิตตามกระแสด้วย
No comments:
Post a Comment