Thursday, 26 February 2009

The Becoming by Jeanne C. Stein (n)



ชนิด : Urban Fantasy/ Vampire
ชุด : The Anna Strong Chronicles, Book 1
สำนักพิมพ์ : Ace (November 28, 2006)
จำนวนหน้า : 304 หน้า


Anna สาวนักล่าค่าหัวไม่เคยคิดว่านักบัญชีร่างเล็กที่เธอกับ David คู่หูตามล่าอยู่จะเป็นอันตราย แต่เมื่อทั้งคู่ถูกทำร้าย และเธอฟื้นขึ้นมาในโรงพยาบาล เธอก็รู้ว่าเธอคิดผิด ... แต่นอกเหนือจากร่องรอยการทำร้ายร่างกายที่ปรากฏชัดในตัวเธอแล้ว ก็มีหลายสิ่งในตัวเธอที่แปลกไปเช่นกัน จะกระทั่ง Avery หมอที่ดูแลเธอมาหาเธอที่บ้าน และบอกว่าเธอกลายเป็นหนึ่งในผีดูดเลือดหลังการคืนเกิดเหตุ

และทุกอย่างก็เปลี่ยนไป Avery ผู้ซึ่งเป็นผีดูดเลือดเริ่มสอนให้เธอรู้จักธรรมชาติชีวิตใหม่ และระหว่างที่เธอพยายามเข้าใจโลกใหม่อยู่นั่นเอง ความยุ่งยากรอบ ๆ ตัวเธอก็เริ่มต้นคู่ขนานไปด้วยกัน ตั้งแต่กลุ่มคนที่ตามล่าเธอ ไฟไหม้บ้าน และร้ายที่สุด การหายไปของ David คู่หูและเพื่อนสนิทของเธอ

The Becoming เป็นเรื่องที่ให้น้ำหนักตัวละครมากกว่าโครงเรื่อง เธอมีสมองที่ฉับไว การตัดสินใจที่ดี และกล้าที่จะพึ่งตัวเอง และทำตามสัญชาตญาณของเธอ ซึ่งอาจเป็นเพราะเธอมีอาชีพนักล่าค่าหัวที่ทำให้เธอต้องตื่นตัวอยู่เสมอก็ได้ สิ่งหนึ่งที่พบบ่อยในเล่มนี้ก็คือ strategic thinking ที่เธอจะใคร่ครวญหาวิธีรับมือระหว่างการต่อสู้หรือการเผชิญหน้า ก่อนที่จะลงมือทำจริง ๆ ต่างจากเล่มอื่น ๆ ที่เราจะเห็นตัวละครตัดสินใจลงมือกระทำไปเลย นอกเหนือไปจากความแหลมคม
ในการปะติดปะต่อเรื่อง และเข้าใจเหตุการณ์

อย่างไรก็ตาม ไม่เข้าใจความดึงดูดระหว่างกันของ Anna และ Avery... ถ้าวางบุคลิกเธอให้เข้มแข็งพอ เธอไม่น่าจะหัวหมุนกับสิ่งที่เกิดขึ้น หรือยอมพึ่งพาความช่วยเหลือจาก Avery จนถึงขั้นที่ทำให้ Avery เข้ามามีบทบาทในชีวิตของเธอได้เลย และความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นก็เร็วมาก มากเกินไป ถ้าเธอคิดว่าเธอรักและซื่อสัตย์กับ Max แฟนหนุ่ม ก็ยิ่งไม่น่าเกิดขึ้นได้เลย และสำหรับ Avery เอง อะไรคือสิ่งที่ทำให้เขาสนใจหญิงสาวที่เพิ่งกลายมาเป็นผีดูดเลือดอีกตัว (สปอยล์) [จนถึงขั้นที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด ทั้งการวางแผนทำร้ายเธอ เป็นคนบงการให้เผาบ้าน รวมไปถึงลักพาตัว David เพื่อให้ Anna ตัดขาดความผูกพันที่มีในฐานะมนุษย์และผูกพันอยู่กับเขาในฐานะผีดูดเลือดที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่าในสายตาของเขา] ซึ่งหนังสืออธิบายสิ่งนี้ไม่ได้เลย เพราะในฐานะ supreme male ตัว Avery น่าจะหาผู้หญิงที่เติมเต็มอย่างที่เขาต้องการได้ไม่ยาก โดยเฉพาะเมื่อกระบวนการสร้างผีดูดเลือดในเรื่องไม่ใช่เรื่องลำยากแต่อย่างใด (เหมือนคนเขียนต้องการวางให้เห็นความพิเศษของเธอในฐานะที่มี supreme male มาพอใจเป็นหลัก)

ตัวโครงเรื่องน่าจะซับซ้อนและพลิกแพลงได้มากกว่านี้ นอกเหนือจากช่วงที่ผู้ร้ายตัวจริงสามารถแก้ต่างและแก้ข้อกล่าวหาได้ และการเป็นผู้ร้ายตัวจริงอีกครั้ง ... จุดนี้เล่นกับระบบจิตวิทยาของผู้อ่านและตัว Anna ได้ดี แต่ยังไม่ดีพอสำหรับการดำเนินเรื่อง โดยรวมแล้ว ค่อนข้างอ่านได้ง่าย และให้ผู้อ่านคาดเดาสิ่งที่จะเกิดต่อไปได้มากเกินไป ... อย่างไรก็ตาม จุดที่เหนือความคาดหมายก็คือ (สปอยล์) [การตายของ Avery] ที่ไม่ใช่สิ่งที่คาดหวังไว้แต่แรก โดยเฉพาะเมื่ออ่านเรื่องย่อหลังปก

ให้คะแนน C+ ... แปลกใจที่ได้เท่านี้ เพราะดูจากตัว Anna เธอน่าจะได้มากกว่านี้ (พิสูจน์ให้เห็นว่าโครงเรื่องและตัวละครสำคัญทั้งคู่) และเพราะเป็นเรื่องที่อ่านตามและเข้าใจได้ง่าย ชนิดที่ไม่ต้อง tune in ใด ๆ แค่หน้าที่สองสามก็อยู่กับเรื่องได้แล้ว แปลกที่อ่านจบ อ่านง่าน อ่านสนุก แต่ไม่ทิ้งอะไรหรือให้รู้สึกอะไรในหัวเหมือนตอนอ่าน Daughter of the Forest ที่คิดมาก philosophising hectic ไปสองวัน

นั่นแล .. ในที่สุดเธอก็ยังมีชีวิตอยู่ แถมยัง (สปอยล์) [ฆ่า Avery ได้อีก] สรุปได้ว่า Anna Strong, yes, Anna’s strong!

Wednesday, 25 February 2009

Daughter of the Forest by Juliet Marillier (n)

อ่านเพราะชอบวิธีเขียนจากชุด Wildwood Dancing แม้ว่าจะหวั่นใจว่าแนวจะใช่หรือเปล่า

- ปกนี้ใกล้เคียงที่สุดเท่าที่จะหาได้ ที่มีเป็นโทนม่วงพาสเทล แต่ก็หม่นพอกัน

ชนิด : Rich Fantasy/ fairytale retelling/ folklore/ Celtic/ historical
ชุด : Sevenwaters, book 1
สำนักพิมพ์ : Tor Books; 1st edition (February 18, 2002)
จำนวนหน้า : 560 หน้า


(**สังเกตมาหลายครั้งแล้วว่าเรื่องไหนอ่านแล้วอินจะพล่ามมาก.. และเป็นแบบไม่รู้เรื่อง)

จากเรื่องเล่าของพี่น้องกริมม์ “The Six Swans”Sorcha เติบโตมาด้วยความรักและความเอาใส่ใจของพี่ชาย 6 คน และมีความสุขกับชีวิตรอบตัว แม้ว่าพ่อซึ่งสูญเสียแม่ไปหลังการเกิดของเธอจะไม่สนใจเธอนัก จนกระทั่งพ่อแต่งงานใหม่ และผู้หญิงของพ่อพยายามเข้ามามีอำนาจครอบงำในครอบครัว และพี่ชายทั้งหกถูกคำสาปให้กลายเป็นหงส์ เหลือแต่ Sorcha ซึ่งแม่เลี้ยงมองว่าหากปราศจากพี่ชายเธอก็คงไม่มีชีวิตรอดต่อไป .... หากแต่เด็กสาวได้ความช่วยเหลือจากป่า พร้อมกับคำแนะนำที่บอกว่า หากเธอนำต้นไม้หนามมาเป็นเสื้อให้พี่ชายได้ คำสาปก็จะหมดไป โดยที่ระหว่างนั้น เธอจะต้องไม่พูด ไม่ส่งเสียงใด ๆ เลย

Sorcha เริ่มต้นชีวิตโดดเดี่ยวในป่า และพยายามทำหน้าที่ของเธอ จนกระทั่งถึงจุดเปลี่ยนผันให้เธออยู่ในป่าไม่ได้อีกต่อไป ระหว่างนั้น เธอได้พบกับ Red ซึ่งเชื่อว่าเธอมีเบาะแสเกี่ยวกับน้องชายที่หายไป เขาจึงตัดสินใจพาเธอกลับบ้านด้วย ซึ่งก็ไม่ง่ายเลย ผู้คนของเขามองว่า Sorcha เป็นแม่มดที่ทำเสน่ห์ให้ Red หลงรักเธอจนนำเด็กสาวจากเผ่าศัตรูกลับมาด้วย ยิ่งประกอบกับการไม่พูด และเสื้อประหลาดที่เธอตั้งใจทอ ความน่าจะเป็นไปได้นี้ก็สูงขึ้น และความกดดันก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ จนสิ่งที่ยึดเหนี่ยวเธอไว้มีแค่ความมุ่งมั่นที่จะช่วยพี่ชายเท่านั้น

ที่ย่อมาเหมือนจะเป็นนิทาน และเหมือนจะเป็นเรื่องง่าย แต่ Daughter of the Forest แสดงให้เห็นว่านิทานเป็นแค่เรื่องเล่าอย่างง่ายและรวบรัดของเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเท่านั้น เพราะนิทานไม่สามารถอธิบายหรือบอกเล่ารายละเอียดเบื้องหลังความสำเร็จความลงตัวที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก เสียสละ อันตราย หรือแม้แต่สิ้นหวังได้เลย ... เมื่อต้องหนีจากเงื้อมมือแม่เลี้ยง Sorcha ไม่มีทางเลือก นอกจากหนีเข้าไปในป่า และต้องเอาชีวิตรอดท่ามกลางธรรมชาติ หิวโหย โดดเดี่ยว และหวาดกลัว หลังจากสองปีผ่านไป เธอถูกข่มขืน ซึ่งกลายเป็นฝันร้ายติดตัวเธอมาอีกนาน และทำให้เธอต้องหนีออกมาจากที่ที่เคยอยู่ ความสิ้นหวังและความหวาดกลัวทำให้เธอเกือบฆ่าตัวตายอย่างไม่รู้ตัว จนกระทั่ง Red ช่วยเธอไว้จากการจมน้ำ และพาเธอกลับไปที่บ้าน

หากความจริงที่ว่าเธอเป็นคนต่างเผ่า เป็นไอริชขณะที่เขาเป็นไบรตันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดาย เผ่าพันธุ์ของทั้งคู่ทำสงครามต่อสู้กันมาเป็นเวลานาน เต็มไปด้วยความเกลียดชัง และไม่วางใจกัน ที่นี่ ในถิ่นของศัตรู Sorcha ก็ถูกมองอย่างหวาดกลัว เดียดฉันท์ ตำนานและความเชื่อที่คนไอริชมีก็ทำให้เธอถูกมองเป็นคนหลังเขา และเป็นแม่มดที่ทำเสน่ห์ให้ Red หลงงมงาย และการที่เธอไม่พูดก็ทำให้เธอไม่สามารถแก้ตัวหรือแก้ความเข้าใจผิดใด ๆ ได้ โดยเฉพาะสถานะของเธอที่มีต่อชายที่เป็นเจ้าที่ดินคลุมเครือ ไม่ชัดเจน แม้สถานภาพของเธอจะดีขึ้นที่มีอาหารกินครบมื้อ และมีที่อาศัย แต่การอยู่รวมกับผู้คนที่ไม่เป็นมิตร ไม่เข้าใจ และทำร้ายเธอด้วยคำพูด ความเกลียดชังและความแปลกแยก

ลับหลังชายหนุ่ม ความต้องการทำร้ายทำลายเธอคงอยู่ตลอดเวลา และเมื่อชายหนุ่มออกเดินทางไกล Sorcha ก็ถูกลุงของเขาจับขังคุกใต้ดินอยู่ในความมืดเป็นเวลานาน เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ขื่นขม และสิ้นหวังอีกครั้งเมื่อรู้ว่าเธอกำลังจะถูกจับเผาทั้งเป็นในฐานะแม่มด และสายลับฝ่ายศัตรู และอาจจะทอเสื้อให้พี่ชายไม่เสร็จทันการ ซึ่งจะทำให้พวกเขาหมดโอกาสกลับเป็นมนุษย์อีกครั้ง

เหมือนเล่าเรื่องย่อสองครั้ง ย่ออย่างสั้นกับย่ออย่างยาวกว่า เหมือนจะง่ายแต่ยากมาก อ่านแล้วพูดไม่อกบอกไม่ถูกนอกจากจะรำพึงกับตัวเองว่าจะรันทดไปถึงเมื่อไหร่ เมื่อไหร่จะทำเสื้อเสร็จแล้วพ้นทุกข์สักที เมื่อไหร่จะพูดได้ อะไรเช่นนี้อยู่เนือง ๆ เข้าใจว่าตัวเอกมีบททดสอบที่ต้องทำ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องให้เหนื่อยยาก ทนทุกข์เช่นนี้ คลื่นชีวิตถาโถมเข้ามาอยู่ตลอดเวลาจริง ๆ ถึงมองว่า Juliet Marillier เก่งที่เขียนเรื่องออกมาเช่นนี้แล้วทำให้คนอ่านยังอ่านต่อไปได้โดยที่ไม่โยนหนังสือทิ้ง หากแต่จมจ่ออยู่กับเนื้อเรื่องได้ต่อไปจนจบ

วิธีเล่าเรื่องที่ให้รู้สึกเข้าถึงและรับรู้ตามยังเป็นเอกลักษณ์ในงานของเธอ นอกเหนือจากการพรรณนาให้เห็นภาพตามเสมือนอยู่ในเหตุการณ์ด้วยตัวเองเอง ยังเห็นได้ชัดเมื่อพูดถึงพี่ชายทั้งหกคนของตัวเอกด้วย เราได้เห็นภาพที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงของผู้ชายหกคน ซึ่งแต่ละคนมีบุคลิกที่เป็นเอกลักษณ์ชัดเจน ทั้งจากแรงจูงใจ คำพูด การแสดงออก ตั้งแต่พี่ชายคนโต Liam ที่ถูกวางให้เป็นหัวหน้าครอบครัว เคร่งขรึม เอาจริงเอาจริง Diarmid พี่ชายคนรองที่ขี้เล่น เจ้าเสน่ห์ ฝาแฝด Conar กับ Cormack ที่แตกต่างกันด้วยบทบาทนักปราชญ์และนักรบ Finbar ที่มีโลกส่วนตัวและความเข้าใจโลกในแบบของตัวเอง และ Padriac ที่กระตือรือร้น

สิ่งหนึ่งที่ทำได้ดีก็คือ ผลลัพธ์ และความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น อย่างที่ Sorcha รำพึงกับตัวเองในตอนใกล้จบว่า “Real life is not quite as it is in stories. In the old tales, bad things happen, and when the tale has unfolded and come to its triumph conclusion, it is as if bad things had never been. Life is not as simple as that, not quite. (หน้า 532-3) ชีวิตจริงแตกต่างจากนินานไม่ใช่แค่ในด้านการย่อความและละทิ้งความยากลำบากไว้เท่านั้น แต่ยังทิ้งบาดแผลและความสูญเสียไว้ด้วย นอกเหนือจากตัวเอกเองที่สูญเสียความเดียงสาและความไว้ใจในระหว่างทางแล้ว พี่ชายของเธอก็ไม่แตกต่างกัน ความขื่นขมที่ต้องกลายเป็นหงส์ ไม่สามารถปกป้องน้องสาวของตัวเอง หรือกลับไปต่อสู้เพื่อพ่อได้มีอยู่อย่างรุนแรง รวมไปถึงความสูญเสียเฉพาะตัวของแต่ละคน ดังเช่น Liam สูญเสียผู้หญิงที่รักและคู่หมั้นไประหว่างคำสาป และเมื่อกลับมา เธอก็แต่งงานและกลายเป็นแม่ ซึ่งทำให้เขาไม่สามารถรักใครได้อีกเลย Finnar ผู้เห็นโลกอย่างที่ตัวเองเชื่อ สูญเสียตัวเองไปหลังที่กลายเป็นหงส์ และลังเลที่จะกลับมาเป็นคน หรือ Diarmid ชายขี้เล่นที่เปลี่ยนเป็นเจ้าคิดเจ้าแค้นเพราะความเกลียดชังที่ถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือของแม่เลี้ยง

ความสูญเสียที่นำมาซึ่งความได้มา และความได้มาซึ่งมาจากความสูญเสียก็เห็นได้ชัดสำหรับ Red และ Simon น้องชายของเขาด้วย ... พี่ชายที่ถูกเลี้ยงมาให้สืบทอดความเป็นเจ้าของที่ดิน พึ่งพาได้ คาดหวังได้ แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อเขาได้เจอกับ Sorcha ผู้ซึ่งทำให้เขาเห็นว่าชีวิตที่ถูกคาดหวังและวางแนวทางไว้อาจจะไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ และเมื่อเขารักหญิงสาวและรู้ว่าเธอไม่สามารถอยู่กับเขาได้ ชายหนุ่มก็กล้าที่จะละทิ้งทุกอย่างมา เพื่อมาอยู่กับเธอ หรืออย่าง Simon ที่พยายามพิสูจน์ตัวเองด้วยการมาสืบความลับในดินแดน Sevenwaters เพราะคิดว่าเขาไม่มีทางทัดเทียมพี่ชาย หรือเป็นเจ้าของที่ดินได้ จนทำให้ถูกจับและทรมานในฐานะเชลย และเมื่อถูกพวกพี่ชายและ Sorcha ช่วยออกมา ระหว่างที่ Sorcha รักษาและเยียวยาเขา เธอกลายเป็นโลกของเขา และเป็นสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยว Simon ไว้หลังจากนั้น แต่เมื่อเขากลับมาอีกครั้ง เธอแต่งงานกับ Red เสียแล้ว และเมื่อ Red ตัดสินใจละทิ้งทุกอย่าง ชายหนุ่มก็กลายเป็นเจ้าของที่ดินอย่างที่ตัวเองต้องการตลอดมา หากแต่กลายเป็นว่าสิ่งที่เขาต้องการกลายเป็นอีกอย่างที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง

เหมือนเรื่องของเธอในชุด Wildwood Dancing ที่ Juliet Marillier เขียนให้ตัวละครของเธอมีความผูกพันกับป่าและคุ้นเคยกับเวทย์มนต์ที่อยู่ในนั้น และต้องทำบททดสอบซึ่งผลสำเร็จที่ได้เป็นทั้งเรื่องชีวิตส่วนตัว และส่วนรวม ... แต่ในเล่มนี้ดูเหมือนว่าจะมืดกว่ามาก ซึ่งก็ทำให้เข้าใจและเกือบจะถูกใจอารมณ์หนังสือ Young Adult (อย่างน้อยก็กับงานของ Juliet Marillier) มากกว่า เพราะอ่านสบาย และบีบคั้นน้อยกว่ามาก ... จริง ๆ แล้วชุดนี้มีคนพูดถึงเยอะ และเมื่อเริ่มอ่านแฟนตาซีภาษาอังกฤษก็ก้ำกึ่งจะอ่านเหมือนกัน แต่เพราะความกดดัน และฉากข่มขืนที่ได้ยินมาก็ทำให้ชะลอไว้เสมอ และก็ดีใจที่เพิ่งอ่านตอนนี้ เพราะสมัยนั้นคงจะอ่านแล้วจิตหลุดไปเลย หรือมิฉะนั้นก็ไม่มีทางได้อ่าน Cebele’s Secret ได้แน่

ความคล้ายคลึงอีกอย่างก็คือความรักระหว่างตัวเอก ซึ่งจะเป็นความละเมียดละไม และใช้เวลาก่อตัวขึ้นมาอย่างช้า ๆ และแอบแฝงอยู่โดยที่เจ้าตัวไม่รู้เลย (อย่างน้อยก็ในกรณีฝ่ายหญิง ที่ตอบรับมิตรภาพและสร้างความผูกพัน แต่ไม่รู้ตัวจนเกือบจะสายว่าเป็นความรักเช่นใด ขณะที่ฝ่ายชายจะอดทนและรอคอยอย่างน่าอัศจรรย์) ในเรื่อง Red รักและต้องการที่จะปกป้องเธอ โดยที่ไม่หวังอะไรตอบแทน เพราะรู้ว่า วันหนึ่งเธอก็ต้องกลับไป และกลัวว่าคำพูดที่มีจะทำให้เธอกลัว และเขาก็บอกรักเธออย่างเงียบ ๆ แฝงผ่านนิทานความรักระหว่างชายชาวประมงและนางเงือก

ทั้งนี้ Red ได้รับคำแนะนำจากสิ่งมีชีวิตในป่า ว่าหากเขาพยายามที่จะเรียนรู้ ชายหนุ่มก็จะสามารถเข้าใจ Sorcha ได้ แม้เธอไม่พูดออกมา แต่ผ่านการสังเกต การตีความ และความพยายามเข้าใจ ซึ่งก็นอกเหนือจากด้านความรู้สึกที่เธอมีให้เขา ซึ่งชายหนุ่มไม่กล้าตีความใด ๆ เรื่องนี้แล้ว กลายเป็นว่าเขาเป็นคนที่เข้าใจและอ่านเธอได้มากกว่าใคร และก็แปลกที่ว่า ในทางกลับกัน Sorcha ไม่สามารถตีความเข้าใจชายหนุ่มได้เลย แม้ว่าเขาจะพูดผ่านการกระทำและการแสดงออกก็ตาม เธอเข้าใจว่า สิ่งทั้งหมดที่เขาทำให้เธอเป็นเพราะเขาต้องมนต์สะกดของป่ามากกว่าจะที่สนใจเธอที่ตัวเธอจริง ๆ และท้ายสุดแล้ว เธอก็รู้ว่าเธอต่างหากที่ไม่ได้ยินเสียงที่เธอควรจะได้ยิน ซึ่งคิดว่าหนังสืออ่านเรื่องการเข้าใจคำพูดที่ไม่ได้ “พูด” ได้ดียิ่ง [ย่อหน้านี้ เพิ่ม 040309]

จุดแข็งของงานเขียนที่ทำให้เรารู้สึกผูกพันและคุ้นเคยกับตัวละคร ทำให้ทำใจรับความสูญเสียที่เกิดขึ้นได้ยาก เมื่อรู้สึกว่าโลกของเธอจะครบถ้วนเมื่อมีพี่ชายทั้งหกคนอยู่ด้วย แต่ก็ไม่ใช่เห็นนั้นเสมอไปเมื่อการผจญภัยและเวลาทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป และเธอไม่ใช่เด็กหญิงที่ต้องขอความช่วยเหลือและการตัดสินใจของพี่อีกต่อไป และที่สำคัญ เมื่อต่อมา พี่ชายของเธอจากเธอไปทีละคน ทั้งจากการเติบโต และเดินทางเพื่อหาที่ของตัวเอง และสงคราม เพราะความรู้สึกผูกพันโดยเฉพาะเมื่อรับรู้ความยากลำบากของ Sorcha ทำให้รู้สึกหวงแหนชีวิตของแต่ละคน และเป็นอารมณ์ที่คงอยู่ชัดที่สุดหลังอ่านจบ และก็เลยทำให้ขอสรุปเรื่องนี้ว่า Beautifully heartbreaking หรือว่า Beautifully disturbing ก็ได้ รู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ อ่านจบแล้วนอนไม่หลับ

ให้คะแนนที่ B+ เพราะชอบความสมจริง แต่ไม่สามารถทนเห็นหนังสือได้อีก อย่างน้อยก็ตอนนี้ A realist's fairy tale .. while I ain't one!

ปล. ตอนแรกจะไปเอาเล่มสองมาอ่านต่อ แต่ถ้าเป็นแบบนี้ทิ้งไว้ก่อนดีกว่า ยิ่งรู้ว่าเล่มสอง Sorcha กำลังจะตายนี่รับไม่ได้จริง ๆ ไม่ชอบอารมณ์ dark age

ย่อปกหลังเว่อร์ชั่นอื่นจาก wiki

“Lord Colum of Sevenwaters is blessed with six sons: Liam, a natural leader; Diarmid, with his passion for adventure; twins Cormack and Conor, each with a different calling; rebellious Finbar, grown old before his time by his gift of Sight; and the young, compassionate Padraic.

But it is Sorcha, the seventh child and only daughter, too young to have known her mother, who alone is destined to defend her family and protect her land from the Britons and the clan known as Northwoods. For her father has been bewitched, and her brothers bound by a spell that only Sorcha can lift.

To reclaim the lives of her brothers, Sorcha leaves the only safe place she has ever known and embarks on a journey filled with pain, loss and terror.

When she is kidnapped by enemy forces and taken to a foreign land, it seems there will be no way for her to break the spell that condemns all she loves. But magic knows no boundaries, and Sorcha will have to choose between the life she has always known and a love that comes only once.”

Night Rising by Chris Marie Green (n)

จริง ๆ ตอนหยิบเล่มนี้มาไม่คิดอะไรเลย เพราะว่ากลัวว่าร้านทำผมจะไม่มีอะไรให้อ่าน ก็เลยรีบวิ่งจากสยามไปคิโนะ พารากอน ..ไม่รู้ว่าจะเรียกว่ามุ่งมั่นหรือบ้าดี เพราะไปกลับก็เกือบครึ่งชั่วโมง คำนวณแล้วมีเวลาดหนังสือน้อยมาก ก็เลยหยิบที่หน้าปกเป็น Urban Fantasy มาอย่างเร็ว ๆ (สงสัยว่าฉันจะเปลี่ยนไปเป็นแนวนี้แล้วใช่ไหมคะ)




ชนิด : Urban Fantasy/ Vampire
ชุด : Vampire Babylon, Book 1
สำนักพิมพ์ : Ace; Reprint edition (January 27, 2009)
จำนวนหน้า : 368หน้า


เมื่อได้รับแจ้งว่าพ่อของเธอหายไปอย่างลึกลับ Dawn จึงไม่มีทางเลือกนอกจากกลับมาที่เมืองเพื่อเสาะหาเบาะแสเกี่ยวกับการหายไปของเขา โดยที่ต้องร่วมมือกับเพื่อนร่วมงานของพ่อไขคดีสุดท้ายก่อนที่พ่อของเธอจะหายไป - ซึ่งก็คือการปรากฏตัวของดาราเด็กชื่อดังที่ตายไปแล้วกว่ายี่สิบปี – อันเป็นเบาะแสสุดท้ายที่เหลือทิ้งอยู่

หากแต่ปริศนาในตัวเพื่อนร่วมงานของพ่อก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ไม่ว่าจะเป็น Kiko ชายแคระที่มีพลังอ่านความจำจากสิ่งของ Breisi สาวร่างเล็กที่เชี่ยวชาญเครื่องมืออิเล็กโทรนิกส์ และที่สำคัญ Mr. Limpet ผู้เต็มไปด้วยความลึกลับ

ความโดดเด่นที่ชัดที่สุดของ Night Rising อยู่ที่การวางบุคลิกตัวเอกอย่าง Dawn ตั้งแต่หน้าแรกเห็นได้ชัดว่าเธอมีอาชีพสตันแมน เป็นสาวแกร่ง กร้าวที่เชื่อตัวเอง และพึ่งพาตัวเองได้ แต่เมื่ออ่านไป เธอเป็นคนที่มีความขัดแย้งและปมในใจสูง โดยเฉพาะเมื่อเธอเป็นลูกสาวของดาราดังในอดีต และถึงแม้แม่ของเธอจะตายไปแล้ว แต่เธอก็ยังถูกเปรียบเทียบอยู่ตลอดเวลา ผู้ชายที่เข้ามาในชีวิตของเธอพยายามมองหาแม่หญิงสาวที่กลายเป็นตำนานมากกว่าจะเห็น Dawn จริง ๆ เธอพยายามหลีกหนีตัวเองจากเงาของแม่ และเลือกสร้างชีวิตเธอให้แกร่งกร้าว แทนที่จะทำตัวน่ารัก อ่อนหวาน และเปราะบางอย่างที่ภาพของแม่เป็น

ประกอบกับการเลี้ยงดูของพ่อที่แตกสลายไปหลังการสูญเสียผู้หญิงที่รักไป ความไม่มั่นคงทางอารมณ์ของเขาที่นาทีหนึ่งจะกอดรัดสนใจลูกสาว และอีกนาทีหนึ่งร้องไห้จมอยู่กับขวดเหล้ามีผลอย่างสูงต่อ Dawn ด้วย นอกจากเธอจะต้องกลายเป็นคนดูแลพ่อในหลาย ๆ เรื่องแล้ว ยังทำให้เธอโตเร็วเพื่อจะได้พึ่งพาตัวเองได้ และปิดกั้นตัวเองจากปัญหาด้วยการไม่รับรู้ด้วย ... Dawn เลือกที่จะใช้ความสัมพันธ์บนเตียงเป็นทางออกและวิธีระบายตัวเอง เพราะนาทีนั้น ผู้ชายที่อยู่กับเธอจะรู้ว่าแม่ที่ตายไปแล้วไม่มีทางทำอย่างที่เธอซึ่งมีเลือดเนื้อทำได้ และเธอไม่ต้องสนใจเรื่องราวอื่น ๆ นอกเหนือจากที่ดำเนินอยู่

ส่วนหนึ่งที่การอธิบายความขัดแย้งของตัวละครทำได้ดีอาจเป็นเพราะใช้มุมมองบุคคลที่สาม (“she”) เป็นคนเล่าเรื่อง แทนที่จะเป็นคนแรก (“I”) อย่างเรื่องอื่นก็ไปเป็นได้ ... และแรงจูงใจในการตามหาพ่อก็เป็นความขัดแย้งที่สร้างได้ดี อย่างที่เห็นว่าพ่อเลี้ยงเธอไม่ดีนัก และเมื่อเริ่มโตเธอก็มีชีวิตของตัวเองที่ไม่ได้ติดต่อกันเท่าไหร่ ยิ่งเมื่อเธอเลือกที่จะปิดกั้นตัวเอง และไม่เชื่อใจใคร แต่เธอตามหาพ่อเพราะรู้ว่าเป็นสิ่งที่ต้องทำ และเธอไม่ต้องการตายจากกันไปในสภาพนี้ (จริง ๆ ถ้าอ่านแล้วเขียนเลย คงได้ดีกว่านี้ อ่านเรื่องอื่น ๆ ไปเยอะมาก จับประเด็นได้ไม่ชัดเหมือนตอนอ่านแล้ว)

จุดหนึ่งที่ชอบก็คือ Dawn ไม่ต้องการเป็นเหมือนแม่ เพราะไม่อยากถูกเปรียบเทียบ และนั่นก็ทำให้เธอเกลียดผู้หญิงที่เหมือนแม่ -บอบบาง อ่อนหวาน- จนกระทั่งเธอได้เจอ Jacqueline เด็กสาวที่มาจากชนบท บริสุทธิ์ ไร้เดียงสา ระหว่างการซ้อมดาบ ที่บางอย่างทำให้เธอรู้สึกอยากปกป้องให้ความใสซื่อนั่นคงอยู่ตลอดไป ..... แต่ความรู้สึกนั่นก็กลายเป็นหลอนเมื่อปะติดปะต่อเรื่องบางอย่างต่อไปได้

ไม่แน่ใจว่าเพราะตอนนั้นมีหนังสือที่สนใจกว่า รู้สึกว่าสนุกกว่าอ่านไหม ที่ทำให้กว่าจะรู้สึกเข้าถึง และเริ่มอ่านจริง ๆ ก็ช่วงหน้าที่ 70-80 หลังจากวางไปหลายรอบ แต่พออ่านจริง ๆ การดำเนินเรื่องค่อนข้างเร็ว ฉับไวและเต็มไปด้วยฉากแอคชั่น ความลึกลับ และให้รู้สึกตื่นเต้น edgy ตลอดเรื่อง โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวกับความลึกลับของ Mr. Limpet ชายผู้มีแต่เสียงและเต็มไปด้วยอำนาจประหลาดซึ่งดูจะลึกลับยิ่งกว่าความลับของคดี (ซึ่งก็ทำให้สงสัยมากว่าตกลงเป็นตัวอะไร และที่คิดไว้จะถูกไหม)

สังคมผีดูดเลือดที่สร้างไว้และจินตนาการไว้ค่อนข้างดี นอกเหนือจากโครงสร้างที่วางไว้ซับซ้อนแล้ว แรงจูงใจของหัวหน้าผีดูดเลือดก็น่าสนใจ และสร้างผลกระทบได้สูง โดยเฉพาะประเด็นที่วางไว้และเปลี่ยนภาพที่น่าจะเป็นผู้ร้ายในตอนแรกให้กลายเป็นเหยื่อที่ถูกกระทำ และน่าสงสารมากที่สุดในตอนใกล้จบ นอกจากนี้ เป็นไปได้สูงว่าจะมีความเกี่ยวพันกับครอบครัวของเธอในแง่ใดก็แง่หนึ่งในอนาคต (หลังจากถูกเปิดเผย) แต่สิ่งเหล่านี้ก็คงถูกพูดถึงในเล่มสอง รวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอ กับ Mr. Limpet และนักสืบเอกชนผู้เรียกตัวเองว่านักล่าผีดูดเลือดต่อไป

ปกแข็งออกถึงเล่มสี่แล้ว แต่ปกอ่อนเล่มสองก็คงจะออกเร็ว ๆ นี้ คิดว่าซื้อ ให้คะแนน B ชอบ twist ตัวละครกับ twist พล็อต .. Edgy mystery (of selfishness?)

Wednesday, 18 February 2009

The Iron Hunt by Marjorie M. Liu (n)

ไม่แน่ใจว่าแรกเห็นเล่มนี้ที่ไหน ที่ชั้นหรือในเวบ หรืออย่างไร แต่อย่างไรก็ตาม โทรไปสั่งโดยที่ไม่ได้คิดมากความ และพอรู้ว่ามีหนังสือที่ร้านก็ให้เก็บไว้ให้ โดยที่ไม่ได้พิจารณาดูมาก เหมือนจะซื้อหวย แต่ก็คิดว่าถูกใจ และชอบพอดู ขอบคุณ ขอบคุณ!




ชนิด : Urban Fantasy/ Huntress/ Demon
ชุด : Hunter Kiss, Book 1
สำนักพิมพ์ : Ace (June 24, 2008)
จำนวนหน้า : 320หน้า


Maxine อาจดูไม่เหมือนผู้หญิงปกติที่เราพบทั่วไป รอยสักรอบตัวของเธอมาจากสัตว์ร้ายที่นอนนิ่งสงบที่ตัวเธอ หากจะแปรเปลี่ยนเป็นผู้ล่าในตอนกลางคืน และเธอก็เป็นผู้ล่าคนสุดท้ายในตระกูล Kiss ที่ไล่ล่าปีศาจจากรุ่นสู่รุ่นมาเป็นระยะเวลานาน

การออกล่าปีศาจเป็นเรื่องปกติ หากแต่เรื่องราวเริ่มพลิกพันเมื่อมีนักสืบเอกชนถูกฆาตกรรมโดยทิ้งชื่อของเธอไว้ในที่เกิดเหตุ และเมื่อเธอพยายามสืบหาสาเหตุ Maxine กลับพบว่าเรื่องราวนั้นซับซ้อนเกี่ยวพันกับเธอและคนในตระกูลมากกว่าที่เธอคาดคิด

ความวุ่นวายก็เพิ่มขึ้นเมื่อสัญญาณบางอย่างเริ่มเตือนว่าที่คุมขังปีศาจไว้เริ่มอ่อนแรงลง และปีศาจที่ถูกขังไว้ภายในก็ทรงพลังกว่าทั้งหมดที่เธอเคยเผชิญหน้ามา

พล็อตย่อ ๆ เป็นแบบนี้ และถ้าจะสรุปง่าย ๆ ก็คงได้แบบนี้ แต่ถ้าจะเจาะลึกลงไปจริง ๆ มีความซับซ้อนอยู่ในเรื่อง Iron Hunt มากกว่าที่คิดมาก เพราะเมื่อ Maxine เริ่มค้นพบความลับของตระกูล ผ่านตัวละครอื่น ทุกอย่างเป็นปริศนาหมด และก็ขอเน้นว่าทุกอย่างจริง ๆ รวมไปถึงความเป็นมาและสิ่งที่เป็นของตัวละครเหล่านี้ด้วย (ไม่ใช่แค่ว่าพวกนี้เป็น”ใคร” แต่รวมไปถึงพวกนี้เป็น”อะไร” ซึ่งแม้จะอ่านจบ คนอ่านก็ได้แต่แนวคิดหลวม ๆ ในหัว แต่ก็ยังไม่เข้าใจมากอยู่ดี ได้แต่หวังว่าเล่มหน้าจะรู้มากขึ้น - อ่านจบแล้วบอกตัวเองเลยว่ามีต่อเล่มหน้าแน่)

ตามปกติแล้วผู้หญิงในตระกูลนี้จะไม่รักใคร ไม่ผูกพันกับใคร นอกเหนือจากหาพ่อให้ลูกที่จะเกิดมาเพื่อเป็นผู้ล่าต่อไป แต่สำหรับเธอ เธอกลับผูกพันและอยู่ร่วมกับ Grant ผู้ชายที่ดูทั้งมีและไม่มีความลับในตัวเอง เขาเป็นชายหนุ่มขาพิการที่เคยเป็นบาทหลวงและเชื่อในความดีงามของมนุษย์ แต่ขณะเดียวกันก็มีพลังประหลาดที่กล่อมเกลาจิตใจของคนผ่านทางเสียงดนตรีได้ ซึ่งจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ของทั้งคู่ถูกพูดถึงใน “Hunter Kiss“, Wild Thing: anthology ที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่อง (ซึ่งก็ทำให้หงุดหงิดกว่า เริ่มแบบนี้อีกแล้ว เป็นคนผิดของคนอ่านไหมเนี่ย ที่ไม่รู้และไม่ได้เอาอ่านก่อน) ทำให้การมาอ่าน Iron Hunt ไม่รู้สึกร่วมถึงความผูกพันของคนทั้งคู่ แต่กลับรู้สึกชอบและผูกพันกับตัวละครรองบางตัวมากกว่า

การใช้ภาษาช่วงแรกค่อนข้างวิบัติ เจอประโยคสั้น ๆ อย่าง Bitterness filed me. I hated this. I hated this all. Monster, me. Scaring little girls, little broken girls. All of us, lost little girls. (หน้า 34 – เปิดสุ่ม ๆ แต่ก็ตรงกับใจ Bitterness filed me. I hated this. I hated this all. จริงๆ ) เยอะมาก ซึ่งถือเป็นจุดด้อยของหนังสือที่เห็นได้ชัดมาก อ่านแล้วรู้สึกสะดุดแกมขัดใจอยู่เกือบครึ่งเล่ม อย่างไรก็ตาม พัฒนาการตรงนี้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ช่วงหลัง ๆ โดยเฉพาะช่วง abyss ประโยคเริ่มลึกขึ้น และอธิบายความได้สละสลวยมากกว่าเดิมเป็นอันมาก

จุดด้อยอีกอย่างอย่างที่ได้บอกไปแล้วก็คือ ความซับซ้อนของเรื่อง คิดว่าตัวคนเขียนวางประเด็นไว้มากจนเกินไป และเมื่อเขียนจริงก็ดึงประเด็นทั้งหมดมาใส่ไว้ด้วย ทำให้พัฒนาแนวคิดในแต่ละเรื่องไม่ได้หมด เกิดความสับสนซับซ้อนสำหรับผู้อ่านในการตีความให้กระจ่างและทำความเข้าใจมาก แต่ถ้าคิดว่าอ่านไปไม่ต้องรู้ทั้งหมดก็ได้ ก็จะไม่รำคาญใจมานัก (ตอนอ่านบอกตัวเองไว้ว่าอ่านไปก็คงเข้าใจไปเองในที่สุด) เพราะขณะเดียวกัน ในส่วนตัวแล้วคิดว่า ในบางครั้ง ความซับซ้อนของเรื่องก็ทำให้เกิดความลุ่มลึกด้วย ความรู้สึกลึกลับ คลุมเครือ ทำให้เรารู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ ความเป็นไปได้ และสิ่งที่จะตามมา ซึ่งตรงนี้ก็เป็นจริงในกรณีของ Iron Hunt - ความเป็นจุดด้อย หรือจุดเด่นอยู่ที่คนที่อ่านจะมามอง

ทั้งนี้ จุดที่ชอบที่สุดเป็นความรู้สึกโหยหาอดีต ตัวละครในเรื่องบอกว่า Maxine เป็นคนที่เหมือนกับผู้ล่าคนแรกที่สุด และรู้สึกได้ถึงตัวตนของผู้ล่าคนแรกที่แฝงอยู่ในตัวเธอ โดยเฉพาะเมื่อตัวเธอเองเริ่มค้นพบความลับในตระกูลก็ทำให้เธอรู้สึกถึงสิ่งที่เคยเป็นของผู้ล่าคนเก่าในครั้งก่อน ทั้งความรู้สึก déjà ju และ nostalgia เหมือนจะรู้แต่ยังไม่รู้ เหมือนจะเข้าใจ แต่ไม่เข้าใจ ทั้งกับเหตุการณ์และตัวละคร เป็นเสน่ห์ของหนังสือเล่มนี้ที่แตกต่างจากเรื่อง Urban Fantasy อื่น ๆ

ให้คะแนนที่ B+

ปล. ติดใจกับตัวละครปีศาจสองตัว Blader กับ Tracker โดยเฉพาะตัวหลังที่อารมณ์ขัดแย้งต่อสู้กับอยู่ตลอดเวลา ทั้งรักและชิงชังที่มาจาการถูกทรยศ หวังว่าเล่มหน้าจะกลับมามีบทบาทเพิ่มกว่าเดิม รอ Darkness Calls อีกครึ่งปีพี่น้อง!

นอกเรื่อง
Marjorie M. Liu เป็นคนที่ให้ excerpt ได้แย่มาก ๆ คือ 2 ย่อหน้า จริง ๆ ภาษิตจีนที่ว่าเสียข้าวสารไปกำมือ แล้วได้ไก่มาเนี่ยสำคัญนะคะ ให้ลองอ่านบทสองบทไปเลย ไม่เป็นไรหรอก นอกจากคนอ่านจะได้ลองอ่านแล้ว โอกาสติดแล้วไปหามาอ่านมันจะสูงกว่ามากนะคะ

Sunday, 15 February 2009

Cybele's Secret by Juliet Marillier (n)

เพราะว่าติดใจกับ Wildwood Dancing พอตัว และเมื่อรู้ว่ามีหนังสือในชุดเดียวกัน ก็เลยอดไม่ได้ที่จะสั่งต่อมา ซึ่งกว่าจะได้หนังสือมาก็ผ่านไปนานโข และอยู่ในช่วงที่กระหน่ำอ่าน Urban Fantasy ที่วิธีการใช้ภาษา การบรรยายความเป็นคนละแนวกัน ประกอบกับราคาหนังสือที่แพงมาก แพงที่สุดเท่าที่เคยซื้อปกอ่อนมา (เกือบจะสองเท่า ฮือฮือ) ก็แทบจะทำให้ทนอ่านไม่ได้ ... แต่พอเริ่มลงมืออ่านก็ติดหนึบตั้งแต่หน้าที่ 20 แล้วก็ถูกดูดเข้าไปตั้งแต่นั้นยันจบ ถ้าคิดว่าชอบ Wildwood Dancing ขอบอกว่าหลงรัก Cybele's Secret เลยก็แล้วกัน!



ชนิด : Young Adult / Fantasy/ Folklore
ชุด : Wildwood Dancing, Book 2
สำนักพิมพ์ : Tor (5 Dec 2008)
จำนวนหน้า : 407 หน้า


รางวัล :
An American Library Association Best Book for Young Adults 2009
Winner of the 2008 Sir Julius Vogel Award for best young adult novel.
Finalist in the 2007 Aurealis Awards.
Finalist in the Western Australian Premier's Book Awards for 2007.


หลังจากที่ Wildwood Dancing พูดถึงเรื่องราวของพี่น้อง 5 คนผ่านทางทางเล่าเรื่องของ Jena พี่สาวคนที่สอง Cybele's Secret เริ่มต้นจาก Paula น้องสาวคนที่สามซึ่งเป็นเด็กขยันเรียน ฉลาด เอาจริงเอาจัง

ผ่านไปหกปีหลังจากเหตุการณ์ในเล่มที่แล้ว Paula ร่วมเดินทางไปกับพ่อจากทรานซิสวาเนียสู่อิสตันบูลเพื่อการค้าขาย และค้นหา Cebele’s Gift เครื่องรางเก่าแก่ที่กล่าวกันว่า มีอำนาจและเป็นสิ่งที่เหลืออยู่ก่อนละทิ้งโลกมนุษย์ของ Cebele (อ่านว่า kee-beh-leh) เทพีแห่งผืนดินที่กลายเป็นเพียงตำนานเลือนลางในปัจจุบัน

เมื่อไปถึงอิสตันบูล ทั้งคู่ค้นพบว่าเพื่อนและหุ้นส่วนทางการค้าของพ่อที่เป็นคนแจ้งข่าวเกี่ยวกับ Cebele’s Gift เพิ่งถูกฆ่าตาย และแม้ว่าจะมี Stoyan การ์ดหนุ่มตัวโตที่ถูกจ้างมาให้ดูแล Paula คอยระวังหลัง การตามหาเครื่องรางก็เต็มไปด้วยอันตรายและการแข่งขันที่เหนือกว่าที่สองพ่อลูกคิดไว้มาก โดยเฉพาะเมื่อ Other Kingdom กำลังรอที่จะทดสอบ Paula อยู่

และเรื่องราวก็ซับซ้อนมากยิ่งขึ้นเมื่อ Paula และ Stoyan มีเหตุให้ต้องร่วมเดินทางไปในเรือของ Duarte โจรสลัดมากไปด้วยปริศนา

แม้ว่า Cybele's Secret จะเป็นหนังสือที่ต่อมาจาก Wildwood Dancing แต่เหตุการณ์ที่เกิดในเล่มก็เป็นเอกเทศจากกันมาก เป็นบทละครคนละบทที่เล่าผ่านตัวละครที่แตกต่างกัน จนเรียกได้ว่าสามารถเป็น standalone ได้เลย อย่างไรก็ตาม วิธีการบรรยาย การพรรณนาจนผู้อ่านเห็นภาพและเกิดจินตนาการตามนั้น ถือเป็นสิ่งหนึ่งที่หนังสือทั้งสองเล่มคงความเชื่อมโยงกันอยู่ และก็ถือเป็นเสน่ห์หลักอย่างหนึ่งของชุดด้วย (ทั้งนี้ ต้องสารภาพว่าไม่เคยอ่านเรื่องอื่น ๆ ของ Juliet Marillier แต่รู้สึกว่าวิธีเขียนและเล่าเรื่องของเธอทำให้นึกถึง Patricia A. McKillip แม้ว่าฝ่ายหลังจะมีวิธีเล่นกับจินตนาการและความเป็นไปได้ รวมไปถึงความรู้สึกกึ่งจริงกึ่งฝันมากกว่าก็ตาม)

เนื่องจากเล่มนี้เป็นการดำเนินเรื่องในอิสตันบูล และในเรือมีเรื่องราวเข้ามามาก จึงทำให้ต่อเรื่องไปได้เร็วและมีสีสันกว่าในเล่มแรก คนเขียนบรรยาย และพรรณนาสภาพเมืองและความเป็นอยู่ได้ดี (ซึ่งถือว่าในจุดนี้ ทำได้ดีกว่า Patricia A. McKillip เสียด้วย เพราะฝ่ายหลังเน้นเขียนให้ผู้อ่านต่อยอดต่อไปเอง มากกว่าจะติดอยู่แค่ความรุ่มรวยของภาษาที่ใช้ จึงทำให้เห็นภาพได้น้อยกว่า) ตัวละครที่เสริมเข้ามาจากพื้นหลังและความเชื่อที่แตกต่างกันช่วยสร้างภาพความสำคัญของการเป็นเมืองท่าในสมัยทศววรษที่ 14 ของอิสตันบูลได้ดี ทำให้เห็นว่าคนเขียนทำการบ้านและค้นคว้ามาจริง ๆ

ประเด็น gender ก็เป็นประเด็นหนึ่งที่ยังคงถูกกล่าวถึงในหนังสือชุดนี้ อย่างไรก็ตาม การเป็นอิสระของผู้หญิงในเล่มแรกถูกกำหนดไว้ด้วยทัศนคติของตัวละครชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของห้าสาว แต่ในเล่มนี้เป็นประเด็นที่เกิดจากวัฒนธรรมและค่านิยมทางสังคมแบบมุสลิม ซึ่งเริ่มตั้งแต่การที่ผู้หญิงจะต้องแต่งกายให้มิดชิด อยู่แต่ในบ้าน แทบจะไม่มีสิทธิออกไปข้างนอก หรือถ้าออกไป ก็ต้องเป็นการไปที่มีญาติฝ่ายชายร่วมเดินทางอยู่ด้วย ซึ่งก็คือสิ่งที่ยังเป็นอยู่ในตะวันออกกลาง อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกัน โดยส่วนตัว ประเด็นความเป็นอิสระนี้น่ารำคาญน้อยกว่าเล่มแรก เพราะเมื่อเป็นเรื่องของธรรมเนียมปฏิบัติจึงไม่มีความก้าวร้าวที่เกิดจากอารมณ์และความรู้สึกส่วนตัวอย่างเล่มแรกมาร่วมด้วย และก็เพราะเมื่อกฏเกณฑ์สังคมหลายอย่าง ตัวละครในเรื่องหาทางออกและวิธีการแก้ไขได้อย่างราบรื่น

การแก้ไขปริศนาก็เป็นส่วนสำคัญในหนังสือเล่มนี้เหมือนชุดที่แล้ว และก็ยังคงบทบาทเดิม คือเป็นบททดสอบให้ตัวละครแต่ละตัวได้เรียนรู้ ทำความเข้าใจ และนำมาเป็นบทเรียนการดำเนินชีวิตและเป็นคนที่ดีกว่าเดิมอยู่ เทียบกันแล้ว แม้ใน Cybele's Secret บททดสอบที่เข้ามาจริงจังกว่า เร่งเร้ากว่า แต่เหตุการณ์ที่เกิดจากทางเลือกส่งผลให้กับตัวละครน้อยกว่าและการผิดพลาดที่เกิดจากการเรียนรู้บทเรียนนั้นก็อันตรายน้อยกว่า ... แม้ว่าจะทำให้ผลลัพธ์ที่ควรเกิด คือการเข้าใจกันของ Paula และ Stoyan ล่าช้าไปบ้าง

ในหนังสือมีประเด็นที่พลิกผันอยู่นิดหน่อยที่ผู้ร้ายตัวจริงเป็นคนที่ไม่ได้คาดคิดว่าน่าจะเป็น และก็เป็นตัวละครที่ตัว Paula เชื่อถือและไว้ใจมากที่สุดตัวหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ต้องบอกว่า เป็นสิ่งที่คิดและก็คาดการณ์ไว้แล้วอยู่บ้าง เพราะตัวละครนี้เป็นตัวละครที่เหมือนจะดีจนเกินไป และทำเพื่อส่วนรวมโดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ของตัวเองเท่าไรนัก ซึ่งในองค์ความรู้ของคนอ่านช่างจับผิดก็รู้สึกว่าไม่น่าจะมีคนดีขนาดนี้อยู่ โดยเฉพาะในหนังสือที่ตัวละคนทุกคนออกมามีบทบาทเพราะจุดประสงค์บางอย่างเสมอ ... ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าควรจะยินไว้อาลัยให้ตัวเองที่ช่างระแวงระวังไปเรื่อย หรือแสดงความยินดีให้กับตัวเองดี

คนเขียนผูกปมปริศนาการทิ้งท้ายของ Cebele’s Gift ได้ดีอย่างยิ่ง เพราะคนจำนวนมากต้องการคำพูดสุดท้ายที่เขียนทิ้งไว้ก่อนจากของ Cebeleในเครื่องราง เพราะเชื่อว่าจะทำให้เกิดอำนาจ ความรุ่งเรือง และสำหรับตัว Paula และคนอ่าน เมื่อมีการเชื่อมโยงถึง Other Kingdom เข้ามาก็ยิ่งเชื่อเช่นนั้นเข้าไปอีก หากเมื่อมองให้ชัดเจน คำตอบที่มีเป็นคำตอบที่มีเพื่อการดำรงชีวิตอย่างเป็นสุข ให้ชีวิตให้คุ้มค่า และรู้คุณค่าของผืนแผ่นดินและความเชื่อมโยงระหว่างบุคคลและธรรมชาติ อย่างที่บอกว่า ‘Eat of my deep earth; drink of my living streams, for I am your Mother. Your heart is my wild drum; your breath my eternal song. If you would live, dance with me!’ (หน้า 347)

นอกเหนือจากการดำเนินเรื่องที่น่าสนใจแล้ว ตัวละครเองก็น่าสนใจไม่แตกต่างกัน เนื่องด้วยตัวเอก ซึ่งก็คือ Paula เป็นคนฉลาด และใช้ปัญญาไตร่ตรองแก้ไขปัญหาที่เกิด และพยายามทำหน้าที่ผู้ช่วยของพ่อระหว่างที่ออกเดินทางมาด้วยกันให้ดีที่สุด จึงเกิดภาพของเด็กสาวที่มีเหตุผล ตัดสินปัญหาด้วยความรอบคอบ สุขุม และเป็นผู้ใหญ่กว่าวัยมาก รูปแบบวิธีการคิด การวางแผน การโต้ตอบสนทนากับตัวละครทั้งหลายทำให้เห็นภาพเช่นนี้ได้ดี และก็ถือว่าคนเขียนประสบความสำเร็จมาก .... อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ก็ย้อนกลับมาฉุดเธออยู่หลายครั้งในเรื่อง เพราะการเป็นคนรู้มากและฉลาด ทำให้ตัวเธอคิดมากเกินไป โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาที่ได้มาจาก Other Kingdom และกลับกลายเป็นว่า Stoyan ผู้ซึ่งประกาศตัวกับ Paula อยู่เสมอว่าเป็นคนรู้น้อย และไม่ได้เรียนหนังสือ กลับเป็นคนชี้แนวทางและแก้ปัญหาให้ Paula ได้อยู่เสมอ ๆ ซึ่งในช่วงการทดสอบ Paula เองก็พูดเองว่า หลายอย่างซับซ้อนน้อยกว่าที่คิดไว้ และสิ่งหนึ่งที่ได้จากการเรียนรู้ระหว่างการเดินทางก็คือ เห็นคุณค่าของ wisdom มากกว่า scholarship ทั้งในเรื่องการแก้ไขปริศนา และการเข้าใจโลก ‘I have overestimated the role scholarship plays in finding answers and in understanding the world…. I have learnt that there are deeper kinds of wisdom.' (หน้า 326)

สำหรับตัว Stoyan เอง ภาพที่ปรากฏในตอนแรกก็คือ ผู้ชายเคร่งขรึม ซื่อสัตย์ และจริงจังในการทำงานที่ถือการทำหน้าที่การ์ดให้ความปลอดภัยของ Paula และพ่อมาก่อนทุกอย่าง (อย่างที่ค้นในเวบว่าชื่อนี้มาจาก "stoya" ที่หมายถึง "to stay/to stand" หรือ "hardly” เหมาะมาก ๆ) แต่เมื่อเรื่องราวดำเนินไป ผู้ชายตัวโตน่าทางน่ากลัวนี้กลับมีด้านอ่อนโยนและละเอียดอ่อนให้เห็นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างที่ตัว Paula เอง คิดด้วยความหลากใจหลังที่ตื่นจากฝันร้ายและนั่งพูดคุยกับ Stoyan ในคืนแรกว่า ‘There were hidden depths beneath that impassive exterior. A sweet kernel shielded by a tough shell; dancing fire concealed in stone.’ (หน้า 83) (ซึ่งถ้าอ่าน นอกเหนือจากบรรยายถึงความเป็นตัว Stoyan แล้ว การเปรียบเทียบเช่นนี้ก็ช่วยให้เห็นถึงความลุ่มลึกทางวิชาการของตัวเอก – และความรุ่มรวยทางภาษาของคนแต่ง – อีกด้วย) ซึ่งอย่างที่ได้พูดไปในย่อหน้าที่แล้วว่า Stoyan รู้ว่าตัวเองไม่ได้เรียนหนังสือ และมองสิ่งนี้เป็นปมด้อยอย่างหนึ่งของตัวเอง แต่เขาก็เป็นคนที่เฉลียว และก็แก้เป็นผู้ที่แก้ปริศนาให้ Paula ได้หลายครั้ง และก็ต้องขอสารภาพว่าไม่ได้ตกหลุมรักตัวละครมานานมาก แต่ก็เป็นไปแล้วกับการ์ดร่างยักษ์เช่นนี้

ส่วนตัวแล้ว สิ่งหนึ่งที่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้ชอบหนังสือเล่มนี้มากก็คือ ความละเมียดละไมของความสัมพันธ์ระหว่าง Paula และ Stoyan ที่ช่วงแรกเหมือนจะเป็นแค่นายกับบ่าว -ผู้จ้างกับการ์ดที่จ้างมา- แต่เพราะความผูกพันที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ก็ทำให้ทั้งคู่เป็นเพื่อนกัน ถึงขั้นที่ความซื่อสัตย์และมุ่งมั่นของ Stoyan ที่มีให้ Paula ทำให้เขาถูกเรียกว่า watchdog ในสายตาคนนอก ซึ่งก็ต้องบอกว่าส่วนหนึ่งก็เพราะความรู้สึกภายในที่ Stoyan ที่มีต่อ Paula ด้วย และก็เพราะการอยู่เคียงข้าง คอยคุ้มครอง และพยายามทำความเข้าใจนี่เองก็ช่วยให้เจ้าตัวเอาชนะใจเธอได้ ช้า ๆ มั่นคง และสม่ำเสมอ ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า การฝันร้ายในตอนกลางคืน และตื่นขึ้นมากลางดึกของ Paula ในหลายครั้ง รวมไปถึงช่วงที่ผจญภัยไปด้วยกัน ทำให้ทั้งคู่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับอีกฝ่าย ได้ทำความรู้จักสิ่งกันและกัน อย่างที่ข้อผูกมัดของระเบียบและกฏเกณฑ์สังคมไม่สามารถเอื้ออำนวยให้ทั้งคู่ได้ ซึ่งก็อาจจะเป็นอย่างที่มีคนเตือน Paula ไว้ก็ได้ ‘Before she knows it, a young woman can find herself swept into very deep waters.’ (หน้า 144)

เหมือนที่ครั้งหนึ่งอ่าน Pillars of the World ของ Anne Bishop แล้วนางเอกเปรียบผู้ชายสองคนให้เป็นฝนกับพายุ แล้วเลือกคนแรกว่าบอกว่า สายฝนอาจจะดูเอื่อย ๆ ไม่ตื่นเต้นเร้าใจเหมือนพายุ แต่ก็ไม่ทำลาย ช่วยให้ต้นไม้ได้เติบโต ... อะไรสักอย่าง อ่านมานานแล้วจำไม่ได้ แล้วก็รู้สึกว่าไม่ค่อยเกี่ยวกับเคสนี้ด้วย แต่อ่านแล้วนึกถึง เพราะว่าเลือกใคร นางเอกของเราก็คงหาความสุขให้ตัวเองได้พอกัน

ตัวละครอย่าง Duarte ก็มีความลุ่มลึกในแบบของตัวเองไม่แตกต่างกัน ชื่อเสียงความเป็นโจรสลัดไม่ได้มาในด้านบวกเสมอไป และเมื่อเขาเข้าร่วมการประมูล Cebele’s Gift ก็ยิ่งทำให้เขาถูกมองว่าอยู่เป็นตัวการที่อยู่เบื้องหลังอันตรายทั้งหมด ซึ่งภาพที่ผู้เขียนพยายามให้เกิดก็เป็นเช่นนั้นเสียด้วย แต่เมื่อความจริงเริ่มคลี่คลาย และสาเหตุความต้องการนั้นชัดเจนขึ้นก็ทำให้เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อ Duarte ไปได้อย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะเมื่อได้รับโอกาสจาก Other Kingdom ให้เลือกของหนึ่งชิ้น และเขาเป็นคนเดียวที่ไม่ลังเลที่จะเลือกของเพื่อผู้อื่น มากกว่าเพื่อตัวเอง ประโยคเด็ดมากที่แสดงให้เห็นถึงศักิด์ศรีของเจ้าตัวอยู่ที่หน้า 330 ที่บอกว่า ‘I have come not to take, but to give.’

ปกหลังของหนังสือเขียนไว้ว่าเป็น ‘A startling love triangle’ ตอนนี้ก็ลุ้นอยู่ว่าจะเป็นอย่างไร เพราะตอนแรก Duarte ซึ่งเป็นโจรสลัดมากด้วยเสน่ห์ และทำอะไรตามอำเภอใจมีบทบาทในหนังสือก่อน และ Paula ก็ดึงดูดเข้าหาความเชื่อมั่นนั้นด้วย แต่พออ่านไปเรื่อย ๆ ก็ค่อนข้างแน่ใจว่าพระเอกเป็นใคร และความรู้สึกของ Paula ก็ค่อนข้างชัดเจน ซึ่งอันที่จริง ถ้าตัว Duarte จริงจังมากกว่านี้ และทำความรู้จักได้เร็วกว่านี้ก็อาจจะชนะใจ Paula ได้ไม่ยาก โดยเฉพาะเห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่เท่าเทียมกับเธอ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการชาติตระกูล ฐานะ การศึกษา ความรู้ อย่างที่ Paula บอกเองเลยว่า การได้คุยกับ Duarte ทำให้รู้สึกเหมือนได้การโต้เถียงกับเพื่อนในวงวิชาการที่ Other Kingdom ของเธอเป็นครั้งแรก

มีจุดเดียวที่ไม่ชอบในหนังสือ และไม่ชอบเกี่ยวกับ Stoyan ก็คือ หลังแก้ปริศนาสำเร็จ เขาเกิดความไม่มั่นใจขึ้นมาเกี่ยวกับความรู้สึกที่ Paula มีต่อเขา และตัดสินใจที่จะออกหนีออกมา (ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ คือ เมื่อกลับมาที่อิสตันบูลได้สักพักก็หนีหายไปเลย) และกว่าจะกลับมาหาเธอใหม่ก็ผ่านไปจะร่วมปี ซึ่งแม้จะมองว่าสิ่งที่ต้องทำก็เถอะ รู้สึกว่าไร้เหตุผลไปนิด แต่อย่างน้อย ถ้าคิดในแง่ดี ก็ให้ทั้งคู่ได้ไปทบทวนตัวเอง (สำหรับฝ่ายชาย ไปลับตัวเอง และล้มปมในใจ และฝ่ายหญิงให้รู้ใจตัวเองว่ามากกว่าแค่ความใกล้ชิด) ซึ่งก็อาจจะดีก็ได้

ถึงจะบอกว่าเขียนให้เป็น Young Adult แต่เล่มนี้ดูโตกว่าเล่มที่แล้วหรือเปล่าหนอ สรุปให้ว่า a sweet and refined delight!

ปล. สุดท้าย Stoyan สารภาพออกมาว่ารัก Paula ตั้งแต่แรกเห็น ซึ่งคนอ่านก็คิดว่าจะมีพูดต่อ กรี๊ด กรี๊ด เคือง อยากรู้ใจจะขาด

แล้วจะมีเล่มต่อไปไหมคะ เหลือน้องสาวคนเล็กอีกคนให้เล่านะ!!!

เล่มนี้พูดยาวชนะ Wildwood Dancing กับ Od Magic อีก โอ้ ยาวชนิดที่ใช้เวลาเขียนแทบจะพอกับเวลาอ่าน แล้วก็ยังรู้สึกว่าเขียนได้อีก อ่านไปจะ 2 รอบแล้ว!!

นอกเรื่อง
เคยอ่านที่ คุณแม็กซ์ แห่ง Mostly Romance เขียนไว้ว่าพระเอกเป็นหมาป่าก็น่ารักดี แต่มันไม่เท่ ไม่หล่อเร้าใจเหมือนตอนเป็นคน สิ่งนี้ก็อาจจะจริงสำหรับ Wildwood Dancing ก็ได้ ถึงแม้ Gogu จะเป็นกบแสนดี รู้เรื่อง เข้าใจก็ตาม แต่ก็เป็นแค่กบอยู่ดี กว่าจะกลายร่างเป็นคนก็ตอนจบเล่ม นอกจากจะรู้สึกแปลกหน้าไม่ผูกพันแล้ว ยังรู้สึกว่าขาดตัวละครที่ควรจะมีอีกแล้ว และดังนั้น การให้ Stoyan มีบทบาทตั้งแต่แรก ๆ เป็นสิ่งที่ถูกต้องอย่างยิ่ง :D :D

เพ้อเจ้อ!!
(สปอยล์แหลก - 170209)

The Book itself!
ต้องสารภาพว่าอ่านเต็ม ๆ แบบหน้าแรกยันหน้าสุดท้าย 2 รอบ และมีครั้งที่พลิกอ่านไปอ่านมาเฉพาะตอนที่ชอบอีกก็เป็นหลายสิบ ก็กลับมาว่าแนว Rich fantasy แบบนี่อ่านเอาเรื่องอ่านเอาความแบบ Urban Fantasy ไม่ได้จริง ๆ ไม่ใช่แค่ว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน commit murder and solve crime ไม่พอ แต่ต้องเป็น ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร เช่นไร เพราะเหตุใด และไอ้อย่างไร เช่นไรนี่ก็มีบทบาทสูงเสียด้วย จะไปอ่านเอาความตามเนื้อก็ได้ ต้องดูความหมายของประโยคแล้วดูใจความที่ซ่อนอยู่ข้างใน และความหมายแฝงอย่างหนัก หนังสือรายละเอียดเยอะ ขึ้นขั้นที่คนอ่านละเอียดอย่างอีฉันเสียความเชื่อมั่นทุกครั้งที่อ่านใหม่และเจอสิ่งที่ครั้งแรกไม่ได้สังเกตหรือไม่ได้เห็น แค่ 50 หน้าแรกก็ดูดเข้าสมองไม่ทันแล้ว รายละเอียดเยอะ ยิ่งบวกกับการตีความอีก symbolism แรงทั้งหนังสือทั้งคนอ่าน ตีความไปเหมือนจะเป็นบ้า โอ กู เอากระดาษมาจดโน้ต จดไอเดียยิ่งกว่าตอนเรียนโท แล้วก็อ่านไปยิ้มไปคนเดียว กรี๊ดไปคนเดียว พฤติกรรมเหมือนบ้า boyband ไม่ได้เกิดขึ้นมาร่วมสิบปีแล้ว กรี๊ด

กำลังสงสัยว่า ถ้า YA ยังขนาดนี้ ต้องไปจิกหา Sevenwaters มาอ่านจะดีไหมคะ? แล้วจะมีเล่มต่อไหม กรี๊ดด ถึงได้ชอบ UF อย่างนึงที่มีให้อ่านไปเรื่อย ๆ กรี๊ดดดด แล้วเมื่อไหร่จะได้กลับไป Other Kingdom ไม่มีโอกาสเลยเหรอคะ เล่มนี้อุตส่าห์มีหวัง

Gender Matters?
ทั้งที่พูดว่าไม่รู้สึกถึงประเด็น gender มากนี่ แต่ในเรื่อง และในสังคมสิ่งที่แรงนะ อย่างที่ Paula รู้สึก frustrated ที่ไปซื้อของคนเดียวไม่ได้ เพราะพ่อค้าไม่ยอมขายให้ หรือมิฉะนั้นโก่งราคา ไม่ลดให้เพราะเห็นว่าเป็นผู้หญิง หรืออย่างที่ชัดมากก็คือ ตัว Irene of Volos ที่เป็นผู้หญิงที่เก่ง ฉลาด มีอำนาจ ซึ่งอันที่จริง ถ้าเธอเป็นผู้ชายก็คงได้เป็นใหญ่เป็นโตไปแล้ว อย่างที่มันอาจมาเป็นในรูปที่ เธอวางตัวเองเป็นเจ้าลัทธิ Cebele ในอิสตันบูล และให้คนอื่น ๆ มาบูชาเทิดทูนเธอ และก็รู้สึกสะใจที่ทำให้ Imam ในเมืองปั่นป่วนกันกระแสนอกรีตนอกศาสนา ความเบี่ยงเบนที่ต้องการอำนาจและต้องการต่อกร/ แสดงออกบางอย่างนี่ชัดมาก

Irene of Volos
Irene กับ Paula - จริง ๆ แม้เธอจะหักหลังและใช้ความเชื่อใจของ Paula ให้เป็นประโยชน์กับตัวเธอ และแม้จะสั่งฆ่าคนอย่างเลือดเย็น แต่บางครั้งก็เหมือนว่า Irene จะเอ็นดูและถูกใจ Paula จริง ๆ จากความรู้และความเฉลียวฉลาดที่มี สังเกตได้ว่าเธอพยายามเกลี้ยกล่อมให้มาเป็นพวกหลายครั้ง และเป็นคนเดียวที่ไม่สั่งให้ฆ่า

Irene กับ Stoyan และ Duarte - ซึ่งก็คงรวมไปถึงความเกลียด Stoyan และ Duarte อย่างจับใจด้วยกระมัง เพราะการที่บูชาปัญญาและความรู้ ทำให้รู้สึกว่าการ์ดตัวโตอย่าง Stoyan ใช้แต่กำปั้นมากกว่าสมอง ยิ่งเธอมองว่าความสนิทสนมที่ Paula มีต่อ Stoyan เป็นสิ่งไม่คู่ควรก็ยิ่งเลวร้ายไปอีก ถึงขั้นสั่งฆ่าเป็นคนแรกทุกครั้งที่ทำได้ กับคนหลัง ไม่ชัดมาก แต่ก็คงไม่ต่างกัน ความเกลียดผู้ชาย เพราะสาเหตุที่ว่าตัวเองเป็นอย่างนั้นไม่ได้ อิจฉาที่ผู้ชายมีอำนาจได้มากกว่าผู้หญิง และผู้ชายกำหนดบทบาทในสังคมให้ผู้หญิงเป็นได้แต่เมียและแม่ ซึ่งประเด็นหลังเห็นได้ชัดมากในเคส Stoyan และ Duarte ที่เธอมองว่าจะดึงฉุด Paula จากศักยภาพและความเป็นไปได้ของเธอ

Irene กับ Murat - เกือบคิดว่าเธอมีแนวโน้มเลสเบี้ยนซะแล้ว .... อย่างไรก็ตาม ตอนที่ Stoyan ฆ่า Murat แล้วเธอยอมตายอยู่ด้วยกันในถ้ำมากกว่าจะหนีออกมา และยอมทิ้งสิ่งที่ติดตามมาอย่าง Celebe’s Gift นี่มันชัดมากเลยนะ บททดสอบของ Paula Stoyan และ Duarte ส่วนหนึ่งก็เพื่อทดสอบความเชื่อใจ แต่ Irene มีมาให้ Murat มาตลอด ถึงขั้นที่เธอเชื่อมั่นในตัวเขาว่าจะไม่มีทางพ่ายแพ้หรือผิดพลาดถ้าเธอสั่งให้เขาทำอะไร และแววตาที่ Murat มอง Irene ก็เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เจ้าตัวดูไม่เย็นชานะ Love it has so many beautiful faces. อย่างที่ Gary Barlow ร้องไว้จริง ๆ

Irene กับ Pero - แอบเคืองที่ Pero ตาย แถมตายแบบหาศพไม่เจอด้วย มองว่ามันการเน้นของคนเขียนให้เห็นความโหดร้ายเลือดเย็นของ Irene มากกว่าอย่างอื่น ไม่ให้ตายก็ได้ แต่ถ้าฆ่าแค่การ์ดก็คงมองว่าไม่มี impact ในใจคนอ่านอย่างอีฉันพอ

Those damn tests and trials
เล่มที่แล้วดูมีผลกับส่วนร่วมมากกว่านะคะ เล่มนี้เหมือนเป็น สำหรับ lovers to be อย่าง Paula กับ Stoyan

Paula กับ Stoyan
ความลัมพันธ์ระหว่าง Paula กับ Stoyan อยู่บนพื้นฐานความเป็นเพื่อน และพัฒนาไปจนเป็นความรัก (เหมือนปัญหาไก่กับไข่ เวลาพูดถึง Platonic love ระหว่างความเป็นเพื่อนของคนต่างเพศ ??) ไม่ว่าจะเป็นเพราะรู้สึกตัวช้า หรืออยู่ในสถานะ in denial ก็ตาม (ในแง่นี้ Stoyan หัวไวกว่าเยอะ ฉลาดไม่ต้องเรียนจริง ๆ) แต่ก็นั่นแหละ สำหรับผู้หญิงอย่าง Paula ที่ฉลาด และระวังตัว ความรักที่ดีที่สุดสำหรับเธอก็คือการเริ่มต้นมาจากเพื่อน และพัฒนาไปบนพื้นฐานความเชื่อใจไว้ใจ มีอยู่ตอนหนึ่งที่ Paula คิดว่า ’... it came to me that this would be like discovering a new book, a compelling one full of surprises, and then, just when I was becoming absorbed in the story, having it snatched away half-read.’ (หน้า 140) ไม่ว่าจะเป็นในฐานะเพื่อนหรือที่จะตามมาก็ตามที แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความสนใจที่มีต่อชายหนุ่ม

และถ้ามองว่า Stoyan ไม่เหมาะสม ไม่คู่ควร และแตกต่างจาก Paula ก็แปลกดีที่มีปริศนาที่ใบ้คำตอบให้เธอก่อนแล้วว่า Water and stone. Flesh and bone. Night and morn. Rose and torn. Tree and wind. Heart and mind. (หน้า 328 และ 373) ที่ใบ้เป็นนัยให้รู้ว่า ไม่ต้องเหมือนกันก็ได้ เพราะทุกอย่างมีความหมายในตัวเอง และของที่แตกต่างกัน ตรงข้ามกัน ก็ช่วยส่งเสริมกันได้

ที่เขียนไปว่าปัญญาพาจนสำหรับ Paula อยู่หลายครั้ง ก็รวมถึงครั้งที่จะสารภาพรักและดันไปเริ่มว่าไม่เหมาะสมกันอย่างโน้นอย่างนี้ เพื่อจะบอกว่า ยังไงก็ไม่อยากจากกัน ไม่อยากอยู่ด้วยกัน ไม่ได้ผลจริง ๆ เพราะเจ้าหนุ่มก็ฟังจนสลดไปแล้ว บทของ scholarship แรงกว่า wisdom นะ ความรักไม่ต้องใช้เหตุผลก็ได้นะคะ ... แล้วพอเจอกันอีกครั้งก็ขำมาก ที่เธอเห็นลูกหมาวิ่งเข้าไปหา Stoyan แล้วคิดในใจว่า หมาคิดถูก คำพูดที่ดีที่สุดสำหรับเวลาอย่างนี้ก็คือไม่พูดเลย ก่อนจะวิ่งเข้าไปหา แล้วก็ถูกจริง ๆ เพราะทำให้ชายหนุ่มเห็นว่าคิดยังไงโดยไม่ต้องใช้คำตอบ (ซึ่งอาจจะเกิดหรือไม่เกิดความเข้าใจผิดก็ได้)

อ้อ ต้องชมด้วย ตรงที่ Irene สั่งยิง Stoyan แล้ว Paula วิ่งมาเอา Cebele’s Gift จากกระเป๋า Duarte ขู่จะโยนทิ้งถ้าจะฆ่าใครในกลุ่มไปเนี่ยขำมาก เพราะว่าคุณเธอบลัฟแหลกชนิดที่หยิบอะไรก็ไม่รู้มา (อยู่นาทีชี้เป็นชี้ตาย) แล้วบอก Stoyan ที่อึ้งภายหลังว่า สิ่งที่คนเชื่อว่าเป็นนั่นแหละสำคัญ .. เธอทำแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่งที่เอาน้ำเปล่าผสมน้ำพุวิเศษเล่มที่แล้วนะ

ปล. ขอโทษที่นึกถึงเวลาสองคนนี้นั่งคุยกันกลางดึกแล้วคิดถึง คุณหญิงดารินกับตาพรานรพินทร์มาเป็นระยะ ๆ (เกลียดรพินทร์ ชอบ Stoyan)

Stoyan
ได้รับมอบหมายให้พิชิตบททดสอบที่เกี่ยวกับ courage, steadfastness, openness โดยที่บอกว่าสำหรับแต่ละข้อ จะมีรางวัลตามมา สำหรับแต่ละข้อ และสิ่งที่ได้รับ เกี่ยวไหมว่าเป็นลำดับตามกัน และ openness ก็คือตัว Paula เองหรือไม่ หรือว่าทุกข้อโยงใยกันหมด เพราะแง่หนึ่งสิ่งที่ทำให้ Paula เชื่อมั่นและไว้ใจ Stoyan มากก็คือ ใจที่เปิดกว้างรับฟัง และเชื่อเกี่ยวกับ Other Kingdom ซึ่งเป็นสิ่งที่ Duarte ทำไม่ได้หรือไหมหนอ (แต่นะ steadfastness ก็มีผลอย่างยิ่งด้วย)

คืนแรกที่ Stoyan กับ Paula คุยกัน Stoyan บอกว่ามีความฝันจะทำฟาร์มเลี้ยงหมาเลี้ยงแกะบูลกาเรี่ยน (bugarski goran – Stoyan เป็นคนบูลกาเรี่ยน) ซึ่งมีลักษณะเด่นที่ตัวโต แข็งแรง กล้าหาญ และซื่อสัตย์ แล้วอีฉันก็ลืมประเด็นนี้ไปจนหลัง ๆ ที่มีคนเรียก Stoyan ว่า watchdog/ guarddog ทั้งที่ลักษณะเด่นของเจ้าหมานี่ก็สะท้อนตัวการ์ดร่างยักษ์ได้อย่างดี (รวมไปถึงตอนที่ทำเควสหาสัตว์ในถ้ำ แล้วเจ้าตัวได้หมา ส่วน Murat ได้แมวมาด้วย) เอานะ ถ้าจะเป็นหมา ก็เป็น Hot dog! นะคะ :D

ดูว่า Stoyan ไม่ค่อยพูดมาก เป็น A man of few words. (พูดตามการเล่าเรื่องของ Paula) ดู impassive แต่ก็ไม่ได้ความว่าต้อง impassive จริง ๆ เพราะอย่างที่บอกว่าเจ้าตัวเหมือนหมา อารมณ์ก็จะแรงและแสดงออกชัดด้วย โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับ Paula เป็นเรื่องทุกที ขำตอนที่พอบอกให้เลือกทีมที่เชื่อใจกันที่สุด (จับคู่อันที่จริง) แล้วพอ Paula บอกว่าต้องเป็นเธอกับ Stoyan แล้วเธอหน้าแดง แล้วก็พึมพำตอนสำเร็จว่า You chose the right team. ที่อีป้าต่อยอดไปเองว่าว่าเท่ากับ You chose me.

เสน่ห์ที่ชอบที่สุดก็คือ protective (แม้ว่าจะ over-protective ไปหลายครั้ง) แล้วตรงที่รู้สึกว่าน่ารักที่สุด ก็คือตอนที่ Paula ไม่กล้ากลับไปนอนหลังฝันร้าย แล้วบอกว่า ‘I will be here, just by the outer doorway. I will place the light where you can see from your pallet. Your dreams will be good ones now. I know it.” (หน้า 139) คือที่พูด ๆ มาก็อธิบายลักษณะบุคลิกได้ดีหรอกนะ แต่ตรง I know it. เนี่ย ถูกใจเกินล้านน!

Duarte
จริง ๆ ก็เป็นตัวละครที่น่ารักอีกตัวนะ แล้วก็เป็นเหตุที่ไม่ชอบรักสามเศร้าด้วย สามเส้าสิ เพราะไม่ชอบเวลาที่มีใครต้องผิดหวัง บทบาทของ Duarte เกือบจะเป็นมือที่สามมากกว่าจะเป็นมุมที่สาม (ของสามเส้า) เพราะแทรกเข้ามาทีไร “คู่รักจะเป็น”ของฉันก็เกิดเรื่องระหองระแหงขึ้นมาทุกที ถ้าเป็น IAD ไม่ต้องคิดเลย โจรสลัดโปรตุกีสของฉันเป็นพระเอกเล่มหน้าแน่

บทเรียนที่ Duarte บอกว่าได้รับมา ก็คือ ความเชื่อใจ ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าหมายถึงกับ Paula ในทางส่วนตัวหรือเปล่า ถ้าถามส่วนตัว Duarte บอก Paula อยู่เสมอว่าอย่าตัดสินคนที่ภายนอกหรือจากคนอื่นบอก แต่ก็เหมือนว่าเขาก็ทำเช่นนั้นกับ Paula ด้วยเหมือนกัน ยิ่งเมื่อมีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวก็ยิ่งทำให้เขาระแวงเมื่อคิดว่า Paula เป็นลูกสาวของคู่แข่งคนที่มีสิทธิแย่ง Cebele’s Gift ไปจากเขา และกว่าจะไว้ใจและมอง Paula อย่างที่เป็นก็คือตอนที่อยู่เขาไปแล้ว (ตลกที่ถูกใจว่าเธอเดินเขาปีนเขาได้ ไม่เป็นตัวถ่วง และกล้าที่ข้ามหน้าผา) ... ซึ่งจริง ๆ Duarte อาจจะถูกใจ Paula มาเป็นระยะก่อนหน้านั้นก็ได้ แต่เพราะมีหนี้เกียรติยศที่ต้องคืนให้ Cebele’s Gift อยู่ก็เลยไม่อาจทำตามใจได้เต็มที่

มีคำพูดของ Duarte ที่ชอบอยู่สองตอน คือ พูดถึง Cebele’s Gift ว่า ‘I stand by my comment … Whatever value a merchant may place on this particular piece, it cannot be treated in the same way as silk carpet or a piece of fine silverware. This is a symbol of genuine belief. And faith can not be bought and sold. (หน้า 164) ตอนที่เหล่าพ่อค้าแลกเปลี่ยนความเห็นกันเรื่อง

กับตอนที่ขอ Paula แต่งงาน .. ซึ่งอย่างที่บอกไปว่า Duarte เริ่มมอง Paula จริงจังตอนที่อยู่บนเขา และคิดต่อไประหว่างล่องเรือกลับมา ซึ่งก่อนจะเจอเธอ ก็ไม่เคยคิดเรื่องแต่งงานเลย (จริง ๆ ตรงนี้ดูเป็นพล็อตโรแมนซ์ย้อนยุคโจรสลัด/ขุนนางนะ) ชอบคำขอแต่งงาน (ซึ่งน่ารักกว่าของ Stoyan เยอะ!) ‘…I found it difficult to say farewell to you, down at the docks. Then it came to me – I thought, Perhaps I need not to do this. Why would we not go forward together, side by side, companions in an even greater adventure? I believe we would continue to surprise and delight each other and add spice and sweetness to each other’s life.’ (sohk 370) อยากจะแบ่งร่าง Paula ได้ และให้ไปคนละหนึ่ง Paula จริง ๆ

Tati – that sister is back!
โอ๊ยย พูดแล้วอารมณ์ขึ้น คือเป็นตัวละครที่ไม่ชอบมาตั้งแต่เล่มที่แล้ว ไม่ชอบแบบไม่ชอบมาก ๆ แล้วเล่มนี้ก็ยังไม่ชอบต่อไป ไอ้ที่บอกว่าเป็น the pretty one ฉันอยากจะบอกว่าเป็น the brainless one จะถูกกว่า เล่มที่แล้วก็คร่ำครวญจะหาผู้ชาย เล่มนี้ก็บ่นคิดถึงครอบครัว แล้วตอนที่ทำเควสได้จากความช่วยเหลือของน้องและเพื่อน ๆ แทนที่จะทักน้องก่อน ดันไปปลื้มดีใจกับสัตว์เลี้ยงของตัวเองที่ Duarte เจอระหว่างทางอยู่นานโคตร ก่อนจะทักน้องอยู่ 2 ประโยค แม่ง แม่ง แม่ง อีบ้า

ปล. โอย เหนื่อยมาก เหนื่อย ว่าจะเขียน Iron Hunt พอแล้วดีกว่า โอย เหนื่อยๆๆๆ

อีกนิด 190209
กับสงสาร Duarte แค่จะเอาเครื่องรางมาคืน ต้องบุกป่าฝ่าดงไม่พอ เพื่อนก็ยังต้องมาตายอีก เป็นตัวเองคงเซ็งนะ แค่หจะเอาของมาคืนแท้ ๆ ทำความดีทำยากแล้วก็เหนื่อยจริง ๆ กับอีชาวบ้านบ้า เหนื่อยเลือดสาดยังให้มาเต้น ๆ ฉลองอยู่ได้แล้วก็นะ นะคะ บอกไว้แล้ว ทำนายไว้แล้ว ถ้าคนนอกไม่เอามาคืน ไม่คิดจะออกไปตาล่าหาเองเลยใช่ไหม

แล้วก็คิดจริง ๆ ว่าถ้า Stoyan กลับมาแบบนี้ เป็นนางเอก UF ถูกเตะไม่ก็ชกไปแล้ว แล้วคนที่ขอโทษก็คือ Paula นะเนี่ย

ปกหลังเวอร์ชั่นอื่นจาก amazon
"Bewitching despite flaws, this companion to Wildwood Dancing (2007) picks up six years later. Younger sister Paula, who debated philosophy in the Other Kingdom while her sisters danced, now assists Father on a trade journey to Istanbul. They seek Cybele's Gift, an ancient pagan artifact so threatening to the Muslim political powers that all inquiries must be covert. Personal guard Stoyan sleeps protectively across their doorway and escorts Paula to the lone library open to female scholars in this restrictive city. A shock at the artifact's unveiling leads Paula, Stoyan and condescendingly flirtatious pirate Duarte on a journey underneath a mountain, fulfilling quest tasks set by the Other Kingdom. Such challenges supposedly give mortals "wiser hearts," but these riddles and tests have tepid answers. The story takes too long to find momentum, and Marillier troublingly casts both feminism and Islam in a bad light, heavily exoticizing Istanbul. However, despite these weaknesses, genuine emotion and Paula's alluring love story create a memorable page-turner. (Romanian glossary, not seen) (Fantasy. 11-14) (Kirkus Reviews) --This text refers to an out of print or unavailable edition of this title. "

Friday, 13 February 2009

The Devil Inside by Jenna Black (n)

ถึงจะชอบ Urban Fantasy ก็เถอะ แต่ช่วงนี้รู้สึกหลอนเจอ werewolf กับ vampire ตลอดเวลาไปหน่อย พอเจอ The Devil Inside ที่เป็นเกี่ยวกับการไล่ผี ปราบปีศาจ ก็เลยหยิบมาอ่าน แล้วตัดสินใจซื้อหลังอ่านไปสักพัก



ชนิด : Urban Fantasy/ Exorcism/ Demon
ชุด : Morgan Kingsley, Exorcist, Book 1
สำนักพิมพ์ : Spectra (November 27, 2007)
จำนวนหน้า : 336หน้า

เปิดเรื่องที่ Morgan สาวซ่านักไล่ปีศาจได้รับมอบหลายให้ไล่ปีศาจที่สิงอยู่ในตัวเด็กน้อยอายุสิบเอ็ดขวบออกไป แต่ความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นทำให้เธอเพลี่ยงพล้ำต่อโอกาสที่เปิดช่องให้ปีศาจนั้นเข้ามาในตัวเธอได้

อย่างไรก็ตาม Morgan พบกระดาษโน้ตข้อความแปลก ๆ ที่เขียนด้วยลายมือของเธอเองหลังจากตื่นนอนหลายครั้งที่ปะติดปะต่อได้ว่า เธอปลอดภัยจากปีศาจ ก็เพราะเธอมีปีศาจสิงอยู่แล้ว ระหว่างนั้นเอง เหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งครั้งสุดท้ายที่ไฟไหม้ และเธอหนีมาได้จากความช่วยเหลือของ Lugh ปีศาจที่อ้างว่าเป็นผู้ที่อยู่กับเธอเพราะการเชื้อเชิญเฉพาะเจาะจงให้มาสู่ร่างของเธอ และเป็นผู้ที่ติดต่อเธอในความฝันเพื่อทั้งสนทนาและเตือนภัยอยู่เสมอ

เมื่อไม่มีที่ที่ปลอดภัย Morgan ต้องหันไปขอความช่วยเหลือจาก Adam ตำรวจหัวหน้าหน่วยปราบปีศาจที่มีปีศาจสิงอยู่ในตัว ซึ่งช่วยเธอก็เพราะความสำคัญของ Lugh เอง เธออาจจะหลบซ่อนตัวไปได้เรื่อย ๆ แต่ทว่า Raphael ปีศาจที่อาศัยอยู่ในตัวพี่ชายของเธอจับตัว Brain แฟนหนุ่มของเธอไป และเธอไม่มีทางเลือกนอกจากกระโจนลงไปสู่กับดักครั้งนี้

เอ้อ ย่อได้แปลกประหลาดอีกแล้ว ก็นั่นแหละ ตามประสา Urban Fantasy นางเอกของเราจะต้องแรง แกร่ง กร้าว เก่ง ... นับตั้งแต่วิธีการแต่งตัว วิธีคิด และหนทางการแก้ปัญหา แต่อย่างไรก็ตาม รู้สึกถึงด้านนี้ของตัวเอกในช่วงแรก ๆ (ที่เน้นว่าแรก ๆ อย่างมาก) เท่านั้น เพราะตั้งแต่เธอต้องไปขอความช่วยเหลือจาก Adam ก็เหมือนว่า เธอไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากลงมือทำก่อนคิด และเมื่อคิดได้ ก็ต้องมานั่งเสียใจทีหลัง ตั้งแต่ปากพาจน การพาตัวเข้ามุมอับ ซึ่งรวมไปถึงลากคนอื่นลงแหไปด้วย ฯลฯ ซึ่งแรก ๆ อ่านก็ไม่รู้สึกอะไรมาก จนกระทั่งหลัง ๆ ที่รำคาญมากขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่าถ้าไม่มี Adam ไม่ได้ความช่วยเหลือจาก Lugh หรือแม้กระทั่ง Dominic ซึ่งเป็นคู่ขาของ Adam เธอก็คงตายแล้วเกิดใหม่ไปหลายครั้งแล้ว – ซึ่งก็ต้องบอกว่านี่เป็นครั้งแรกที่อ่าน Urban Fantasy แล้วเจอนางเอกแบบนี้นะเนี่ย อย่างน้อย ไม่วางแผนไม่คิดก่อนทำก็ได้ ไม่สามารถสู้กับชะตากรรม หรือเหตุการณ์ตรงหน้าก็ได้ (ไม่งั้นจะมีตัวช่วยหรือพระเอกไว้ทำไม) แต่ก็ควรจะเอาตัวรอดให้ได้ด้วยตัวเองได้บ้าง

อีกอย่างหนึ่งที่เกี่ยวโยงกัน ก็คือทัศคติของตัวเอก เพราะเธอไม่ชอบปีศาจ (Demon) โดยเฉพาะเมื่อพี่ชายที่รักของเธอกลายเป็นร่างให้ปีศาจ ก็ยิ่งทำให้เธอเกลียดปีศาจมากขึ้นไปอีก และนั่นก็มีผลถึงทัศนคติการมองโลกและตัดสินเหตุการณ์ ตัดสินปัญหาของเธอด้วย อย่างที่บอกว่า Hatred blinds. เธอดื้อด้านจนน่ารำคาญ และก็เกลียดอย่างไม่มีเหตุผล เมื่อบวกกับส่วนแรกที่พูดไปก็ผสานเป็นโง่และรั้นเข้าไปอีก (ขณะเดียวกัน หลังจากนั้นอ่าน The Iron Hunt ของ Marjorie M. Liu ตัวเอกเกลียดปีศาจเหมือนกัน กำจัดปีศาจเหมือนกัน (แม้ในระดับที่ต่างกัน) แต่ก็ยังดูรู้คิดมากกว่าเยอะ) อย่างที่อ่านในเรื่องหลายครั้งพยายามเขียนให้ตัวเอกแรงตามแนว Urban Fantasy แต่ภาพที่ออกมากลับทำให้ดูหยาบและกระด้าง และวีนไร้เหตุผล อย่างเช่นหน้าไหนสักอย่างที่เธอบอกว่า I’m a queen of denial. So sue me. ซึ่งก็รวมถึงภาษาที่ใช้บรรยายเพื่อสร้างภาพให้เธอแกร่งกร้าว แต่ออกมาดูหยาบและไร้รสนิยมในสายตาคนอ่านเรื่องมากด้วย – ขอย้ำอีกครั้งว่า นางเอกแนวนี้แกร่งก็จริง แต่มีวิธีให้ดู “แรง แกร่ง กร้าว เก่ง” มากกว่าทัศนคติวีนแตก และภาษาไร้รสนิยมเยอะ

เออหนอ ก็ไม่คิดว่าจะด่าเยอะขนาดนี้ เป็นเล่มแรกที่เขียนวิจารณ์และกลายเป็นสับแหลก ขอแสดงความยินดี อย่างไรก็ดี ค้นพบสิ่งที่แปลกประหลาดที่ไม่ค่อยได้พบเจอในหนังสือ Urban Fantasy ที่ผู้หญิงเขียนและผู้หญิงเป็นใหญ่ในเรื่องก็คือ ความสัมพันธ์แบบ homosexual ระหว่าง Adam กับ Dominic ซึ่งมีเรื่องของ S&M เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งแปลกจริงก็จริงอยู่ แต่ก็สงสัยว่าใส่เข้ามาทำไม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมี Morgan เข้ามาเกี่ยวข้องรับรู้ และมีมากกว่าครั้งหนึ่งที่เธอรู้สึกตามไปด้วย ….. รวมไปถึงฉากรักระหว่างเธอและ Brain และหลายครั้งที่เธอหวั่นไหวไปกับตัวละครอย่าง Lugh ซึ่งก็อ่านแล้วหงุดหงิด เพราะบรรยายตัวละครหนุ่ม บรรยายฉากรักได้เป็น cheap romance มาก จะเป็น paranormal romance หรือจะเป็น Urban Fantasy ก็ว่ากันไป

อย่างน้อยก็ดีอยู่อย่างที่ตอนจบมีพลิกพล็อต ... ซึ่งดีอยู่อย่างก็ไม่ได้หมายความว่าดีจริง เพราะคนอ่านอย่างฉันก็เดาเรื่องได้อีกแล้ว (อย่างที่ทำมาหลายครั้งในเล่ม ... แต่นังตัวเอกก็ยังไม่รู้อยู่ดี) แต่ก็ขอบอกว่า Morgan ก็ไม่ได้ทำอะไรเท่าไหร่อีกตามเคย ขอสรุปการเป็นตัวเอกของเธอว่า Such a cheap heroine! อย่างอื่นดียกเว้นตัวเอกจริง ๆ

ดีใจที่ไม่ได้บ้าเอามาทั้งเซ็ท - เกือบไปแล้ววว!!

ปล. ปากคอแบบนี้ก็เรียกได้ว่า Devil Inside เหมือนกันกระมังคะ??

Thursday, 5 February 2009

Undone by Rachel Caine (n)

อืม แรงจูงใจในการซื้อพูดไว้แล้วในส่วนเพิ่มเติมของ Ill Wind นั่นก็คือ “มีชุดต่อมา จาก Weather Warden .... ได้อ่านบทล่อหลอกให้เสียเงิน (หรือเรียกว่า excerpt ก็ได้) ของ Undone แล้ว ในเวบ Rachel Caine ก็ไม่ต้องสงสัยว่า มะรืนนี้หนังสือออกแล้ว อีฉันก็พุ่งตัวไปซื้อทันทีแน่ ๆ .... “ ซึ่งก็เป็นไปตามนั้น โทรไปหาร้านหนังสือ จิกอยู่สองวัน แล้วก็ออกไปเอาหนังสือมา ซึ่งถ้าไม่โทรไปล็อคไว้ก่อน ไม่ได้แน่ ๆ (สั่งมากี่เล่มคะ ทำไมได้เล่มสุดท้ายที่เอ็มมาพอดี เกือบแล้วว)



ชนิด : Urban Fantasy/ Paranormal
ชุด : Outcast Season เล่ม 1
สำนักพิมพ์ : Roc (February 3, 2009)
จำนวนหน้า : 305 หน้า (*แต่เขียนไว้ใน Amazon ว่า 320 หน้า – เล่มนี้บางมาก อ่านไม่จุใจเลย!!)

เนื้อหาใน Undone เริ่มต้นเมื่อ Cassiel ปฎิเสธคำสั่งของผู้นำกลุ่ม และถูกตัดขาดจากอำนาจที่เธอมีให้กลายมาเป็นมนุษย์ เมื่อไม่สามารถเข้าถึงพลังเดิมได้ บทลงโทษนี้คล้ายจะเป็นโทษประหารชีวิต หากแต่เธอได้ค้นพบว่า เธอสามารถดำรงชีวิตอยู่ต่อไปได้ โดยอาศัยพลังที่ได้รับผ่านทาง Weather Warden

และดังนั้น Cassiel จึงตกลงกับ Manny ที่จะช่วยงานของ Weather Warden โดยได้รับพลังของเขาเป็นค่าตอบแทน แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย การสุงสิงหรืออยู่ร่วมกับมนุษย์ผิดพ้นวิสัย Djinn ฝ่ายเก่าอย่างเธอ และนั่นก็ทำให้เธอต้องทำใจยอมรับการกลายมาเป็นมนุษย์ให้ได้เป็นอันดับแรก นอกเหนือไปจากการเรียนรู้และเข้าใจกับความเป็นมนุษย์ ทั้งในเรื่องสภาพความเป็นอยู่ และสภาพจิตใจ

อย่างไรก็ตาม เรื่องสลับซับซ้อนยิ่งขึ้น เมื่อมีเหตุร้ายเกิดรอบตัว ๆ เธอและ Manny อย่างต่อเนื่อง และเมื่อ Luis น้องชายของ Manny ก้าวเข้ามา Cassiel ก็พบว่า เธอต้องจัดการกับปัญหาที่เกิด พร้อมไปกับรับมือแรงดึงดูดใจที่ Luis มีต่อเธอ

Undone เป็นหนังสือชุด Outcast Season ที่ใช้โลกชุดเดียวกับ Weather Warden ของคนเขียนคนเดียวกัน (Rachel Caine) โดยที่ใน WW จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ – และเล่าผ่าน สายตาของ –Weather Warden อย่าง Joanne หากแต่ใน OS จะทำผ่าน Cassiel ซึ่งเป็น Djinn (being อย่างหนึ่งที่ไม่มีรูปร่าง เป็นรูปแบบพลังที่มีอำนาจมหาศาลของไฟและอากาศ) ในแง่หนึ่ง Weather Warden และ Djinn เหมือนเป็นเหรียญคนละด้าน บทบาทของ Djinn ในชุด WW มีอยู่มหาศาล ทั้งในแง่การเป็นปัจจัย และในแง่การเป็นตัวแปรให้เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ และดังนั้น การได้เห็น Djinn ผ่านมุมมองของตัวเองที่ไม่ใช่ผ่าน Weather Warden ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับชุด Outcast Season

สิ่งหนึ่งที่ทำให้หนังสือชุดนี้น่าติดตามก็คือ บุคลิกของตัวเอก ในหมู่เหล่า Djinn ตัว Cassiel เองก็ยังถูกมองว่า เย็นชา หยิ่งผยอง รับมือยาก และเมื่อลงมาเป็นมนุษย์ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าบุคลิกเหล่านี้จะติดตัวเธอมาด้วย ซึ่งเพราะไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เธอก็จะเชิดหน้ายอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้ เมื่อบวกกับความที่เคยเป็น Djinn ทำได้ทุกอย่าง เชื่อมั่นในตัวเอง และสิ่งที่ตัวเองทำได้ และน่าจะทำได้ สิ่งนี้ก็มีผลกับทัศนคติของเธอที่จะหาทางออกและหาทางไปอยู่เสมอ

นอกจากนี้ แม้เธอจะเริ่มเรียนรู้ความเป็นมนุษย์มากขึ้น เริ่มเข้าใจอารมณ์ และเกิดความสงสาร ความปรานีเหมือนมนุษย์ แต่เนื้อแท้ของเธอก็ยังเป็น Djinn อยู่ดี และนั่นก็ทำให้เธอกล้าที่จะดำเนินการในลักษณะตาต่อตาฟันต่อฟัน โดยปราศจากความลังเลใด ๆ และทำในสิ่งที่เธอคิดว่าดีที่สุด ... เมื่อเทียบกับตัวละครในหมวด Urban Fantasy ทัศนคติ I-can หรือ kiss-ass เหมือนจะเป็นเรื่องปกติ แต่ก็ยังทำให้เธอโดดเด่นอย่างมากอยู่ดี อย่างน้อยที่สุด ในการเปรียบเทียบกับตัวละครในโลกเดียวกันอย่าง Joanne เธอก็ยังดูสุดโต่ง (ในแง่บวกที่มีผลให้คนอ่านชอบเธอ) ได้อยู่ดี (โดยเฉพาะเมื่อ Cassiel ก็มีด้านอ่อนโยนให้เห็น และทำมาจากเนื้อแท้ในใจเธอ โดยไม่ต้องให้มาตราฐานทางศีลธรรม หรือความถูกต้องจากสังคมมาเป็นตัววัด ซึ่งก็ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่เป็นหลายครั้ง ตลอดเรื่อง แม้แต่ในช่วงต้น ๆ ของการเป็นมนุษย์ของเธอ)

มีบทสนทนาหลายตอนที่สะท้อนบุคลิกของตัวเอกได้อย่างดี อย่างตอนที่ Lewis บอกว่าจะให้ Cassiel จับคู่ทำงานกับ Manny เพื่อแลกเปลี่ยนกับพลัง และเธอบอกปัดในทันใด โดยบอกว่า "No," I said, and saw a flash of surprise go across every face in the room. "Not so simple as that. The Wardens do not serve for the joy of service. You are paid, are you not?" (หน้า 31) เพื่อเป็นการต่อรองขอที่มากกว่าแค่พลังไปสู่การได้ค่าจ้างทำงาน ในขณะที่ตัวเธอเองไม่อยู่ในสถานะจะต่อรอง และเพิ่งเริ่มจะเรียนรู้การดำรงชีวิตแบบมนุษย์เท่านั้น

การดำเนินเรื่องใน Undone ทำได้ดี ตัดเรื่องไว และไม่ทำให้คนอ่าน “เบื่อ” กับการเรียนรู้การเป็นมนุษย์ของ Cassiel แม้แต่น้อย การเติบโตของเธอทำไปพร้อมกับฉากเสี่ยงตายและ action ผจญภัยที่ดำเนินขึ้นอย่างต่อเนื่อง และก็ทำให้คนอ่านต้องลุ้นระลึกกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปตั้งแต่หน้าแรกไปจนถึงหน้าสุดท้าย … และหน้าแรกของเล่มต่อไป

ข้อเสียอยู่อย่างเดียวของ Undone ซึ่งดูเหมือนจะเป็นข้อเสียอย่างเดียวของหนังสือที่ Rachel Caine เขียนก็คือเป็น cliffhanger (เล่มเดียวที่ดูเป็นข้อยกเว้นก็คือ Ill Wind เล่มแรกในชุด WW) ซึ่งตอนแรกก็เหมือนจะจบในเล่ม แต่พออ่านไปถึงหน้า 280 กว่าก็เริ่มสังหรณ์ใจ แล้วก็ โอ ไม่จบอีกแล้ว และกว่า Unknown ซึ่งเป็นเล่ม 2 จะออกก็ปีหน้าโน่น เฮ้ออ รอกันต่อไป!

อย่างไรก็ตาม สรุปให้ Undone ว่า
1) A sentence-turner! (มากกว่า A paragraph-/ page- turner อีก)
2) Positively Extreme!
3) Finest composition ever from Rachel Caine!

ได้คำชมจากอีฉัน เยอะมาก และตอนนี้เป็น finest paranormal ever ที่อ่านอีกต่างหาก!

ปลีกย่อย
1. ไม่แน่ใจถึงสถานภาพการเป็น stand-alone จากชุด WW เพราะโลกชุดเดียวกัน และอ้างถึงตัวละครหลาย ๆ ตัวในนั้น คิดว่าอ่านเดี่ยวก็ยังทำได้ แต่คงสนุกมากได้ขึ้น และเข้าถึงได้มากขึ้น ถ้าอ่าน WW โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถึงเล่ม 5 มาก่อน อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวคิดว่าทิศทางในหนังสือเล่มนี้ค่อนข้างจะชัดกว่าเล่มอื่น ๆ

2. อย่างน้อยถึงจะเป็น cliffhanger แต่คำถามที่สงสัยในใจของผู้อ่านตั้งแต่หน้าแรก ว่าคำว่า No ปฎิเสธสิ่งที่ Cassiel ไม่ยอมทำให้ Ashan คืออะไร ก็ได้เฉลยในหน้าท้าย ๆ ... ตอนแรกคิดว่าจะ personal ส่วนตัวกว่านี้อีก ผิดจากที่คาด แต่ก็ไม่น่าแปลกใจอะไร สำหรับคำสั่งเช่นนี้ โดยเฉพาะเมื่อมาจาก Ashan เอง

3. แอบลุ้น ๆ กับความสัมพันธ์และความคืบหน้าระหว่าง Cassiel และ Luis ถ้าเธอจะรู้สึกดึงดูดเข้าหา สิ่งหนึ่งที่ทำให้เกิดได้ก็คือ “พลัง” ที่ Luis มี โดยเฉพาะเมื่อเธออ่อนไหวกับอำนาจ และคิดถึงพลังมหาศาลที่เคยมีในฐานะ Djinn แต่สำหรับ Luis เอง จะเป็นเพราะอะไร อยากให้มากกว่า a girl of convenience who happens to be there โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ยากลำบาก และไม่เหลือใคร (สปอยล์) [โดยเฉพาะหลังการตายของ Manny] แต่ก็นั่นแหละ ถ้าได้เจอได้รู้จักก็คงตกหลุมรักบุคลิกอย่าง Cassiel ได้ไม่ยาก เพราะเธอแกร่งและดูทัศนคติแรงก็จริง แต่เธอก็คำนึงถึงคนอื่นเหมือนกัน แล้วก็ดูทั้งเป็นปริศนา และไม่เป็นในเวลาเดียวกัน – ส่วนนี้อาจจะมาจาก romaticising soul ของอีฉันหลังอ่าน IAD ไป 3 เล่มก็ได้

4. ที่บอกว่า extreme อีกอย่างก็คือเรื่องราวในหนังสือ เพราะตอนแรกที่รู้จากเวบ Barnes and Noble ว่า (สปอยล์) []Isabel ลูกสาวของ Manny กับ Angelaถูกลักพาตัวไป แล้ว Cassiel เลือกที่จะช่วยตามหาเด็กหญิงกับ Luis ก็ยังคิดว่า Manny คงแค่บาดเจ็บ ไม่สามารถออกไปด้วยตัวเองได้ ทำให้การจับคู่เปลี่ยนไป แต่กลับเป็นทั้ง Manny และ Angela กลับตายอย่างกะทันหันทั้งคู่ ชนิดที่ว่าคนอ่านยังอึ้ง แต่ถ้าไม่ทำเช่นนั้น จะทำให้การเปลี่ยนแปลงมาอยู่กับ Luis เกิดขึ้นได้ยากหรือเปล่า? ซึ่งจริง ๆ ก็ไม่น่าเป็นประเด็นนี้นะ]

5. ตัวละครอีกตัวที่ชอบมากก็คือ Gallen ซึ่งเป็น Djinn ที่เหมือนจะมีอดีตอยู่กับ Cassiel ชอบที่ปรากฏตัวไปมาหลาย ๆ ครั้งในเรื่อง แต่ก็ไม่คิดเลยว่า (สปอยล์) [จะตาย] ทำลายจิตใจคนอ่านยิ่งกว่าเหตุการณ์ข้อ 4 อีก

6. Rachel Caine บอกใน mailing list ว่า จะเขียน WW ต่อไปอีก 2 เล่ม และพูดขำ ๆ ว่าอยากให้ Joanne และตัวละครอื่น ๆ ได้พักบ้าง (“..chance at having a non-crisis-related existence, and a little happiness.”) แต่ก็คงจะได้ Cassiel มาเหนื่อยมหาศาลแทน เพราะการดำเนินเรื่องแบบแอคชั่นฮอลลีวูด และแอคชั่นฮอลลี่ก็อด ที่แทบจะไม่มีเวลาพักยิ่งกว่า

7. มี dialogue ที่ชอบหลายตอนในเล่ม อย่างช่วงแรกที่มี Joanne กำลังสอน Cassiel ให้รู้จักกับการดำรงชีวิตแบบมนุษย์ และทั้งสองคนได้เผชิญหน้ากับ Djinn ที่ได้รับคำสั่งให้มาดู Cassiel และ Joanne บอกหลังการเผชิญหน้าว่า “I don’t know about you, but I think this situation just upgraded from ice cream to alcohol.” (หน้า 22)

8. คำวิเศษณ์ (adjective) เพื่ออธิบาย Cassiel ประกอบไปด้วย ever-confident/ a bit of hand out/ strong willed/ quick-witted/ dignified/ etc

Monday, 2 February 2009

Iron Kissed by Patricia Briggs (n)

เมื่อกี้เพิ่งรีบวิจารณ์ Blood Bound จบไป และก็ต้องสารภาพว่าเพราะเล่ม 4 Bone Crossed จะออกอยู่วันสองวันนี้แล้ว ดูสถานภาพแล้วถ้าไม่เริ่มทำ ไม่มีทางได้ทำแน่ หนังสือรอให้อ่านเยอะมาก เฉพาะที่ออกวันที่ 3 (มะรืน) ก็มีทั้ง Bone Crossed (excerpt) และ Undone ดังนั้น best do it now!



ชนิด : Urban Fantasy/ Werewolf/ Fey
ชุด: Mercy Thompson, Book 3
สำนักพิมพ์ : Ace (January 02, 2008)
จำนวนหน้า : 304 หน้า


สถานการณ์ในเล่มสามก็ต่อเนื่องมาจากเล่มสองอีกเช่นกัน การฆ่าแวมไพร์ของ Mercy ในเล่มก่อนสำเร็จเพราะอุปกรณ์ที่หยิบยืมมาจาก fey และเพราะการฆ่าครั้งที่สอง ไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขการยืม เธอจึงต้องใช้หนี้แก่ Zee fey ที่เป็นนายเก่าและผู้ให้คำปรึกษาแก่เธอด้วยการช่วยสืบคดีการฆ่าเหล่า fey ต่อเนื่อง

ระหว่างที่สืบคดีอยู่นั้น ดูเหมือน Mercy จะถลำลึกไปสู่ความลับที่บรรดา fey ไม่ต้องการให้คนภายนอกล่วงรู้มากขึ้น และนั่นไม่สำคัญเท่าที่ Zee ถูกตำรวจจับไปหลังการฆาตกรรมที่ดูผิดธรรมชาติ และไม่ใช่ฝีมือมนุษย์ เพราะถูกสงสัยว่าจะเป็นอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ โดยที่ Gray Lords เหล่าผู้นำสูงสุดของพวก fey จงใจที่จะปล่อยให้เขาเป็นแพะรับบาปอยู่ในคุกเพื่อให้ความโกรธแค้นที่พวกมนุษย์อาจมีแก่พวกตนบรรเทาลง และดังนั้น Mercy จึงตัดสินใจกระโดดลงมาตามหาตัวฆาตกรอย่างเต็มตัวเพื่อช่วย Zee

อย่างไรก็ตาม ขณะเดียวกันนั้น ความตึงเครียดระหว่าง Adam และ Samuel ในเรื่องของ Mercy เพิ่มมากขึ้นทุกที จนไปถึงขั้นที่เธอจะต้องเลือก!

เล่มสามเป็นเล่มที่เปิดตัวมาเหมือนจะสนุกที่สุด แต่ไป ๆ มา ๆ กลับเป็นเล่มที่อ่านแล้วชอบน้อยที่สุด การดำเนินเรื่องเหมือนเดิม คือ สืบสาวหาความจริง โดยที่มี Mercy เป็นแกนกลาง สำหรับเล่มนี้เหมือนว่า Mercy จะเป็นศูนย์กลางอยู่คนเดียวเสียด้วย อย่างที่เห็นกันว่าเธอเป็นผู้หญิงเก่งและแกร่งที่พึ่งพาตัวเองได้ แม้ว่าพล็อตเงื่อนงำจะมีการผูกเรื่องน้อยกว่าสองเล่มแรก (Blood Bound/ Moon Called) ไปบ้างก็ตาม

อย่างไรก็ตาม การที่ชอบคิดอะไรเองทำอะไรเองคนเดียวก็กลับมาทำร้ายตัวเธอเองในตอนท้ายเรื่อง (สปอยล์ )[ ที่ Mercy เองเสียท่าให้กับตัวร้ายด้วยการถูกข่มขืน แม้ว่าตัวเธอจะได้ฆ่าคนข่มขืนไปแล้วก็ตาม แต่บาดแผลในใจก็ไม่หายไปง่าย ๆ]ซึ่งเพราะชะล่าใจคิดว่าไม่เป็นไร และคิดว่าจะไม่เกิดอะไรขึ้น ซึ่งแม้ว่าเล่มที่ผ่านมาในช่วง climax สู้กับคนร้ายทั้งหลาย เธอจะบาดเจ็บกลับมาก็ตาม แต่ไม่ชอบครั้งนี้ เพราะผลกระทบรุนแรงกว่าทุกครั้ง และที่สำคัญ เหมือนว่าทุกคนจะรู้เรื่องด้วยไปหมด ทั้งที่แค่ในฝูงรู้เรื่องก็น่าจะเป็นเรื่องร้ายแรงพออยู่แล้ว

ใน Iron Kissed ถึงเวลาที่ Mercy จะต้องตัดสินใจเลือกใครสักคนระหว่าง Adam และ Samuel อย่างที่บอกไป (สปอยล์)[ และก็เป็นที่ชัดเจนว่า Adam จะเป็นคนที่ถูกเลือก ซึ่งในแง่หนึ่งก็เป็นเพราะการตัดสินใจปล่อยมือของ Samuel ที่รู้ว่าเธอเลือกไม่ได้ และไม่ต้องการทำร้ายใคร เพื่อจะไม่ทำให้ตัว Mercy เองลำบากใจด้วย ถ้าถามความรู้สึกจริง ๆ ก็ต้องบอกว่าชอบบุคลิกอย่าง Samuel มากกว่า ] แต่การที่เขารู้จักกับ Mercy ในอดีตก็อาจส่งผลถึงการประเมินตัวเธอในปัจจุบันด้วย ในแง่นี้ Adam มอง Mercy ในสิ่งที่เธอเป็นมากกว่า Samuel และก็ส่งผลไปถึงการกล้าปล่อยเธอออกไปทำตามใจอย่างที่เธอต้องการด้วย ถ้าเปรียบกัน Samuel อาจจะขอให้เธออยู่เฉย ๆ และปล่อยหน้าที่ให้เป็นของเขาและคนอื่นในฝูง ขณะที่โอกาสที่ Adam จะปล่อยให้เธอออกไปโลดแล่นภายนอก โดยที่มีเขาคอยระวังหลังอยู่เหมือนจะมากกว่า ... แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นก็ต้องบอกว่าเหล่า werewolf เป็นพวก protective และ territorial จัด โอกาสการปล่อยให้ลงมือเองก็อาจจะน้อยกว่าเผ่าพันธุ์อื่นในเชิงเปรียบเทียบ absolute ก็ได้

แอบเบื่อนิดหน่อยที่เล่มสี่จะเป็นผลมาจากท้ายเล่มสอง เมื่อไหร่จะมีอะไรเรียบง่ายเข้ามาบ้างคะ ... นอกจากความตึงเครียดจากรักสามเส้าที่หายไป แล้วก็เฮ้ออ อยากให้ Anna มาเจอกับ Mercy จะมีโอกาสไหม อยากดูปฎิสัมพันธ์ที่จะเกิด

จบแล้วอย่างรวดเร็ว บทสรุปวันนี้คืออะไรดีคะ?

Sunday, 1 February 2009

Blood Bound by Patricia Briggs (n)

ปัญหาอย่างหนึ่งของการซื้อหนังสือมาเป็นชุดก็คือจะอ่านติดกันไปเรื่อย ๆ ไม่ได้นอน และทำให้ต้องฟื้นฟูสภาพกันอย่างหนักหลังจากนั้น และดังนั้น กว่าจะได้เขียนวิจารณ์ก็ผ่านไปนานโข หรือมิฉะนั้นก็ไม่เคยได้เขียนถึงเลย แล้วก็ไม่ต้องสงสัยว่า นี้ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย แต่ก่อนที่จะลืมก็เขียนถึงหน่อยก็แล้วกันหนอ - แล้วก็จริง ๆ ด้วย เล่าแบบจำได้หลอน ๆ ลาง ๆ จริงหนอ ฮือฮือ


ชนิด : Urban Fantasy/ Werewolf/ Vampires
ชุด: Mercy Thompson, Book 2
สำนักพิมพ์ : Ace (January 30, 2007)
จำนวนหน้า : 304 หน้า


เรื่องดำเนินต่อมาจาก Moon Called หลังจากที่ Mercy ไขปริศนาคดีฆาตกรรมและลักพาตัวจากเล่มก่อนได้แล้ว ด้วยเพราะเธอติดค้างหนี้จากเหล่าแวมไพร์ในการหาเบาะแสสืบคดีคราวที่แล้ว การเปิดเรื่องจึงเป็นที่ Stefan เพื่อนแวมไพร์ของเธอ ขอให้เธอเปลี่ยนร่างเป็นหมาโคโยตี้เพื่อพรางตัวเองไปพบแวมไพร์อันตรายอีกตัวหนึ่งด้วยกัน แต่เหตุการณ์ผิดจากที่คิด เมื่อทั้งคู่บาดเจ็บกลับมา

หลังจากนั้น Stefan ได้รับคำสั่งมาให้ออกตามจับแวมไพร์ปีศาจนอกรีต โดยมี werewolf อีกสองตัว คือ Warren และ Ben ช่วยอยู่ด้วย ในขณะที่ Mercy ถูกออกคำสั่งแกมขอร้องจาก Adam หัวหน้าฝูงให้อยู่เฉย ๆ รอให้สถานการณ์คลี่คลาย ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องยากสำหรับเธอ ระหว่างนั้น ความรุนแรง และเหตุฆาตกรรมแปลก ๆ ในเมืองรุนแรงมากขึ้นจากสิ่งที่มองไม่เห็น และดูเหมือน Samuel ก็ถูกอิทธิพลกระหายเลือดนั้นไปด้วย

จนกระทั่งคืนหนึ่ง Stefan และ Ben หายไป และ Warren ถูกทำร้ายอยู่ในสภาพปางตาย ที่ทำให้ Adam และ Samuel ในฐานะหัวหน้าฝูง (Samuel เป็นลูกของหัวหน้าฝูงใหญ่ จึงอยู่ในฐานะกึ่งหัวหน้าฝูงอยู่ดี) ออกตามล่าแวมไพร์เอง แต่ทว่าทั้งคู่ก็กลับหายไปเช่นกัน และ Mercy จึงต้องออกตามล่าแวมไพร์ปีศาจด้วยตัวเอง ก่อนที่คนที่เธอรักทั้งหลายจะตกเป็นเหยื่อและต้องตายไป แม้ว่าความมั่นใจเพียงเล็กน้อยของเธอ จะมาจากราชินีแวมไพร์ที่บอกกับเธอว่า ความสามารถพิเศษในฐานะ Walker ที่ Mercy มี จะทำให้เธอเป็นผู้เดียวที่ตามล่าแวมไพร์ปีศาจได้จนเจอ

นาน ๆ ทีจะเขียนเรื่องย่อได้เป็นเรื่องย่อไม่มีการเล่นคำ หรือทิ้ง teaser ไว้นะนี่ เหมือนจะเป็น spoiler ด้วยซ้ำ โอ ปกติฉันละเล่าครึ่งทิ้งไว้ครึ่งแท้ ๆ ... อ่านเล่มนี้ก็ยังคิดอยู่เหมือนเดิมว่า ทำไมตัวละครทั้งหลายทำอะไรไม่ได้เลย ปล่อยให้คุณเธอเป็นตัวละครที่ลุกขึ้นมาวิ่งแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเองอีกแล้ว อย่าง Adam ก็ถูกจับไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า (เล่มที่แล้วก็ถูกจับตัวไปเช่นกัน) แต่ถ้าดูการดำเนินเรื่องก็เหมือนเล่มที่แล้ว นั่นก็คือ มีเหตุการณ์ซึ่งเป็นต้นเรื่อง/ ต้นเหตุในช่วงแรก และตัวละครก็พยายามแก้ปริศนานั้นด้วยเงื่อนไขและเบาะแสที่เพิ่มเข้ามาทีละน้อย เล่มแรกเน้นที่การแก้ปัญหาว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการฆาตกรรมและลักพาตัว แต่เล่มที่สอง เป็นการสืบหาว่าแวมไพร์ปีศาจนั้นอยู่ไหน ซึ่งต้องบอกว่าสนุกและดำเนินเรื่องไวมาก โดยเฉพาะในฉากที่ Mercy ปะติดปะต่อเหตุการณ์ทั้งหมด และสืบหาที่อยู่ของตัวร้ายได้ และถือว่าเป็นฉากที่ชอบมากที่สุดฉากหนึ่งในเรื่องนี้เลย

การแทรก sub-plot ลงไปก็ยังคงมีเหมือนเดิม ซึ่งก็เป็นเรื่องที่สนุกและอ่านได้โดยไม่รู้สึกว่าถูกขัดหรือขาดจังหวะต่อเนื่องแต่อย่างใด ตรงกันข้าม กลับมีส่วนช่วยเสริมเรื่องหลักเข้ามาอีก และอันที่จริงก็ต้องพูดเลยว่าถึงขั้นอยากจะรู้เรื่องตัวละครที่มาแทรก โดยเฉพาะสาวน้อยที่ถูก werewolf ทำร้ายมาก (เอาไปเขียนเป็น novella ท่าจะดีนะ)

พล็อตเรื่องแบบ twist นิดหน่อย เพราะว่าตัวต้นเหตุที่ทำให้เกิดแวมไพร์ตัวร้ายอยู่ใกล้ ๆ ตัว แต่ก็ไม่ถึงกับคาดเดาไม่ได้ และจุดจบที่ตัวร้ายทั้งหลายได้รับก็ถือว่าเหมาะสมที่สุด โดยเฉพาะเมื่อตัวละครที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนี้อย่างมากคือ Warren และ Ben ถึงขั้นที่ Mercy ไม่สามารถปล่อยให้คนร้ายที่อยู่เบื้องหลังลอยนวลต่อไปได้ และสำหรับตัวคนอ่านเอง ถ้าจะปล่อยให้อยู่ต่อไปโดยไม่ได้รับผลกรรมก็ไม่ได้เหมือนกัน (เจ้าคิดเจ้าแค้นดีแท้) ยิ่งเมื่อคิดไปถึงสาเหตุแรงจูงใจที่อยู่เบื้องหลังการก่อเหตุ และการที่คนจำนวนมากต้องมารับวิบากกรรมในครั้งนี้ไปด้วย

ในบรรดา Mercy Thompson สามเล่ม เล่มนี้เป็นเล่มที่อ่านแล้วเสียวสันหลังที่สุด เพราะว่ามีฉากฆ่าวิปริตแบบเลือดท่วม และชวนให้สงสารเหยื่อก่อนตายในตอนเริ่มเรื่อง รวมไปถึงค่อนเรื่องที่แวมไพร์ตัวร้ายมารังควาน Mercy ขณะที่นอนหลับอยู่ เป็นสภาพหลอน ๆ กึ่งให้ระแวงระวัง อันเป็นความแอบสยองหนังผีแบบที่กลัวเสียด้วย

รักสามเส้า (หรือสามเศร้า) ระหว่าง Mercy กับ Adam และ Samuel ชัดเจนกว่าเล่มที่แล้ว แต่ก็ยังอยู่ในสภาพผลัดกันทำคะแนนกึ่ง ๆ ขโมยซีน ยังไม่ติดเครียดมากจนกระทั่งในช่วงท้าย ๆ และในเล่มถัดไป และอันที่จริง ในฐานะผู้อ่านที่ชอบคิดตามและคิดแทน (จริตหนอ) ก็สามารถคาดเดาออกว่าใครจะเป็นพระเอกสำหรับคุณเธอได้จริง เพียงแต่ว่าเจ้าตัวก็อาจจะยังไม่อยากตัดสินฟันธงลงไป และปล่อยให้ฝ่ายที่ถูกปฏิเสธต้องเจ็บปวด (ซึ่งก็คงจะดีกว่าที่จะทิ้งท้ายไว้ตรงนี้ และไปพูดกันต่อในเล่มสามต่อไป)

ทัศนคติและความสามารถของ Mercy ก็ช่วยให้ภาพความเป็นสาวมั่น และหญิงแกร่งที่พึ่งพาตัวเองได้ของเธอถูกตอกย้ำลงไปอีก ซึ่งอย่างไรก็ตาม ก็อาจเป็นส่วนที่ส่งผลร้ายกับตัวเธอเองในเล่มถัดไป

ก็ยังสรุปเหมือนเดิม One Tough bitch!

.
.
.

ปล. ในบรรดาหนังสือหลาย ๆ เล่ม ต้องถือว่าการตั้งชื่อเรื่องของชุดนี้ทำได้ดีเลยนะ เพราะแม้จะสั้น ๆ แต่ก็ผูกกับเนื้อเรื่องได้ชัดเจน ในขณะที่จำง่าย อย่าง “Moon” Called บอกใบ้ว่าเกี่ยวกับหมาป่า “Blood” Bound เกี่ยวกับเหล่าแวมไพร์ และ “Iron” Kissed ก็พูดถึง fae และการออกแบบปกก็ทำได้ดีอีกเช่นกัน เพราะช่วยให้กล้าถือไปไหนต่อไหนได้ไม่อาย .. จะพูดไปก็เว่อร์ไปนิด เอาเป็นว่า เหมือนทำการบ้านและเชื่อมกับเนื้อหาในเรื่องก็แล้วกัน (เทียบกับ Cry Wolf วาดหมาป่าได้กระเซอะกระเซิงไม่พอ ยังวาด Anna ได้น่าเกลียดน่ากลัว ขาดเสน่ห์ ดูเป็นหนังสือยุคเก่าไปได้)

Ill Wind By Rachel Caine

เล่มนี้ซื้อมาเพราะวันที่ไปคิโนะอยู่ในสภาพเหนื่อยจัด จนคิดอะไรไม่ออก สมองกับสติหลุดไปกับพลังงานทีหายไป ก็เลยได้หนังสือที่เหมาะกับสภาพหัวตอนนั้นมาพอดี ชนิดที่ว่าอ่านง่าย ๆ โง่ ๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก เพราะพอมาคิดดู ถ้าวันนั้นสภาพร่างกายดีและอยู่ในสภาพอัพคึกกระดี๊กระด๊าก็อาจจะไม่คว้ากลับบ้านมาก็ได้ เฮ้อ ถือว่า กรรมเป็นผลของการกระทำ และทุกอย่างมีที่มาที่ไปก็แล้วกันนะ



ชนิด : Urban Fantasy/ Paranormal
ชุด : Weather Warden เล่ม 1
สำนักพิมพ์ : Roc (December 2, 2003))
จำนวนหน้า : 337 หน้า

ถ้าเกิดว่า หน่วยงานที่ดูแลสภาพดินฟ้าอากาศไม่มีแต่กรมอุตุนิยมอย่างที่เราเข้าใจ? ถ้าเกิดว่ามีกลุ่มคนอยู่กลุ่มหนึ่งที่มีพลังพิเศษรวมตัวกันอย่างลับ ๆ เพื่อทำหน้าที่ควบคุมสภาพอากาศ คอยดูแลไม่ให้พายุพัดรุนแรง ช่วยดับไฟป่า และอื่น ๆ ล่ะ? นั่นแหละ หน้าที่ของ ผู้ควบคุมอากาศ - weather wardens – ของเรา

และในเรื่อง Joanne หนึ่งในบรรดา weather wardens กำลังหนีจากการไล่ล่าของ weather wardens คนอื่น ๆ จากข้อหาที่ว่า คุณเธอไปฆ่า Bad Bob หนึ่งในผู้ดูแลสภาพอากาศซึ่งแสนจะมีอิทธิพลและตำนานที่ยังมีชีวิตเข้า ความหวังของ Joanne มีเพียงตามหา Lewis เพื่อนร่วมชั้นเรียนเก่าซึ่งว่ากันว่ามีพลังอำนาจมากที่สุดให้พบ ก่อนที่จะถูกตามล่ากลับไปพิพากษา และก่อนที่จะถูกใครสักคนใช้พายุตามฆ่าเธอระหว่างทาง

การเดินทางข้ามรัฐโดยพยายามหลบหลีกผู้ไล่ล่าและพายุที่ตามฆ่าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะนอกเหนือจะต้องรีบทำเวลาก่อนที่จะเอาชีวิตไม่รอดแล้วนั้น Joanne ไม่มีทางรู้เลยว่าเธอจะเชื่อใจใครได้ - ไม่ว่าจะจาก Paul เจ้าหน้าที่ระดับสูงที่เธอคุ้นเคยมานาน Estrella เพื่อนรักที่รู้จักกันมาแต่วัยเยาว์ หรือ David ชายหนุ่มแปลกหน้าที่เธอเจอระหว่างทาง – เพราะดูเหมือนว่ามิตรพร้อมจะกลายเป็นศัตรู หรือศัตรูจะกลับกลายมาเป็นมิตรได้ตลอดเวลา และไหนจะเงื่อนงำแปลกประหลาดหลังเหตุการณ์ทั้งหมดอีก

การเปิดตัวของ Ill Wind เริ่มต้นที่ Joanne ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างขับรถหนีการไล่ล่า และผู้อ่านก็จะต้องใช้เวลาอ่านเพื่อทำความเข้าใจกับสาเหตุการหนีของเธอ พร้อมไปกับทำความรู้จักกับเธอทำให้ระหว่างการหนีจะมีการตัดฉากกลับไปสู่อดีตเป็นระยะ ๆ สลับไปมา ซึ่งเมื่อเริ่มอ่านทำให้ต้องเข้าความเข้าใจและลำดับเรื่องราวพอสมควร

อีกทั้ง สิ่งหนึ่งที่มีผลต่อการอ่านอย่างยิ่งก็คือ เรื่องนี้ถือเป็น Urban Fantasy เรื่องแรกที่อ่าน ในขณะที่เรื่องหมวดแฟนตาซีอื่นๆ มักจะเกิดขึ้นในยุคยุโรปกลาง หรือโลกที่สะท้อนยุโรปกลางก็เลยทำให้ต้องทำความเข้าใจและเรียนรู้ที่จะหัดอ่านมากกว่าปกติก็ได้ อย่างเช่นเจ๊ Joanne ขับรถเกินความเร็วที่กำหนดเพื่อหนีพายุ แทนที่จะเป็นควบม้า หรือใส่กางเกงฟิตเปรี๊ยะมากกว่าจะเป็นชุดกระโปรงสุ่มใด ๆ หากก็ทำได้ไม่ยากลำบากอะไรนัก เพราะภาษาที่ใช้ในเรื่องเป็นภาษาสมัยใหม่ที่ใช้ในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ Ill Wind โดดเด่นในหมวดหนังสือ Supernatural/ Urban Fantasy ก็คือ ขณะที่หนังสือหมวดนี้กลุ่มหนึ่งไปเน้นพูดถึงผีดูดเลือดอย่างชุด Anita Blake Vampire Hunter/ The Dresden Files ฯลฯ นั้น III Wind และชุด Weather Warden (ปัจจุบันออกมาแล้ว 4 เล่ม มี Ill Wind/ Heat Stroke/ Chill Factor และ Windfall) ดูจะเป็นเรื่องแรกที่พูดถึงพายุและสภาพอากาศ ดังที่ถูกโปรยหัวเอาไว้ว่า “Finally, someone is doing something about the weather.”

แต่นั่นแหละ เพราะหมวด Supernatural/ Urban Fantasy มักจะเป็นการอ่านเพื่อเอาสนุก เอาแอ็คชั่นไล่ล่าสนุกสนานอย่างเร็ว ๆ มากกว่าจะอ่านเพื่อความลุ่มลึกทางจิตวิญญาณ ก็เลยทำให้ไม่ค่อยมีอะไรมากไปกว่าเพื่อความสนุกและฆ่าเวลาด้วยการอ่านเอาเรื่อง ไม่ต้องตีความ ไม่ต้องครุ่นคิดใด ๆ และก็อาจทำให้พวกที่หลงใหลภาษาที่ลึกซึ้งและงดงามผิดหวังก็ได้ และที่สำคัญอีกอย่างก็คือ เพราะพล็อตไม่ได้ผูกไว้แน่นมาก ก็ทำให้พวกที่อ่านแล้วใช้สมองคิดตาม สามารถเดาเรื่องบางส่วนได้อย่างง่ายดาย – ถ้าไม่คิดอะไรมาก ก็ถือว่าเหมาะสำหรับการอ่านบนรถไฟ เรือเมล์ก็แล้วกัน ฆ่าเวลาพออ่านจบแล้วโยนทิ้งไปได้เลย

ปล. สำหรับป้า ไม่อยากจะบอกเลยว่าเกิดสิ้นคิดเอาเล่มต่อมาอีกจนครบ 4 เล่ม เครียดเลยนะเนี่ย เล่มแรกก็สนุกดี แต่เล่มต่อ ๆ มานี่สิ อ่านแล้วแอบขยะ เฮ้อๆๆๆ พันบาทของฉัน TT

ว่าแต่เอาเล่มสองไปวางไหนแล้วล่ะ หาไม่เจอ แล้วฉันจะได้อ่าน Heat Stroke ต่อไหมคะ?

(September 05, 2006)

เพิ่มเติม
ปัจจุบัน Rachel Caine ออกชุด Weather Warden มาถึงเล่ม 7 แล้ว (กำลังจะออกเล่ม 8 คือ Cape Storm เดือนสิงหาที่จะถึง) แล้วก็ไม่น่าเชื่อว่าอีฉันจะอ่านต่อมาเรื่อย ๆ แม้ว่าจะไม่ได้วิจารณ์อะไรเพิ่มเติมเป็นลายลักษณ์อักษรก็ตามที แต่ถ้าถาม รู้สึกว่ามันเริ่มสนุกจริง ๆ ตอน Thin Air กับ Gale Force แล้วก็ต้องบอกว่าเริ่มหลุดโลกออกไปเรื่อย ๆ ด้วย

กับอีกประการหนึ่งก็คือ หลังจากที่อ่านเรื่องนี้ในฐานะ Urban Fantasy เล่มแรก ซึ่งปัจจุบันก็กลายเป็นแนวที่อ่านเป็นหลักไปแล้ว โอ โอ

อย่างไรก็มี มีชุดต่อมา จาก Weather Warden ก็คือ ชุด Outcast Season Series ที่พูดถึง Djinn กลุ่มเก่า ชื่อ Cassiel ที่ต้องให้มีเหตุจำเป็นต้องมาอยู่กับพวก Weather Warden ได้อ่านบทล่อหลอกให้เสียเงิน (หรือเรียกว่า excerpt ก็ได้ ) ของ Undone แล้ว ในเวบ Rachel Caine ก็ไม่ต้องสงสัยว่า มะรืนนี้หนังสือออกแล้ว อีฉันก็พุ่งตัวไปซื้อทันทีแน่ ๆ .... โดยเฉพาะเท่าที่ดูหลังจากเขียนชุดแรกมาสักพัก เหมือนคนเขียนจะจับจุดและผูกโลกในเรื่องได้ดีขึ้น ไม่ค่อยออกนอกลู่นอกทางไปเรื่อย ๆ เหมือนช่วง WW เล่ม 2-4

ชุด Weather Warden
Ill Wind (December 2003)
Heat Stroke (August 2004)
Chill Factor (January 2005)
Windfall (November 2005)
Firestorm (September 2006)
Thin Air (August 2007)
Gale Force (August 2008)
Cape Storm (August 2009)