Thursday 30 August 2018

เว่ยซวงอวี่ หนึ่งรัก สองปรารถนา

เปิดฉากมาด้วย “เว่ยซวงอวี่” ฟื้นขึ้นมาหลังจากเกิดอุบัติเหตุแล้วจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้เลย แต่นางรู้สึกว่าการเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้มีเงื่อนงำ และน่าระแวงสงสัยจากปฎิกิริยาของคนรอบข้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บิดาตัวเอง และหนึ่งในคนที่พยายามคาดคั้นให้เว่ยซวงอวี่พยายามรื้อฟืนความทรงจำได้ก็คือ “เฮยหลิง” ศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักศึกษาที่นางไปร่ำเรียนและช่วยงานอยู่ จึงทำให้ทั้งสองเริ่มได้ใช้เวลาด้วยกัน และพยายามตามหาความจริงที่เกิดขึ้นให้ได้ แต่เมื่อยิ่งสืบก็ยิ่งรู้ว่าความทรงจำที่หายไปของนางเกี่ยวพันกับอันตรายใหญ่หลวงที่ซ่อนอยู่

ช่วงนี้ที่อ่านจะค่อนข้างลึกลับและซ่อนเงื่อนเป็นอารมณ์ Romantic Suspense ซึ่งสนุกและเร้าใจ

อย่างไรก็ตาม พอช่วงกลางของเรื่องเริ่มเปลี่ยนอารมณ์เพราะเฮยหลิงถูกทำร้ายหายไป และเว่ยซวงอวี่ถูกบังคับให้จำยอมแต่งงานกับ “หยวนเฟิงหลิง” บัณฑิตยากจนที่เป็นคู่หมั้นคู่หมายตั้งแต่เด็กของพี่สาวตัวเอง (หลังพี่สาวเข้าวังไปเป็นชายารององค์ชายเก้า) จะเป็นช่วงที่นางเอกพยายามปรับอารมณ์โศกเศร้าจากการหายไปของเฮยหลิง และยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นจากความทรงจำที่กลับมาแล้ว ขณะที่พยายามยอมรับตัวตนของหยวนเฟิงหลิงในฐานะสามีตัวเอง เป็นอารมณ์ cheesy forced marriage

ส่วนนี้เป็นส่วนที่ตรรกะและความสนุกในเรื่องลดลงมาค่อยข้างมาก เพราะแท้จริงแล้ว ทั้งเฮยหลิงและหยวนเฟิงหลิงต่างก็เป็นคนเดียวกัน (ซึ่งคนเขียนก็เปิดเผยจุดนี้ตั้งแต่หน้าแรกๆ ในหนังสือ) เลยไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงต้องวุ่นวายเริ่มสลับตัวเอาตัวตนของหยวนเฟิงหลิงมาแทนที่ และไม่บอกความจริงให้เว่ยซวงอวี่ได้รับรู้ และที่สำคัญ คนเขียนพยายามสร้างบุคลิกหยวนเฟิงหลิงให้แตกต่างจากเฮยหลิงนั่นก็คือ เอาความทื่อทึ่มอย่างตัวตนคนเก็บสมุนไพรบนภูเขาในชนบทมาแทนที่ผู้ชายฉลาดรอบรู้อย่างเฮยหลิง ถึงแม้จะมีช่วงที่บอกว่าหยวนเฟิงหลิงพยายามปกปิดตัวตนของเฮยหลิงไว้ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเขียนบุคลิกและวิธีคิดใหม่ที่อ่อนด้อยลงกว่าเดิมเลย จุดที่เห็นได้ชัดคือตอนแต่งงานอยู่ด้วยกันและหยวนเฟิงหลิงไม่สามารถคาดเดาความคิดของเว่ยซวงอวี่ได้ ทั้งที่ตอนเป็นเฮยหลิงทำได้ ซึ่งก็หมายถึงว่าหลังจากถูกทำร้ายแล้ว ตัวตนฉลาดมากความสามารถของเฮยหลิงก็สาบสูญไปจากหนังสือด้วย

จุดสุดท้าย เมื่อเงื่อนงำทั้งหมดถูกคลายออก ก็ทำให้อย่างง่ายดาย จนรู้สึกว่า ถ้าออกมาในรูปแบบนี้ ทำไมต้องทำให้วุ่นวายและสับสนตั้งแต่ต้นทั้งหมด เป็นส่วนที่ anti-climax พอสมควร โดยเฉพาะเมื่อคิดว่าตัวร้ายก่อปัญหามามากขนาดไหนในเรื่อง

ดังนั้น รู้สึกว่าตอนที่อยู่ในเด็กดี (ประมาณ 1/3 เรื่อง) เป็นช่วงที่สนุกอย่างที่บอกและเดินเรื่องค่อนข้างสมเหตุสมผล ทว่าส่วนใน Meb เป็นส่วนที่อารมณ์และตรรกะค่อนข้างด้อยกว่าช่วงแรกมาก ถึงขั้นที่เกือบจะหยุดอ่านแล้วถ้าไม่คิดว่าจะพยายามเก็บเรื่องให้จบ ให้ C+ ไป รำคาญการส่งกลุ่มคนชุดดำมาลอบสังหารนางเอกมาก (มีอยู่ลูปเดียวแต่มาเนืองๆ) และเสียดายศักยภาพเรื่องที่น่าจะเป็นไปได้ดีกว่านี้มาก

ทั้งนี้ ขอตำหนิการสะกดคำผิดใน Meb ที่เจอเป็นระยะๆ ด้วยเหมือนกัน และมีสำนวนหลายอย่างที่หลุดไทยออกมา เช่น ตอนที่พระเอกเอ่ยขอไม้เรียวมาตีตัวละครอื่นในเรื่อง หรือตัวร้ายตำหนิลูกน้องว่าเลี้ยงเสียข้าวสุก (เหมือนละครไทยยุคเจ้าพ่อมากกว่าชอบกล)

Sunday 26 August 2018

สะดุดรักยายถังข้าว

เห็นมานานมาก ตั้งแต่มีแปลเป็นภาษาอังกฤษแล้ว แต่ตอนแรกไม่คิดว่าจะอ่านเพราะไม่ค่อยอินกับแนวปัจจุบัน เท่าไหร่ แต่พออ่านจริงแล้วกลายเป็นเรื่องแนวนี้ชอบที่สุดไปเลย ถึงกับเสียใจที่อ่านเรื่องนี้ช้าไปด้วยซ้ำ
จุดเด่นของเรื่องอยู่ที่ความลงตัวเข้ากันได้ระหว่างพระเอกกับนางเอก เนื่องจากทั้งสองคนรู้จักกันผ่านบริบทการเป็นเพื่อน หลังจาก “หลันซาน” นางเอกของเรื่องย้ายมาอยู่ห้องติดกับ “เฉียวเฟิง” ผู้เป็นพ่อบ้านพ่อเรือน และยัดเยียดฝากท้องตัวเองด้วยการมากินข้าวที่ฝ่ายชายทำอย่างสม่ำเสมอ
ซึ่งถ้าจะเล่าเรื่องย่อก็เป็นแค่นี้ เพราะความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น เกิดผ่านการกินข้าวซึ่งทำให้ลามไปถึงการรู้จักตัวตนที่แท้จริงของกันและกัน โดยไม่ผ่านการเสแสร้งใดๆ และดังนั้น คนสองคนก็รักกันได้ เพราะได้ใช้เวลาร่วมกัน และรู้จักอีกฝ่ายอย่างที่เป็นจริง ยิ่งความสัมพันธ์นี้เกิดจากการไม่คาดหวัง ก็เลยทำให้อยู่ด้วยกันแล้วสบายใจสุขใจขึ้นไปอีก บุคลิกของตัวละครหลักค่อนข้างสลับต่างจากนิยายเรื่องอื่น เพราะแทนที่จะมีบุคลิกอัลฟ่าเป็นแนว CEO ก้าวร้าวเอาแต่ใจเงียบขรึม คุณพี่เฉียวเฟิงกลับค่อนไปทางเบต้านิ่งเย็น และนุ่มลึก และถึงแม้จะเอาแต่ใจมีความเป็นส่วนตัวสูง เมื่อเปิดรับยายถังข้าวกินจุที่เข้ามาก็ใส่ใจ สนใจ และดูแลหลันซานอย่างดี นุ่มละมุนขนาดที่การจีบคือการทำอาหารกลางวันให้หลันซานไปทำงานโดยซ่อนเหล่าแฮมจิ๋วรูปหัวใจอยู่ในข้าว และลงทุนไปซื้อของที่หลันซานชอบมาทำอาหารเย็นให้ ... ความน่ารักอยู่ที่ไม่รู้จักใจตัวเองและไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองชัด แต่พอมั่นใจแล้วก็ยึดมั่นและเชื่อมั่นเต็มที่ จุดที่ชอบคือตอนที่แฟนเก่า/ นางอิจฉาจะมาขอกอดเพื่อจากลา ดูทั้งใสซื่อ แต่ก็มั่นคงในขณะเดียวกัน
.... "คุณช่วยกอดฉันหน่อยได้ไหม"
เขาคิดๆ ดู ถ้ากอดแค่ทีเดียวแล้วสามารถตัดความยุ่งยากที่อาจจมาทีหลังได้ละก็ ถือว่าคุ้มค่าอยู่เหมือนกัน ดังนั้นจึงตอบไปว่า "ผมต้องถามหลันซานก่อน"
"ทำไมล่ะ"
"ก็เขาเป็นแฟนผม ถ้าต้องกอดกับผู้หญิงคนอื่นนอกเหนือจากคนในครอบครัวอย่างสนิทสนม ผมต้องบอกให้เขารับรู้ก่อน"
"ทำไมคุณต้องฟังเขาขนาดนั้นด้วย"
เฉียงเฟิงมองเธอแปลกๆ "ก็เขาเป็นแฟนผมนี่ ผมไม่ฟังเขาจะให้ฟังใครล่ะ" (เล่ม 2 หน้า 206-7) .... อย่างไรก็ตามถ้าจะมองว่าเฉียวเฟิงนุ่มนิ่มเกินไป ก็มีช่วงเวลาที่หนุ่มเรียบร้อยกลายร่างเป็นคนใช้กำลังและเอาแต่ใจเหมือนกัน ซึ่งพอมี ‘บุคลิกที่สอง’ เช่นนี้ออกมา ก็ยิ่งสร้างความลุ่มลึกให้กับตัวเฉียวเฟิงมากยิ่งขึ้น
ขณะที่หลันซานค่อนข้างหุนหันพลันแล่น เสียงดัง และไม่กลัวใคร ชอบที่คนเขียนสร้างให้บุคลิกเป็นอย่างนี้ เพราะต่างจากแนวปัจจุบันส่วนใหญ่ (ที่ไม่ใช่แนวแก้แค้นหรือมีโอกาสแก้ตัว) ที่จะเจอนางเอกว่าง่าย ไม่ก็ขี้เกรงใจ เมื่อได้เห็นความกล้าได้กล้าเสีย และเชื่อมั่นในตัวเองของหลันซาน ยิ่งประกอบกับหน้าตาสะสวยของเจ้าตัวก็ยิ่งทำให้บุคลิกและตัวละครของหลันซานมีเอกลักษณ์ค่อนข้างมาก และสนุกที่จะได้เห็นหลันซานกล้าคิดและกล้าทำในสิ่งที่ตัวเองยังไม่แน่ใจโดยไม่คิดมาก ส่วนที่อธิบายความเป็นหลันซานได้ดีที่สุดคือ ตอนที่เฉียวเฟิงมีเรื่องวิวาทกับ "ซ่งจื่อเจิง" พระรองในเรื่องแล้วเธอพยายามจับตัวซ่งจื่อเจิงไว้แทน
.... เฉียวเฟิงทนอยู่สักพักก็ทนไม่ไหว ในที่สุดก็ทำหน้าบึ้งใส่เธอ "ทำไมเมื่อกี้คุณไม่เข้ามาจับผม แต่เข้าไปจับแทน?"
"โง่หรือเปล่า ฉันจับใครไว้คนนนั้นก็โดนต่อยน่ะสิ เลยจับเขาให้คุณต่อยง่ายๆ ไง"
เฉียวเฟิงชะงัก นึกไม่ถึงว่าเธอจะคิดแบบนี้ (เล่ม 2 หน้า 185) ....
เมื่อเฉียวเฟิงมีบุคลิกที่สอง หลันซานก็มีตัวตนเปราะบางข้างในที่ซ่อนอยู่เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะเมื่อมองว่าเป็นเด็กสาวที่เข้ามาเรียนและทำงานคนเดียวในเมืองใหญ่ ยิ่งมีหน้าที่การงานที่ต้องระวังก็ทำให้ต้องสร้างเกราะเข้มแข็งมาป้องกันตัวเอง ซึ่งพอมาเจอเฉียวเฟิงก็ทำให้หลันซานระวังตัวน้อยลงและกลับมาเข้าใจตัวเองได้
ทั้งนี้ องค์ประกอบของเฉียวเฟิงลงตัวมาก ยิ่งเมื่อประกอบกับเคมีที่มีกับหลันซาน ก็มากจนทำให้พระรองซึ่งตามมาตรฐานแล้วก็มีคุณสมบัติดีงามชนะเลิศทั้งรูปร่างหน้าตา ฐานะ หรือแม้แต่ความสามารถ กลายเป็นแค่ตัวประกอบ หรือเกือบจะเป็นกึ่งๆ ตัวร้ายไป
ซึ่งจริงๆ แล้ว ก็เป็นเพราะเงื่อนไขและแรงจูงใจในการเข้าหาหลันซานของคนทั้งคู่ด้วยก็ได้ จุดนี้ทำให้เห็นข้อเปรียบเทียบระหว่างทั้งคู่ชัดเจน และเข้าใจได้ว่าทำไมเฉียวเฟิงจึงเป็นคนที่ชนะใจหลันซานได้ในที่สุด
.... ซ่งจื่อเจิงเองก็ไม่อยากพูดกับเฉียวเฟิง แต่เขามีคำถามข้อหนึ่งที่ต้องถามให้หายคาใจ "ฉันสงสัยมาตลอด นายทำยังไงถึงได้กำราบเขาได้ นายใช้อะไร"
เฉียงเฟิงส่ายหน้า "คิดผิดแล้ว สิ่งที่หลันซานต้องการไม่ใช่การกำราบ แต่เป็นการปกป้อง" (เล่ม 2 หน้า 289) .... ส่วนตัวมีชอบตรรกะแปลกประหลาดตามหลักสภาวะธรรมชาติที่เฉียวเฟิงมี เช่น มองว่าการออกไปหาอาหารเย็นให้หลันซานคือความไปเป็นทางธรรมชาติที่ตัวผู้ต้องไปหาอาหารให้ตัวเมีย และภูมิใจกับการทำหน้าที่นั้น หรือเมื่อคิดหาของขวัญให้หลันซานแล้วพบว่าเคยเป็นของพระรองมา พี่ชายของเฉียวเฟิงก็ให้คิดว่า ตัวผู้ที่ชนะย่อมจะได้ทั้งตัวเมีย และอาณาเขตเดิม
โดยรวม เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อ่านแล้ว feel good ได้ง่ายๆ โดยเฉพาะเมื่อพระนางใช้เวลาง่ายๆ สบายๆ และรู้ใจตัวเองเร็ว ช่วงที่เข้าใจกันมีน้อยมาก และเป็นเพื่อให้รู้ใจตัวเองชัดมากกว่าจะเน้นอารมณ์ซึมเศร้าให้นักอ่านหดหู่แต่อย่างใด – ทำให้เห็นว่า สิ่งที่ดีที่สุดก็คือการได้เจอใครสักคน และใช้เวลาร่วมกันจนรู้จักคนคนนั้นจริงๆ และความรักก็เกิดขึ้นเพราะเรารู้จักกัน และอยู่ด้วยกันแล้วสบายใจ เป็นสมการความรักที่ฟังดูง่าย แต่ทำได้ยากในสังคมที่ไปเร็วอย่างปัจจุบัน ก็อ่านซ้ำได้เรื่อยๆ เรื่องหนึ่ง ความรักของเฉียงเฟิง คิดถึงเพลง Better Together ของ Jack Johnson ที่บอกว่าอยู่ด้วยกันแล้วดีกว่า เหมือนตอนที่อยู่คนเดียวได้มาตลอด แต่พอวันนึงคุ้นเคยกับการมีอีกคนก็ทำให้การอยู่คนเดียวที่เคยชิน เหงาขึ้นมาได้ (ฉากที่เรียกหลันซานมากินข้าวที่ห้องตอนดึก/ ความรู้สึกที่อยู่คนเดียวตอนทะเลาะกัน) // อารมณ์เพลงก็นุ่มละมุนเหมือนนิสัยเจ้าตัวเหมือนกัน
There is no combination of words I could put on the back of a postcard No song that I could sing, but I can try for your heart Our dreams, and they are made out of real things Like a, shoe box of photographs With sepia-toned loving Love is the answer, at least for most of the questions in my heart Like why are we here? And where do we go? I'll tell you one thing, it's always better when we're together It's always better when we're together Yeah, we'll look at the stars when we're together And all of these moments Just might find their way into my dreams tonight But I know that they'll be gone When the morning light sings And brings new things For tomorrow night you see That they'll be gone too Too many things I have to do But if all of these dreams might find their way Into my day to day scene I'd be under the impression I was somewhere in between With only two Just me and you Not so many things we got to do Or places we got to be We'll sit beneath the mango tree now I believe in memories They look so, so pretty when I sleep Hey now, and when I wake up, You look so pretty sleeping next to me But there is not enough time, And there is no, no song I could sing And there is no combination of words I could say But I will still tell you one thing We're better together ส่วนของหลันซาน ฝ่ายนี้โผงผางหน่อย แต่ว่าก็ยังแข็งนอกอ่อนในอยู่ดี เป็นเพลง I Like Me Better ของ Lauv นะ // เป็นตัวของตัวเองได้จนกระทั่งอยู่กับอีกฝ่าย To be young and in love in New York City (New York City) To not know who I am but still know that I'm good long as you're here with me To be drunk and in love in New York City Midnight into morning coffee Burning through the hours talking Damn, I like me better when I'm with you I like me better when I'm with you I knew from the first time, I'd stay for a long time 'cause I like me better when I like me better when I'm with you I don't know what it is but I got that feeling (got that feeling) Waking up in this bed next to you swear the room Yeah, it got no ceiling If we lay, let the day just pass us by I might get to too much talking I might have to tell you something Damn, I like me better when I'm with you I like me better when I'm with you ปล. สองเพลงมีคำว่า better เหมือนกัน / พูดถึงตื่นขึ้นมาเจอกันทั้งคู่เลย ก็ให้อารมณ์ห้องติดกันมากินข้าวด้วยกันนะ

Wednesday 22 August 2018

The Legendary Moonlight Sculptor

51+ เล่ม/ เกาหลี

ปฎิมากรในตำนานของเรื่องในตำนาน ส่วนตัวเรื่องนี้ทำให้เกิดกระแสเขียน MMORPG ของเกาหลีหลายเรื่องอย่าง Ark และ Overgeared และอื่นๆ ด้วยเนอะ

Weed เทพสงครามจากเกม Continent of Magic ย้ายมาเล่นเกม Royal Road และระหว่างที่พยายามหาอาชีพสุดเทพอยู่ก็จับพลัดจับพลูไปได้อาชีพลับ Moonlight Sculptor มาโดยที่ไม่อยากได้ แต่ว่าด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจของเจ้าตัวก็อัพเลเวลสกิลอาชีพไปเรื่อยๆ ก่อนที่จะรู้ว่าอาชีพนี้ก็มีดีเหมือนกัน นั่นก็คือ ไม่ใช่แค่เก่งแกะสลักได้สุดเทพ แต่ว่าใช้เป็นตัวโกงได้ตั้งแต่ช่วยสู้ หรือไปถึงวิธีการต่อสู้เอง เรื่องนี้พอหลังๆ แล้วอ่านได้เป็นระยะๆ เพราะรู้สึกว่าเหนื่อยย พูดได้คำเดียวจริงๆ ว่าเหนื่อยแทนคุณพี่พระเอก วันๆ นึงไม่เคยได้หยุดพัก (ตามนิสัยและชีวิตจริงที่ต้องปากกัดตีนถีบดิ้นรนมาตั้งแต่เด็กก็เลยขยัน และรู้ค่าของเงินมาก) อย่างในเกม ถ้าเดินทางนั่งเกวียนอยู่ ก็จะแกะสลักไปด้วย เพื่อเพิ่มสกิลแกะสลัก หรือพอเริ่มรู้ทักษะอื่นอย่างเย็บผ้า ซ่อมของก็วนทำทักษะเหล่านี้ไปเรื่อยๆ เวลาตั้งแคมป์พักก็จะรีบไปตกปลา (เพื่อเพิ่มสกิลตกปลา และถ้าไม่มีคนอื่นไปตกให้) ทำอาหาร ซ่อมอาวุธและเกราะ หนือถ้าลงดันเจี้ยนก็จะตะลุยฆ่าเพื่อเก็บเลเวลและเก็บของได้ไวๆ ความนรกที่ต้องลงดันเจี้ยนกับวีดขอให้ถามรอบตัวดู ไม่ว่าใครก็เลือกที่จะยอมถูกมอนฆ่าแล้วหลุดไปจากดันเจี้ยนทั้งสิ้น ขนาดแกล้งบาดเจ็บ พี่แกยังใช้สกิลพันแผลใส่ยาให้แล้วไล่ไปฆ่ามอนต่อเลย

จริงๆ พี่แกเป็นตำนานได้เพราะความอุตสาหะอดทน แต่ในเกมนี้เสริมสร้างรายได้ประกอบอาชีพขึ้นมาได้เพราะว่าสามารถขายวีดีโอการผจญภัยและการต่อสู้สุดแสนอลังการไปฉายออกทีวีได้ ซึ่งก็กลายเป็นว่าการเล่มเกมและขายลิขสิทธิ์นี้ก็ทำให้วีดพลิกฐานะปากกัดตีนถีบมามีเงิน ซื้อบ้านและมีชีวิตที่ดีขึ้นนอกเกม (แม้ว่าจะยังทำนิสัยปากกัดตีนถีบ แต่เอาเข้าจริงก็รวย บรรดาโปรดิวเซอร์ทั้งหลายต้องออกันมาเข้าพบเพื่อขอซื้อลิขสิทธิ์ และก็ไม่มาเปล่าๆ เพราะรู้ว่าวีดงก ต้องมีของดีๆ แพงๆ มาล่อ เอ๊ย ซื้อใจ) และด้วยพื้นเพเดิม ก็ทำให้เป็นคนมองโลกในแง่ร้าย และคิดด้านลบไว้ก่อน ซึ่งก็ส่งผลต่อทัศนคติและการมองโลกของวีด และโทนรวมๆ ของนิยายอยู่เสมอ

ความสนุกของเรื่องอยู่ที่การผจญภัยไร้ขอบเขต และเพราะเป็นตัวละครที่ได้อาชีพลับ ก็เลยทำให้ได้เควสลับตำนานหายากระดับ A ที่คนทั่วไปไม่สามารถแม้กระทั่งจินตนาการถึง ก็เลยสนุกที่ได้อ่านถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วีดสู้เก่งก็จริง แต่อีกอย่างหนึ่งก็คือมีลูกเล่นมาก ไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าจะสู้ด้วยวิธีนอกกรอบอย่างไรต่อไป อีกอย่างหนึ่งก็คือความดูเหมือนจะไร้สามัญสำนึกของตัวละครหลายอย่างในเกมที่บ้าบอมีลักษณะเฉพาะตัวไปสุดโต่งเลย อย่างเช่น เหล่าอาจารย์และฝูงศิษย์พี่จากโรงฝึกดาบ ที่มาเล่นเกมเพราะต้องการเก่ง และก็ทำทุกอย่างเพื่อฝึกตน แม้จะดูไร้สาระ เสี่ยงตาย อย่างว่ายน้ำข้ามมหาสมุทร กระโดดลงจากยอดเขาตัวเปล่า ด้วยคติประจำใจ ว่าถ้าไม่ตายก็เก่งเอง หรือตายไปก็ทำจนกว่าจะเก่งแล้วเลิกตาย ซึ่งหลังๆ ก็เริ่มมีเป้าหมายเพิ่มขึ้น คือ กินอาหารกินเหล้า (ที่ทำไม่ได้ในชีวิตจริง เพราะเป็นนักกีฬา) ไปจนถึงจีบสาวติดและมีแฟน (โถ) หรือลัทธิโจ๊กหญ้าที่ศรัทธาวีด (?) ที่มารวมกันเป็นหลักล้าน ทรงพลังเพราะจำนวนและศรัทธาที่ดูเกินเหตุ จนถึงขั้นเป็นช้างล้มมดได้ตอนกิลด์ตัวร้ายบุกมากะโค่นวีดและเมืองที่วีดปกครอง

ถึงแม้จะดูหม่นหมองในบางที แต่เรื่องนี้ก็มีความรักซ่อนอยู่เหมือนกัน นั่นก็คือ วีดได้เจอผู้หญิงที่มาเล่นเกมเพราะมีปัญหาทางในใจ แล้วด้วยความที่วีดใช้หน้านางเอกในการแกะสลักหลายครั้ง ก็เลยกลัวตัวเองจะถูกคุณเธอฆ่าตาย เลยพยายามทำอาหารให้ตอนที่จับพลัดจับพลูเดินทางร่วมกัน หลายครั้งเข้าก็เกิดเป็นความรู้สึกที่ดี และเป็นความรัก ซึ่งทางผู้หญิงชัดมาก ถึงขั้นที่เป็นสายเปย์ทุ่มเท เช่น เกิดปณิธานว่าจะต้องเก่งขึ้นกว่าเดิม (จากที่โหดมากอยู่แล้ว) เพื่อปกป้องวีด หรือว่าถึงขั้นไปซื้อบ้านอยู่ติดกับวีดในชีวิตจริง ซึ่งในเชิงจิตวิทยา ก็ดีว่า เป็นคนเข้าหาวีดก่อน เพราะทางนั้นมีจุดอ่อนที่กลัวว่าจะดึงผู้หญิงสักคนมาอยู่ด้วยแล้วลำบาก และมองว่าความรักเป็นเรื่องของการเปลืองเงิน (ต้องใช้เงินเพื่อผู้หญิง) ถึงขั้นมีแนวคิดว่าผู้หญิงก็เสมือนฮิปโปเขมือบเงิน ดังนั้นก็เลยกลายเป็นความรักที่เกิดจากการอยู่ร่วมกันและเห็นและเข้าถึงตัวตนอีกฝ่าย และก็เติมเต็มกันและกันได้พอดี  อย่างไรก็ตาม รู้สึกผิดคาดหน่อยว่า มีผู้หญิงที่เหมือนจะเป็นความรักของวีดออกมา แต่ว่าบทบาทกลายเป็นแค่ตัวรอง และหายไปเงียบๆ ทั้งที่มีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาต่อไป แต่ก็นะ คนเขียนเขียนทางนางเอกโดยปูทางมานาน และนางเอกเองก็เข้าหาวีดอย่างที่อีกคนไม่ได้ทำด้วย – สุดท้ายแล้ว ความรักก็เป็นเรื่องของการลงมือนั่นเอง (ไม่เกี่ยวกับนิยายแล้ว)

มีจุดหงุดหงิดอยู่อย่าง ก็คือกิลด์ตัวร้ายที่ตั้งตัวเป็นใหญ่ และจองล้างจองผลาญพี่วีด ซึ่งจริงๆ เขียนให้มีศัตรูก็สนุกอยู่ แต่ส่วนตัวเวลาเชียร์ใครก็เทตัวไปเกินร้อย ทำให้รำคาญคลุ้มคลั่งทุกครั้งที่อ่านเจอพวกนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่า พวกนี้วางแผนกำจัดวีดอย่างไร แล้วที่สำคัญที่น่าเหนื่อยหน่ายก็คือ มีหลายครั้งที่วีดต้องพ่ายแพ้เสียด้วย โดยพวกกิลด์นรกนี่ชอบมารุมตีวีดตอนอยู่คนเดียว และกำลังเหนื่อยจากการปราบบอส คือโกงไม่รู้จะโกงอย่างไร และก็รอ ร๊อ รอวันคืนที่จะได้เห็นพวกนี้ล่มสลายไปจากสารระบบเสียที (ฉันเกลียดพวกแก)

Overgeared

878+ ตอน/ เกาหลี

อืม เรื่องนี้ Grid พระเอกเปิดตัวได้ได้อาชีพลับเป็นช่างตีเหล็กในตำนานโดยบังเอิญ และด้วยความซวยก็ทำให้การตีอาวุธไม่ไปถึงไหนสักที แต่จริงๆ กลับเป็นเรื่องดี เพราะเปิดโอกาสให้ได้สามารถอัพเลเวล+สกิลทางการต่อสู้ไปด้วย ยิ่งเมื่อประกอบกับอาวุธและชุดที่ทำเองและไร้เทียมทานก็ยิ่งเก่งเข้าไปใหญ่ นอกจากนี้ด้วยความที่สามารถสร้างอาวุธสุดโกงได้ก็เลยดึงดูดคนอื่นมาให้อยู่รอบตัว ซึ่งเมื่อตอนแรกพวกนี้ก็มาเพราะของ แต่ไปๆ มาๆ พอพระเอกเริ่มประสบความสำเร็จ นิสัยเปลี่ยนจากเห็นแก่ตัว และมองโลกในแง่ร้าย เป็นเชื่อในพวกพ้อง คนอื่นก็เลยมาอยู่ด้วยเพราะศรัทธาจริงๆ กลายเป็นกองทัพ Grid believers ซึ่งจุดนี้ก็เปลี่ยนตัวตนพระเอกนอกเกมไปด้วย จากที่ถูกตราหน้าว่าเป็นพวกขี้แพ้ ไม่ประสบความสำเร็จ ก็ประสบความสำเร็จ และมีชื่อเสียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกที่การเล่นเกมนี้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ดังไม่ดังก็คิดดูว่ามีคนพูดว่า “ไม่รู้จักประธานาธิบดีเกาหลีใต้ไม่เป็นไร แต่ต้องรู้จักเทพกริด”

ตัวละครและพรรคพวกพระเอกเหมือนจะปกติ แต่ทุกคนจะมีความบ้าคนละอย่าง อย่าง Lauel ถูกมองว่าเป็น Top 10 Rookie มีความสามารถวางแผนและจัดการ แต่มีความจูนิเบียวสูงมากกอย่างน่ากลัว / Damien พาราดินที่กลายมาเป็นโป๊ป อวยกริดสุดหัวใจ และมีความเป็นโอตาคุบ้านักสู้ศักดิ์สิทธิในนิกายตัวเอง (ขอให้ดูชุดเกราะให้ละเอียด) /Piero NPC ระดับเทพที่ผันตัวเองจากสุดยอดนักดาบมาเป็นชาวนา (ด้วยความไม่รู้ของ Lauel) บ้าคลั่งทำนา และทำทุกอย่างเพื่อการทำนา (แม้กระทั่งการลักพาตัวคนที่สู้แพ้มาทำเอง จนเกิดเป็นเควสลับ) แม้กระทั่งทิ้งการเป็นเทพดาบเพื่อเป็นชาวนาในตำนาน / Hao เปิดตัวมาดูเคร่งขรึมเย็นชา แต่ปัจจุบันถูกกริดพาไปกินอาหารจีนราคาถูกจนคุณชายหลงใหลผงชูรส (บทที่ 630) ไปแล้วไหนจะกิน  sweet potato latte เพราะอยากเก่งเหมือนกริดอีก ความบ้าบอนี้ // ล่าสุด ที่เห็นพีคหนักก็คือที่มโนกลุ่ม คิดว่ากริดทำอาวุธล้มเหลวแล้วอยากจะช่วยปลอบใจโดยยอมให้ซ้อม ก่อนจะกรีดเพราะรู้ว่ากริดมีอาวุธเลเวลอัพอีกแล้ว ตามชื่อเรื่องจริงๆ

จุดแข็ง การสร้างโลกในเกมที่ให้ NPC ที่บทบาทมาก และอาชีพลับที่หลายหลาก // ความสนุกอย่างหนึ่งคือการได้ดูความเทพของกริดที่ซ้อมคนได้ด้วยอาวุธที่ตัวเองทำ และปัจจุบัน พอตั้งอาณาจักรตัวเองสถาปนาตัวเองเป็นกษัตริย์ได้ก็ลามไปถึงการใช้อาวุธล่อผู้เล่นอาณาจักรอื่นมาช่วยทำเควสพัฒนาเมืองตัวเองได้ (ซึ่งก็ได้ผล โถ) การสู้ของกริดก็สนุก เพราะว่าตัวเองเก่ง อาวุธก็ดี แถมยังมีฉายาทั้งหลายที่เป็นตัวช่วยโกงอีก ทำให้ต้องลุ้นต่อไปว่าเดี๋ยวจะเป็นอย่างไร และเดี๋ยวจะเกิดอะไรขึ้น กับอีกอย่างคือ ความสนิทสนมกับ NPC ของกริด เพราะหลายเรื่อง จะกลายเป็นว่าเหล่า NPC มีหน้าที่แค่ดำเนินเรื่องเนื้อ แจกเควส ให้รางวัล แค่เรื่องนี้ให้ NPC เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตัวละครหลัก และให้น้ำหนักกับเหล่า NPC สูงมาก เนื่องจากตอนแรกที่กริดเข้ามาเล่นเกม ได้สนิทสนมกับลุงช่างตีเหล็ก Khan ถือเป็นเพื่อนคนแรก และก็แต่งงานมีลูกในเกมอีก ดังนั้น เมื่อให้ค่า NPC สูงก็เลยเห็นความสำคัญของตัวละครเหล่านี้จนถึงขั้นคบหา แม้แต่เป็นพรรคพวก หรือแม้แต่สร้างตัวละคร NPC พิเศษ (ที่ในหนังสือเรียกว่า named NPC) มาได้หลายคน และปัจจุบันกริดก็ยังดำเนินการดูดตัวละครเหล่านี้มาอยู่ในอาณาจักร Overgeared อย่างต่อเนื่อง ซึ่งความอลังการที่สุด ก็คือไปช่วยเจ้าเมืองกับลูกสาวในทวีปตะวันตกมา จนถึงขั้นชาวเมืองหลักหมื่นตัดสินใจมาตั้งรกรากที่อาณาจักรด้วย (ซึ่งถ้าไม่มีข้อจำกัดของม้วนคาถาวาร์ปคงได้หลักแสนต้นๆ แทน)

ความน่ารักอีกอย่างคือ ในชีวิตจริง กริดล้มเหลวมาก่อน และพอประสบความสำเร็จในเกมก็กลายเป็นประสบความสำเร็จได้ทั้งกล่องทั้งเงินในชีวิตจริงด้วย ก็ขอสรุปประโยคยอดฮิต Items. It is the power of items.จากที่คำว่า Overgeared เป็นคำด้านลบว่าเน้นเกราะกับอาวุธดีไว้ก่อน ก็กลายเป็นด้านบวกไป (มีปัญญาหาของดีมาเสริมตัวเองได้ ถือว่าเก่ง เพราะว่าช่วยอัพตัวเองได้อีกเยอะ) ก็เป็น sun-graded players กันไปเนอะ :)

ปล. ข้อเสียที่เห็นคือด้วยความที่ตัวละครมีเยอะ ช่วงนี้ตัวละครหลายๆ ตัวที่ออกมาตอนแรกหายไปเยอะเหมือนกัน มีพวกที่หายแล้วหายลับก็มี หรือบางทีก็เป็นแนวนานๆ ทีออกมา (ซึ่งก็เป็นปกติเนอะ)

Human (/demon)/ Blacksmith (Pagma’s Decendent )/ Game: Satisfy

Reign of Hunters

468 ตอน (จบแล้ว)/ จีน

Ye Ci ตัวเอกย้อนเวลากลับมา 10 ปีที่แล้ว ด้วยความที่เมื่อก่อนนิสัยไม่ดี เห็นแก่ตัวก็เลยไร้เพื่อน ไร้ครอบครัว ตอนนี้พอมีโอกาสก็เลยเปลี่ยนแปลงทุกอย่างใหม่ สนุกเพราะตัวเอกเก่ง เพราะทั้งมีความสามารถ แล้วก็มีความรู้จากชาติที่แล้วมาช่วย เน้นทั้งเนื้อหาในเกมแล้วก็ความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ นอกเกม สิ่งดีงามอย่างหนึ่งก็คือตัวละครหลักเป็นผู้หญิงทำให้ relate ได้ แล้วก็มีความรักเล็กๆ น้อยๆ มาพอเป็นกระสาย จริงๆ คิดว่าคุณพี่ GM จะเป็นพระเอก แต่พลาดไปเล็กน้อย แต่คุณพี่เอลฟ์ก็ไม่เสียหาย แถมยังเป็นนักล่า god-tiered เก่งเทพเหมือนกันอีก ความสัมพันธ์ไปในเชิงกัดจิกเพราะคุณนางเอกไม่ค่อยอ่อนหวาน โดยเฉพาะติดนิสัยเย็นชาจากอดีตชาติมา แต่เวลานางเอกถูกพี่เอลฟ์ยั่วโมโหนี่ก็ขำมาก โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงว่าอยู่ในสถานการณ์ที่จริงจังมากกว่าจะมาล้อเล่น และตัวคุณพี่เอลฟ์ก็ดูเป็นแนวนิ่งๆ เป็นผู้ใหญ่ขรึมเทพจริงจังเกินกว่าจะเชื่อได้ว่ามีความสุขกับการมานั่งแกล้งสาวเป็นระยะๆ อย่างการส่ง world message ไปก่อกวนถึงขั้นที่ทำให้คนทั้งเกมลุกมาสงสัยว่าทั้งสองคนเป็นอะไรกันหรือเปล่า แต่ก็ฮือ อีกกว่าเกือบร้อยบทกว่าเค้าจะจีบกันจริงจัง

อย่างที่บอกว่า ชอบอีกอย่างที่ชาติที่แล้วเป็นคนไม่ดี ไม่มีใครคบ ชาตินี้ก็เลยพยายามแก้ตัว และเพราะความที่รู้จักผู้เล่นในเกมที่เก่งๆ จากชาติที่แล้วมาได้ ชาตินี้ก็เลยผูกมิตรทำความรู้จักคนไว้ทั่ว แล้วที่ไม่คาดคิดก็คือ ได้มาอยู่ในกิลด์เดียวกันโดยมีนางเอกเป็นศูนย์กลาง โดยที่แต่ละคนก็ยอมรับนางเอกอย่างที่ตัวเองเป็นแล้วก็ปล่อยให้ทำอะไรได้ตามใจ เพราะเชื่อใจ และรู้ว่านางเอกเป็นพวกเย็นอยู่ข้างนอกแต่ร้อนอยู่ข้างใน

ข้อเสียอย่างหนึ่งที่ไม่ค่อยชอบก็คือบางทีนางเอกก็เย็นชา เห็นแก่ตัวเองไปหน่อย อย่างกรณีรับ Pure Essence เข้ากลุ่มนี่ รู้สึกว่าแผนการใจร้ายมาก กับไม่ชอบที่พวกเพื่อนเก่าสมัยเด็กนางเอกที่นิสัยน่ารำคาญกลับมามีบทบาทก่อกวนนางเอกเป็นระยะๆ เมื่อไหร่จะแก้เกมเรื่องนี้ได้ถาวรเสียที?

เรื่องนี้อ่านๆ หยุด ๆ เพราะคนแปลไม่ค่อยคืบหน้า บางทีก็จะไปอ่าน MTL จีนเวลาอ่านรู้มากๆ เหมือนกัน

Elf/ Huntress/ Game: Fate

Monday 20 August 2018

อาจารย์หญิง โดย เทียนหรูอวี้/ ถังเจวี้ยน

“โพธิสัตว์กับมารร้าย ... เหรอ?”

////เวอร์ชั่นรีวิวยาว////

เห็นเรื่องนี้จากบททดลองอ่านของแจ่มใสในเด็กดี ไปลองอ่านเล่นๆ แต่ว่าสองบทก็ติดหนึบได้ ถึงขนาดลงแดงให้ออกเสียที แล้วก็บ้าไปอ่าน MTL จนจบเล่มหนึ่งไปก่อนวิ่งไปซื้อจริง ลงทุนไหมล่ะ

ถ้าไม่คิดอะไรมาก สองคนนี้ก็เหมือนจะมีชีวิตที่สมบูรณ์พร้อม ไป๋ถานเป็นลูกสาวขุนนางใหญ่ แต่ขัดแย้งกับพ่อก็เลยออกมาอยู่คนเดียวด้วยการสอนหนังสือบุตรหลานขุนนาง ดูมีอิสระเสรีแตกต่างจากบุตรสาวขุนนางอื่น ยากจนแต่ก็มีเกียรติ แต่ทว่ากรอบที่ตัวเองสร้างไว้ในฐานะอาจารย์ก็ทำให้เกิดหัวโขนใหม่ที่ต้องแบกรับด้วยตัวเองตามลำพัง ส่วนหลิงตูอ๋อง หรือซือหม่าจิ้น เป็นอ๋องที่ฮ่องเต้หนุนหลังจนทำตามใจตัวเองได้เต็มที่ และก็มีอำนาจทหารมากล้นในมือ แต่ถ้าดูเบื้องหลัง ซือหม่าจิ้นเป็นพระโอรสฮ่องเต้องค์ก่อนก็จริง แต่เมื่อเกิดกบฎ พระบิดามารดาถูกฆ่าตาย หลังจากการปราบกบฎเสร็จสิ้นกลับเหลือแค่ยศ จนต้องไปเป็นทหาร และใช้การฆ่าคนเป็นการระบายออก

แท้จริงแล้ว สองคนควรต่างคนต่างอยู่ จนกระทั่งไป๋ถานจับพลัดจับพลูไปอยู่ในฐานะอาจารย์ของซือหม่าจิ้น และฝ่ายหลังก็ดูคล้ายจะทำทุกอย่างเพื่อเปลี่ยนสถานะระหว่างกัน  โดยเฉพาะเมื่อทั้งสองมีอดีตร่วมกันมาก็ทำให้ความผูกพันลึกซึ้งขึ้น

เรื่องเปิดมาด้วยโทนเบาสมองที่มีไป๋ถานกับซือหม่าจิ้นพยายามกำหนดกรอบความสัมพันธ์ระหว่างกันและพยายามเอาชนะกันและกันเป็นระยะๆ โดยที่คนรอบตัว ไม่ว่าจะเป็น ไป๋ต้ง น้องชายของไป๋ถาน ซีชิง เพื่อนสมัยเด็กของไป๋ถานและหมอประจำตัวซือหม่าจิ้น ฉีเฟิงกับกู้เฉิง คนสนิทและรองแม่ทัพของและซือหม่าจิ้น มาช่วยสร้างความอลหม่านวุ่นวาย อย่างไรก็ตาม สองเล่มต่อมาโทนเรื่องเริ่มหนักขึ้นมา ในเล่มสองอำนาจทหารที่มากเกินไปในมือกับนิสัยรุนแรงของซือหม่าจิ้นก็ทำให้คนพยายามจ้องจะโค่นล้มอำนาจของหลิงตูอ๋องถึงขนาดถูกจับขังคุก และเรียกยศคืน และเล่มสามก็เปิดประเด็นกลับไปที่เบื้องหลังการกบฎในครั้งก่อน

ความดีงามของเรื่อง หลักๆ อยู่ที่สองปัจจัยคือ ตัวละคร ซึ่งปกติแล้ว ชอบนางเอกที่เก่งและฉลาด ซึ่งเรื่องนี้ก็ทำไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ ออกมาตั้งแต่ตอนต้นก็รู้สึกว่านางเก่ง ตอนที่หนังสือจบสามเล่มก็ยังรู้สึกเหมือนเดิม ไป๋ถานเอาตัวรอด และพึ่งพาตัวเองได้ และยิ่งเมื่อผูกพันกับซือหม่าจิ้นไม่ว่าจะด้วยฐานะอาจารย์หรือคนรักในภายหลังก็ปกป้องและดูแลซือหม่าจิ้นด้วย คิดเผื่อและกล้าที่จะออกมาเข้าข้าง แม้ว่าจะต้องขัดกับคนทั้งโลก โดยที่เข้าใจว่าซือหม่าจิ้นเป็นอย่างไร และรักอีกฝ่ายในแบบที่ซือหม่าจิ้นเป็น (อย่างเช่นมีฉากที่ซือหม่าจิ้นฆ่าฝ่ายกบฎไปหลังจากประกาศว่าจะเลิกฆ่าคน และทุกคนก็มองว่าหลิงตูอ๋องเหี้ยมโหด แต่ทางไป๋ถานกลับรู้ว่าต้องมีเหตุเบื้องหลังเป็นสาเหตุมากกว่าเป็นตัวที่ซือหม่าจิ้นเอง)

ส่วนในฐานะพระเอก ส่วนหลิงตูอ๋องไม่ใช่คนที่สมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อประกอบกับความเจ้าอารมณ์และรุนแรง แต่เมื่อมาอยู่ด้วยกัน ซือหม่าจิ้นอ่อนข้อให้ไป๋ถานมาก และให้เกียรติรักษาชื่อเสียงให้อีกฝ่ายจริงจัง ถึงขั้นดูแลลูกศิษย์ของไป๋ถานอย่างโจวจื่อให้ด้วยซ้ำ เมื่อสองคนมาอยู่ด้วยกัน และรักที่ตัวตนที่เป็นจริงๆ ก็เลยกลายเป็นคู่ที่ส่งเสริมกันและกัน รู้ใจเข้าใจกันและเป็นจุดเด่นให้กลบจุดด้อยอีกฝ่าย มีหลายฉากที่ไป๋ถานใช้การประลองปัญญาหรือแม้กระทั่งลับฝีปากกับขุนนางโฉดหรือแม้แต่ฝ่ายกบฎ เพื่อถ่วงเวลาให้ซือหม่าจิ้นยกกำลังทหารมา ถึงขั้นที่ไป๋หยั่งถัง บิดาไป๋ถานยังคิดว่าสองคนประสานงานเข้าขากันได้อย่างน่าประหลาดใจ (ถ้าจับคู่นี้อยู่ด้วยกัน ฝ่ายศัตรูก็คงเรียกคู่นี้ว่า คู่นรก ได้อย่างเดียว)

ในนิยายก็สร้างปมไป๋ถานในใจซือหม่าจิ้นมาให้คนอ่านเห็นตั้งแต่ต้นนะ ซึ่งในอดีตตอนที่หนีกบฎอยู่ ซือหม่าจิ้นไม่มีใครรอบตัว และก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เพราะกลัวว่าจะถูกลูกหลงและถูกฆ่าตายไปด้วย แต่ไป๋ถานกลับไม่สนใจและคิดว่าเป็นหน้าที่ที่ตัวเองในฐานะตัวแทนของตระกูลที่จะต้องคอยดูแลซือหม่าจิ้น จนเมื่อทั้งคู่แยกจากกันไป และแม้ไป๋ถานจำเรื่องนี้ไม่ได้ แต่ไป๋ถานก็กลายเป็นแสงสว่างในใจซือหม่าจิ้นมาตลอด มีอะไรก็นึกถึง อย่างที่เจ้าตัวก็ยอมรับออกมาว่าไป๋ฉานคือยาที่ดีที่สุดของตัวเอง ยิ่งเมื่อต้องกลายมาเป็นอาจารย์ การได้ใกล้ชิดผูกพันก็เลยอยากจะเปลี่ยนสถานะให้มากกว่าแค่อาจารย์

ซึ่งในช่วงเล่มแรกก็อย่างที่ มากกว่ารัก โปรยไว้ คือส่งสายตาวิบวับให้เป็นระยะ นอกจากนี้ ยังมีถึงเนื้อถึงตัว แล้วก็พูดจาเป็นนัยลึกซึ้งอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง ซึ่งพอไป๋ถานคาดคั้นก็จะทำไม่รู้เรื่อง หน้านิ่งไปทุกครั้ง เป็นการจีบแบบซึนโฉบไปโฉบมาทุกระยะทีละเล็กละน้อย และถ้าคิดว่าพฤติกรรมจีบโฉบยังไม่พอ ก็ขอให้มาดูนิสัยอ๋องที่หล่อเหลา ภูมิฐาน เปี่ยมไปด้วยสง่าราศี (คำไป๋ถาน) แต่ภายในเป็นเด็กผ้าห่มขาด ขาดความรัก และขี้อิจฉาประกอบเพิ่ม

ซือหม่าจิ้นกล่าว “ช้ามีท่านเป็นอาจารย์เพียงคนเดียว ทว่าท่านกลับมีศิษย์อยู่ที่ภูเขาตงซานมากมาย ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย”

ไป๋ถานเอ่ยอย่างรู้สึกขบขัน “ท่านอ๋องคาดหวังให้อาจารย์สอนท่านเพียงคนเดียวหรือไร”

“ข้าหวังให้เป็นเช่นนั้นจริง” สายตาของซือหม่าจิ้นพลันสว่างเจิดจ้า
(หน้า 167)

... ซึ่งสำหรับไป๋ถานแล้ว แม้ชื่อเสียงที่สั่งสมมาเป็นหน้าตาที่สำคัญที่สุด แต่ชอบปมหนังสือที่พอเจ้าตัวบอกว่าถูกลากลงน้ำจนชื่อเสียงเสียหายหมดแล้ว จารีตข้อห้ามระหว่างศิษย์อาจารย์ตัวนี้ก็ไม่สำคัญ และให้ได้ทำอย่างที่ใจอยากไป ตอนที่เจ้าตัวหนีไปกับซือหม่าจิ้นหลังอีกฝ่ายถูกถอดยศ ซึ่งก็กลายเป็นว่าเป็นการพิสูจน์ใจไป๋ถานสำหรับซือหม่าจิ้นไปด้วย เพราะถึงแม้ว่าจะเป็นสถานการณ์ที่ตกอับที่สุดสำหรับเจ้าตัวก็จริง แต่ทางซือหม่าจิ้นก็มีทางออกแก้สถานการณ์ที่ไป๋ถานไม่รู้ไว้อยู่

หรือตอนความรู้สึกชัดเจนกับซือหม่าจิ้นแล้วก็แน่วแน่ อย่างตอนที่ทูลตอบฮ่องเต้ไป เมื่อเรื่องที่ซือหม่าจิ้นคิดตบแต่งตัวเองถูกครหาเพราะผิดจารีต

“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ใช่คนไร้หัวจิตหัวใจ หลิงตู๋อ๋องรักมั่นต่อหม่อมฉันลึกซึ้ง หม่อมฉันไม่มีวันทอดทิ้งหรือไม่ไยดีเขาเพียงเพราะคำครหาไม่กี่ประโยคหรอกเพคะ หากเขายืนกรานจะเดินต่อ หม่อมฉันก็จะร่วมทางกับเขาจนถึงที่สุดเพคะ”

ฉากที่เห็นถึงความเชื่อมั่นมากๆ ก็คือฉากที่ซือหม่าจิ้นถูกเปิดโปงเรื่องอาการป่วยต่อหน้าคนทั้งกองทัพ แล้วพยายามยืนหยัดขึ้นมาสู้กับฝ่ายตรงข้าม

“ไป๋ถานล่วงรู้ถึงความคิดของเขา นางกุมฝ่ามือใหญ่ที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อก่อนจะค่อยๆ คลายมือออก เดินไปด้านข้างจูงม้าของเขามา

ไป๋ถานสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนวางเชือกบังเหียนลงในมือของซือหม่าจิ้น “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าโรคนี้จะทรมานท่านไปชั่วชีวิต”

ปัจจัยอีกอย่างที่ชอบมากก็คือ ตลกร้ายในเรื่อง อารมณ์กัดจิกเสียดสีเรียบเอื่อยมาเป็นระยะๆ ซึ่งอารมณ์ขันแบบนี้และระดับนี้เป็นสิ่งที่ชอบมาก และเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยเจอเท่าไหร่ มีตั้งแต่ไป๋ถานคิดกับตัวเอง เสียดสีทั้งตัวเองและคนอื่น หรือแม้แค่ความคิดของคนรอบตัว ดังเช่นตอนนี้

“อู๋โก้ว [ลูกศิษย์และเด็กรับใช้ของไป๋ถาน] ที่อยู่ด้านข้างตั้งใจตรึกตรองหลักใหญ่ใจความบทสนทนาของทั้งคู่อยู่ชั่วครู่ เนื่องจากคนฟังไม่เข้าใจ สุดท้ายจึงตีความไปว่าเป็นวาจาที่ไร้แก่นสาร”

ซึ่งตลกร้ายอันนี้ก็เป็นสิ่งที่เดินเรื่องให้สถานการณ์ที่เข้มงวดมากขึ้นเรื่อยๆ ยังอยู่ในบรรยากาศที่ไม่เครียดขรึมจริงจัง โดยเฉพาะเมื่อตัวละครหลักตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ชอบมาก มากขนาดที่คิดว่าไม่ได้เจอองค์ประกอบที่ถูกใจขนาดนี้นิยายไม่ว่าจะเป็นฝั่งตะวันตก หรือตะวันออกแบบนี้มานานแล้วนะ คือได้ A+ ไปไม่ต้องคิดให้มากความ สมบูรณ์แบบในตัวเอง ชอบนางเอก practical (ไม่รู้จะเรียกคำนี้ว่าอะไร ที่เรียกรวมว่าฉลาด เข้าใจสถานการณ์รอบตัว รู้อยู่ และเข้าใจคนอื่นได้)  สุดท้ายแล้ว พระโพธิสัตว์ (ฉีเฟิงกู้เฉิงเรียกไป๋ถาน) กับมารร้าย (ไป๋ต้งเรียกหลิงตูอ๋อง .. หรือบางทีกู้เฉิงก็เผลอเรียกนายตัวเองในใจไปด้วย) ดูเหมือนจะเป็นคำเรียกที่อคติไปตามฝั่งหนุนหลัง แต่การเป็นพระโพธิสัตว์ก็เพราะว่าแม้ว่าที่แม้จะหัวก้าวหน้าไม่ทำตามประเพณีก็ต้องอยู่ในกรอบประเพณีเพื่อให้ได้รับความเคารพจากผู้คนในฐานะอาจารย์ (ซึ่งสำคัญมากเพราะทำให้เกิดอาชีพและรายได้) หรือมารร้ายก็มีสาเหตุที่ถูกทำให้กลายเป็นมารด้วยเหมือนกัน สองคนมาอยู่ด้วยกันก็กลายเป็นว่าชีวิตเราไม่สมบูรณ์แบบ แต่เราทำให้ดีขึ้นและสมบูรณ์แบบสำหรับเราได้ โดยเฉพาะเมื่อมีอีกฝ่าย
อย่างไรก็ตาม

ส่วนตัวชื่อเรื่อง ค่อนข้างเรียบเอื่อย แต่นั่นคือ การรู้จักกันในสถานะอาจารย์กับศิษย์นี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคน ไม่ว่าในอดีตหรือปัจจุบัน และก็เป็นหัวใจของเรื่องเช่นกัน

ปมที่หนังสือเขียนไว้ดี คือเบื้องหลังเหตุก่อกบฎ และการแก้เกมการเมืองในตอนท้าย โดยเฉพาะเมื่อดูจากชื่อหนังสือก็ไม่คิดว่าจะไปถึงการชิงบัลลังก์คืนด้วย ซึ่งประเด็นนี้ก็มีซ่อนเงื่อนพอสมควร เพราะเปิดประเด็นมาให้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน หรือซือหม่าเสวียน ปฎิบัติต่อซือหม่าจิ้นดีมาก ดีถึงขนาดที่เหล่าขุนนางยังมองว่าถือข้างอย่างลำเอียงและออกหน้าออกตา แต่จริงๆ กลายเป็นว่า ตัวฮ่องเต้นั่นเองที่เป็นคนจุดชนวนการกบฎขึ้นมาเพราะอยากได้บัลลังก์ไว้เอง และก็ปลอมพระราชโองการแต่งตั้งเพื่อให้ตัวเองมีสิทธิครองบัลลังก์ด้วย (ซึ่งก็เริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากล ตั้งแต่มอบหมายงานสร้างเขื่อนให้ซือหม่าจิ้นทำ ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายเป็นแม่ทัพ ไม่ใช่เสนาบดีงานโยธา) และที่สำคัญก็คือ โรคประจำตัวหรือความโมโหร้ายของซือหม่าจิ้นก็มีสาเหตุมาจากซือหม่าเสวียนทั้งสิ้น

เล่มสามเน้นไปที่การประลองไหวพริบและสู้กันของซือหม่าจิ้นและซือหม่าเสวียน โดยเฉพาะเมื่อฝ่ายหลังออกโรงมาเพื่อจะโค่นซือหม่าจิ้นให้ได้โดยอ้างเรื่องการก่อกบฎขึ้นมา และฝ่ายซือหม่าจิ้นก็ต้องพลิกสถานการณ์กลับให้ทางเมืองหลวงต้องพึ่งพากองทัพของฝ่ายซือหม่าจิ้นด้วย ซึ่งช่วงพลิกเกมกลับระหว่างสู้กันก็มีให้ลุ้นตลอด เพราะต่างฝ่ายต่างแก้เกมกันไปเรื่อยๆ และหลังจากนั้น ช่วงซือหม่าจิ้นปะทะกับเหล่าขุนนางก็สนุก เพราะทางออกเรื่องปัญหาครองราชย์ที่ซือหม่าจิ้นเลือกใช้เป็นการตบหน้าฝ่ายโน้นและทำให้ไม่สามารถแย้งหรือทำให้ขุนนางจากตระกูลใหญ่มีอำนาจเหนือฮ่องเต้าอย่างที่เคยเป็นมาได้เลย – จุดนี้ทำให้เห็นว่าซือหม่าจิ้นฉลาดหลักแหลม และใจเย็นรอเวลาได้ เลยกลับมาสงสัยว่า ตัวตนเลือดร้อนผลุนผลันที่แสดงออกมาตลอด มีส่วนที่แสร้งทำเพื่อให้ฝ่ายศัตรูทั้งหลายนอนใจด้วยหรือไม่

ประเด็นหนึ่งที่สงสัยคือ ซือหม่าเสวียนในสมัยก่อนเป็นอวี้จางอ๋องเคยชอบพออยู่กับไป๋ฉาน แต่เพราะฮ่องเต้องค์ก่อนกำหนดตัวให้คนที่เข้าวังเป็นไป๋ฮ่วนเหมยลูกพี่ลูกน้องของไป๋ฉานแทน ดังนั้น ซือหม่าเสวียนจึงเลือกที่จะทิ้งไป๋ฉานไว้ข้างนอกเพื่อบัลลังก์ แต่ถ้าไม่เกิดโลภในบัลลังก์แล้ว ถ้าเป็นอ๋องตามเดิมต่อไป สองคนก็คงได้อยู่ด้วยกัน ซึ่งพอไป๋ฉานมาเป็นอาจารย์ให้ซือหม่าจิ้นก็เหมือนว่าทำให้กลับไปเกี่ยวข้องกับซือหม่าเสวียนอีกครั้งหนึ่ง และฝ่ายหลังก็แสดงให้เห็นว่ายังคิดถึงความหลังอยู่เสมอ (โดยเฉพาะฉากที่เห็นไป๋ฉานอารมณ์ดีหลังแต่งกลอนเสร็จแล้วตัวเองยืนดูไปยิ้มไปอยู่ข้างนอก) ... ทั้งที่เป็นตัวร้าย และเมื่ออ่านเรื่องราวของซือหม่าจิ้นที่ถูกกระทำมาตลอดก็รอคอบให้อ่านถึงตอนซือหม่าเสวียนถูกเปิดโปง และถูกลงโทษไวๆ แต่กลายเป็นว่าฉากที่ซือหม่าเสวียนแพ้ซือหม่าจิ้นและถูกจับตัวไปนั้น ไม่ได้สะใจเลย มีแต่ความเศร้าใจกับสงสารแทน

ซึ่งนั่นแหละ ถ้าไม่เกิดกบฎ ซือหม่าจิ้นก็คงไม่ได้เจอไป๋ฉาน เจ้าตัวคงมีบุคลิกเรียบร้อยนิ่งเย็นไม่โมโหร้ายมีปมเหมือนในปัจจุบัน และก็คงรับไป๋ฮ่วนเหมยเข้าวังไป

ปล. จริงๆ ตอนพิเศษเรื่องของไป๋ต้งค่อนข้างคาดเดาได้อยู่นะ อยากอ่านเกี่ยวกับซีชิงมากกว่า รู้สึกว่าคนนี้ดูเริงร่าบ้าบอก็จริง แต่ดูมีปมที่ซ่อนไว้ความตลกไร้สาระเยอะ อยากให้ตัวประกอบที่มีความสำคัญกับเรื่องนี่มีความสุข อย่าง หวังฮ่วนจือ ก็เหมือนกัน ลูกชายคนโตของอัครเสนาบดีกลับมาทำงานให้กับซือหม่าจิ้นทั้งที่ๆ ผู้เป็นพ่ออยู่ฝ่ายตรงข้ามกับซือหม่าจิ้นแท้ๆ คนนี้ก็มาแนวเดียวกัน คือดูไร้สาระ เสเพล ไม่เป็นแก่นสาร แต่จริงๆ ทำงานอยู่เบื้องหลัง

อืม สรุปความรู้สึกของซือหม่าจิ้นที่มีกับไป๋ฉาน คือ Addicted to You ของ Picture This นะ ผูกพัน ลุ่มหลง ยึดติด ตร๊งตรงงง....

Well I don't really know what you want
But I hope it's me
Am I right, or am I wrong?
And you don't really know what I'm like
But you hope I'm nice

And I'm so in love with you
Do anything you tell me to
You got me in the palm or your hand
I'm borderline obsessed with you
I wanna see your every move
I hope that you understand
I'm addicted to you
And only you
And I am surviving on you
And only you
And I'll come running every night
I'll take you to another life
Where only you and I can ever go
And we swear it's never cold outside
And nobody can ever find us
I don't really mind once you know

ส่วนของไป๋ถาน คิดถึงเพลง I’m Yours ของ Jason Mraz ที่สุด ถึงแม้เพลงนี้จะดูโหลไป แต่ดูเป็นความรู้สึกตอนที่ถูกวนเวียนจีบทำคะแนนของท่านอ๋อง // กับตอนที่คิดว่าจะยอมทำตามใจมาก
Well you done done me and you bet I felt it
I tried to be chill but you're so hot I melted
I fell right through the cracks
And now I'm trying to get back
Before the cool done run out
I'll be giving it my best-est
And nothing's going to stop me but divine intervention
I reckon it's again my turn,
To win some or learn some
But I won't hesitate no more, no more
It cannot wait, I'm yours

There's no need to complicate
Our time is short
This is our fate, I'm yours