Thursday 9 May 2019

อย่าเก็บของตกพื้นขึ้นมาเลี้ยง By larza

เริ่มอ่านเพราะว่า เป็นเรื่องของพ่อมดกับมังกร เอาจริงแค่มีอย่างใดอย่างหนึ่งก็พร้อมจะวิ่งเข้ามาอ่านแล้ว แต่คราวนี้มาด้วยกันแบบนี้ก็เลยยย อืมม อ่านค่ะ อ่าน!

ตอนแรกไม่กล้าคาดหวังอะไรมากด้วยซ้ำ เพราะว่าแม้จะเปิดฉากมาเป็นยุคเรืองปัญญา แต่เวลาอ่านพวก historical fantasy จะติดภาพยุคกลางในหัว แล้วความยากลำบากปัญหาอุปสรรคเยอะก็มักจะมาเป็นพรวนทุกที (อยากจะพูดว่า hardships กับ sufferings) ก็เลยไม่กล้ารักเรื่องนี้หรือทุ่มลงไปสุดตัว จนกระทั่งแน่ใจได้ว่า จบแบบสุขนิยมนั่นแหละ



อืม ไม่รู้ว่าจะเริ่มกรี๊ดว่าชอบที่ตรงไหนน ส่วนตัวพล็อตที่ดีที่สุด คือไม่มีพล็อตซับซ้อนอะไรเยอะ แต่เน้นให้เห็นถึงความสัมพันธ์และความผูกพันของคนสองคนที่ค่อยๆ เพิ่มเข้ามา และในแง่นี้ “อย่าเก็บของตกพื้นขึ้นมาเลี้ยง” ก็ตอบโจทย์ในข้อนี้ได้เต็มที่ 

เราก็เลยได้เห็น “เอริค” ผู้ชายที่ดูเหมือนจะเย็นชา และไม่สนใจใคร เก็บลูกสัตว์ที่อยู่ริมแม่น้ำ อย่าง “เลโอ” มาเลี้ยงโดยบังเอิญ แม้ว่าจะเป็นพวกที่ไม่อยากยุ่งกับใคร แต่เพราะความรับผิดชอบ และความใจอ่อนก็เลยทำให้เปิดใจรับเลโอมาอยู่ด้วย และเพราะจะต้องเลี้ยงแล้ว ก็ต้องใส่ใจและให้คุณค่ากับอีกฝ่ายไปด้วยพร้อมกัน

ขณะเดียวกัน เลโอ เลเวียธานตัวจิ๋วในครั้งแรกก็หนีมาเพราะถูกทำร้ายหลังจากที่คนที่เลี้ยงเดิมรู้ว่าเลโอไม่ใช่มนุษย์ และดังนั้น การเคยถูกปฎิเสธและหนีตายมาก็ทำให้เลโอโหยหาความรักและการยอมรับจากอีกฝ่ายมากโดยที่ไม่รู้ตัว หรือแม้ว่าจะรู้ตัวพันธะสัญญาที่มีเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด ก็ยิ่งเป็นตัวเร่งให้เลโอสร้างความใกล้ชิดกับเอริคมากขึ้นไปกว่าเดิม

และดังนั้น แม้จะอยู่ด้วยกันโดยจับพลัดจับพลูในครั้งแรก แต่เวลาก็ทำให้คนแปลกหน้าสองคนกลายเป็นคนสำคัญของกันและกันไป ชอบที่ตัวเอริคแม้จะดูไม่ยินดียินร้ายกับใคร แต่จริงๆ เป็นเพราะสีผมสีตากับสภาพอมตะของตัวเองทำให้เจ้าตัวต้องสร้างกำแพงล้อมรอบตัวเองไว้เพื่อไม่ให้ใครสามารถเข้ามาผูกพันจนมีความสำคัญกับตัวเองได้ และเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเจ็บปวดหากจะต้องรู้จักและใกล้ชิดกับมนุษย์คนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่ออีกฝ่ายจะถูกกำหนดให้พรากจากกันด้วยอายุขัยแบบมนุษย์

ยิ่งไปกว่านั้น นอกเหนือจากการกันคนอื่นออกไป เอริคก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับตัวเองด้วยซ้ำ เพราะสำหรับเจ้าตัวเอง สภาพอมตะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่ควรจะเกิด และก็เป็นคำสาปและตราบาปสำหรับเจ้าตัว แทนที่จะเป็นคำอวยพรสำหรับชีวิตนิรันดร์ เพราะการอยู่โดยไม่มีคนรู้จัก และต้องคอยระวังตัวตนของตนเองอยู่เสมอก็ทำให้การมีชีวิตอยู่เป็นความทรมานอย่างหนึ่งที่จะตายก็ไม่ได้ และก็อยู่ต่อไปเพราะต้องอยู่

ในแง่นี้ การที่มีเลโอเข้ามา และใช้ความเป็นเด็กและสัตว์วิเศษที่ไม่สนใจกรอบของสังคมและประเพณี ก็เป็นการช่วยค่อยๆ ทำลายกรอบที่ล้อมรอบตัวของเอริคลงทีละน้อยๆ และการที่เข้ามาอยู่ใกล้ชิดโดยไม่สนใจกำแพงที่เอริคล้อมรั้วตัวเองไว้ ก็ทำให้เอริคเปิดใจรับเอาเลโอมาเป็นคนสำคัญสำหรับตัวเอง อย่างที่เปิดฉากมาตอนแรก เอริคไม่รักตัวเองด้วยซ้ำ ไม่กินอาหาร อยากตาย และใช้ชีวิตอยู่เพราะเป็นหน้าที่ แต่เพราะเลโอทำให้ในที่สุดความรู้สึกของเอริคก็คืออยากมีชีวิตอยู่

ชอบที่เลโอใส่ใจ และทุ่มเทกับเอริคมากจนอีกฝ่ายรับรู้ถึงความทุ่มเทที่มีได้ โดยเฉพาะตอนที่พยายาม “จีบ” เอริค ตามหนังสือนิยายรักด้วยการให้ดอกไม้ แต่งกลอน แม้กระทั่งทำแหวนให้ ที่ตอนแรกดูเป็นความพยายามแบบเด็กๆ ที่ดูงุ่มง่าม แต่เพราะว่าใส่ใจ และไม่เคยถอนใจ จากที่แต่งกลอนแล้วถูกเอริคแก้แดงทั้งสัมผัส การใช้คำ การสื่อความหมาย ไปจนถึงวันนึงที่เอริคไม่สามารถหาที่ปรับแก้อะไรได้ เพราะกลอนงดงามสละสลวย ไปจนถึงทำให้คนตรวจพอใจ และชอบด้วยซ้ำไป

ความผูกพันและการเปิดใจให้อีกฝ่ายเข้ามาเป็นคนสำคัญกับตัวเองเช่นนี้เป็นเสน่ห์ที่สำคัญที่สุดของหนังสือเล่มนี้ แต่ที่น่ารักก็คือ ไม่ได้ทำแบบทื่อๆ เงอะงะ แต่ก็แฝงเอาไว้ด้วยเล่ห์กลเหมือนกัน เพราะเริ่มแรก เราเหมือนจะเห็นภาพเลโอเป็นเด็กใสซื่อที่ว่าง่าย พร้อมจะทำตามที่คนเลี้ยงบอกทุกประการ แต่เอาจริง การที่เป็นปีศาจที่ไม่เข้าใจกฏเกณฑ์ของสังคมมนุษย์ และการให้ได้สิ่งที่ต้องการก็ทำให้ความตรงของเลโอมาพร้อมกับความเลือดเย็นที่พร้อมจะกำจัดคนที่เข้ามาขวางทาง และความมากเล่ห์เพื่อให้ได้ตามต้องการด้วยเช่นกัน

ไม่ว่าจะเป็นการดื้อตาใสที่พร้อมจะเข้าใกล้เอริค แม้ว่าอีกฝ่ายจะผลักไสออกไปอย่างสม่ำเสมอ การพยายามเข้าใกล้เพื่อที่จะรู้จักเอริคให้มากกว่าเดิม หรือโดยเฉพาะการใช้ภาพลวงตาเพื่อบังคับให้อีกฝ่ายต้องทำให้ตัวเลโอเองเป็นอมตะด้วยอีกคน หรือการคงรูปลักษณ์ในร่างเด็ก เพราะรู้ว่าจะอ้อนเอริคได้มากกว่า (และเพราะเอริคเอ็นดูเลโอที่เป็นเด็กมากกว่า)  ในแง่หนึ่งก็อาจมองว่าเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ แต่ส่วนตัวเองชอบนิสัยนี้ของเลโอมาก เพราะว่าด้วยนิสัยอนุรักษ์และปิดกั้นของเอริคทำให้เจ้าตัวไม่คิดก้าวออกไป และดังนั้น ถ้าไม่มีพวกที่พร้อมจะยื้อแรงเข้ามา และตื้อมากจนโลกของเอริคเสียสมดุลแล้ว ก็ไม่มีทางที่ทั้งสองฝ่ายจะลงตัวด้วยกันไป ในแง่นี้ การทำตามใจของเลโอก็เลยเป็นเงื่อนไขที่ทำเพื่อในส่วนของเอริคจนทั้งคู่สามารถลงเอยได้อย่างที่เป็นอยู่

กับอีกอย่างหนึ่ง ชอบความรู้สึกอยากครอบครอง เป็นเจ้าของของเลโอด้วยเหมือนกัน ในแง่ที่คิดเผื่อถึงเอริค เพราะว่าเมื่อเอริคอยู่อย่างชืดชาไม่สนใจตัวเองแล้ว ก็ทำให้เกิดการปล่อยวางไม่รักตัวเองด้วยเหมือนกัน และดังนั้น เมื่อเลโอรักเอริคขึ้นมา ความรู้สึกครอบครองเป็นเจ้าของก็ทำให้ช่วยเลโอดูแลเอริคเพิ่มขึ้นมาด้วย

-สปอยล์ตอนพิเศษ-

ตอนแรกคุณ larza บอกว่าตอนพิเศษจะดราม่ากว่าในเล่มหลัก แต่อ่านจริง อยากจะเรียกว่า realistic มากกว่า เพราะว่า ตอนพิเศษที่อ่านไม่ใช่ตอนเบาสมองบอกรักกันเหมือนอย่างตอนชั่วโมงเรียนภาษาอย่างเดียว เป็นตอนที่ค่อนข้างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นตอนที่มาเรียตาย หรือว่าเห็นความหวาดกลัวกับอดีตของเอริคเมื่อตอนสองคนออกไปข้างนอกด้วยกัน ตอนแรกผิดคาดนิดหน่อย ไม่คิดว่าจะได้อ่านตอนหนัก แต่พอพ้นช่วงผิดคาดมาแล้ว ชอบแบบนี้มากกว่าตอนรักหวานแหววด้วยซ้ำ ในแง่ที่ว่า ความรักไม่ควรจะจบที่คนสองใจตรงกัน ครองรักกัน มีความสุขด้วยกันตลอดไป แต่เป็นในแง่ที่ว่าช่วยกันฝ่าฟันและเอาชนะปัญหาตรงหน้าให้ได้ต่างหาก เพราะในตอนของมาเรีย การที่คนสักคนที่รู้จักและใกล้ชิดผูกพันจะหายไปจากชีวิต ไม่ว่าจะอยู่อมตะมากี่ปี หรือเจอคนที่รักตายต่อหน้าก็คงเป็นเรื่องที่ทำใจให้คุ้นชินไม่ได้ แต่เพราะมีเลโออยู่ด้วย ถึงทำให้สภาวะทรมานนั้นทุเลาลง หรืออย่างน้อยก็เป็นแง่ที่มีคนคอยอยู่เคียงข้างให้กอดแล้วร้องไห้ออกมาได้

หรือในตอนปัจจุบัน เงื่อนไขจากอดีตก็ตามมามีผลกับเอริค เมื่อเจ้าตัวหวาดกลัวที่จะต้องจับมือกับเลโอในที่สาธารณะ เนื่องจากบทลงโทษรุนแรงที่มีต่อผู้ที่มีความโน้มเอียงหรือพฤติกรรมรักร่วมเพศในอดีตยังคงตามหลอกหลอนเอริคอยู่ แต่เพราะใส่ใจความรู้สึกของเลโอ ก็เลยทำให้ยอมที่จะฝืนและเปลี่ยนมุมมองตัวเองเพื่ออีกฝ่าย และสำหรับเลโอเอง ก็ไม่ได้มองข้ามเรื่องใหญ่โตที่ดูเหมือนจะเล็กน้อยนี้ แต่เห็นค่าความพยายามและเข้าใจความรู้สึกเอริคเช่นกัน ชอบมากอีกอย่างที่อีกฝ่ายบอกว่าไม่ต้องให้เอริคมาคอยปกป้องแล้ว แต่จะเป็นคนปกป้อง และเป็นคนรัก ไม่ใช่อยู่ในสถานะเด็กอีกต่อไป

ถ้าจะสรุปย่อ “อย่าเก็บของตกพื้นขึ้นมาเลี้ยง” อยากจะบอกว่า จริงๆ ก็ถือเป็น Best Read 2018 เหมือนกัน แต่ว่าตอนนั้นเรื่องยังไม่จบ ก็เลยต้องตัดมาเป็น Best Read 2019 แม้จะยังอยู่แค่เดือน 5 แต่คิดว่าไม่น่าจะหลุดโผ เพราะว่าทั้งอวยทั้งอินขนาดนี้ ได้ A+ ไปครองตามประสา ชอบความรักเรียบง่าย แต่จริงใจจริงจัง เวลาใช้พล็อตง่าย แต่มีความละเมียดละไม ใส่ใจกับรายละเอียดเล็กน้อยแบบนี้ น่าอ่านน่าจดจำมากกว่าพล็อตซับซ้อนวุ่นวายเสียอีก แค่ How two forsaken loners complete and perfect each other. ก็พอแล้ว

แม้ว่าจะต้องบอกว่า Don’t judge the books by their covers. เหมือนกัน เพราะว่า หนังสือที่ชื่อว่าคุณเอริคดูโตกว่า และเย็นชาไม่ใส่ใจ แต่จริงๆ แล้วละเอียดอ่อน รับรู้ความรู้สึกคนอื่นและใส่ใจมาก และแม้ไม่อยากจะพูด ในแง่หนึ่ง เพราะความที่ไม่คิดอะไรมากและอยู่ด้วยกฎเกณฑ์ของตัวเองก็ทำให้ทื่อและตรงไปมากเหมือนกัน (หรือว่าพออยู่ด้วยกันไปแล้ว เปิดนิสัยชอบแกล้งหน้านิ่ง และชอบยั่วเลโอขึ้นมาด้วยด้วยเหมือนกัน) ขณะเดียวกัน หนังสือนิทานเด็กอย่างเลโอที่ดูใสซื่อ ไร้เดียงสา ก็มีด้านร้าย ไม่ว่าจะทั้งตื้อจีบผู้ปกครอง ทำท่าน่ารักน่าสงสารให้อีกฝ่ายใจอ่อน และพยายามพาขึ้นเตียง ไปจนถึงด้านโหดที่พร้อมฆ่าคนที่เข้ามาขวาง

ความรู้สึกของเลโอที่รู้สึกว่าใช่ที่สุด ก็คือ Silence กับ Looking Glass ของ Before You Exit นะ สองเพลงให้อารมณ์เพ้อฝันแล้วก็ตกหลุมรักตามประสาเด็กวัยรุ่นที่จริงจังและจริงใจค่อนข้างชัดมาก

เอาจริง บ้า Silence มากๆ ก็เพราะคิดตามความรู้สึกของเลโอไปด้วยนั่นแหละ ชอบที่บอกว่ารู้ตัวว่ารักอีกฝ่ายตอนที่นั่งอยู่ด้วยกันเงียบๆ ทั้งที่ๆ หลายคนทำให้ความรักเป็นเรื่องวุ่นวาย ชอบที่พอมองตากัน โลกก็เงียบขึ้นมาได้ เป็นอารมณ์รักที่ละเมียดแล้วก็ตกลึกเกินดึงขึ้นไปมากๆ ไม่นับที่บอกว่าไม่อยากให้คิดมากหรือกังวล เหมือนทุกครั้งที่เลโอรุกเอริค

Everybody’s looking for love to start a riot
But every time I look in your eyes
The world gets quiet

'Cause I knew I was in love with you
When we sat in silence

Dreaming
I'm wide awake while I'm dreaming
Seeing in your eyes what you're thinking
So please don't worry

กับชอบ Looking Glass ในแง่ที่ว่า เพราะรู้ว่ารักเลยอยากรู้จักอยากเข้าใจฝ่ายให้มากที่สุด และอีกฝ่ายก็เป็นเขาวงกตที่ตัวเองไม่อยากออกมาเหมือนกัน

I want to know you best
I want to know you best, tell me

Where you go inside your dreams
What you say when you don't speak, I
Want to know every little thing
About you, about you

Where you go when you're lonely
What you say deep in your sleep, I
Want to know every little thing
About you, about you

And you know I could spend forever
Getting lost in your maze
Like I already know the way out
But I just want to stay

ส่วนเพลงที่สื่อถึงความรู้สึกของคุณเอริค คิดถึงสองเพลงคือ Broken ของ Anson Seabra ในแง่ที่พอเป็นอมตะแล้ว ความรังเกียจตัวเองและมองว่าสภาพเช่นนี้เป็นบาปติดตัวมันชัดมากเลย ชอบเนื้อแล้วก็โทนอารมณ์ที่เนือยเหมือนจะไปไม่ไหว แบบสภาพจิตใจคุณเอริคได้เกินร้อยมากๆ

'Cus I've been high and I've been low, I've spent a thousand nights alone, tryna hold on tight
And feelings come but they won't go, please won't someone take me home before I lose my mind
Am I broken?
Am I flawed?
Do I deserve a shred of worth or am I just another fake, fucked up lost cause?
And am I human?
Or am I something else?
'Cus I'm so scared and there's no one there to save me from the nightmare that I call myself

Another Love ของ Tom Odell ตรงในแง่ที่คุณเอริคไม่กล้าก้าวข้ามกรอบตัวเองออกไปรักใครใหม่อีกครั้ง แม้ว่าจะเป็นแค่ในแง่คนรู้จักใกล้ชิด เพราะว่ากลัวความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นภายหลัง แต่ที่สำคัญก็นั้นก็คือสภาพถอดใจที่เป็นอยู่

I wanna take you somewhere so you know I care
But it's so cold and I don't know where
I brought you daffodils in a pretty string
But they won't flower like they did last spring
And I wanna kiss you, make you feel alright
I'm just so tired to share my nights
I wanna cry and I wanna love

But all my tears have been used up
On another love, another love


อืมม ขออีกเพลงก็แล้วกัน ช่วงคุณเอริคหลังกลายพันธุ์ เป็นเพลง Anti-Everything ของ Loren Gray กับ Lost Kings ค่อนข้างกุ๊งกิ๊งไปหน่อย แต่ว่าสื่อความโมโหขี้รำคาญ แต่ว่ามีเลโอมาเปลี่ยนทุกอย่างเหมือนกันนะ

I hate that place everybody goes
If it's fun, I'll probably think it's boring
Just like that song everybody knows

You're the only one who makes me feel things
'Cause I usually feel nothing inside



ปล. ที่อยากขอแทรกกก ถ้าสรุปแบบ unofficial จะบอกว่า "เด็กแก่แดดอ่อยขายอ้อยหลอกกินผู้ปกครองง"