Sunday 22 October 2017

เรื่องราวเกิดใหม่ที่/ ต่างโลกอ่านช่วงนี้

เรื่องราวเกิดใหม่ที่/ ต่างโลกอ่านช่วงนี้

(เขียนไว้ก่อนมึนเอง)

Seijo no Maryoku wa Bannou desu / The Power of the Saint is All Around


เรื่องล่าสุดที่เพิ่งอ่านเมื่อคืน

Sei สาว OL ที่ถูก summon ไปต่างโลกในฐานะ saint แต่เพราะมี saint ถูกเรียกไป 2 คน และเจ้าชายสนใจแต่คนที่อายุเท่าตัวเอง ไม่สนใจ Sei เธอเลยปรอทแตก และอยู่ในวังไปวันๆ หลังจากนั้น ด้วยความเบื่อ คุณเธอก็จับพลัดจับพลูไปอยู่ในสถาบันวิจัยและนั่งทำ potion เพื่ออัพค่าตัวเอง แต่ไปๆ มาๆ เพราะค่าทั้งหลายทั้งปวงเธอสูงมากก็เลยทำทั้ง potion หรือแม้กระทั่งอาหารที่ทำมีค่าเสริมที่แข็งแกร่งเกินเหตุ  กลายเป็นช่วยชีวิต Albert Captain ทหารหน่วย 3 ได้และผูกมิตรกับทหารทั้งหน่วยต่อมา

น่ารักเพราะเป็นเรื่องที่บวกมาก ๆ อ่านแล้วรู้สึกดี เห็นเลเวลเธอแล้วก็สนุกว่าทำอะไรก็ทำได้ ตัวเอกรู้ค่าตัวเองแต่ไม่ยอมป่าวประกาศเพราะรักชีวิตเอื่อยๆ ปัจจุบันที่สบายผิดกับชีวิตทำงานเดิมในญี่ปุ่น แต่หลังๆ เริ่มปิดไม่มิด เพราะเพิ่งไปโชว์เทพช่วยรักษาคนทั้งโรงพยาบาลมา

ความน่ารักอีกอย่างอยู่ที่พระเอก คุณพี่ Albert ที่ได้ฉายา Ice Captain เพราะพลังน้ำแข็งและความหน้านิ่งไร้อารมณ์ แต่พอเจอนางเอก ก็แอบจีบแบบเนียนๆ และยิ้มชื่นมื่นตลอดเวลา มีตั้งแต่พาขึ้นม้าระหว่างเดินกลับบ้าน ใช้เวทย์ตัวเองทำน้ำผลไม้ของนางเอกเย็น หรือมาเป็นกำลังใจตอนที่นางเอกจะไปพบพระราชาเป็นครั้งแนก โมเมนต์ง่ายๆ แต่อ่านแล้วหวานชื่นใจได้ และขำที่นางเอกซื่อจนไม่รู้อะไรเลย
ตอนนี้ชอบเรื่องนี้มากสุดนะ :)



Tensei Oujo wa Kyou mo Hata o Tatakioru / The Reincarnated Princess Strikes Down Flags Today as Well


ตัวเอกมาเกิดเป็น เจ้าหญิง Rosemarie von Werfald ในเกมจีบหนุ่ม “Welcome to the Reverse World”. (UraSeka) ที่เคยเล่น ด้วยความที่เป้าหมายต่างล้วนวิปริตแปลกประหลาด  (ตามนี้ - The Second Prince was a siscon. The Noble was a narcissist. The Guard Knight was d’M. The Wizard was a necrophiliac. The Assassin was gay. ) เธอก็เลยอยากเปลี่ยนเรี่องใหม่

น่ารักเพราะเจ้าหญิงพยายามตั้งใจมาก ๆ และจิตใจดีเอื้อเฟื้อแบบแปลกๆ ด้วยความที่รู้เรื่องจากเกมก็เลยเป็นการแก้เกมเพื่อกันเหตุการณ์ร้ายๆ ที่จะเกิด ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องรักหวานใด ๆ มีแค่ช่วยแม่เป้าหมายให้รอดตายด้วยหลักโภชนาการและการออกกำลัง (?) เป็นมิตรและผูกใจนักเวทย์สองคนด้วยอาหาร และที่เหลือก็จริงจังขึ้นเรื่อยๆ มีตั้งแต่กันการลักพาตัวนักเวทย์ หาวิธีการและยารักษาโรค รวมไปถึงไขปริศนาการฟื้นคืนชีพและกลับมาของจอมมาร

ส่วนตัวเรื่องนี้เหมือนจะเบา แต่ไม่เบา เพราะทัศนคติของตัวเอกค่อนข้างจริงจังจนไปถึงเครียด โดยเฉพาะที่มองว่าตัวเองไม่ดี พยายามไม่พอ และต้องพยายามมากขึ้น แต่นอกเหนือจากนี้ ค่อนข้างน่ารัก เพราะเจ้าหญิงตั้งใจ และเพราะความตั้งใจและความใจดีก็เลยทำให้ปักธงรอบข้างได้ไปทั่ว และธงทั้งหลายก็กีดกันกันเองอยู่เงียบๆ   จะได้ยินแนว ๆ “Small and adorable” “cute and clever” เวลาชมเจ้าหญิงบ่อยๆ

อย่างไรก็ตาม ออกนอกกรอบไปว่าตั้งแต่เล่นเกมชาติที่แล้ว เจ้าหญิงอินเลิฟกับผู้บัญชาการทหารในเกม และพอมาโลกนี้ก็แน่ใจได้ว่าหลงรักทางโน้นอยู่ดี แต่ก็มีปัญหาอายุที่ต่างกันอีก และที่เป็นไปก็คือ ผู้บัญชาการทหารเอ็นดูเจ้าหญิงที่ดูเฉลียวฉลาดเกินวัยและถ่อมตัวอยู่มาก จนในที่สุด เจ้าหญิงก็เปิดใจให้ท่านผู้บัญชาการฯ ในฐานะที่ปรึกษาและกล้าเล่าปัญหาที่จะเกิดตามเกมให้ โดยอ้างว่ามาจากความฝัน ล่าสุด เจ้าหญิงสารภาพรักไปแล้ว แต่ทางโน้นก็ไม่ได้เปิดใจกลับมากลับในแบบเดียวกัน แต่คนอ่านมีลุ้นว่าน่าจะมีหวัง เพราะท่าทีคุณพี่ Leonhard von Olsen ผู้บัญชาการทหารก็โอ๋และอินทูเจ้าหญิงมากอยู่ ก็รอลุ้นต่อไปเนอะ


เป้าหมายในเรื่อง

the Prince Johan von Wervard เดิมทีติดพี่สาว (เจ้าหญิง Rosemarie) ปัจจุบันพยายามแก้อยู่  แต่ยังไม่แน่ใจว่าสำเร็จไหม ไม่ได้พูดถึงมาก โดยเฉพาะตอนนี้ไปเรียนอยู่ต่างเมือง
 the Noble Georg zu Eigel ปักธงสำเร็จ
the Guard Knight –ปักธงสำเร็จ
the Wizard – ปักธงสำเร็จ
 the Priest – ปักธงสำเร็จ (?) ความมุ่งมั่นของเจ้าหญิงทำให้ทางนี้เปลี่ยนแปลงตัวเอง
the Assassin – ยังไม่เห็นนะ



Otome Game Rokkushuume, Automode ga Kiremashita

Mariabell เกิดใหม่เป็นนางร้ายมาแล้ว 5 รอบ แต่เป็นเพราะอยู่ในโหมด auto ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แต่ชาติที่ 6 นี้ คุณเธอทำอะไรตามใจได้แล้ว ก็เลยจะเปลี่ยนชีวิตตัวเองให้ได้

ส่วนตัว ไม่เหมือนเธอเคยเกิดมาแล้วหลายครั้ง ค่อนข้างหมกมุ่นกับดูสถานการณ์แคบเกินไป เรื่องดำเนินไปเรื่อยๆ ค่อนข้างช้า แต่จุดเด่น อยู่ที่เพื่อนวัยเด็กที่เป็นลูกคนสวน ที่มองเห็นอะไรชัดเจนและให้คำปรึกษาที่ดี กับอาจารย์ที่ถูก Mariabell เปลี่ยนอนาคตให้จาก setting game กลายเป็นสายละมุนใจดี (อย่างน้อยก็กับ Mariabell แทนที่จะเป็นแนว playboy เดิม)

ชายหนุ่มในเรื่อง (?)

Keito – ไม่มีในเกม ปัจจุบันเป็นเพื่อนสนิทกับ Mariabell

Greas Sandria – อาจารย์สายฮีล สายละมุนใจดี รู้สึกดีกัMariabell ในฐานะอาจารย์พิเศษและคนที่ช่วยเปลี่ยนสถานะตัวเอง บทที่ 16-17 เป็น Greas’s POV)

Runa Vi Leonova – เจ้าชาย main route ไม่มีความคืบหน้าใดๆ

Tuvalu Miranda (ลูก) ขุนนาง ระแวง/ ไม่ชอบ Mariabell เพราะรู้สึกว่า Mariabell มองโลกสวยเกินไป ตอนนี้ Mariabell กำลังหลบหน้าหลังการเผชิญหน้ากันไป

Niel Juliano (ลูก) ขุนนาง หนุ่มน้อยขี้อายที่กลายมาเป็นเพื่อนกับ Mariabell ไปแล้ว

สถานะ ปัจจุบัน 68 ตอน – ยังไม่เกิด love interest หรือการปักธงใด ๆ มีเห็นแต่การหวาดระแวงไปวันๆ ของ Mariabell



Common Sense of a Duke’s Daughter


เรื่องนี้อ่านมาสักพักแล้ว

Iris Lana Armelia ลูกสาว Duke ถูกไล่ออกจากโรงเรียนเพราะไปทำร้าย/หาเรื่องนางเอกที่ “ฉก” คู่หมั้นตัวเอง เจ้าชายรัชทายาทไป ตามสูตรถึงตรงนี้ แต่หลังจากนั้น เธอได้สิทธิไปบริหารเมือง เปลี่ยนจากเรื่องรักกลายไปเป็นเรื่องเศรษฐกิจและสังคม เพราะคุณเธอทำอย่างตั้งแต่สร้างถนน ตั้งธนาคาร สร้างโรงเรียน คนเขียนพยายามสร้างภาพให้ Iris ฉลาดและจัดการทุกอย่างเอง แต่พออ่านไปเรื่อย ๆ มันดูยัดเยียดมากไปหน่อย พระเอกเป็นเจ้าชายอีกองค์ที่ low-profile และปลอมตัวมาทำงานให้นางเอกเป็นระยะๆ




Friday 15 September 2017

มู่กั๋วหวางโฮ่ว โดย หย่งช่าง

- ปัจจบัน เรื่องนี้ยังไม่จบ ดำเนินถึงตอนที่ 37 ใน Dek-D อยู่ - 

"มู่กั๋วหวางโฮ่ว" เป็นนิยายภาคต่อมาจาก "เสี่ยงหวางเฟย" โดยมีตัวละครรองจากภาคที่แล้วมาเป็นตัวละครหลักในภาคนี้ ตอนแรก อืม คิดว่าจะไม่อ่านแล้วเชียว อะไร ทำไมต้องมีภาคต่อด้วยคะ? แต่เผอิ๊ญข่มความอยากรู้อยากเห็นไว้ไม่ไหวก็เลยเอาน่า อ่านดูหน่อย แล้วเป็นไง?? อ่านแล้วติดกว่าภาคเดิมอีกค่ะ คราวนี้

เรื่องราวตอนแรกในเรื่องดำเนินไปอย่างเรื่อย ๆ เรียบ ๆ ก็จริง แต่สิ่งที่สร้างสีสันยิ่งกว่าการดำเนินเรื่องตอนนี้คือตัวละครนี่แหละ "ฮั่วอี้หราน" นางเอกเราย้อนยุคมาจากปัจจุบันกลับไปสู่ดินแดนในอดีตที่มีพลังวิเศษและเทพอสูรพร้อมมิชชั่นตามหาพี่ชายและพี่สะใภ้ จากโลกที่คุ้นเคยไปก็เหนื่อยยากอยู่แล้ว แต่ทว่า ความเหนื่อยเฮือกก็พร้อมขึ้นเมื่อนางกลับไปและอยู่ในร่างของนางโจรที่มีค่าหัว และเทพเจ้าน้อยผู้ถูกส่งมาช่วยคุ้มครองนางก็ดูจะเป็นภาระมากกว่าจะช่วยเหลืออะไรได้จริง ส่วน "มู่ไป๋หลิว" คุณพี่พระเอกก็ไม่ธรรมดา เจ้าผู้ครองแคว้นที่มีฉากหน้ายิ้มแย้ม และท่าทีเรียบง่ายสบายใจ แต่ไม่มีใครรู้ว่าข้างในใจเป็นอย่างไร แต่ภาคนี้ พี่เขามาพร้อมปัญหาในชีวิต เมื่อไปก่อคดีทำสงครามกับทั่วหล้า จนทำให้แคว้นถูกลงโทษและตัวเองถูกจำกัดความสามารถในการใช้พลังยุทธ์ก็ทำให้เจ้าตัวกลายเป็นเสมือนเสือที่ถูกหักเขี้ยว นกที่ถูกเด็ดปีก 

เมื่อสองคนมาเจอกันในสภาพแปลกประหลาด ความระแวงที่มีต่อกันก็ทำให้ความสัมพันธ์เป็นไปอย่างลุ่มๆ ดอนๆ ในช่วงแรก แต่กลับขำขันอย่างน่าประหลาด เพราะตรรกะที่มีต่างกัน ฮั่วอี้หรานมองโลกตามความเป็นจริง และยิ่งเมื่อนางมาจากอนาคต คำพูดคำจารวมไปถึงวิธีคิดจึงล้ำยุคและตรงไปตรงมาไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น ส่วนมู่ไป๋หลิวในฐานะเจ้าครองแคว้นและผู้มีความสามารถก็มีมุมมองและเชื่อมั่นในความคิดของตัวเอง ดังนั้น เมื่อมาอยู่ด้วยกัน แต่ละคนได้เปิดหูเปิดตารับรู้ความคิดและความเชื่ออีกฝ่าย และที่สำคัญด้วยความที่ทันกัน ก็ทำให้เกิดวาจาเสียดสีประชดประชันแบบแปลกๆ ที่รู้กันอยู่สองคนเสียด้วย

สิ่งที่ดีที่สุด เกิดเมื่อ สองคนเริ่มเปิดใจเข้าหากัน และเริ่มรับรู้และเข้าใจตัวตนของอีกฝ่ายมากขึ้น มู่ไป๋หลิวได้แรงจูงใจในการก้าวไปข้างหน้าโดยไม่ต้องรู้สึกผิดกับการกระทำของตนเอง ส่วนฮั่วอี้หรานก็ได้หลักประกันในการดำเนินชีวิต การที่คนสองคนที่ไม่เคยต้องพึ่งใครหันมาไว้วางใจอีกฝ่ายก็ทำให้เรื่องราวงดงามยิ่งขึ้น และเป็นสิ่งที่พิเศษที่สุดในการดำเนินเรื่อง 

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่ออ่านเสี่ยงหวางเฟยมาก่อน ในช่วงแรก การเปิดตัวของมู่ไป๋หลิวจะเห็นภาพของเจ้าตัวในฐานะเจ้าผู้ครองแคว้นอันดับหนึ่งที่ประสบความสำเร็จ มีสองชีพจรสองธาตุในร่างกาย เป็นเทพโอสถ และเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาดี ดูสุขม เยือกเย็น ขณะเดียวกันก็มีความอบอุ่นอ่อนโยน ดูเป็นคนที่เพียบพร้อมและสมบูรณ์แบบ แต่ทว่า ภาพลักษณ์นี้ก็ไม่ได้คงอยู่ตลอด เมื่อจริง ๆ แล้ว เนื้อในของเจ้าตัวทะเยอะทะยานและพร้อมจะก่อสงครามสร้างความวุ่นวายเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ (ถึงแม้ว่าเอาเข้าจริง จะไม่ได้เริ่มต้นเอง แต่เป็แบบจับพลัดจับพลูก็ตาม) จนถูกลงโทษจากรอบด้าน ทั้งถูกผนึกพลังยุทธ์ และถูกริบคืนโลหิตของเทพอสูร จนไม่สามารถใช้พลังได้ และแคว้นกลายเป็นสถานที่ถูกสาป จากที่บอกว่าอากาศดี มีแค่ฤดูใบไม้ผลิกับใบไม้ร่วง กลับเป็นอากาศร้อนแห้งแล้ง ฝนไม่ตก เพาะปลูกไม่ขึ้น

ในเรื่องเสี่ยงหวางเฟย ไม่ได้พูดถึงส่วนของมู่ไป๋หลิวไว้มาก ในฐานะที่เป็นตัวละครรอง แต่ใน “มู่กั๋วหวางโฮ่ว” นั้น เวลาเริ่มต้นที่แคว้นมู่ในช่วงหลังสงคราม และตัวมู่ไป๋หลิวที่เผชิญปัญหารอบด้านอย่างหนัก ทั้งส่วนตัวเอง ก็มีสุขภาพที่ถดถอยและพลังยุทธ์ที่เสื่อมโทรม และกับตัวแคว้นก็มีเรื่องความทุกข์ยากของคนในแคว้น และการคิดก่อกบฎและการต่อต้านจากขุนนางน้อยใหญ่ มีความรู้สึกว่าว่าภาพของมู่ไป๋หลิวก็คือภาพของเสือบาดเจ็บที่กำลังตกยาก เจ็บแต่ไม่สามารถแสดงความอ่อนแอได้ และที่สำคัญก็กำลังถูกความรู้สึกสงสัยตัวเองกัดกินอยู่ลึก ๆ เสียด้วย และดังนั้น การที่มีตัวละครอย่างอี้หรานเข้ามา ก็เลยเป็นการเปลี่ยนสมการในเรื่องนี้ไป เพราะส่วนตัวเรื่องรัก ไม่ว่าจะเป็นแนวอดีต หรือปัจจุบัน  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชาติใด มักเริ่มต้นที่พระเอกที่สมบูรณ์แบบเข้ามาช่วยนางเอกที่ไม่สมบูรณ์แบบ แต่เรื่องนี้ พระเอกไม่สมบูรณ์แบบ แต่ถูกทำให้สมบูรณ์แบบโดยนางเอก เพราะในมุมมองส่วนตัว ฐานะชาติกำเนิดของมู่ไป๋หลิวเป็นแค่ลูกนางกำนัล (หรืออย่างที่คนเขียนเคยพูดไว้เองในคอมเมนต์ว่า “ลูกที่พ่อไม่รัก”) ทำให้แสวงหาความสำเร็จเพื่อที่จะเป็นหลักพิสูจน์ตัวเองอยู่เนืองๆ และเมื่อเกิดจุดสะดุดครั้งใหญ่ในชีวิตเข้า ก็กลายเป็นจุดกัดกร่อนจิตใจ ซึ่งในแง่นี้ ส่วนตัวอี้หรานเอง แม้จะหลงยุคมาอยู่คนเดียวตามลำพัง แต่อี้หรานเข้มแข็งพอและสามารถที่จะอยู่พึ่งพาตัวเองโดยไม่มีมู่ไป๋หลิวได้ แต่การที่ได้รู้จักกัน และได้ใกล้ชิดพอจนเริ่มเห็นปัญหาของมู่ไป๋หลิว ทำให้อี้หรานเลือกที่จะให้ และจุนเจือความรู้สึกทางจิตใจของมู่ไป๋หลิวไว้ ซึ่งถ้าเปลี่ยนตัวละครเป็นตัวอื่นก็ไม่สามารถทำอย่างหญิงสาวได้ และในแง่นี้ก็ทำให้เรื่องนี้สมบูรณ์แบบในตัวเอง

ซึ่งส่วนตัว บทที่ชอบที่สุดในเรื่องบทหนึ่งก็คือ บทที่ 33 มู่ไป๋หลิวกำลังพร่ำโทษตัวเองว่าเขาเป็นสาเหตุที่ทำให้แคว้นใกล้ล่มสลาย อี้หรานกลับมองเห็นภาพรวมทั้งหมดและบอกมู่ไป๋หลิวว่า "เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรให้เสียใจ ทำสงครามแล้วอย่างไร แคว้นถูกสาบแช่งแล้วอย่างไร ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ตราบนั้นก็ค่อยๆ หาวิธีแก้กันไป ..." 

และเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งคู่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป ก็ทำให้เห็นการเติมเต็มที่อี้หรานมีให้กับมู่ไป๋หลิว โดยเฉพาะเปลี่ยนนิสัยเสือเจ็บ (ถึงแม้ในเรื่องจะเรียกว่า “หมาป่าห่มหนังแกะ” ก็เถอะ) ที่ต้องระแวงรอบข้างไปสู่ความกล้าที่จะเปิดเผยความอ่อนแอของตัวเอง และให้น้ำหนักกับการพึ่งพิงและพึ่งพาอีกฝ่ายขึ้นมา อย่างที่มู่ไป๋หลิวพูดว่า “ ... ข้าเคยแบกทุกอย่างไว้บนบ่าจนวันหนึ่งพบว่า การให้ผู้อื่นช่วยแบกบ้างนั้นมิได้แย่เกินไป บ่อยครั้งยังช่วยขบคิดได้ ... นางมองเห็นในจุดที่ข้ามองไม่เห็น ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันจึงเรียกว่าสามีภรรยา” (เสี่ยวหวางเฟย เล่มสอง หน้า 218) และ “นิสัยถูกตีจนฟันหักฝืนกลืนลงท้อง เจ็บแต่ไม่ยอมปริปากข้าก็เคยเป็น เมื่อพบฮั่วอี้หรานจึงรู้ว่าโอดครวญบ้าง นางก็จะทะนุถนอมข้า นั่นเป็นความรู้สึกที่ไม่เลวเลยทีเดียว” (หน้า 219)

อย่างไรก็ตาม เมื่ออี้หรานมองโลกตามความเป็นจริง และมองว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นไปเพราะต้องพึ่งพากัน และพร้อมจะจบเมื่อทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์อย่างที่ตัวเองต้องการ ทำให้หญิงสาวไม่เห็นความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นว่ากำลังถูกให้ทำให้แปรเปลี่ยนไปทางทิศทางอื่นได้ ขณะที่มู่ไป๋หลิวเริ่มตกหลุมรักอี้หรานมาแบบเรื่อย ๆ จากความแน่วแน่ มุ่งมั่น และเข้มแข็งแบบที่มีแต่ฮั่วอี้หรานเท่านั้นจะมี  จนถึงขั้นอยากให้มาอยู่ข้างๆ กัน ด้วยการใช้ความปลอดภัยมาเป็นตัวล่อหลอก และดังนั้น การรอให้ฮั่นอี้หรานเข้าใจความรู้สึกของฝ่ายชาย ก็เป็นความลุ้นสำหรับคนอ่าน และความสงสัยสำหรับตัวละครในเรื่องคนอื่นเช่นกัน 

การใช้ภาษาของมู่กั๋วหวางโฮ่ว ไม่ได้หนักไปทางคำเยอะ เน้นการบรรยายพรรณามากความ แต่จะเป็นคำน้อยแต่เห็นภาพชัด คำพูดสั้น ๆ แต่มีความหมายลึกซึ้ง และนั่นก็ทำให้ภาษา เมื่อประกอบกับเนื้อเรื่อง มีความเป็นเอกลักษณ์ในตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีการเสียดสีประชดประชันแบบเงียบๆ ให้หัวเราะขำได้เรื่อย ๆ  ดังเช่น บทคนเล่นงิ้วออกโรงว่าความแทนมู่ไป๋หลิว (บทที่ 8) ยิ่งไปกว่านั้น ตัวละครหลากหลายที่มีตรรกะของตัวเองก็พร้อมทยอยออกมาสร้างความวุ่นวายเป็นระยะ ๆ ทั้งความคิด การกระทำ และคำพูดที่คาดไม่ถึงก็ทำให้นั่งอมยิ้มอารมณ์ดีไปได้ 

ปัจจุบันมีถึงตอนที่ 37 และก็ยังดำเนินเรื่องไปเรื่อย ๆ ก็ได้แต่ลุ้นให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองพัฒนาไปได้ก้าวหน้ามากขึ้น และที่สำคัญ ส่วนตัว อยากเห็นอาการตกหลุมรักแบบฉุดไม่ขึ้นของมู่ไป๋หลิวเป็นพิเศษ ถ้าได้เห็นคนที่ทำตัวนิ่งเฉย ไม่ทุกข์ร้อนกับความเป็นไปของโลกรอบข้าง และคนที่พร้อมมีสติรับมือกับทุกอย่าง มาร้อนรนเพราะตกอยู่ในห้วงรักบ้างก็คงสนุกดี ตอนนี้มีแค่หน้ายิ้มพูดเนียน ๆ หน้านิ่งอยู่แค่นั้น (โถ ถ้าเป็นคนอื่นจะกัดว่าหมาหยอกไก่ เผอิญเป็นพี่หลิวก็เลยไม่กล้าพูด) ก็ได้แต่รอลุ้นว่าจะมีวันนั้น และถ้า มีก็ให้มาถึงไว ๆ

ปล. มีจุดหนึ่งตอนท้ายเล่ม “เสี่ยวหวางเฟย” ที่พอมู่ไป๋หลิวรู้ว่าอี้หรานสามารถกลับไปหาครอบครัวได้ และเจ้าตัวก็ถึงกับอาการหลุดจนหมากที่กำลังจะเดินร่วงหลุดจากมือ (เสี่ยวหวางเฟย เล่มสอง หน้า 219) แต่นั่นแหละ จากมุมมองเล่มนั้น ความสัมพันธ์ของทั้งมู่ไป๋หลิวและฮั่วอี้หรานเป็นแค่ส่วนประกอบเล็กน้อยในเรื่องก่อนหน้า และก็ทำให้อยากรู้เรื่องราวของคนคู่นี้โดยตรงมากกว่าเดิม

ปล. อีกครั้ง เพราะว่าปมของเรื่องคือการย้อนอดีตชาติ และทั้งอี้หรานและมู่ไป๋หลิวก็มีบทบาทของตัวเองอยู่ในชาติที่เหลือด้วยเช่นกัน ก็เลยสงสัยว่า ถ้าเช่นนั้น จะมีการพูดถึงชาติอดีตไหม โดยเฉพาะเมื่อ อย่างน้อยในชาติที่สอง มู่ไป๋หลิวก็เป็นคนที่ยังพึงใจกับไป๋หรงซิงเช่นเดิม หากแต่คนที่แต่งกับเขาก็คือ อี้หราน

ปล. อีกครั้ง ตามธรรมเนียมที่ไม่ได้ใช้นานเวลาวิจารณ์หนังสือ ต้องมีเพลงกำกับ 

อืม ความรู้สึกของ มู่ไป๋หลิว นึกถึง  Addicted To You ของ Avicii นะ

I don't know just how it happened,
I let down my guard...
Swore I'd never fall in love again
But I fell hard.

Guess I should have seen it coming,
Caught me by surprise...
I wasn't looking where I was going,
I fell into your eyes.

You came into my crazy world like a cool and cleansing wave.
Before I, I knew what hit me baby you were flowing through my veins...

I'm addicted to you,
Hooked on your love,
Like a powerful drug
I can't get enough of,
Lost in your eyes,
Drowning in blue
Out of control,
What can I do?
I'm addicted to you!

ส่วนความรู้สึกของอี้หราน ยังนึกไม่ออกนะ ไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ แต่ อืม ถ้าให้เลือก คงเป็น Count on Me ของ Bruno Mars นะ

Oh uh-huh
If you ever find yourself stuck in the middle of the sea
I'll sail the world to find you
If you ever find yourself lost in the dark and you can't see
I'll be the light to guide you

We find out what we're made of
When we are called to help our friends in need

โปรดสังเกตว่ามันคือคำว่า “friend” ใช่ค่ะ เป็นแค่พันธมิตรในเฟรนด์โซน พยายามต่อไปนะพี่หลิว!!


Sunday 30 July 2017

ว่าด้วยสามชาติสามภพสองภาค

หลังอ่านเจาเหยาฯ จบ ความบ้าแนวเทพเซียนก็กำเริบ ไปขุดเอาเรื่องเก่า ๆ ที่ไม่ได้อ่านเป็นปีมาอ่าน ก็เลยไปถึงปฐพีไร้พ่ายซ้ำ กับสามชาติสามภพทั้งสองภาค เฮ้อออ .. เหนื่อยใจกับสามชาติสามภพนิดนึงว่าทำไมต้องมีเรื่องให้ดราม่าแบบที่ไม่ควรดราม่าขนาดนั้น ส่วนตัวมองว่าพระเอกไม่ว่าจะคนไหนก็มีปัญหาการสื่อสารนะ จะรักกันเป็นคู่ชีวิตก็ต้องพูดให้อีกฝ่ายรู้เรื่องเข้าใจว่าตัวเองคิดอย่างไร ทำอย่างไร ไม่ใช่ว่าทำไปเพราะคิดว่าดีกับอีกฝ่ายแบบลับหลัง แล้วพอเค้ามารู้ความจริงทีหลังก็เกิดทะเลาะกันขึ้น จากเรื่องการสื่อสารอย่างเดียว คราวนี้อาจจะลามไปถึงเรื่องความไว้วางใจด้วย ซึ่งจากที่ไม่มีอะไรก็กลายเป็นมีอะไร

ที่สำคัญ พระเอกทั้งสองคนเป็นพวกเงียบ ๆ ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยแสดงความในใจทั้งคู่ โดยเฉพาะตงหัว ถ้าจะมีอะไรก็แชเชือนไปเรื่อย แล้วแบบนี้อีกฝ่ายจะกล้าคิดไปว่าเข้าใจตรงกันรู้สึกแบบเดียวกันหรือ ยิ่งถ้าเกิดมีปมที่เคยเป็นฝ่ายที่เป็นรอง/ ถูกเลือกออก ก็ยิ่งเป็นความไม่แน่ใจ แล้วจะให้คนรอบตัวมาโทษให้นางเอกรับผิดฝ่ายเดียวทีหลังได้อย่างไร ก็เลยหงุดหงิดกับการอวยทำความดีลับหลังของพระเอกขึ้นมา

ก็นั่นแหละ บ่นค่ะ

Saturday 29 July 2017

เจาเหยา...ใครว่าโลกนี้ไม่มีผี โดย จิ่วลู่เฟยเซียง

ตอนแรกไม่คิดว่าจะอ่านเลย แต่ว่าส่วนตัวชอบพระเอกเงียบ ๆ แนว beta ที่ไม่ค่อยแสดงออกกระโตกกระตาก ก็รู้ตัวอีกทีว่าอีบุ๊คออกแล้ว ก็อ๊ะ ซื้อเลยดีกว่า ไม่ได้ผ่านการคิดตรองใด ๆ เลย

แต่ว่าไม่เสียดายนะ จริง ๆ ถ้าจะเสียดายก็เพราะบ้าไปซื้ออีบ๊ค เพราะพรีไม่ทันมากกว่า ดูแนวโน้มแล้ว อาจจะมีอารมณ์บ้าซื้อหนังสือต่ออีกรอบ

คือว่าพระเอกก็รู้อยู่ว่านางเป็นใคร (ใช่แล้ว เนียนมากก ปิดยังไงก็ไม่มิด) ก็เลยตามใจให้นางมารเราทำตามใจได้สุด ๆ แบบอยากทำอะไรทำ อยากได้อะไรก็หาให้ ส่วนนางมาร (ซึ่งจริง ๆ ก็คือนางเอก) ก็เริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้น โดยเฉพาะข้อเท็จจริงที่ว่าพระเอกโตขึ้นมาก หล่อและดีมาก หน้าตาดี ฉลาด วางแผน และเก่งเทพ ก็เลยทำให้เปลี่ยนมุมมองต่อพระเอกใหม่ และเริ่มมีความรู้สึกดีๆ กลับไป

ช่วงแรก ๆ ยังบ้า ๆ บอ ๆ หาทางตีสนิทกับพระเอกด้วยการอ่อย (นางคิดว่าพระเอกหลงร่างที่นางสิงอยู่ ไม่ได้คิดเลยว่าพระเอกรู้อยู่แล้ว) แล้วก็ขำมาก เพราะไม่เนียนอย่างไม่เนียน และถ้าไม่ใช่เป็นนางเอกก็คงถูกพระเอกฆ่าไปนานแล้ว พอหลัง ๆ เริ่มมีมุมที่เครียดขึ้นหน่อย ทำให้เข้าใจว่าอดีตนางเอกเป็นอย่างไร และเป็นแบบนี้ได้อย่างไร

คือสรุปว่า ดีเพราะนางเอกเอ๋อๆ แบบเก่งแต่อ่อนต่อโลก และมีมุมมองแปลก ๆ อาทิ อยากเป็นนางมารครองโลก รับคนชั่วมาเป็นศิษย์เผยแพร่ความชั่วร้าย ในแง่หนึ่ง มันมีองค์ประกอบว่าชอบนางเอกเก่ง พึ่งพาตัวเองได้อยู่แล้ว พอมาเจอแบบนี้เลยรู้สึกว่ายิ่งใช่ ส่วนพระเอก คือแอบรักนางเอกมานาน ตอนที่นางเอกตาย เหมือนเสียของรัก และดังนั้น เมื่อนางเอกกลับมาแบบไม่คาดฝัน ก็เลยให้ทำอะไรก็ได้ อยากทำอะไรก็ทำให้ทำ พอรู้ว่านางเอกมาอยู่ในร่างคนอื่น ก็ไม่ทำอะไรมาก แค่จ้องนางเอกเงียบ ๆ แต่แววตาออก พานางไปกินข้าว ก็ไม่กิน นั่งจ้องนางเอกไปเรื่อย ๆ หรือแค่นางเอกทำอะไรเล็กๆ น้อย ๆ ให้ (อย่างตอนนึงร่ายมนต์กันฝนไม่ให้พระเอกเปียก) ก็มีความสุขไปสามวันเจ็ดวันได้ ชนาดตอนนางเอกย้อนอดีตไปสมัยก่อน หน้าที่ของพระเอกคือเฝ้าประตู และพระเอกก็ทำหน้าที่แบบนั้นจริง ๆ คือไม่ไปไหน ไม่เคยบกพร่องต่อหน้าที่ นางเอกจะไปไหน สู้กับใคร เมื่อกลับมาที่สำนัก ก็จะเจอพระเอกรออยู่เป็นคนแรก คือสายโอ๋ สายหลง สายสปอยส์ พอมาผสมกันก็ชนะเลิศ

กับอีกอย่างคือ เขียนหลายแง่ดี ตอนแรกดูว่านางเอกเอาแต่ใจ ทำอะไรตามใจฉัน ไม่สนใจใคร แต่พออ่านไปเรื่อย ๆ มันมีที่ที่ไปเยอะ และถึงแม้นางจะเป็นแบบนั้น แต่ก็มีเป็นชนิดปากร้ายใจดี ใครจะถูกฆ่า ใครจะถูกตราหน้าว่าเลว นางช่วยและหิ้วกลับมาดูแลหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากนิสัยขวางโลกที่ถูกบ่มเพาะมาแบบเจ็บปวด

เล่ม 2 ยังไม่ออก แต่ที่พยายามไปอ่านจีนมา เหมือนเล่ม 2 ขมวดปมมากขึ้น โดยเฉพาะเกี่ยวกับการ “ตาย” ของนางเอก และที่สำคัญ อดีตและความผูกพันกับพระเอก เท่าที่อ่าน ชอบอยู่อย่างว่า พอนางเอกรู้ตัวว่าตัวเองคิดอย่างไร ก็พุ่งตรงไปเลย โดยที่ไม่มีการอ้อมหลงทาง รู้จักความรู้สึกตัวเองและซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเองดี .... เพียงแต่ว่าปัญหาคือ ตามสไตล์ จิ่วลู่เฟยเซียง อีกสักพักมันจะต้องมีอะไรพีค ๆ อัตคัตใจมากระชากอารมณ์แน่ นี่พระเอกกับนางเอกก็ยังไม่ได้สวีทกันมาก แต่พอคิดว่าจะเจอฉากที่อ่านแล้วคนอ่านกระอักเลือดก็เลยแอบหนืดๆ ไม่ได้อ่านแบบเร่ง ๆ อะไรเท่าไหร่ แต่สาธุ ขออะไรหวาน ๆ แบบไม่ตรงขมมากระหว่างทางได้ไหม ก็จะอ่านไปจนกว่าจะเจอ

สปอยส์ตอนที่ชอบนิดดด
.
.
.
.
ชอบที่นางเอกบอกว่า การที่มาเจอพระเอก  และทำให้คนในครอบครัวตาย เป็นเรื่องแย่ ... ก่อนที่พระเอกจะเป็นลูกหมาสลด นางก็บอกว่า คนอื่นในครอบครัวต้องอิจฉานางเพราะนางเป็นคนเดียวที่ได้เจอพระเอก ดูแลปกป้องพระเอก น่ารักนะ  (อยู่เล่ม 2)


ส่วนพระเอก .... การที่รักใครสักคน ก็ทำให้อีกฝ่ายเป็นโลกเป็นจักรวาลของเราได้ แค่นางเอกจะยิ้ม จะโกรธ ก็กระทบพระเอกได้หมด ขนาดขัดคำสั่งพระเอกไม่ยอมอยู่รอ แต่ตามช่วยคนด้วย พระเอกยังบอกเลยว่า ไม่โกรธ เพราะ “ตัดใจไม่ได้” (คำนี้เลย เล่มหนึ่ง หน้า 267 ตามอีบุ๊ค)

คือว่าชอบบบบบบบ นาน ๆ ทีจะเจออะไรที่ลงตัวแบบนี้นะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระเอกที่เก่งเทพแต่เป็นแนว beta ตอนอยู่กับนางเอกเนี่ยยย