Sunday 15 November 2009

Dawnbreaker by Jocelynn Drake

เล่มที่สามในชุดแล้ว .... ความสนุกสนานจากเล่มหนึ่งและสองทำให้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องสั่งมาอ่านต่อ และก็คงอ่านไปได้เรื่อย ๆ ถ้ายังคงความสนุกและวางโครงเรื่องเช่นนี้ได้อยู่

อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ต้องพูดก็คือว่า สั่งหนังสือไปที่คิโนะ และก็ไม่มีการตามเรื่องใด ๆ ให้จนกระทั่งหนังสือวางขาย และวางขายอยู่ดื่นดาษที่คิโนะทุกสาขา สรุปว่าซื้อหนังสือเอง การสั่งไม่มีผลใด ๆ เลย

ปล. เพิ่มเติม หลังจากนั้นเกือบสองเดือนร้านเพิ่งโทรมาว่าเพิ่งเช็คใบสั่งตกสำรวจ ไม่รู้จะพูดอย่างไรจริง ๆ



ชนิด : Urban Fantasy/ vampires/ bad elves/
ชุด : Dark Days, Book Three
สำนักพิมพ์ : Eos (September 29, 2009)
จำนวนหน้า : 368หน้า


เล่มที่สามนี้ เริ่มต้นฉากที่ Savannah เขตปกครองของ Mira เพราะเมื่อเธอกลับมาหลังจากการสู้รบกับเหล่า Naturi ในอียิปต์ และอังกฤษในเล่มแรก และไปรายงานเรื่องให้เหล่าผู้นำของ Nightwalker ในเล่มสองแล้ว Mira ได้กลับมาที่นี่เพื่อจะจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้เรียบร้อยก่อนที่จะไปทำสงครามครั้งใหญ่กับเหล่า Naturi ที่เปรูเป็นครั้งสุดท้าย

หากการกลับมาเพื่อจัดการเรื่องและเตรียมตัวให้พร้อมไม่ใช่เรื่องง่ายดายอย่างที่คิด เมื่อ ฝูง Naturi ตัวร้ายติดตามมารุกราน Mira อีก ซึ่งไม่เพียงแต่ทำร้ายผีดูดเลือดใต้การดูแลของเธอ แต่ยังทำให้มิตรภาพที่มีมาอย่างยาวนานกับหัวหน้าฝูงมนุษย์หมาป่าของเมืองสิ้นสุดลง เพราะเจ้าตัวคิดว่าสาเหตุทุกอย่างมาจากตัว Mira ที่เป็นต้นเหตุนำพา Naturi เข้ามา

เมื่อเริ่มเดินทางไปยังเปรูเพื่อยับยั้งการทำลายผนึกที่จะทำให้เหล่า Naturi กลับมาอย่างโลกของ Mira นั้น นอกจากจะมี Danaus ที่กลายมาเป็นคู่หูร่วมคิดและร่วมรบแล้ว ก็ยังมี Cynnia เจ้าหญิงของเหล่า Naturi ที่ทั้งคู่ไปเจอขณะไปช่วยเหลือคนสนิทของ Mira ที่ถูกจับตัวไปกลับมา และในฐานะเจ้าหญิง ตัว Cynnia ก็เป็นตัวต่อรองที่ดีเยี่ยม

รู้สึกเหมือนเล่าเรื่องย่อได้ไม่รู้เรื่อง และไม่กระชับ หรือฉลาดอย่างที่เคยทำได้สองเล่มก่อน แต่ก็นั่นแหละ สงสัยจะห่างการเขียนวิจารณ์ไปนาน สำหรับความรู้สึกแรกเมื่อได้อ่าน คิดว่าเล่มนี้ก็ยังเขียนได้ดีเหมือนเคย และที่รู้สึกว่าดีที่สุดก็คือการวางแผน วางโครงเรื่องทั้งหมด เพราะอ่านแล้วรู้สึกว่าคนเขียนเรียบเรียงมาดี และคิดเยอะก่อนที่จะเขียนออกมา ซึ่งรวมไปถึงการแบ่งน้ำหนักเนื้อหาของเรื่องแต่ละส่วนด้วย จุดเล็ก ๆ น้อย ๆ หลายอย่างในเรื่องก็ทำให้เห็นถึงการคิดและใส่ใจรายละเอียดของเธอ และก็ย้ำความเป็นเรื่องโดดเด่นในใจในฐานะเรื่องชุด และสำหรับหนังสือแต่ละเล่มได้เช่นเดิม

สำหรับสามเล่ม อย่างที่บอกว่าตัว Mira เองมีภารกิจต่างกัน และเผชิญหน้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ กันในหนังสือแต่ละเล่ม (แม้จะมีความเหมือนกันอย่างหนึ่งคือ การเผชิญหน้าครั้งใหญ่ (หรือจะเรียกว่า ่สงคราม ่ ก็น่าจะได้) กับเหล่า Naturi ที่จะมีในช่วงท้ายเล่ม) ก็ทำให้หนังสือแต่ละเล่มมีความแตกต่าง และการต่อสู้ที่หลากหลายกันไป จากการสู้ด้วยกำลังกายเป็นหลักในเล่มหนึ่ง มาเป็นสู้ด้วยสมอง ในเล่มสอง และเล่มสามส่วนตัวเองเห็นการรวมกันของทั้งอย่าง ซึ่งก็ทำให้หนังสือไม่น่าเบื่อ และชวนติดตาม

ภารกิจของ Mira ยังเป็นสิ่งที่หนักหนาสำหรับเธออยู่เช่นเคย และก็ตอกย้ำวิถีแห่ง Urban Fantasy ที่ตัวเอกมีภารกิจให้ทำ เพราะต้องทำ โดยที่ไม่มีทางเลือก และเป็นสิ่งที่ใหญ่หลวงสาหัส (Larger-than-life!) ในหนังสือจะเห็น Mira วิ่งวุ่นอยู่ตลอดเวลา และมีภาระธุระที่จะต้องทำเต็มไปหมด เพราะไม่เพียงแต่เธอจะต้องทำเพื่อตัวเอง ก็มีหลายสิ่งที่ทำเพื่อดูแลคนอื่น แม้ว่าจะซ่อนอยู่ใต้ท่าทีเย็นชาก็ตาม (หรือเย็นชาน้อยลงไปเรื่อย ๆ สำหรับระยะห่างที่มีต่อ Danaus เอง)

ระยะห่างที่ Mira เว้นไว้กับ Danaus อยู่จะหดน้อยลงไปเรื่อย ๆ และความใกล้ชิดผูกพันที่ทั้งคู่มีต่อกันก็มากยิ่งขึ้น และในทางกลับกันความใกล้ชิดที่มี ก็ส่งผลให้ระยะห่างใด ๆ ที่มีน้อยลงไปอีกเช่นกัน ดังเช่น ในช่วงเกือบท้ายของหนังสือ นักล่าสัมผัสได้ว่า Mira กำลังดีใจอยู่กับเรื่องราวบางอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างรบ และเขาก็เรียกร้องที่จะรู้เรื่องนั้นให้ได้
What? He demanded in my head.
I don’t know what you’re talking about, I denied, but he words came across as far too giddy.
You’re too damn happy about something.
Possibly that I’m still alive.

No. Tell me, or I’ll find it on my own, Mira.

(หน้า 262-3)

มีฉากในตอนต้นเรื่องที่ Danaus ถูก Naturi ลากจากเรือลงไปในน้ำ และ Mira ก็ไม่ลังเลที่จะกระโดดลงไปช่วยทันที และเมื่อ Danaus บอกว่าเขาไม่คิดว่าเธอจะกระโดดลงไปช่วยจริง ๆ ก็ทำให้เธอโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่ฉากความรู้สึกของ Mira ที่ชัดเจนที่สุด เป็นช่วงที่ Danaus ไม่ยอมที่จะถูกทำให้หลับไป เพราะกลัวอันตรายจากเหล่าผีดูดเลือดที่จะเกิดขึ้นเมื่อนักล่าอย่างเขาช่วยตัวเองไม่ได้ และ Mira ปลอบประโลมเขา
“No one will touch you! I forbid it. You belong to me and me alone. I will be among the first to awaken and I will wake you. No Nightwalker or Naturi will touch you, I vow it.”
As I spoke, a dark, feral need rose up in me. I needed to pull him down to me and drain some of the blood from his neck. I needed to feel his blood coursing through my veins, marking him as mine. I needed for all in the nightwalker world to realize that none should lay a hand on the hunter. He was mine.
(หน้า 285)
ความคิดเหล่านี้นอกจากจะแสดงออกถึงความรู้สึกเป็นเจ้าของแล้ว ยังแฝงความรู้สึกอยากปกป้องลงไป และที่โดดเด่นอีกอย่างก็คือ วิธีที่พูด และปฎิบัติต่อ Danaus ระหว่างนั้นก็แสดงให้ถึงความละเอียดอ่อนที่ Mira มีให้ Danaus จริง ๆ ซึ่งแม้ว่าเวลาอื่นที่อยู่ด้วยกัน Mira จะเต็มไปด้วยท่าทีออกคำสั่ง โมโหร้าย หรือแม้แต่ประชดประชันก็ตามที

ทั้งหมดนี้เป็นการก่อร่างความรู้สึกอย่างช้า ๆ และในฐานะที่ทั้งคู่เป็นศัตรูข้ามเผ่าของกันและกันมาก่อน ก็ทำให้ความรู้สึกที่มีดูน่าเชื่อถือ และดูมีคุณค่าตามไปด้วย เพราะเมื่อย้อนไปดูตั้งแต่เล่มแรก พัฒนาการและความเชื่อมั่นที่มีต่อกันและกันถูกบ่มเพาะขึ้นมานั้นมีขึ้นมาทีละเล็กละน้อยจริง ๆ

อย่างไรก็มี หลังจากที่เล่มสองที่ Mira สามารถรับพลังจากพื้นโลกที่จุดบูชายันต์มาเป็นของตัวเอง (แม้ว่าจะเป็นอย่างไม่ตั้งใจก็ตาม) แต่ก็ทำให้เธอมุ่งมั่นมั่นจะควบคุมพลังให้ได้แทนที่จะให้พลังนั้นมาควบคุมเธอ ซึ่งทำให้เธอต้องขอความช่วยเหลือจากแม่มด และ Naturi อย่าง Cynnia และนำไปสู่การตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่เธอจะมีรากเหง้าของ Naturi อยู่ในตัว - ซึ่งคิดว่าประเด็นนี้ก็คงจะรอการพิสูจน์ต่อไปในเล่มหน้า ๆ

เมื่อพวก Mira จับตัว Cynnia ได้ ความเกลียดชังเผ่า Naturi ทำให้ Mira ปฎิบัติต่อ Cynnia ไม่ดีนัก เธอถูกขู่ฆ่าทุกครั้งที่ Mira ต้องการความร่วมมือ และต้องการให้ Cynnia เชื่อฟังคำสั่ง และการที่เจ้าตัวอยู่รอดมาได้ก็เพราะฐานะที่เป็นเจ้าหญิงและน้องสาวของ Aurora ราชินีของเหล่า Naturi ซึ่งทำให้อดคิดไม่ได้ว่าจะทำให้ Cynnia ซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ (นอกเหนือไปจากการเป็นเผ่า Naturi แล้ว เธอไม่มีความคิดฆ่าใด ๆ อยู่ในหัวเลย และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ต้องการให้เหล่า Naturi อยู่ร่วมกับเผ่าพันธุ์อื่น ๆ บนโลกอย่างสงบเสียด้วย) จะถูกสภาวะแวดล้อมกัดกร่อนให้เปลี่ยนแปลง และทำให้มีเงื่อนไขที่จะทำร้ายทำลาย Nightwalker และโลกขึ้นมาด้วยความขมขื่นเกลียดขึ้นมา อย่างไรก็ตาม สถานการณ์กลับไปไม่เช่นนั้น เพราะที่สำคัญเธอเองก็ไม่กล้ากลับไปหาฝ่าย Naturi ที่อยู่บนโลก เพราะกลัวว่าจะถูกฆ่า (ดังเช่นที่กลับเป็นว่ามี Naturi ที่อยู่บนโลกวางแผนให้เธอเจอ Mira เพราะรู้ว่า Mira จะไม่ปล่อย Cynnia ที่เป็น Naturi ไว้แน่ เป็นทั้งการกำจัด Cynnia และยืนมือ Mira ฆ่าคน) อย่างใดก็ดี กลายเป็นว่า (สปอยล์) [Cynnia ระแคะระคายว่าพี่สาวต้องการฆ่าตัวเอง และดังนั้นจึงตัดสินใจมาอยู่ใต้การกักตัวของ Mira เพราะรู้ว่า Mira จะไม่ฆ่าเธอซึ่งเป็นน้องสาวของ Aurora อย่างแน่นอน และตอนจบที่ปรากฏให้เห็นว่าเธอวางแผนทั้งหมดไว้ และท้าทายอำนาจพี่สาวของตัวเองก็เป็นจุดหักมุมที่คนเขียนเขียนได้ดีเดียว]

มีจุดที่รู้สึกว่า ironic (ขอโทษที่นึกคำไทยคำนี้ไม่ออก) อยู่อย่างมากก็คือ Rowe ตัว Naturi ที่เป็นคนรักของ Aurora พยายามทำทุกอย่างให้ Aurora ได้กลับมาโลกตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ซึ่งก็รวมไปถึงการพยายามใช้มนต์ด้านมืดเพื่อเปิดประตูมิติด้วย ซึ่งนั่นก็ทำให้รูปโฉมเขาเปลี่ยนแปลงไป และสิ่งนี้ก็ทำให้ Aurora ขับไล่เขาออกไปจากเผ่า Naturi แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่ภักดีที่สุด และคิดถึงแต่เธอที่สุดก็ตาม ซึ่งเป็นจุดที่น่าหัวเราะและน่าเศร้าไปพร้อมกัน

สำหรับตัว Aurora เอง มีการพูดถึงเธอมาตลอดในหนังสือทั้งสองเล่มแรก และเล่มนี้ แต่กว่าเธอจะปรากฏตัวก็คือตอนจบของเล่มสาม เราไม่ได้เห็นเธอหรือรู้จักเธอมากไปกว่าความจริงที่ว่าเธอเป็นราชินีของเผ่า Naturi ทั้งมวล และเมื่อเธอปรากฏตัวออกมา เธอก็เป็นเช่นนั้น และเป็นแค่นั้นจริง เพราะเธอคิดว่าเธอเป็นราชินี และทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับเธอ ตามความต้องการของเธอ ซึ่งการที่ถูกกักขังอยู่ต่างมิติก็อาจมีผลทำให้เธอสร้างโลกและความเชื่อของเธอขึ้นมาจนเป็นจริงตามที่เธอเชื่อว่าเธอเป็นจุดศูนย์กลางของทุกอย่างอีกด้วย ซึ่งสะท้อนได้เห็นจากคำพูดและการให้ความสำคัญกับตัวเองของเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการขับไล่ Rowe ออกไป และการคิดจะฆ่าน้องสาวทั้งสองคนเพื่อจะกำจัดคนที่มามีอำนาจเหนือจากเธอออกไป

ทั้งนี้ ความคิดด้านลบของ Aurora ประกอบกับความไม่ลงรอยกันเรื่องการอยู่ร่วมกับเผ่าอื่นก็ทำให้ Aurora แตกคอกับ Cynnia ในตอนท้าย (สปอยล์) [ไปจนถึงขั้นที่ Cynnia ยอมให้ Mira ฆ่าพี่สาวตัวเองเพื่อที่เป็นราชินีคนใหม่มาปกครอง Naturi]

อย่างไรก็ตาม เรื่องในเล่มสี่ก็คงเข้มงวดขึ้น โดยเฉพาะเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป เพราะ ผนึกถูกทำลายจน Aurora กลับมาที่โลกได้ แม้ว่า (สปอยล์) [Cynnia จะก้าวขึ้นมาเป็นราชินีอีกคนหนึ่ง และทำให้เผ่า Naturi แบ่งออกเป็นสองฝ่ายเมื่อ Aurora ยังไม่ตามก็ตาม ซึ่ง Naturi ก็อาจจะพักศึกการรบกับเผ่าพันธุ์อื่น ๆ เพื่อไปกำจัดศึกในบ้านก่อนก็ได้]

เห็นความเป็นไปได้ที่ Naturi จะกลับมาเป็นพันธมิตรร่วมกับเผ่าพันธุ์อื่น ซึ่งถ้าเป็นจริง แม้ Mira จะยอมรับความจริงตรงนี้ และเรียนรู้ที่จะไม่ฆ่า Naturi ได้ แต่ก็มีเผ่าพันธุ์อื่น และข้อสัญญาระหว่างกันอยู่ดี และที่สำคัญก็มีความเป็นไปได้ที่เผ่า Bori จะมีบทบาทต่อไปอีกด้วย (หวังว่าคงไม่ใช่การร่วมมือกับ Naturi เพื่อกำจัด Bori!) โดยเฉพาะเมื่อเห็นท่าทีของ Danaus หลังจากได้รับผลกระทบจากการใช้คาถาไป

อยากอ่านเล่มสี่ เพราะท้ายเล่มสาม เหมือน Mira เริ่มเบื่อกับการอยู่กับที่ แม้ว่าจะต้องการได้กลับมาตลอดในสองเล่มแรกก็ตาม และคาดเดาไม่ได้ว่าเล่มสี่จะเป็นอย่างไร สรุปว่า ชอบ ชอบ ชอบ “Rich in details, rich in surprises!” ก็แล้วกัน ให้ B+

ปล. หนังสือชุดนี้ไม่เคยหาคำสรุปหรือเพลงดี ๆ ประกอบได้เลย อนิจจา!

Tuesday 13 October 2009

About to be back

I know I’ve been away for a little bit too long already. And so, I’m about to be back and review some soon!

At the moment, I’ve finished my Intro to Urban Fantasy writing for a friend’s blog (waiting for editing, tho). And will try to do some recent-read reviews as soon as poss. This is especially urgent since I begin to see too many are left unreviewed; of which among them are Dawnbreaker, Hunting Ground, and Darkness Calls!

And oh, Dawnbreaker still proves the series come as my top three!

Wednesday 26 August 2009

Stolen by Kelley Armstrong

หลังจากอ่านเล่มแรกจบ ก็ไม่แปลกอะไรที่จะอ่านเล่มสองต่อ .. แม้ว่าจะเนิ่นมาบ้าง เพราะระยะเวลาสำหรับการสั่งหนังสือ และระยะเวลาที่เริ่มอ่านก็ตาม

ขอบคุณ คุณเมย์แห่ง Mostly Romance ที่แนะนำหนังสือชุดนี้ให้อ่านอีกครั้งค่ะ!




ชนิด : Urban Fantasy/ Werewolves/ Magic/ Action Thriller
ชุด : Women of the Otherworld, Book 2


สืบเนื่องจากเล่มที่แล้ว เมื่อ Elena ปรับทัศนคติกับโลกรอบตัวเธอและยอมรับตัวเองในฐานะมนุษย์หมาป่าได้อย่างเต็มใจแล้ว เธอเริ่มต้นชีวิตใหม่อยู่กับฝูง และ Clayton คนรักของเธออย่างมีความสุขมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ความสุขสงบไม่ได้มีอยู่ตลอดเสมอไป เมื่อเธอได้รับการแจ้งข่าวจากแม่มดอย่าง Paige ว่ามีการลักพาตัวเหล่า “ผู้ไม่ใช่มนุษย์” เกิดขึ้นอย่างลับ ๆ และแม้ว่าเธอจะมองว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งไกลตัว ซึ่งเธอและฝูงสามารถจัดการได้เองโดยที่ไม่ต้องพึ่งพาเผ่าพันธุ์อื่น หากอันตรายกลับอยู่ใกล้ตัว Elena มากกว่าที่เธอคิด เพราะเป้าหมายต่อไปของการลักพาตัวก็คือตัวเธอในฐานะมนุษย์หมาป่าสาวเพียงคนเดียวไป

และดังนั้น เมื่อถูกจับตัวไป Elena จะต้องเดิมพันทุกอย่างในตัวที่มี – ทั้งไหวพริบ สติปัญญา กำลัง - เพื่อที่จะเอาชีวิตรอดออกมาให้ได้

หนังสือเล่มที่สองในชุดมีการเริ่มต้นที่ดี แม้ว่าจะช้าไปบ้างในช่วงหนึ่งส่วนสามเล่มแรก แต่ว่าหลังจากนั้น การดำเนินเรื่องเป็นไปอย่างฉับไว รวดเร็ว และทันเกมมากขึ้น การที่ Elena เป็นคนเล่าเรื่องเหมือนเดิม หลังจากการอ่านเล่มหนึ่งก็ทำให้ผู้อ่านมีพื้นฐานความเข้าใจเกี่ยวกับตัวละคร และตามเรื่องต่อไปได้โดยที่ไม่ต้องทำความรู้จักกับตัวละครอีก และในทางกลับกัน สิ่งที่ได้อ่านต่อไปก็ทำให้เข้าใจตัวละครในเชิงลึกมากขึ้น โดยที่คาดหวังและคาดเดาสิ่งที่จะเกิดได้ และจุดเด่นของ Kelley ที่ศึกษาด้านจิตวิทยามาก็ยังคงเด่นชัดและเป็นประโยชน์อย่างสูง เพราะทำให้สร้างภาพตัวละคร ทัศนคติ ความคาดหวัง ตลอดไปจนถึงแรงจูงใจ และวิธีคิดมีน้ำหนัก และมีมิติอย่างมาก ซึ่งนอกเหนือไปจากตัวเอกแล้ว ตัวละครอื่นก็ถูกสร้างภาพมาอย่างลึกเช่นกัน และทำให้เรื่องนี้สนุก และสมจริง

ชอบภาษาที่ใช้ในเรื่องและอารมณ์ขันที่ใส่เข้าไป ภาษาที่บรรยายไม่ใช่แค่การบรรยาย แต่การเลือกใช้คำทำให้สื่อถึงตัวละครนั้น ๆ ในฐานะคนเล่าเรื่องและถ่ายทอดบุคลิกลักษณะและวิธีคิดของตัวละครแต่ละตัวขึ้นมาอย่างชัดเจน และขับเน้นให้ตัวละครเหล่านั้นโดดเด่นมากขึ้น ซึ่งสำหรับเล่มนี้จุดที่จำได้มากที่สุด (เมื่อพิมพ์ถึงตรงนี้ โดยที่ไม่เปิดหนังสือประกอบ) ก็คือ ฉากที่ตัวละครอื่นทำให้พาหนะของเหล่าคนร้ายใช้การไม่ได้ โดยที่เธอและ Clayton ได้แต่ยืนดูเฉย ๆ โดยที่ไม่เข้าใจและไม่อาจมีส่วนร่วมได้ และการใช้คำและการบรรยายความก็ทำให้เรารู้สึกถึงความไม่รู้และงุนงงของ Elena ได้จริง ๆ

พูดถึงตัวละครหลัก เล่มที่แล้ว ทัศนคติและมุมมองโลกของ Elena ค่อนข้างกราดเกรี้ยว โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้า และเป็นเรื่องของ Clay แต่เล่มนี้หลังจากเข้าใจตัวเองและเข้าใจโลกรอบตัวแล้ว ความรู้สึกเหล่านี้หายไป เธอเปิดใจมากขึ้น (แม้ว่าจะไม่เปิดใจอย่างที่ควรเป็นที่จะรับรู้การมีอยู่ของเผ่าพันธุ์อื่น และการรับรู้สถานการณ์ตรงหน้าที่ทำให้เธอถูกจับตัวในที่สุดก็ตาม) และก็ซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเอง ในเรื่อง Clay มากขึ้น และดังนั้นก็ทำให้ชอบเธอได้มากขึ้น และคาดหวังกับเธอในเล่มนี้ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในฐานะ damn-hard-ass-kicking touch bitch ที่พร้อมจะสู้รบฆ่าฟัน –โดยไม่มีขีดจำกัดหรือข้อกำหนดใด ๆ - กับใครก็ตามที่ดาหน้าเข้ามา (และก็ชอบเธอในฐานะ realist มากกว่า Paige ที่ไร้เดียงสาไปจนถึงขึ้นซื่อด้วย)

รู้สึก”ป่วยใจ”อยู่บ้างที่อ่านเจอการลักพาตัวสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์อื่นมาเพื่อทดลอง และใช้ชีวิตคนอื่นเพื่อเล่นสนุกส่วนตัว แต่เมื่อ Elena ถูกจับตัวมา และถูกปฏิบัติไม่ดี การที่ได้อ่านและรู้สึกเธอมาจากเล่มหนึ่งทำให้อ่านต่อไปได้อย่างสนุก อย่างแรกเพราะรู้ว่าเธอมีไหวพริบ และกำลังพอที่จะหาทางออกให้กับเหตุการณ์ที่เธอต้องเผชิญหน้า โดยเฉพาะกับเหตุการณ์เฉพาะหน้าทั้งหลายที่หากเธอแก้เกมด้วยสติปัญญาไม่ทันก็หมายถึงชีวิตของเธอเอง และอย่างที่สองที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันก็คือ รู้ว่าในระดับหนึ่งเธอเป็นคนที่ไม่ยอมให้คนอื่นมาข่มเหงเธอฝ่ายเดียว หากแต่จะตอบกลับเป็นร้อยเท่า และดังนั้น เหตุการณ์หลายอย่างก็เสมือนความรู้สึกเป่าลมเพิ่มใส่ลูกโป่งเพื่อรอเวลาที่ลูกโป่งจะระเบิด – หรือรอเวลาที่ Elena จะโต้กลับ (จะว่าไปก็เป็นความรู้สึก slow build ในด้านความเจ้าคิดเจ้าแค้นแทนของคนอ่านก็ว่าได้) ซึ่งก็หมายถึงว่าอวสานกลุ่มคนร้ายที่คลุ้มคลั่งและเห็นแก่ตัวกำลังจะมา และมาถึงอย่างสาสม และรุนแรงเสียด้วย

อย่างไรก็ตาม ต้องสารภาพว่าเรื่องนี้ได้คะแนนเต็มในฐานะ Action Thriller มากกว่าจะเป็นไปในฐานะ Urban Fantasy เพราะอ่านไประแวงไป และลุ้นไปว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป และตัว Elena เองจะเผชิญหน้ากับเหตุการณ์นั้น ๆ อย่างไร และก็ทำให้ต้องอ่านไปหยุดไป เพราะเกิดความรู้สึกระแวงเหมือนเดินอยู่บนเส้นด้ายตลอดเวลา (เรียกว่า Edgy น่าจะตรงที่สุด) จริง ๆ แล้วตัวหนังสือ(น่าจะ) ไม่ได้โฆษณาตัวเองในฐานะ Action Thriller แต่กลับทำได้ดีกว่าหนังสือหลาย ๆ เล่ม และถือเป็นหนังสือแนวดีที่ดีมากเล่มหนึ่ง เมื่ออ่านจบทำให้คิดถึงเรื่อง Black Magic Woman เพราะนี่เป็นสิ่งที่ BMW พยายามทำและสัญญาว่าจะทำ แต่กลับไปไม่ได้และไปไม่ถึง

ให้คะแนนที่ B+ ถูกหักคะแนนไปเพราะการดำเนินเรื่องที่ค่อนข้างช้าในตอนแรก (เป็นจุดร่วมของหนังสือในชุดที่พบทั้ง 4 เล่ม ณ ขณะนี้ – จริง ๆ แล้วการดำเนินเรื่องช้าเพื่อปูเรื่องเป็นสิ่งที่ดี เพราะทำให้พื้นแน่น สมจริง และให้คนอ่านมีอารมณ์และความเข้าใจตามเนื้อเรื่องที่จะเกิดไปได้ง่ายและมีประสิทธิภาพ แต่ปัญหาของคนอ่านเรื่องมากและใจร้อนก็คือ ทนรออ่านให้เกิดการเผชิญหน้าดุเดือด และฉากบู๊ล้างผลาญไม่ไหว ซึ่งก็ต้องบอกว่าเป็นปัญหาส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวกับหนังสือแม้แต่น้อย) สรุปให้ว่า “She bites, and bites hard!”

น่าจะวิจารณ์ได้มากกว่านี้ แต่ได้แค่นี้ เพราะหาประเด็นจิตวิทยา และความสับสนทางจิต (ของคนวิจารณ์) ไม่เจอ

อย่างไรก็ตาม ได้เพลงที่เข้ากันกับ Elena อย่างยิ่ง นั่นก็คือ Bite You ของ Lene

Just cuz I push things fast
That don't mean you can tap that ass
Here comes the prechorus
This is how I do it

Just cuz I like don't mean I won't bite you

Just cuz I buy nice clothes
That don't mean you can wear me out
Just cuz u rub my back
Don't mean I wanna hit it right now
And just cuz I wear high heels
That don't mean this girl for sale
Here comes the prechorus
This is how I do it

Saturday 1 August 2009

Dayhunter by Jocelynn Drake

Again, May of the blog MostlyRomance gave me the book, along with Jocelynn Drake's autograph and the phrase 'Stay out Venice' in it!! (In case you wonder why 'Stay out Venice'? and why 'Venice', you need to read it, and you will know we'd all better 'Stay out of Venice' with no doubt!) Nevertheless, May also gave me the teaser (What should I call it???!!!) with Jocelynn Drake's autograph and my name on it. And I think it is too crystal clear how delightful I have been! Thank you to May. Thank you to Jocelynn Drake, and RT!

Genre : Urban Fantasy/ vampires/ bad elves Series : Dark Days, Book Two Publisher : Eos (April 28, 2009) No. of page : 368 In the first book, our Nightwalker, Mira, learnt about the returning of Naturi, the bloody- thirsty, cruel elf being, from Danaus the Vampire Hunter. Both Mira and Danaus had to halt their natural antagonism and help each other fight back the coming-back-to-the-world Naturi. Still, a certain event/ situation at the end of the book, had strengthened their alliance, especially since the guy became the only one Mira could trust and rely upon. In Dayhunter, Mira was ordered by Jabari, one of the three powerful elite Nightwalkers, to attend before the Coven in Venice. (The so-called Nightwalkers' capital, since the Liege, their absolute leader, and the Coven, the group of elites called Elders, live there. Read more on the the Coven and the Liege ) And she had no choice but to follow it by bringing Danaus and Tristan along with her. Nevertheless, being surrounded by her own kind may not be less dangerous than battling with Naturi. Her reputation as well as her relationship with other Nightwalkers were never considered great from both her ability to control fire and her 'emigration' to New-World America, while the others preferred remaining in Europe. Consequently, not only did she need to survive from the fangs and nails of the same kind, but also had to play along the thoughts and plans of the three Elders, of which all seemed to had very agenda of their own for their own interest. And a series of great betrayals was about to take place, while the plan to come back of Naturi was also still on. While the former focuses on battling the herds of Naturi constantly attacking the main characters, this book mainly sees the confrontation between Mira and the Nightwalkers in Venice. And so, the situations changed from fighting with swords and guns to leveling intelligence and wit, particularly when the Nightwalkers' society solely judged by power in form of strength, with the highest intensity in the court politics of Coven. The relationship of Mira and Danaus was among other things developed in the book. As the former book both of them needed to fight together to detain Naturi, here they needed to join hand to survive from Nightwalkers around the Coven. This increased the level of their co-operation which in turned raised their trust in order to fight side by side even more. (Such degree was even seen by as a group of Nightwalkers that she betrayed her own kind by joining hand with the Hunter and/ or Mira was so strong and powerful that she could control a notorious Hunter.) For Mira herself, she clearly stated that her trust and confidence upon him became somewhat higher than that being put on her own kind. Like, from her thought ... "He had hovered close on so many occasions while I slept that I now hated the idea of him not being there when the sun broke above the horizon. Danaus was my only sense of security in this world that was changing too fast. He threatened to destroy everything that I protected. But as the same time, he seemed to be the only one left trying to protect me." (p. 329) Such trust and confidence was so much that she almost forgot the hostility between her and Danaus. Yet, his 'error' (Spoiler) [of believing a Nightwalker would kill human to save another Nightwalker, Danaus himself made an ill judgment by killing that Nightwalker before Mira .. without considering her attitude/ action towards the situation.] brought about a dangerously high level of disappointment and of being betrayed inside her. Nevertheless, in the book it finally stated 'what our Nightwalker hunter really was' (Not just WHO he really was!) and that was not far from what I did expect. (Spoiler) [The man was Bori, the race similar to angels and demons; and his mother made a contact to gain power from demon and getting him as a result from the trade, which made him half human-half demon, or with the book's own terms, half human-half Bori.] And this is why he held religious belief dear as a life principle. He also did believe in absolute right and wrong, absolute good and evil without such gray area until knowing Mira. And for that, if we see her life went upside down once she met Danaus, his life then changed with no very different volume, and even far more unstable since what touched his life altering him was about faith and attitude. Still, his distrust in the end of the book (Spoiler) [Actually it was about not trusting other Nightwalkers, rather than not trusting Mira. ] might confuse readers upon confidence and bond of the two. But at the deeper level, it does explain the profound connection between them. Reading through Mira's point of view may not clearly give us thoughts of Danaus, yet there were countless scenes that our Hunter became so concerned about her well-being and safety, and too concerned for just the one watching her back. One possible explanation is the man had been searching for her for long time and that determination in finding her had built at least the so-called attachment towards her (But this is not at all obvious beyond the wild interpretation of readers). Personally, this conflict was neither for separating nor alienating the relations between both of them, but instead for displaying constant confidence and 'oneness' shown as 'You and me against the world' throughout the book. (Spoiler) [Not only did the betrayed feel betrayed and hurted, but also the mistake maker felt so guilty that he came unarmed to her in order to say sorry. Had he not trusted her, he could not have come to her without any single weapon. (Though he did possess the ability to kill Nightwalker from distant, as we learnt!) And that apology was not from guilt of killing, but from guilt of hurting her. ] Although the couple had been saying they were protecting each other in order to kill each other after ending the Naturi concern, it is more than obvious they could not kill the other afterwards! Jabari's betrayal on Mira seemed grave and unforgivable in the first book, especially when he had been using her as a tool. Still, one thing on my mind is that the Nightwalker became so focused on result with no much consideration on means that he viewed exploiting and using people around him as acceptable and harmless. And thought he posed cold and indifferent front towards our Fire Starter through Book Two, deep down his confidence on Mira was rather strong, even this was for him seeing Mira as the one who, either knowingly or unknowingly, but eventually, moved and made the situation according to his directions and plans. This is particularly true since Jabari was a mastermind who both foresaw the outcome and knew Mira almost completely. Dayhunter sees less-than-expected role and action of Tristan, but he by all means played his rather-significant role by motivating Mira to 'display' her power to other Nightwalkers around the Coven, and therefore gained their fear, and even respect. More importantly, the need to protect her so-called younger brother (if we consider that both Mira and Tristan shared the same 'Maker'.) drove her to accept him as part of 'family', or being under her protection, which was something our Fire Starter had tired to avoid. (Read more about the concept of Family ) This also led her to the confrontation with their Maker, Sadira, resulted in the latter seriously injured from her fire. Nevertheless, I must say I still see the potential of the younger Nightwalker in the future, even though he was poorly-made for entertaining reason, rather than carefully-made to be strong like Mira. Off from the characters to the storyline, my own feeling is she was no different from conventional fantasy heroine for the reason that she needed to fight evil, and protect mankind with no choice. (Somewhat this came from her honor and inner responsibility as seeing no one intends to play the job, and so she needed to do it.) But what makes it urban fantasy still is beyond-imagination/out-of-control and one-thing-leads-to-another- and-another situations. This is because in Nightwalker, her goal was only seeing the Elder, particularly Jabari, to inform him about the coming of Naturi before heading back home. The set mission was clear just that, but that she was a seal to detain the entire Naturi race from entering the world. Although not realizing the truth before the end of the book, she was at that time commanded to find the triad creating the seal. In Dayhunter, she believed the task of coming to Venice was only for reporting the Naturi situations to the Elders in the Coven, but eventually the reason was Mira herself was an important 'pawn', (and player?) to set the outcome of Coven politics. I must say Coven politics greatly added excitement and dimension to the book. Each character has his very own agenda set clearly in the mind; and even in the Coven, every Elder has truly different aims and goals. This means, in order to survive, Mira had to keep up with the game with all her might and wit, and be able to read others' minds. Such a survival is especially true with a number of great betrayals in the book. (Big Spoiler) [Since the Elders decided to join hands with a faction of Naturi already living on earth who enjoyed the status quo so much that they did not want the rest of their own kin to return. In return for being in the same league, those Naturi would kill the Liege for the Elders. This was because the Liege decided to advance the time of the 'Great Awakening' in, which would allow human to learn about the existence of the Nightwalkers, and therefore would also let them know about other kinds. (Witches, werewolves etc) As all the non-human races committedly agreed on the timing together, changing the time would undoubtedly bring war from all side towards Nightwalkers. This made the Elders needed to kill The Liege to end the conflict foreseen. Still, the decision of the Elders was divided, clearly seen from Macaire and Jabari. ] As for the former, (Spoiler) [Macaire gave his full support in cooperating with Naturi because he believed that killing the Liege would destroy the present status quo and therefore made him the most powerful among both the Elders and Nightwalkers.] But for the latter, (Spoiler) [Jabari did not want any gathering with the Naturi and even did not want any changes in status quo. From past to present, he was the one with most power and most strength of the Elders. Yet, he wanted Mira to take the remaining seat, for him to be able to control her meant he took control over the Coven still. ] And even taking the Coven seat was never ever in her mind (There were four Elders' seats, and one remained unoccupied still.), her capability and strength together with her independence from the Elders in Europe and influence in 'New World' made others strongly believed that she desired the seat. (While ironically, she wanted no involvement at all from the Coven, let alone wanting to become one!) Nevertheless, (Spoiler) [in the end, situations forced her to take the seat to help tip the balance anyway. ] Normally, being an Elder was possible only when the certain Nightwalker was an 'Ancient', who reached over age of million years. (Yet, in her case, being carefully made to ensure her ability to control fire remained, plus having several makers of Ancient Nightwalkers truly gave her strength beyond her age.) Personally, I enjoyed Dayhunter more than Nightwalker. This is partly because I feel more familiar to the characters and the world created; yet importantly, I do fancy the 'battles of brain' throughout the book. Other Nightwalkers added to this book also helped me see how their world really functioned (The first book took place beyond their realm and therefore left us with no clear picture of Nightwalkers' society.) The book too showed relationship between Mira and other Nightwalkers and their attitude towards one another.

For me, the society of the Nightwalkers seemed ice-cold, selfish and power-thirst. This therefore let us see Mira clearer and better, particularly when she was very different from the others by holding honor and pride dear to her. (She emphasized on this two, while others on 'power'.) Still, the thing that we can not ignore is her ability to use fire greatly made her strong against other fire-feared Nightwalkers. Besides, being under Jabari's protection also gave her even more topdog position. Unlike other Nightwalkers, both luxuries spared her from bitterness and blissed her to go on her life happily, and more important, normally. And this is also a reason why I like her , when she tried to live, and live happily. Still, it is made clear that Mira herself had no intention to hurt/ strike anyone first, yet if attacked, she would not stay still, but did fight back. This is especially true if the attacked was what she protected, the return would be much higher and deadlier. Such a scene “Who am I?” I snarled, tightening my grip. Her eyes stared at me, confused and terrified. ….. She too has fed on poor, chained Tristan – she deserved to die, consumed in the flames that surrounded her. And she knew it.

“You are the Fire Starter,” she whimpered in a strangled voice.

“Tell them what I have done,” I commanded in a low, grating whisper. “Tell them that if anyone touches what belong to me, I shall hunt them down and collect their hearts for display in my domain. Remind them of what I am …” (p.161)

I see in the 'teaser' (Still, what is it to call?) that one selling point promoted by the publisher was a shade of paranormal romance in the series, with the cat-and-mouse chasing game between Mira and Danaus. From my view, I see the possibility between them, which made the series even more enticing. Yet so far, the relationship and the connection of the two were in forms of friends/ partners who tagged together against the world rather than in forms of lovers. (Of which one great connection was feeling each other's feelings and emotions, telepathy, as well as Danaus being able to control her.) Still, such partner relationship makes the story more alluring than lover ones. (And yes, I like it more!) However, when thinking of the series as paranormal romance, in terms of relationship of only two characters, such romance was not yet happening. It seems that Mira had the so-called 'history' with a number of male characters, such as Jabari in the first book (though between them only occurred a good, good feeling and nothing more) and Valerio in the second one. Still, considered that the heroine herself had lived for more than 500 years, this was simply normal. (On the contrary, if she had NO relationship/ affairs at all, that would call NOT normal!!) Also, in the book, there was also a scene when she used sex for stress-releasing with not-Danaus character. Dayhunter is graded as B++ (not so sure if there's much different from B+/A!). I can't wait to read Dawnbreaker released in September 2009. As the Seal has now been broken, and no different than Nightwalkers' side, there has also been a great betrayal among Naturi; more betrayal/destruction are just promised in Book 3. Somehow, the series become one of my most addicted and most favorite UF. (If being asked what I want to read most as UF series, I would say Dark Days / Sign of Zodiac/ Outcast (NOT in that order!) as my Top Three. And my sum-up for the book is "Politics and power struggle had never been this fun!"

Friday 31 July 2009

Child of the Prophecy by Juliet Marillier

เล่มสามในชุด..

(อ่านจบไปนานแล้ว แต่เพิ่งได้เขียน)





ชนิด : folklore/ Celtic/ historical/ fantasy
ชุด : Sevenwaters, book 3
สำนักพิมพ์ : Tor Books; 1st edition (June 16, 2003)
จำนวนหน้า : 596 หน้า

ตัวละครหลักในเล่มนี้คือ Fainne ลูกสาวของ Ciaran กับ Niamh ซึ่งจากเล่มที่แล้ว ทั้งคู่แต่งงานกันไม่ได้ เพราะความจริงที่ว่าทั้งคู่มีสายเลือดเดียวกัน (พ่อของ Ciaran คือ Lord Colum กับ Lady Oonagh และ Niamh ก็เป็นหลานตาของ Ciaran ซึ่งหมายถึงทั้งสองคนเป็นน้าหลานกัน แม้จะด้วยสายเลือดครึ่งเดียวก็ตาม)

[และสิ่งที่ตามมาก็คือทั้งคู่ถูกจับแยกกัน และ Niamh ถูกบังคับให้แต่งงานเพื่อสร้างพันธมิตรทางการเมือง และถูกสามีของตัวเองทารุณกรรม อย่างไรก็ตาม ภายหลังเธอหนีไปได้ และทั้งคู่หนีไปใช้ชีวิตร่วมกัน]

สำหรับเล่มนี้ เริ่มต้นที่ Fainne ที่อาศัยอยู่กับพ่อเพียงสองคน (Niamh ตายไปตอนที่เธอยังเด็ก) และทั้งคู่ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวและสันโดษ Fainne ถูกเลี้ยงดูมาอย่างเข้มงวด และต้องศึกษาเวทย์มนต์ตลอดเวลา สองพ่อลูกแทบจะไม่มีปฏิสัมพันธ์กับใครเลย โดยเพื่อนคนเดียวที่เธอมี และมนุษย์อีกคนที่เธอผูกพันด้วยก็คือ Darragh ลูกชายของกลุ่มเลี้ยงม้าเร่ร่อนที่ในช่วงแต่ละปีจะมาตั้งค่ายอาศัยอยู่ใกล้กับที่เธออยู่

อย่างไรก็ตาม เมื่อเธออายุสิบหกปี พ่อของเธอให้เธอเดินทางไปใช้ชีวิตอยู่กับญาติคนอื่น ๆ ที่ Sevenwaters โดยไม่บอกเหตุผล หาก Lady Oonagh แม่มดร้ายผู้เป็นย่าของเธอบอกว่าหน้าที่ของเธอก็คือกลับไปเพื่อแก้แค้นให้กับพ่อและแม่ที่ต้องหนีมาใช้ชีวิตหลบซ่อนอยู่ด้วยกัน และขู่ Fainne ว่าหากไม่ทำตาม ก็จะฆ่าพ่อของเธอ

เมื่อไปถึง Sevenwaters ญาติของเธอให้การต้อนรับเธอ และในระดับหนึ่งเธอก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของที่นั่น แต่ทุกครั้ง Lady Oonagh ก็จะมาปรากฏตัวให้เห็น และขู่ให้เธอทำตามแผนทำลาย Sevenwaters ให้ได้ตามแผนที่วางไว้ ซึ่งในที่สุด ก็ทำให้เธอเป็นที่หวาดระแวงจน Liadan น้าสาวของเธอตัดสินใจพาเธอกลับไปอยู่ด้วยเพื่อที่จะคอยควบคุมเธอ

หากเมื่อ Lady Oonagh ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง Ciaran ก็ปรากฏตัวขึ้นด้วย และกลายเป็นว่าแผนการที่เขาวางไว้สำหรับ Fainne ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง

เล่าอย่างย่อ ๆ จะได้แบบนี้ ส่วนตัวเองไม่ชอบหนังสือเล่มนี้ (หรือให้พูดตามจริงก็คือหงุดหงิดจนโกรธ) ด้วยจุดใหญ่ ๆ สองจุด นั่นก็คือ ความรู้สึกที่ญาติของเธอมีต่อเธอ ซึ่งแม้ว่าทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Liadan จะดีใจที่ “ลูกสาวของ Niamh” กลับมา แต่ความเป็นจริงแล้วก็มีความหวาดระแวงผสมอยู่ด้วย ทั้งจากการที่เธอเป็นลูกสาวของ Niamh และการที่เธอเป็นหลานสาวของ Lady Oonagh สิ่งแรกทำให้ทุกคนหวาดระแวงว่าการที่เธอเหมือนแม่จะทำให้เธอสร้างปัญหาเชิงชู้สาวจากความไม่คิดขึ้นมาทุกเมื่อ และสิ่งหลังก็ทำให้ทุกคนคิดว่าแม่มดร้ายอยู่เบื้องหลังเธอเพื่อให้เธอทำเรื่องร้ายกาจ และดังนั้นความรู้สึกที่ญาติผู้ใหญ่มีให้เธอก็ไม่เต็มร้อย และทำให้เธอต้องรับผิดจากการกระทำของ Lady Oonagh อยู่หลายครั้ง

จุดที่สอง มีคำทำนายเสมอมาว่าเด็กในคำทำนายจะทำให้ชาวไอริชได้ดินแดนสำคัญคืนมาได้จากไบรตัน โดยที่ Johnny ลูกชายของ Liadan ถูกตีความว่าเป็นคนตามคำทำนายและมีหน้าที่เป็นผู้นำกอบกู้เกาะสำคัญคืนมา หากสิ่งที่คนทั่วไปไม่รู้ก็คือคนในคำทำนายจะต้องอาศัยที่อยู่เกาะนั้นอย่างโดดเดี่ยวตลอดไป ซึ่งตามความเป็นจริง ในฐานะผู้นำทางยุทธศาสตร์และผู้นำเชิงสัญลักษณ์เขาอยู่ที่นั่นไม่ได้ และในตอนจบก็กลายเป็น Fainne นั่นเองที่ยอมใช้ชีวิตโดดเดี่ยวและสันโดษอยู่ที่เกาะ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่พ่อของเธอวางแผนไว้ให้เธอตั้งแต่ต้น แม้เธอมารู้ภายหลังว่าพวก higher beings ทั้ง Old Ones และ Fair Folk วางแผนให้ Darragh อยู่กับเธอที่เกาะได้ แต่ก็ไม่เป็นการยุติธรรมกับเธอเลย หน้าที่ที่เธอได้รับมอบหมายเช่นนี้ดูจะไม่เกี่ยวข้องกับเธอแม้แต่น้อย เธอไม่ต้องรับผิดชอบสิ่งที่พวก Sevenwaters และไอริชต้องการก็ได้ ยิ่งเมื่อญาติของเธอปฎิบัติต่อเธอไม่ดีก็ยิ่งไม่มีความจำเป็นที่เธอต้องเสียสละเพื่อพวกเขา เป็นทางออกที่ง่ายและเห็นแก่ตัวเกินไปที่พวก Sevenwaters และ Liadan ยอมรับเช่นนี้

ส่วนตัวเอง อย่างเล่มแรก (Daughter of the Forest) ยอมรับทางเลือกของ Sorcha ที่ยอมเสียสละตัวเองเพื่อช่วยให้พวกพี่ชายที่กลายเป็นหงส์ให้กลับเป็นคนได้ รู้สึกเข้าใจ และอยากเอาใจช่วยให้ทุกอย่างลงตัวได้ไว ๆ เพราะถึงที่สุดแล้ว การกระทำเช่นนั้นก็เป็นการทำเพื่อคนที่รัก และครอบครัว เป็นสาเหตุใกล้ตัวที่ทำให้เกิดอารมณ์ร่วมคล้อยตามไปได้ ในเล่มสอง (Son of the Shadows) แม้จะเหมือนว่าตัว Liadan ทำไปเพื่อชายคนรัก (และพ่อของลูก) แต่ถ้ามองให้ให้ดี ก็คือการทำใจตัวเอง และทำเพื่อให้ได้อย่างที่ตัวเองต้องการ ซึ่งที่สำคัญก็คือการทำเพื่อตัวเองเพียงเท่านั้นด้วย (ปฎิเสธไม่ได้ว่าความผิดหวังอย่างหนึ่งที่ Red มีต่อลูกสาวก็คือ การที่เธอเลือกผู้ชายที่ไม่คู่ควรมาเป็นสามี และต้องจากจากบ้านและครอบครัวไป) แต่ดังนั้น ในกรณีของ Fainne จึงไม่มีเหตุผลที่เธอต้องมารับผิดชอบแทนแต่อย่างใด


ในเรื่องนี้ Fainne เป็นตัวละครที่น่าสงสารที่สุด การก้าวออกไปสู่โลกที่ไม่คุ้นเคย ประกอบกับความห่วงใยต่อสวัสดิภาพของพ่อทำให้เธอสับสน และแปลกแยกกับคนรอบตัว โดดเดี่ยวและหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา หากก็ต้องทนอยู่อย่างไร้ทางออก และเราก็รับรู้ถึงความรู้สึกเช่นนี้ของเธอตลอดทั้งเรื่อง และก็ทำให้รู้สึกหดหู่และเศร้าไปกับเธอ การที่พ่อของเธอให้เธอไปใช้ชีวิตที่ Sevenwaters ก็น่าจะเป็นเพื่อให้ได้รู้จักญาติและเข้าใจหน้าที่ที่เธอจะได้รับในภายหลัง แต่เขาก็ลืมคิดไปว่าวิธีที่เขาเลี้ยงดูเธอมาจะทำให้เธอไม่รู้จักโลก ไม่เข้าใจวิธีเข้าสังคม หรือแม้แต่คุ้นเคยกับคนแปลกหน้าได้

สำหรับการปิดฉากด้วยเหตุการณ์เล่มนี้ในชุดอาจจะรับได้ในฐานะวิธีแก้ปัญหาให้กับไอริชที่ได้ดินแดนที่ต่อสู้แก่งแย่งมาอย่างเนิ่นนานกับไบรตันคืน แต่ส่วนตัวไม่ชอบในฐานะวิธีปฎิบัติกับตัวละครอย่าง Fainne ซึ่งแม้ว่าชีวิตของเธอจะคุ้นเคยกับการอยู่อย่างสันโดษและแปลกแยกมาตลอดชีวิตก็ตาม แต่เธอไม่มีความจำเป็นต้องเสียสละตัวเช่นนี้ เมื่อจบเล่มนี้แล้วทำให้การรอคอยเล่มต่อไปกลายเป็นศูนย์ และความรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตของ Liadan กับ Bran และกลุ่ม Painted Man หายไป ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะ Liadan เติบโตและเห็นโลกมากขึ้น หรือว่าเธอต้องเอาตัวรอดไปพร้อมกับกลุ่ม Painted Man ที่ทำให้เธอกลายเป็นผู้ใหญ่ที่เย็นชา และไม่มีความเห็นใจใด ๆ

อย่างไรก็ดี ตัวละครที่ได้เรียนรู้ และทำความรู้จักมากขึ้นก็คือ Eamonn เล่มที่แล้วทำให้เราเห็นภาพของเขาเป็นผู้ชายที่เจ้าคิดเจ้าแค้นและเห็นแก่ตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องความอาฆาตที่มีต่อ Bran แต่เมื่อมาดูเล่มนี้ เขามีสิทธิเต็มที่ที่จะโกรธแค้น เพราะแม้ว่าเขาจะถูกสร้างภาพให้เป็นผู้ร้าย แต่เราก็ต้องนึกถึงว่าในตอนต้นสิ่งที่กลุ่มทหารรับจ้าง Painted Man ทำกับเขาก็เลวร้ายไม่แตกต่างกัน (ฆ่าทหารพรรคพวกของ Eamonn ทีละคนต่อหน้าเจ้าตัว และบังคับให้ Eamonn ทนดู) และการที่เขายอมรับคมหอกแทน Fainne จนต้องตายในตอนจบก็ถือเป็นสิ่งที่น่าชื่มชมมาก แม้ว่าในเรื่องจะดูเหมือนเขาพยายามหาประโยชน์จากเธอ (ทั้งในด้านชู้สาวและการสืบข่าว) ตลอดเวลาก็ตาม ซึ่งอันที่จริงแม้แต่ญาติของเธออย่าง Johnny ก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะยอมทำเช่นนั้นเพื่อเธอหรือไม่ และถ้าไม่มี Darragh ก็เป็นไปได้ว่า เธอสามารถจะมีอนาคตร่วมกับ Eamonn และเปลี่ยนแปลงให้เขาเป็นคนที่ดีขึ้นได้

เล่มนี้น่าเสียดายว่าตอนจบ Finbar จบชีวิตเพราะยอมตายแทน Ciaran ในฐานะพี่ชาย (แต่ความแค้นสามเล่มที่พี่น้อง Sevenwaters มีต่อ Lady Oonagh ก็สิ้นสุดลงเช่นกัน เพราะท้ายที่สุด Fainne ก็ฆ่า Lady Oonagh ได้สำเร็จ) ซึ่งกลายเป็นว่า เป็นตัวละครเพียงตัวเดียวที่รู้สึกผูกพันและไม่เคยรู้สึกว่าถูกทรยศ (จากการที่เปลี่ยนแปลงไปในตอนหลัง – ต่างจากพี่น้องคนอื่น ๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง Liadan) เขาไม่ควรจบชีวิตที่นี่เช่นนี้ แต่ในอีกแง่หนึ่งการที่ถูกเปลี่ยนแปลงระหว่างการเป็นหงส์ก็หนักหนาและทำลายชีวิตเขามาตลอด

เล่มนี้ Conar แตกต่างจากเล่มที่แล้ว เพราะการที่สูญเสีย Ciaran ไป และได้ Fainne ที่เฉลียวฉลาด และรอบรู้กลับมา ทำให้เขา “เชื่อ” ขณะที่เล่มที่แล้วเขาเป็นคนที่ “ไม่เชื่อ” และมองโลกในแง่ร้าย แต่สำหรับ Liadan เปลี่ยนสภาพจาก “คนที่เชื่อ” เป็น “ไม่เชื่อ” ไปแล้ว – อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไม่ชอบอย่างหนึ่งสำหรับ Conar ก็คือ แม้ภายหลังเขาจะเริ่มมองเห็นข้อผิดพลาดจากการกระทำของตัวเอง แต่ทว่าเขากลับแค่เสียใจมากกว่าจะลงมือแก้ไขอย่างจริงจัง

สรุปหนังสือเล่มนี้ว่า A distressingly encouraging story of a dutiful lonely girl. และตัดสินคะแนนให้ลำบากมาก เพราะไม่แน่ใจว่าคาดหวังมากไปไหม (หรือคาดหวังความสุขมากไปไหน) ให้คะแนนที่ B-/C+

Monday 15 June 2009

Dayhunter by Jocelynn Drake (th)

เล่มนี้ก็ได้มาด้วยความกรุณาของคุณเมย์แห่ง Mostly Romance อีกเช่นเคย และนอกเหนือจากหนังสือแล้ว ที่น่าตื่นเต้นไปกว่านั้นก็คือ ในหนังสือมีลายเซ็นของ Jocelynn Drake พร้อมกับคำว่า Stay out of Venice (ซึ่งถ้าอยากรู้ว่าทำไม ก็ต้องอ่านดู แล้วจะรู้ว่า “ควรจะ” Stay out of Venice จริง ๆ (อย่างไรก็ตาม นอกจากนี้ คุณเมย์ยังใจดีให้แผ่น teaser (ไม่แน่ใจว่าควรเรียกว่าอะไรดี??) แจกที่มีลายเซ็นต์ของ Jocelynn Drake เขียนชื่ออีฉันอีกต่างหาก) ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะกรี๊ดกร๊าดขนาดไหน

ขอบคุณคุณเมย์ และขอบคุณ Jocelynn Drake อย่างสูงค่ะ รวมไปถึงงาน RT ที่ให้โอกาสคนอ่านได้เจอคนเขียนด้วยนะคะ


ชนิด : Urban Fantasy/ vampires/ bad elves
ชุด : Dark Days, Book Two
สำนักพิมพ์ : Eos (April 28, 2009)
จำนวนหน้า : 368หน้า


จากเล่มแรก เมื่อ Mira ผีดูดเลือด (ที่ในเรื่องเรียกตัวเองว่า Nightwalker) ล่วงรู้ถึงแผนการกลับมาของ Naturi เผ่าพันธุ์เอลฟ์อันตรายจากนักล่าผีดูดเลือด Danaus แล้ว ทั้งคู่ต้องละทิ้งความเป็นศัตรูต่อกัน และหันมาจับมือกันเพื่อยับยั้งเหล่า Naturi ที่จะกลับมายังโลก อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์บางอย่างช่วงท้ายเล่ม ทำให้ความเป็นพันธมิตรระหว่างกันมั่นคงและแน่นแฟ้นขึ้น โดยเฉพาะเมื่อกลายเป็นว่าเขาเป็นเพียงคนเดียวที่เธอพึ่งพาและไว้ใจได้

เปิดฉากมาเล่มนี้ Mira ต้องไปที่เวนิซเมืองหลวงของเหล่าผีดูดเลือด (ในฐานะที่ผู้นำของพวกผีดูดเลือด ทั้ง The Liege ผู้ปกครองสูงสุด และ Coven กลุ่มผู้นำที่เรียกว่า Elders อาศัยอยู่ที่นี่ - อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ) ตามคำสั่งของ Jabari ผีดูดเลือดทรงพลังซึ่งเป็นหนึ่งในสาม Elders และเธอก็ไม่มีทางเลือกนอกจากทำตามคำสั่งโดยพา Danaus และ Tristan ไปด้วย

หากแต่การอยู่ท่ามกลางวงล้อมของสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์เดียวกับเธอ ไม่ใช่สิ่งที่อันตรายน้อยไปกว่าการสู้รบกับเหล่า Naturi แต่อย่างใด เมื่อชื่อเสียงและความสัมพันธ์ของ Mira กับเหล่าผีดูดเลือดด้วยกันไม่ดีนัก ทั้งจากความสามารถในการใช้ไฟของเธอ และจากการไปตั้งรกรากในดินแดนใหม่อย่างอเมริกา ขณะที่ผีดูดเลือดส่วนใหญ่เลือกที่จะใช้ชีวิตในยุโรป และดังนั้นเธอก็ต้องเอาชีวิตรอดจากเงื้อมมือและเขี้ยวเล็บของพวกเดียวกัน ขณะที่ต้องอ่านความคิดและแผนการของเหล่า Elders ทั้งสามคนให้ทัน โดยเฉพาะเมื่อแต่ละคนดูเหมือนจะมีแผนการเฉพาะตัวเพื่อผลประโยชน์ของตน และการหักหลังครั้งยิ่งใหญ่หลายอย่างกำลังจะเกิดขึ้น โดยที่ขณะเดียวกัน แผนการกลับมายังโลกของพวก Naturi ก็ยังดำเนินอยู่ต่อไป

ขณะที่เล่มที่แล้ว เน้นไปที่ฉากสู้รบกับเหล่า Naturi ที่บุกมาโจมตีเป็นระยะ ๆ เล่มนี้กล่าวถึงการเผชิญหน้าของ Mira กับบรรดาผีดูดเลือดในเวนิซเป็นหลัก เปลี่ยนจากการสู้กับศัตรูต่างเผ่าพันธุ์มาสู้กับพวกเดียวกันเอง และสถานการณ์ก็เปลี่ยนจากการต่อสู้ใช้กำลังซึ่งหน้าด้วยอาวุธมาเป็นสู้ด้วยสติปัญญาและความเท่าทันใน Coven แทน เพราะว่าสังคมผีดูดเลือดตัดสินกันด้วยอำนาจในรูปแบบของความแข็งแกร่งเป็นหลัก และการเมืองของสังคมคอร์ทใน Coven ก็เข้มข้นที่สุด

ความสัมพันธ์ระหว่าง Mira กับ Danaus ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่พัฒนาไปในเล่มนี้ จะเห็นได้ว่าเล่มที่แล้ว ทั้งคู่ต้องจับมือเป็นพันธมิตรกันเพื่อยับยั้งเหล่า Naturi แต่เล่มนี้เป็นการจับมือกันเพื่อเอาชีวิตให้รอดจากวงล้อมของเหล่าผีดูดเลือดใน Coven และดังนั้น ก็ทำให้ทั้งสองคนต้องร่วมมือกันมากกว่าที่เคย พร้อมพัฒนาความเชื่อใจกัน และต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันไปมากกว่าเดิม (จนถึงขนาดที่ผีดูดเลือดจำนวนหนึ่งมองว่าเธอหักหลังเผ่าพันธุ์ตัวเองไปร่วมมือกับนักล่า และ/หรือ เชื่อว่าเธอแข็งแกร่งถึงขนาดที่สามารถควบคุมนักล่าได้) ซึ่งสำหรับตัว Mira เอง ในฐานะที่หนังสือชุดนี้มองจากมุมมองของเธอเป็นหลักก็ทำให้เราเห็นชัดว่าความไว้วางใจและเชื่อมั่นนี้ก็ถึงขั้นที่เธอเชื่อใจเขามากกว่าผีดูดเลือดด้วยกันเองอย่างที่เธอคิดว่า

“He had hovered close on so many occasions while I slept that I now hated the idea of him not being there when the sun broke above the horizon. Danaus was my only sense of security in this world that was changing too fast. He threatened to destroy everything that I protected. But as the same time, he seemed to be the only one left trying to protect me.” (p. 329)

และเกือบจะถึงขึ้นที่เธอลืมความเป็นศัตรูต่อกันไป ซึ่งเมื่อมีฉากความผิดพลาด (สปอยล์) [ที่ Danaus ลงมือฆ่าผีดูดเลือดอีกตัวต่อหน้าเธอ เพราะเชื่อว่าผีดูดเลือดตัวนั้นจะฆ่ามนุษย์เพื่อช่วยผีดูดเลือดอีกตัว โดยไม่ได้มองบทบาทหรือท่าทีของเธอต่อเรื่องนี้] ก็ทำให้ความรู้สึกผิดหวังและถูกทรยศของเธอรุนแรงมาก

อย่างน้อยในเล่มนี้ เราก็ได้รู้ว่า Danaus นักล่าของเรา “เป็นอะไร” (ไม่ใช่ “เป็นใคร”) และความรู้ที่ได้มาก็ไม่ต่างจากที่คาดไว้ (สปอยล์) [เขาเป็นพวก Bori เผ่าพันธุ์ที่เทียบได้กับเทวดาและปีศาจ และแม่ของ Danaus ก็ทำสัญญาเพื่อให้ได้พลังจากปีศาจ โดยมีเจ้าตัวเป็นผลลัพธ์ ในแง่นี้ก็ทำให้เขาเป็นลูกครึ่งมนุษย์-ปีศาจ หรือมนุษย์- Bori] และก็เพราะสิ่งที่เขาเป็นก็ทำให้เขายึดเหนี่ยวความเชื่อทางศาสนาเป็นหลักในการดำเนินชีวิตในเรื่อง เขาเชื่อในเรื่องความถูกผิด ความดีและความชั่วที่แบ่งแยกกันอย่างชัดเจนจนกระทั่งได้รู้จัก Mira ซึ่งในแง่หนึ่ง ถ้ามองว่าชีวิตของเธอต้องเปลี่ยนแปลงกลับหัวกลับหางไปเมื่อเจอ Danaus ชีวิตของ Danaus ก็เปลี่ยนแปลงไปไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน และในระดับหนึ่ง อาจหนักหนายิ่งกว่า เมื่อสิ่งที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงเขาเป็นเรื่องของความเชื่อและมุมมองของชีวิต

อย่างไรก็ตาม ความไม่เชื่อใจของ Danaus ที่มีในช่วงท้ายเรื่อง (สปอยล์) [ซึ่งอันที่จริงก็เป็นการไม่เชื่อใจผีดูดเลือดตัวอื่น ไม่ใช่การไม่เชื่อใจ Mira แต่อย่างใด] อาจจะทำให้เราสับสนถึงความไว้วางใจและความผูกพันที่ทั้งคู่มีต่อกัน แต่เมื่อมองลงไปให้ลึก สิ่งนี้เป็นตัวอธิบายความเชื่อมโยงที่มากขึ้นซึ่งทั้งคู่มีต่อกันได้ดี การอ่านหนังสือจากมุมมองของ Mira อาจทำให้ไม่เห็นความรู้สึกนึกคิดของ Danaus ชัดเจนนัก แต่ในเรื่องก็มีฉากหลายฉากที่เจ้าตัวเป็นห่วงสวัสดิภาพและความปลอดภัยของเธออย่างมาก ซึ่งอาจจะมากกว่าในฐานะคนคอยระวังหลังให้กันและกันได้ จากเล่มหนึ่งสิ่งหนึ่งที่เหมือนจะเกิดขึ้นก็คือ นักล่าของเราตามหาเธอมาตลอดเป็นเวลานาน และความมุ่งมั่นนั้นก็เหมือนจะสร้างความรู้สึกที่อย่างน้อยที่สุดก็เรียกได้ว่าความผูกพันกับเธอด้วย – แต่สิ่งนี้ก็ไม่ชัดเจนนอกเหนือไปจากการตีความของผู้อ่านอย่างอีฉันแต่อย่างใด

ทั้งนี้ส่วนตัวมองว่าความขัดแย้งตอนใกล้จบนี้ ไม่ใช่เพื่อสร้างความแปลกแยกแตกแยกระหว่างตัวละครทั้งสองตัวแต่อย่างใด จุดเปลี่ยนผันเล็กน้อยนี้มีให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและความเป็นหนึ่งเดียวที่มีมาในตลอดในลักษณะ You and me against the world ในเล่ม (สปอยล์) [เพราะนอกจากฝ่ายที่ถูกทรยศรู้สึกผิดหวังและเจ็บปวดมากแล้ว ฝ่ายที่ก่อเรื่องก็รู้สึกผิดจนถึงขั้นที่กล้ามาหาเธอโดยปราศจากอาวุธเพื่อขอโทษด้วย ซึ่งหาก Danaus ไม่เชื่อใจเธอแล้วก็ไม่น่าจะเดินมาหา Mira โดยที่ไม่มีอาวุธใด ๆ ติดตัว (แม้ว่าเขาจะมีความสามารถฆ่าผีดูดเลือดจากระยะไกลอย่างที่เรารู้ก็ตาม) และการขอโทษนั้นก็ไม่ใช่จากความรู้สึกผิดในการฆ่า แต่เป็นเพราะรู้ว่าทำให้เธอเสียใจ] ซึ่งเห็นชัดมากว่าแม้ทั้งสองจะคอยปกป้องกันและกันโดยบอกว่า เพื่อให้ตัวเองเป็นคนฆ่าอีกฝ่ายในภายหลังเมื่อจบเรื่อง แต่ก็ชัดว่าหลังจากนี้ ทั้งสองคนคงไม่สามารถฆ่ากันได้จริง ๆ

การทรยศ Mira ของ Jabari ในเล่มแรกดูเหมือนจะเป็นเรื่องร้ายแรง และไม่สามารถให้อภัยได้ โดยเฉพาะเมื่อเจ้าตัวใช้เธอในฐานะเครื่องมือมาตลอด อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่รู้สึกก็คือดูเหมือนเจ้าตัวจะมองเป้าหมายเป็นหลักโดยไม่เลือกวิธีการมากกว่าจะมองเรื่องการหลอกใช้หรือใช้ประโยชน์จากใครเป็นเรื่องเสียหาย และถึงแม้เขาจะมีท่าทีนิ่งเฉยและเย็นชาใส่ Mira มาเกือบทั้งเล่ม แต่ลึก ๆ ลงไปเห็นความเชื่อมั่นและไว้ใจที่เธอมีต่อ Jabari ในระดับสมควร แม้ว่าจะเป็นเพราะเธอเป็นคนที่เจ้าตัวรู้ว่าจะทำให้เหตุการณ์ดำเนินไปตามทิศทางที่เขาต้องการและกำหนดอยากให้เป็นได้ โดยเฉพาะเมื่อ Jabari เป็นจอมบงการที่อ่านเกมล่วงหน้าได้เป็นอย่างดี และรู้จักนิสัยใจคอของ Mira อย่างทะลุปรุโปร่ง

ผิดคาดนิดหน่อยที่บทบาทของ Tristan ในเล่มนี้มีน้อยกว่าที่คิด และไม่สลักสำคัญมากเท่าไหร่ แต่อาจจะสำคัญก็ได้ เพราะเขาเป็นตัวกระตุ้นให้ Mira สำแดงพลังของเธอให้เหล่าผีดูดเลือดที่อยู่ล้อมรอบ Coven เห็นเพื่อเป็นการประกาศอำนาจที่เธอมี และที่สำคัญ ความต้องการปกป้องที่เธอมีต่อผีดูดเลือดที่เปรียบเสมือนน้องชายของเธอ (ในฐานะที่ทั้งสองมี “ผู้สร้าง” คนเดียวกัน) ก็ทำให้เธอรับเขาเข้ามาเป็น “ครอบครัว” ซึ่งหมายถึงเข้ามาอยู่ใต้การคุ้มครองของเธอ (อ่านเพิ่มเกี่ยวกับความหมายของ “ครอบครัว” ) ทั้งที่ผ่านมา Mira หลีกเลี่ยงสิ่งนี้มาตลอด และสิ่งนี้ก็ทำให้เธอต้องเผชิญหน้ากึ่งต่อสู้กับผู้สร้างของทั้งสองคน ที่จบลงด้วยการที่ Sadira บาดเจ็บหนักจากไฟของ Mira – ทั้งนี้ ยังติดใจกับ Tristan อยู่ในแง่ที่สงสัยถึงบทบาทและความสำคัญในเวลาต่อไป แม้ว่า Tristan จะถูกสร้างมาเพื่อเป็นตัวสร้างความสำราญ ให้ความบันเทิง มากกว่าจะถูกสร้างให้แข็งแกร่งอย่าง Mira ก็ตามที

จากตัวละคร มาพูดถึงการดำเนินเรื่อง รู้สึกว่าตัวเธอไม่แตกต่างจากตัวละครใน conventional fantasy ที่ต้องสู้กับความชั่วร้ายที่ปกป้องโลก ปกป้องมวลมนุษย์ แต่สิ่งที่ยังคงเหมือน urban fantasy ก็คือสถานการณ์ที่เกินควบคุม/ คาดคิด และสิ่งหนึ่งนำไปสิ่งอื่นเรื่อย ๆ เพราะจะเห็นได้ว่า จากเล่มแรก เธอตั้งเป้าหมายตอนต้นไว้ที่การเจอ Elders ซึ่งก็คือ Jabari เพื่อแจ้งเหตุเกี่ยวกับ Naturi และจบสิ้นหน้าที่ของเธอไว้เพียงแค่นั้น แต่กลายเป็นว่าเธอมีค่าในฐานะเป็น “ผนึก” กัก Naturi เอาไว้จากโลก ซึ่งถึงแม้ในตอนต้นและกลางเล่มเธอจะไม่รู้เรื่องนี้ แต่เธอก็ได้รับมอบหมายให้ตามหาผู้ที่มีส่วนในการสร้างผนึกอยู่ดี และในเล่มที่สอง เธอคิดว่าเธอมาที่เวนิซเพื่อรายงานตัว และรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นให้บรรดา Elders ใน Coven ฟัง แต่ท้ายที่สุด เธอถูกสั่งให้มาเพราะการเป็นหมากตัวสำคัญที่สามารถกำหนดผลต่อการเมืองใน Coven

ทั้งนี้ การเมืองใน Coven ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เล่มนี้สนุก เพราะตัวละครที่ออกมาทั้งหมด แต่ละคนก็มีเป้าหมายและจุดประสงค์ในใจของตัวเองอย่างชัดเจน แม้กระทั่งใน Coven เองก็เห็นได้ว่ามีเป้าหมายของตัวเองที่แตกต่างกันไป และเพื่อจะเอาชีวิตให้รอด Mira ก็ต้องอ่านเกมให้ทัน โดยคาดเดาความต้องการและแผนการของตัวละครอื่นให้ได้ โดยเฉพาะเมื่อมีการหักหลังยิ่งใหญ่จำนวนมากอยู่ (สปอยล์หนัก) [ โดยเฉพาะเมื่อเหล่า Elders ตัดสินใจร่วมมือกับ Naturi บางส่วนที่ไม่ต้องการให้พวกที่เหลือกลับมา โดยให้ Naturi ฆ่า The Liege เป็นการตอบแทน ทั้งนี้ก็เพราะ The Liege ตัดสินใจเลื่อนวันเปิดตัวการมีอยู่ของเหล่าผีดูดเลือดต่อมนุษย์เข้ามา อันจะเลื่อนกำหนดการที่มนุษย์จะรับรู้ถึงการมีอยู่ของเผ่าพันธุ์อื่นเข้ามาด้วย (ในหนังสือเรียกวันที่มนุษย์จะรู้เรื่องนี้ว่า Great Awakening) ซึ่งการเลื่อนกำหนดเข้ามาก็จะทำให้เกิดความขัดแย้งกับเผ่าอื่น ๆ อย่างมนุษย์หมาป่า แม่มด และนำไปสู่สงครามกับผีดูดเลือด เหล่า Elders จึงคิดฆ่า The Liege เพื่อตัดปัญหา] และดังนั้น ก็ทำให้เสียงของ Coven เอง แบ่งเป็นหลายกระแส เห็นได้ชัดที่สุดจาก Macaire และ Jabari

เนื่องเพราะสำหรับฝ่ายแรก (สปอยล์) [Macaire สนับสนุนการร่วมมือกับ Naturi เต็มที่ และหวังว่าการฆ่า The Liege จะทำลายความสมดุลเดิม และทำให้เขามีอำนาจมากที่สุดในหมู่ Elders หรือแม้แต่กับเหล่าผีดูดเลือดได้] แต่สำหรับฝ่ายหลัง (สปอยล์) [Jabari ไม่ต้องการให้เกิดการร่วมมือกับ Naturi และยิ่งไม่ต้องการให้สถานภาพปัจจุบันเปลี่ยนแปลง เพราะจากที่ผ่านมาถึงปัจจุบัน ตัวเขาแข็งแกร่งและมีอำนาจมากที่สุดในบรรดา Elders ที่มีอยู่สามคน อย่างไรก็ตาม เขาต้องการให้ Mira รับตำแหน่ง Elders ที่ว่างอยู่ เพราะการที่เขามีอำนาจเหนือเธอก็หมายถึงเขาจะกำหนดทิศทางเสียงของเธอและคุมเสียงใน Coven ต่อไปได้]

และแม้เจ้าตัวจะไม่คิดมีตำแหน่งใด ๆ ใน Coven (เก้าอี้ของเหล่า Elders มีอยู่สี่ที่ และปัจจุบันก็ว่างอยู่ที่หนึ่ง) แต่เพราะความสามารถและความแข็งแกร่งของ Mira และการเป็นอิสระจาก Elders ในยุโรป รวมไปถึงไปมีเขตอิทธิพลของเธอเองในอเมริกา ก็ทำให้ผีดูดเลือดทั้งหลายเชื่อว่า เธอปรารถนาตำแหน่งนั้น โดยที่เธอไม่เคยคิดถึงตำแหน่ง หรือความเป็นไปได้ในการมีตำแหน่งเลย (ทางกลับกัน เธอต้องการความเกี่ยวข้องที่น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้จาก Coven ด้วยซ้ำ) แต่ท้ายที่สุดแล้ว (สปอยล์) [ช่วงตอนจบ เพราะสถานการณ์ที่บีบบังคับ ก็ทำให้เธอต้องรับตำแหน่ง Elders เพื่อถ่วงดุลอำนาจอยู่ดี] ทั้งที่ปกติแล้ว การเป็น Elders จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อผีดูดเลือดตัวนั้นเป็น Ancient แข็งแกร่งจากการมีอายุเกินพันปีเท่านั้น (แต่กรณีของเธอ เธอถูกสร้างอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้พลังในการใช้ไฟของเธอหายไป และการมีผู้สร้างหลายคนที่ต่างเป็น Ancient ทั้งสิ้นก็มีผลอย่างสูงต่อความแข็งแกร่งเกินอายุของเธอด้วย)

เทียบ Dayhunter แล้ว ชอบมากกว่า Nightwalker ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรู้จักตัวละครและโลกของตัวละครจนคุ้นเคยมากขึ้น และที่สำคัญชอบการสู้ด้วยสมองและความรู้เท่าทันเช่นนี้มาก และการที่มีเหล่าผีดูดเลือดอื่น ๆ เข้ามาก็ช่วยให้เห็นความเป็นไปในโลกนี้ได้ดี (เล่มแรก มีผีดูดเลือดเข้ามาน้อยมาก ทำให้ไม่เห็นถึงสภาพสังคมจริง ๆ แต่อย่างใด) และที่สำคัญ ทำให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของตัวเอกกับบรรดาผีดูดเลือดอื่น และท่าทีที่ต่างฝ่ายมีต่อกันอยู่ ซึ่งสภาพสังคมผีดูดเลือดที่เย็นชา เห็นแก่ตัว และกระหายอำนาจทำให้เห็นภาพของ Mira ดีขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเธอแตกต่างกับตัวอื่น ๆ ที่ทรนง และยึดถือเกียรติ และศักดิ์ศรีเป็นเรื่องสำคัญ (ขณะที่ตัวอื่นเน้น “อำนาจ”) ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ปฎิเสธไม่ได้ว่าทำให้เธอยังคงเป็นเช่นนี้ได้ก็คือ ความสามารถใช้การใช้ไฟ ขณะที่ผีดูดเลือดทั่วไปกลัวไฟ ส่งผลให้เธอแข็งแกร่งพอที่จะป้องกันตัวเอง ผนวกกับการอยู่ใต้อารักขาของ Jabari ก็ยิ่งทำให้เธอเป็นที่ครั่นคร้ามมากยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งการเป็นอิสระนี้ทำให้เธอยังคงมีความสุขและดำเนินชีวิตประจำวันไปได้เป็นปกติ โดยที่ไม่มีความขมขื่น หรือเกลียดชังเหมือนผีดูดเลือดตัวอื่น ๆ ด้วย และก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ชอบเธอ เพราะเธอพยายามใช้ชีวิต และพยายามที่จะมีความสุข

ขณะเดียวกัน เห็นได้ชัดว่า ตัว Mira ไม่ทำร้ายใครก่อน แต่ขณะเดียวกันก็จะไม่อยู่เฉย/ พร้อมจะตอบโต้กลับถ้าใครมาทำร้ายเธอ และโดยเฉพาะสิ่งที่เธอปกป้อง ซึ่งทำให้เธอพร้อมจะตอบกลับแรงกว่าเดิม (อยากจะเรียกเธอว่า Rose-type เสียจริง ปกป้องดูแลตัวเองได้ขนาดนี้!) ซึ่งฉากป้องกันตัว/ ปกป้องนี้ก็เห็นได้ชัดถึงทัศนคติ และความแกร่งของ Mira เมื่อเธอโต้กลับเหล่าผีดูดเลือดที่ทำร้าย Tristan ซึ่งมาอยู่ใต้การคุ้มครองของเธอ


“Who am I?” I snarled, tightening my grip. Her eyes stared at me, confused and terrified. ….. She too has fed on poor, chained Tristan – she deserved to die, consumed in the flames that surrounded her. And she knew it.


“You are the Fire Starter,” she whimpered in a strangled voice.


“Tell them what I have done,” I commanded in a low, grating whisper. “Tell them that if anyone touches what belong to me, I shall hunt them down and collect their hearts for display in my domain. Remind them of what I am …” (p.161)

เห็นในใบ teaser (หรือเรียกอะไรดี?) ว่า จุดขายอย่างหนึ่งที่สำนักพิมพ์โฆษณาก็คือชุดนี้เป็น paranormal romance ด้วย เพราะเกมไล่จับและความสัมพันธ์ระหว่าง Mira และ Danaus ซึ่งทั้งนี้ส่วนตัวเห็นว่าความน่าจะเป็นไปได้ระหว่าง Mira และ Danaus ทำให้หนังสือน่าติดตาม แต่จนถึงปัจจุบัน ความสัมพันธ์และความเชื่อมโยงระหว่างกันก็เป็นไปในลักษณะเพื่อน/คู่หูที่จับมือกันต่อสู้กับโลกมากกว่าจะมีความหวานชื่นใด ๆ เกิดขึ้น (ถึงแม้การเชื่อมโยงสำคัญอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือทั้งสองคนสามารถรับรู้ความรู้สึกของอีกฝ่าย และสื่อสารทางจิตกันได้ รวมถึงการที่ Danaus สามารถควบคุมเธอได้ก็ตาม) ซึ่งก็ทำให้เรื่องน่าติดตามอ่านมากกว่าการได้จะเห็นความสัมพันธ์ที่เร่าร้อนระหว่างกันด้วย (และก็ชอบแบบนี้มากกว่า)

อีกอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าคิดว่าการเป็น paranormal romance คือความสัมพันธ์ของตัวพระ-ตัวนางเพียงสองคน สิ่งเหล่านี้ก็ยังไม่เกิด เพราะเหมือนว่า Mira จะมีความหลังกับตัวละครหลายตัว อย่าง Jabari ในเล่มแรก (แต่ก็เป็นแค่ความรู้สึกที่ดีมากต่อกัน ไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่านั้น) และกับ Valerio ตัวละครอีกตัวที่ออกมาในเล่มสอง ซึ่งก็ไม่น่าเป็นสิ่งที่ผิดปกติอะไร เพราะเธออยู่มานาน การจะอยู่คนเดียวโดยที่ไม่มีความสัมพันธ์/ ปฎิสัมพันธ์กับใครคงเป็นเรื่องผิดปกติยิ่งกว่า และเล่มนี้ก็มีฉากที่เธอใช้เซ็กซ์เป็นทางระบายความเครียด โดยที่ไม่ใช่กับตัวเอกแต่อย่างใดด้วย

ให้คะแนนที่ B++ (สรุปว่าต่างจาก B+/A ไหมนะ?) รอ Dawnbreaker เดือนกันยา ด้วยใจระทึก เพราะบัดนี้ผนึกถูกทำลายแล้ว และเล่มสามก็คงจะยิ่งวุ่นวาย เพราะในหมู่ Naturi ก็มีการหักหลังใหญ่หลวงไม่แตกต่างกันเท่าใด เรื่องนี้กลายเป็นหนึ่งในบรรดาเรื่อง urban fantasy ที่ติดไปแล้ว และถ้านับว่าอยากอ่านอะไรที่สุดในฐานะเรื่องชุด ตอนนี้ ก็คือ Dark Days / Sign of Zodiac/ Outcast เป็น Top Three อยู่ (แม้ชอบ Spiral Hunt ในฐานะหนังสือมาก แต่ไม่แน่ใจในฐานะชุด) ส่วนบทสรุป ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมไม่เคยคิดออกเลย Politics and power struggle had never been this fun!

Tuesday 2 June 2009

City of Souls by Vicki Pettersson (eng)

"Memories are just silent promises you once made to yourself. The moment is all that matters.”
-p.142-


Actually the release date of the book is around the end of June 2009; yet, knowing I have became attached to the series, May of Mostly Romance kindly did lend me the Advance Uncorrected Proof/ Not For Sale copy she got from RT. Mega, mega big thank you to her, and of course, to Vicki Pettersson and RT for such a happy, early reading!!


Genre : Urban Fantasy / Epic / Superheroes
Series : Sign of the Zodiac, Book 4
Publisher : Eos (June 30, 2009)
No of page : 368


Here comes the fourth in the Sign of the Zodiac series, City Of Souls. As from the former book, upon returning the borrowed aura back to her changeling, Joanna accidentally transferred that of her own as well. And such a seemingly small error made everything went all wrong. Scariest of all, the Light Manuals could not be recorded; their superheroes power became weak, where at the same time the Shadows grew stronger.

The Light power decreased at alarming rate when the safe zones were no longer safe zones and one member of the troops got seriously attacked. Everyone started either suggesting or forcing Jo to put her priority in fixing her broken changeling. Yet, no one knew how to do that and her only solution seemed to lie in a guy named Jaden Jacks, the only one said to also break and yet fix his changeling. This meant the next question came, no one, again, knew about the location of the guy. Since he was somewhat rumored to be in the mythical world of Midheaven. Jo had no choice but to enter that place, where she led a journey no less dangerous and life-risking than in the battle with the Shadows!

In my view, this book is rather different from the first three. Perhaps fewer pages (where the other three are all with 400-something pages.) made the story went more compact, more fast-pacing and more direct to the point than ever. This means the former in the series saw her unknowingly made mistakes and had to take time to remedy and correct her action, but in City Of Souls, Jo herself hardly acted wrong as often as she did in other books, which cut off all her diverted action and detour and therefore save her time. As for Finding a way to fix her changeling by getting a clue from entering Midheaven, her so-called mission was quite clear, thought not the means.

The best thing I love and makes me hold Vicki Pettersson (or VP from now) dear is her ability to create the great path of development for Joanna while she encountering countless series of situations. Although the aim of each book was to meet with the sign already foretold, the author never fails to emphasis the growing, maturing aspect of Joanne; which automatically makes the books themselves both situation driven and character driven. The first book, she learnt to accept herself as who she was, and stop internally hating herself and the world around. The second she understood being and working as a part of the team as well as trusting them, rather than just acting alone on her own as she had been doing for all her life. The third book came the lesson of letting go of the past and moving to the future (The sense came clearest when she let go of her ex-lover, Ben.), and an importance of sharing life with someone in the fourth. All of this proves how well-structured and well-written books VH has been doing for both main plot (s) and sub details. As for the latter in the fourth book, I truly like the bizarre world structure and crazy set of rules applied to Midheaven, which seems both familiar and mysterious at the same time. Such a detail makes me wonder whether there will be more on that world, especially after Jo left parts of hers there. (Spoiler) [She somewhat lost poker chips with her superpower in the game, and so lost her ability according to the chips.]

Another thing I felt for Joanna here is she seems to be a bit less bitter and gentler. This might came from the fact that she hated herself less and loved herself more. I like the part of the book when Felix, another troop member, talked to Jo about the significance of having someone to rely on and to go back to, which helped her to realize her feelings towards Hunter, and consequently make a move towards him. (Spoiler) [Even though the situation between them turned oh-so upside down in the end.]

I must confess my hatred for Warren is going stronger and stronger with each book. (Sorry for all his fans, if there is any! Although he’s the troop leader, he is the very reason I can not finish the novella in Holidays Are Hell. Can't read it when he's moving around in there!) Too much focusing on big picture, the man himself became rather so cold-blooded that he reached the word selfish. (If we consider selfish in terms of choosing side and do everything for the sake and interest of the side without caring enough about others.) He may be labeled as a Machiavellian man, yet he treated others too much as a pawn and a weapon, but not a person. The guy was also so possessed with 'owning' the Kairos that he tried to eliminate everything and everyone that ever became influential or important to Joanne. It is also strange that Warren's purpose for fighting with Shadows was for protecting the innocent. But then, he held no hesitation or reservation if he had to kill any of that obstructing in his way and his aims. And Jo? She made it clear in the early books that her sole purpose was to survive, a purpose for her very self, but then she hardly thought of killing or even harming anyone. Her notion on this was obviously shown in the last page of the book. “One person, I thought, as the neon blurred before me was an entire world.” Seeing people as a number through Warren's eyes was totally different from seeing people as a person through Joanne's eyes!

Though somewhat annoyed by her decision and action, I enjoy Joanne's characteristic from the very first book. As for being the Kairos, there was so much expectation placed upon her, for her to do the right thing, for her to do NO wrong. Still, our lady was no different from anyone. She could be right, she could be wrong. She could do right, she could do wrong. When she entered the world of Superpower and Superheroes she had no acquaintance with, it was natural for her to make a mistake, and therefore live and learn. This, when VP wrote her so, it greatly reflects Jo as an ordinary person who just happened to have a super power and super ability, which also makes a perfect sense for me.

As much as I have loved the books, the point I do not know whether I should praise VP or scream at her is her bold creativity in writing two major twists in City Of Souls. The first was (Spoiler) [Jo giving her power to her broken changeling in order to save the child's life, and in return becoming a mere mortal at the end of the book.], which went according to the Forth Sign (Spoiler) [which was stated, too, at the very end that‘The Kairos will sacrifice herself for a mere mortal. (p. 351)]. Also, the Second was (Spoiler) [Eventually, Jaden Jacks was Hunter!!! And everything he did was for returning to his wife in Midheaven. *screaming me*]. Actually, although the former got more effect on her, I can not (yes, can not, NOT could not) stop myself from being too speechless, stunned, and even shocked for the latter – I guess I have become too fond of a particular character, especially when I see the possibility in the early books and put my mind into that.

And so, as a reader who reads through VP's twisting storylines, City of Souls is graded as B+/A; but as a reader who follows the life of Joanna Archer, the grade is B+. My sum-up is“a hard reality, yet appealing life of Joanna Archer. One of my bestest, most favorite on-going UF series with details and attitude ... still!” Though I did believe I would finally see her happily-ever-after in this book, the cold/ugly reality aspect is still on. And I just wonder what will become of her in the fifth book, since what happened to her, and turned it back on her was what she had been struggling and fighting for, and she so deserved it all. (Well, the only best thing happened to her here was finally eliminating of Regan.)

Joanna and Hunter Actually, one of the reasons I keep reading the series is Hunter and his possibility with Jo. There seemed to be a possibility, but the couple never at all reached beyond that. Although, as a reader, I was somewhat grown tried of pushing them together, City of Souls made me enjoy the prolonged period. I found the importance of giving Joanna time to considering her life and going slowly on being attached to someone. (If she had found her way with Hunter in the very first books, that could have been too early, considering that she had too many things running in her mind and yet had to adjust to a new life before her.) I like the way she became so certain of her slowly-built feeling that she was bold enough to act and 'chase' Hunter in the middle of the book. And for that, it reminded me of the song In The End by Kat De Luna.

I'm the textbook definition of a rebel
I see the crowd movin' left and I gotta go right
I'm always in some trouble
To me life ain't fun unless you're in a good fight


So the more you're good to me
The more I try to get you to leave


All my life I've made excuses
Pushing you away, saying that you're not for me
All my life I've ran from you, babe
I tried everything
In the end it was you..

(Spoiler) [Still, as mentioned before that finally the most desired person for Hunter was NOT Joanna but his Shadow wife in Midheaven. For that, he had gone so far even to betray Joanna and the troop by conspiring with Shadow like Regan.] This, considered all the things in the first three and more than half of the fourth book, was more than an unexpected ending. Although I saw before the possibility of (Spoiler) [Hunter's betrayal], I only saw that with Jo for a reason. And I'm eventually sad and sorry for my over-confidence.
And, as usual and again, I found a song for this too! Here is I Don't Believe You by Pink, the sad and heart-breaking ballad is just right here!
I don't mind it
I don't mind at all
It's like you're the swing set and I'm the kid that falls
It's like the way we fight, the times I've cried, we come to blows
And every night the passion's there so it's gotta be right, right?

I don't mind it
I still don't mind at all
It's like one of those bad dreams when you can't wake up
Looks like you've given up, you've had enough
But I want more no I won't stop
'cause I just know you'll come around... right?

And here, already yearning for the coming book!!!
-------
Other related reviews (in Thai)
The Scent of Shadows
The Taste of Night
The Touch of Twilight

City of Souls by Vicki Pettersson (th)

"Memories are just silent promises you once made to yourself. The moment is all that matters.”
-p.142-


หนังสือออกจริงช่วงปลายเดือนมิถุนา 52 ก็จริง แต่คุณเมย์แห่ง Mostly Romance ก็กรุณาให้ยืมฉบับ Advance Uncorrected Proof/ Not For Sale มาให้ได้อ่านก่อน ดีใจเป็นที่สุด ขอบคุณทั้งคุณเมย์ ตัว Vicki Pettersson แล้วก็งาน RT เป็นที่สุด อ่านอย่างอารมณ์ดีมีความสุขจริง ๆ ค่ะ :D



ชนิด : Urban Fantasy / Epic / Superheroes
ชุด : Sign of the Zodiac, Book 4
สำนักพิมพ์ : Eos (June 30, 2009)
จำนวนหน้า : 368 หน้า


มาถึงเล่ม 4 ในชุดแล้ว City Of Souls สืบเนื่องมาจากเล่มที่แล้ว เพราะความผิดพลาดบางอย่างทำให้ระหว่างที่ Joanna คืนพลังที่เธอยืมมากลับไปให้ changeling (เด็กที่คอยช่วยเหลือซุปเปอร์ฮีโร่) เธอกลับใส่พลังของเธอลงไปด้วย และดังนั้น เมื่อ เด็ก changeling ดังกล่าวได้รับพลังของเธอไป ก็ทำให้ทุกอย่างรวนไปหมด เพราะว่า Manuals ไม่สามารถบันทึกเรื่องราวใด ๆ ของฝ่าย Light ได้ ทำให้ฝ่ายนี้อ่อนอำนาจลงไป ซึ่งขณะเดียวกันก็ทำให้อำนาจของฝ่าย Shadow เพิ่มมากขึ้น

สิ่งเดียวที่ดูเหมือนจะเป็นคำตอบให้ Jo ได้ ก็คือ ชายที่ชื่อ Jaden Jacks คน ๆ เดียวที่เคยแก้ความผิดพลาดอย่างเดียวกับที่เธอเผชิญอยู่ และเบาะแสเดียวที่เธอรู้ก็คือ ไปที่ Midheaven สถานที่ในตำนานซึ่งน่าจะให้เธอเจอคำตอบที่เธอต้องการได้ ซึ่งแน่นอนว่าการผจญภัยในมิติลึกลับเช่นนั้น ไม่ได้โลดโผนเสี่ยงตายน้อยไปกว่าการสู้กับเหล่า Shadow เลย

ในความเห็นส่วนตัว เล่มนี้แตกต่างจากสามเล่มที่ผ่านมาพอสมควร อาจจะเป็นเพราะจำนวนหน้าที่น้อยลงไปกว่าเดิม (สามเล่มก่อนอยู่ที่ประมาณ 400+ หน้าทั้งสิ้น) ทำให้การดำเนินเรื่องกระชับ ฉับไว และตรงประเด็นขึ้นกว่าเดิมมาก โดยเฉพาะในแง่ที่ตัวของ Jo ไม่ค่อยทำความผิดพลาดใด ๆ อย่างที่เคยทำมาในเล่มก่อน ซึ่งในเล่มเหล่านั้นจะต้องมีทั้งช่วงที่เธอทำสิ่งผิดพลาด และตามแก้ข้อผิดพลาดเหล่านั้น แต่เล่มนี้ เธอไม่อ้อม หรือหลงทางใด ๆ เลย เป้าหมายที่คือการรักษาตัวเด็ก changeling เพื่อให้ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ โดยการตามหาตัวคนคนเดียวที่รู้วิธี ด้วยเบาะแสใน Midheaven ถือว่าภารกิจในเล่มที่เธอได้ค่อนข้างชัด .. ถึงแม้ว่าวิธีการจะไม่ชัดเจนก็ตาม

สิ่งหนึ่งที่ชอบที่สุด และถือว่าคนเขียนทำได้ดีที่สุด ก็คือ การสร้างพัฒนาการการเติบโตของตัว Joanna เอง ระหว่างที่สร้างเหตุการณ์ต่าง ๆ ในแต่ละเล่มให้เธอเผชิญ ถึงแม้ว่าเป้าหมายของหนังสือแต่ละเล่มคือการได้พบกับเหตุการณ์เฉพาะ ๆ ที่เรียกว่า Sign ก็ตาม แต่คนเขียนก็ไม่ละเลยที่จะให้เรารู้สึกถึงการเติบโตของตัวละครไปด้วย ทั้งชุดเป็นทั้ง situation driven และ character driven ไปพร้อมกัน จากเล่มแรก เธอเรียนรู้ที่จะยอมรับตัวเองอย่างที่เป็น ไม่อยู่ด้วยความเกลียดชังโกรธแค้นตัวเองหรือโลกไว้ข้างใน เล่มที่สอง เธอได้รู้จักการอยู่ร่วมและทำงานเป็นกลุ่มกับเหล่าซุปเปอร์ฮีโร่คนอื่น ๆ และเริ่มเข้าใจถึงการไว้วางใจคนอื่นเป็น และเล่มที่สาม ก็เป็นการเรียนรู้ที่จะก้าวต่อไปข้าวหน้าโดยไม่ยึดติดกับอดีต (เห็นได้ชัดที่สุดจากการปล่อยมือจาก Ben คนรักเก่าของเธอ) ทั้งหมดนี้ทำให้รู้สึกว่าคนเขียนวางแผนมาดี และเขียนได้ดี ทั้งในโครงเรื่องหลัก และเนื้อเรื่องย่อย ๆ ในแต่ละส่วน ... อย่างที่ชอบกฏเกณฑ์และกติกาของโลก Midheaven ที่เธอสร้างขึ้น สิ่งต่าง ๆ ดูเหมือนจะทั้งคุ้นเคยและลึกลับในเวลาเดียวกัน และเพราะรายละเอียดปลีกย่อยที่มี ก็ทำให้สงสัยว่าจะมีพูดถึงเกี่ยวกับโลกแห่งนี้อีกไหม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ Jo ทิ้งส่วนหนึ่งของเธอไว้ที่นั่น (สปอยล์) [เพราะการเล่นพนันของเธอทำให้เธอสูญเสีย chip ที่มีพลังไว้ และก็ทำให้พลังของเธอหายไปกับชิปด้วย]

จุดต่างอีกอย่างหนึ่งจากเล่มก่อนก็คือ เธอมีความรู้สึกละเมียดละไมเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเป็นเพราะเธอเกลียดตัวเองน้อยลง และเรียนรู้ที่จะรักตัวเองมากขึ้น ชอบที่ Felix สมาชิกในกลุ่มคุยกับ Jo และทำให้เธอเข้าใจถึงความรู้สึกของการที่มีใครสักคนให้พึ่งพิง ใครสักคนให้กลับไปหา และเธอก็รู้สึกอย่างนั้นกับ Hunter จนกล้าที่จะบอกและกล้าที่จะเดินหน้าต่อไป (สปอยล์) [ซึ่งถึงแม้ในที่สุดแล้ว เหตุการณ์จะกลับเป็นตรงกันข้ามก็ตาม]

จากเล่มนี้สิ่งหนึ่งที่รุนแรงขึ้น (และขึ้นไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่เล่มแรก) ก็คือ ความเกลียด Warren หัวหน้ากลุ่มของเหล่า Superhero (ซึ่งส่วนหนึ่งอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่สามารถนั่งอ่านเรื่องสั้นใน Holidays Are Hell ให้จบเพราะ Warren มีบทบาทเยอะก็เป็นได้) เพราะการที่เขามององค์รวม และภาพใหญ่มากเกินไป ทำให้เขากลายเป็นคนเลือดเย็นจนไปถึงขั้นเห็นแก่ตัว (ถ้าเรานับว่าการเลือกข้างเลือกฝ่ายและทำทุกอย่างให้ฝั่งที่ตัวเองอยู่ให้ได้ผลประโยชน์โดยไม่สนใจคนอื่นหรือฝ่ายอื่น) เขามองทุกคนเป็นหมากในมือเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตัวเองต้องการ .... และขณะเดียวกับก็หมกมุ่นกับการมี Kairos อยู่กับตัว จนพยายามกำจัดทุกอย่าง และทุกคนที่มีอิทธิพลหรือแม้แต่มีความสำคัญกับเธอ แปลกที่การต่อสู้กับฝ่าย Shadows ของเขามีเพื่อปกป้องคนบริสุทธิ์ แต่เขาก็ไม่ลังเลที่จะฆ่าคนบริสุทธิ์ที่มาขวางทางหรือเป้าหมายของเขา ขณะที่ Jo เอง ดิ้นรนเพื่อตัวเองเป็นหลักในเล่มแรก ๆ แต่เธอก็ไม่เคยแม้แต่ละคิดถึงการกระทำเช่นนั้นเลย อย่างที่เธอคิดในหน้าสุดท้ายว่า One person, I thought, as the neon blurred before me was an entire world. การมองคนเป็นตัวเลขอย่างที่ Warren มอง และการมองเป็นบุคคลของ Joanna แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

มิติบุคลิกตัว Joanna เองก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ชอบมาตั้งแต่เล่มแรก (ถึงแม้จะรำคาญยิบย่อยบ้างในบางครั้ง) เพราะเธอถูกกำหนดให้เป็น Kairos และถูกคาดหวังไว้สูงมาก ซึ่งตามจริง แม้เธอจะเป็นคนตามคำทำนาย แต่เธอก็เป็นคนธรรมดา ซึ่งสามารถที่จะทำถูกได้ และขณะเดียวกันก็ทำผิดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อก้าวเท้ามาสู่สังคมยอดมนุษย์เหนือมนุษย์ที่เธอไม่รู้จักมาก่อน เหตุพลาดพลั้งที่อาจเกิดขึ้นด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเธอก็เป็นเรื่องปกติที่จะสามารถเกิดขึ้นได้ ดังนั้น การที่คนเขียนแต่งให้เธอผิดพลาดในหลายครั้งก็ช่วยสะท้อนความเป็นคนธรรมดาที่ ‘บังเอิญ’ มามีพลังและความสามารถพิเศษได้ดี .... เพราะสิ่งสำคัญไม่ใช่ทำทุกอย่างถูกต้องสมบูรณ์ หากแต่เป็นกระทำความผิดแล้วรู้ที่จะแก้ไขให้กลับเป็นดีต่างหาก

อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ไม่รู้ว่าควรปรบมือให้กับตัว Vicki Pettersson หรือว่ากรีดร้องใส่ดี ก็คือ ความกล้าในการเขียนจุดหักมุมใหญ่ถึงสองอย่าง อย่างแรกก็คือ (สปอยล์) [การที่เธอละทิ้งพลังของเธอ และให้พลังนั้นกับ changeling เพื่อช่วยชีวิตเด็กแทน ซึ่งทำให้เธอกลายเป็นคนธรรมดาในตอนจบเล่มนี้] ซึ่งก็เป็นไปตามคำทำนายถึงสัญญาณอย่างที่สี่ด้วย (สปอยล์) [ตัว Kairos จะเสียสละตัวเองเพื่อคนธรรมดา] และอย่างที่สอง (สปอยล์) [การที่ในท้ายที่สุด ตัว Jacks Jaden ก็คือ Hunter และสิ่งที่เขาทำทุกอย่างก็คือเพื่อกลับไปหาคนรัก (หรือพูดให้ถูกจริง ๆ ก็คือ wife!!) ที่เป็น Shadow ของเขาใน Midheaven] ซึ่งแม้เหตุการณ์แรกน่าจะมีผลกระทบกับตัวเธอมากกว่า แต่อดไม่ได้จริง ๆ ที่จะอึ้ง ตะลึง ไปถึงขั้นเกือบช็อคจากเหตุการณ์อย่างที่สอง ในฐานะแม่ยกตัวละครนั้น โดยเฉพาะเมื่อความเป็นไปได้ระหว่างกันเกิดขึ้นตั้งแต่เล่มแรก ๆ และตัวเองก็ลุ้นเอาใจช่วยมาตลอด

และดังนั้น ในฐานะคนอ่านที่วิจารณ์เรื่องที่ Vicki Pettersson กล้าเขียนหักมุมเช่นนี้ ขอให้คะแนนที่ B+/A แต่ในฐานะคนอ่านที่ติดตามชีวิตของ Joanna Archer ให้ได้ที่ B+ และก็สรุปเรื่องว่า “a hard reality, yet appealing life of Joanna Archer. One of my bestest, most favorite on-going UF series with details and attitude ... still!” เพราะไม่รู้จะพูดอะไรดี ประเด็น Ugly/ Cold reality ของเธอก็ยังมีอยู่ และก็ทำให้อยากรู้ความต่อในเล่มห้ามาก เพราะสิ่งที่เกิดกับเธอ และหันหลังจากเธอในเล่มนี้ทั้งหมด เป็นสิ่งที่เธอต่อสู้และสมควรจะได้ทั้งหมด และได้ความสุขมาอยู่กับตัวแท้ ๆ แม้ว่าสิ่งที่ดีที่สุดอย่างเดียวสำหรับ Joanna ในเล่มนี้ก็คือ การกำจัด Regan ไปได้เสียที

ความสัมพันธ์ระหว่าง Joanna และ Hunter

อันที่จริง สิ่งหนึ่งที่ดึงดูดให้อ่านต่อมาเรื่อย ๆ ก็คือตัว Hunter และความสัมพันธ์ระหว่าง Jo กับ Hunter อย่างที่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เหมือนจะลงตัวแล้วก็ไม่ลงตัวมาสักที ซึ่งแม้จะทำให้คนอ่านหงุดหงิดรำคาญ แต่เมื่ออ่านมาถึงเล่มสี่จริง ๆ ก็กลับเป็นว่าชอบที่ความเป็นไปได้ที่น่าจะเกิดยืดเยื้อออกไป เพราะสำคัญที่สุดก็คือการให้เวลากับ Jo ได้ให้โอกาสตัวเองที่จะเริ่มผูกพันตัวเองกับใครสักคน (ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นในเล่มแรก ๆ ก็อาจเป็นสิ่งที่เร็วเกินไป และไม่ถึงเวลาที่ควรจะเกิด โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงว่าเธอมีประเด็นในใจอยู่มาก และต้องปรับตัวกับความเป็นไปที่เกิดขึ้นในสังคมใหม่ และทัศนคติแบบใหม่) และก็ชอบที่เธอแน่ใจกับความรู้สึกของตัวเองจนกล้าที่จะเป็นฝ่ายรุกและไล่ Hunter ในตอนกลางเรื่อง ซึ่งถ้าเฉพาะส่วนนี้ทำให้คิดถึงเพลง In The End ของ Kat De Luna มาก

I'm the textbook definition of a rebel
I see the crowd movin' left and I gotta go right
I'm always in some trouble
To me life ain't fun unless you're in a good fight

So the more you're good to me
The more I try to get you to leave

All my life I've made excuses
Pushing you away, saying that you're not for me
All my life I've ran from you, babe
I tried everything
In the end it was you

(สปอยล์) [อย่างไรก็ตาม อย่างที่ได้พูดไปแล้วว่าท้ายที่สุด คนที่ Hunter ต้องการและกลับไปหากลับไม่ใช่ Jo แต่เป็น Shadow ภรรยาของเขาที่อยู่ใน Midheaven โดยในแง่หนึ่ง เขาเลือกที่จะหักหลัง Jo และเหล่า superhero ด้วยการติดต่อกับ Reagan เพื่อที่จะกลับไปที่ Midheaven ได้] ซึ่งถ้าคิดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาในสามเล่มแรก และในช่วงค่อนเล่มของเล่มนี้ก็ไม่คิดเลยว่าจะลงเอยเช่นนี้ได้ จากเล่มสามและช่วงต้นเล่มสี่คิดถึงความเป็นไปได้เหมือนกันที่เขาจะเป็นคนทรยศอย่างที่มีนัยพูดถึงไว้ แต่ก็คิดว่าเป็นเพราะต้องการตัว Joanna มากกว่าจะด้วยเหตุผลอื่น และเมื่อคิดถึงความเชื่อมั่นที่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่เล่มแรกก็ยิ่งทำให้อึ้งไป ... สงสาร Jo เสียจริง!!! แล้วก็กลายเป็นว่าคนที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างเธอมากที่สุด โดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ กลับเป็น Cher เพื่อนสนิทของ Olivia ที่กลายมาเป็นเพื่อนสนิทของเธอในฐานะ Olivia และ Susanne แม่ของ Cher ทั้งที่เธอเคยไม่ชอบทั้งสองคนมาก่อน

และดังนั้น ความรู้สึกตอนจบก็คงเป็นเพลงนี้เลย I Don't Believe You ของ Pink เศร้าและน่าสงสารเป็นที่สุด

I don't mind it
I don't mind at all
It's like you're the swing set and I'm the kid that falls
It's like the way we fight, the times I've cried, we come to blows
And every night the passion's there so it's gotta be right, right?

I don't mind it
I still don't mind at all
It's like one of those bad dreams when you can't wake up
Looks like you've given up, you've had enough
But I want more no I won't stop
'cause I just know you'll come around... right?

Monday 4 May 2009

Night's Rose by Annaliese Evans

เจอเล่มนี้ครั้งแรกน่าจะจากทางเนท (คิดว่าเป็นลิสต์หนังสือของใครสักคนในอเมซอน) แล้วก็ชอบปกมาก รวมไปถึงพล็อต Fairytale retelling ที่กลายมาเป็นแนว Historical Urban Fantasyให้เจ้าหญิงนิทราสู้รบกับยักษ์ และดังนั้น ถึงแม้จะไม่รู้จักนักเขียนมาก่อน และไม่เคยอ่านงานของเธอ อีฉันก็บ้าสั่งล่วงหน้าไป (โดยที่ไม่ได้แม้กระทั่งอ่าน Excerpt ใด ๆ เสียด้วย) ...



ชนิด : Historical Paranormal Romance / Retelling/ Magic/ Orge/ Fey/ Vampire/ Dark elf
สำนักพิมพ์ : Tor Paranormal Romance (March 31, 2009)
จำนวนหน้า : 384 หน้า


ตามเรื่องเจ้าหญิงนิทรา คำสาปของนางฟ้าใจร้ายทำให้เจ้าหญิงนิทราต้องหลับใหลไปถึงหนึ่งร้อยปี จนกระทั่งเจ้าหญิงตื่นมาได้เพราะจุมพิตของเจ้าชาย เมืองทั้งเมืองตื่นขึ้นจากการหลับ และคนทั้งหมดก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ... แต่ทว่าสำหรับ Rosemarie เจ้าหญิงนิทราในเรื่อง เธอไม่ได้ตื่นมาเพื่อที่จะเจอกับความสุขตลอดไป และกว่าจะรู้ตัว เธอก็กลายเป็นหนึ่งในบรรดานักไล่ล่ายักษ์กินคนให้กับเหล่า Fey De La Nuit (Dark Fey) ไปเสียแล้ว

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อ Rose และ Ambrose ผู้ซึ่งเป็น Fey ที่ปรึกษาของเธอล่วงรู้ถึงพฤติกรรมแปลกประหลาดหลายอย่างของบรรดายักษ์ ซึ่งทั้งคู่เชื่อว่า เป้าหมายที่แท้จริงของยักษ์กินคนก็คือ ร่ายคาถาเพื่อที่จะกำจัด Rose ผู้ซึ่งเป็นนักล่ายักษ์มือหนึ่งให้ได้

หากแต่ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นก็เพิ่มขึ้นเมื่อ Rose ได้เจอกับ Gareth ผีดูดเลือดชื่อฉาวที่แม้จะหว่านเสน่ห์ใส่เธอ แต่ก็ดูเหมือนจะจริงจัง และใส่ใจกับ Rose มาก จนถึงขั้นมากกว่าที่ Ambrose ดูแลเธอ และก็ทำให้เธอต้องชั่งใจและทบทวนความรู้สึกที่เธอมีกับคนทั้งคู่ไปด้วย

ระหว่างนั้นเอง ที่ Rose ถูกทำร้ายปางตายจากเหล่ายักษ์ และเมื่อเธอฟื้นขึ้นมา การได้ใกล้ชิดและสนทนากับ Gareth ทำให้เธอเริ่มเห็นถึงความลับที่ Ambrose ปิดบังเธออยู่ Rose จึงตัดสินใจกลับไปที่เมืองของเธอ และค้นหาความลับที่ถูกซ่อนไว้ ซึ่งความจริงที่ได้เจอทำให้ชีวิตเธอเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง

และเมื่อกลับมา เธอก็เจอว่า เหล่ายักษ์อาจจะมีแผนการร้ายมากกว่าที่เธอได้คาดคิดเอาไว้ และตัวคนร้ายก็อาจจะมีมากกว่าแค่เหล่ายักษ์กินคนเสียด้วย!

จริง ๆ แล้วข้อผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหนังสือก็คือการที่คนเขียนบอกเอาไว้ว่าเป็น Urban Fantasy แต่พอได้หนังสือมาจริงเป็น Historical Paranormal Romance ก็ได้ เพราะส่งผลให้การให้น้ำหนักเนื้อเรื่องในด้านแอ็คชั่นผาดโผนน้อยไปกว่าด้านความสัมพันธ์ของตัวละครและชายหนุ่มสองคนที่เจ้ามามีบทบาทในชีวิตของเธออย่างมหาศาล

แต่ทั้งนี้ ก็รู้สึกว่าการเป็น Romance ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ถ้าจะเขียนให้ดี แต่นี่กลายเป็นว่าไม่เห็น Rose ทำอะไรจริงจังมากไปกว่าการนั่งครุ่นคิดและเปรียบเทียบตัวละครสองตัว ก่อนที่เธอจะค้นพบความจริง Rose ตั้งคำถามว่าสัมพันธภาพของเธอกับ Ambrose ดูเหมือนจะมีมากกว่าเพื่อน มากกว่าที่ปรึกษากับคนในปกครอง แต่ทำไมถึงไม่เคยเกินเลยไปมากกว่านั้น โดยเฉพาะเมื่อเธอรู้ว่าตัว Fey รู้สึกกับเธอมากกว่านั้น และเธอก็รักเขาตลอดมา และกับ Gareth เธอก็รู้สึกว่า เขาเป็นคนที่กระตุ้นความรู้สึกหลายอย่างของเธอให้กลับมา และที่สำคัญ ทำให้เธอรู้สึกว่าถูกใส่ใจ มีความสุข และเป็นที่รัก

จนกระทั่งจุดเปลี่ยนผันในเรื่องเมื่อ Rose ค้นพบความจริง อย่างที่โปรยหัวไว้ว่า ‘Beauty was not awaken by a kiss’ (สปอยล์) [นั่นก็ระหว่างที่เธอหลับ เธอถูกข่มขืนจากยักษ์กินคนตัวหนึ่ง และการที่เธอตื่นมาก็เพราะความเจ็บปวดจากการที่คลอดลูกของยักษ์ และเพราะว่ายักษ์ใช้กำลังพาเธอออกจากเมืองก็ทำให้มนต์ที่มีอยู่ในเมืองหายไป และคนในเมืองก็ตายไปทั้งหมด ซึ่งรวมไปถึงครอบครัวของเธอด้วย] ที่ทำให้เธอเชื่อใจ Ambrose ไม่ได้อีกต่อไปเพราะ (สปอยล์) [คนที่เป็นคู่หมั้นของเธอก็คือ Ambrose ซึ่งแม่ของเขาเป็นคนที่สาป Rose เอง (เพราะอิจฉาแม่ของ Rose ซึ่งเป็นลูกครึ่ง Fey) และแม้ว่าเขาหลงรักเธอมาตลอด และก็เฝ้าดูเธอหลับผ่านกระจกทุกวัน แต่ที่ร้ายที่สุดสำหรับเธอก็คือหมายถึงว่าเขาปล่อยให้ยักษ์ทำเรื่องเลวร้ายกับเธอ]

และดังนั้น เมื่อกลับมา เธอจึงตัดสินแต่งงานกับ Gareth ซึ่งเจ้าตัวเองก็ไขปริศนาที่ว่า ทำไมเขาและ Ambrose ถึงไม่ถูกชะตากัน (สปอยล์) [ซึ่งก็เป็นเพราะเรื่องร้ายแรงที่แม่ของ Ambrose ทำ ทำให้เธอถูกไล่ออกมา และมาอยู่กับพ่อของ Gareth ซึ่งเป็นผีดูดเลือด และมี Gareth ออกมา ดังนั้น Gareth จึงมีฐานะเป็นน้องชายต่างพ่อของ Ambrose] ซึ่งก็หมายถึงการให้น้ำหนักกับ Gareth ที่มากกว่า Ambrose ในครึ่งหลัง (และก็เพราะหลังจากที่รู้ความจริง เธอก็ตัด Ambrose ออกไปจากชีวิตของเธอเลย) แต่ที่รู้สึกว่าไม่เข้าใจก็คือ ไม่เข้าใจความรักระหว่างคนทั้งคู่ จะว่าเกิดเร็วก็ไม่ใช่ แต่เพราะไม่รู้สึกถึงความเชื่อมโยงกัน และไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงรักเธอ ... และรักได้มากขนาดนั้น

หนังสือเล่มนี้เกือบเป็น DNF ถ้าไม่เกิดฮึดอ่านต่อ (ซึ่งการที่ฮึดก็ไม่ใช่เพราะอะไร นอกจากแค่อยากรู้ว่ามันจะห่วยไปมากกว่านี้ไหม) แต่พออ่านก็รู้สึกว่าช่วงที่อ่านช่วงสุดท้าย (หน้าที่ 285 จำได้เลย) ดีกว่าเดิม และอาจเป็นส่วนที่ดีที่สุดส่วนหนึ่งในเล่ม เป็นไปได้ว่าเริ่มเห็นฉากแอ็คชั่นที่อยากจะเห็นมานาน

นั่งวิเคราะห์ตัวเองว่าทำไมถึงไม่ถูกใจ (พูดง่ายว่าผิดหวังน่าจะถูกกว่า) อาจจะเป็นเพราะเป็น PR มากกว่า UF? แต่ก็รู้สึกรับได้ถ้าเขียนให้ดี แต่นี่อ่านแล้วไม่รู้สึกถึงความเชื่อมโยงใด ๆ เลย และรู้สึกว่าคนเขียนเขียนตื้นเกินไป (ไม่แน่ใจว่าอคติไปไหม แต่อย่างน้อยถ้าเทียบกับ Bitten หรือ Spiral Hunt เราเข้าใจพฤติกรรมตัวละคร เห็นการกระทำ แล้วเชื่อได้มากกว่านั้น เป็นแค่พูดผ่าน ๆ แตะ ๆ ไว้ แต่ไม่ลงลึก) และที่สำคัญอีกอย่าง รู้สึกภาษาไม่สวย ไม่สวยเลย ... อย่างน้อยก็ไม่เคยอ่านฉากรักแล้วรำคาญมาก่อน แต่เล่มนี้เป็น และแอบกรี๊ดคนเดียวว่าจบเสียที อยากจะสรุปให้ว่า Sickening Anne Rice-style Sleeping Beauty retelling twist and lousy romance มาก แต่พออ่านจบแล้วก็ทำไม่ลง แล้วก็ชักกลัวตัวเองว่าจะอยากรู้เล่มสอง (The Prince of Frogs – ออกเดือนกันยา!) ขึ้นมา เหมือนว่าไม่ชอบหนังสือขนาดนั้น แต่ก็อดสงสัยกับ Twist ทั้งหลายในเรื่องไม่ได้

และทั้งนี้ถ้าคิดว่า bizarre love triangle จะจบก็ไม่เลย เพราะ Ambrose ยังมีบทบาทอยู่ต่อไป (และถ้าคิดว่าความจริงที่ได้รู้จะทำให้ Rose ตัดเขาออกไปจากชีวิตอย่างสิ้นเชิงก็เป็นไปไม่ได้ เพราะแม้จะถูกทรยศ แต่ความสัมพันธ์ที่มีมากว่าร้อยปีก็มีมากกว่านั้น แต่ก็มากกว่าที่จะถูกตัดออกไปเพราะเรื่องที่เกิดขึ้น (ซึ่งในขณะเดียวกัน ก็อธิบายว่า ทำไม Ambrose ถึงไม่เคยก้าวไปสู่ความสัมพันธ์ที่มากกว่านั้น เพราะความรู้สึกผิด และเพราะรอให้ Rose รู้ความจริง เป็นทั้งความรู้สึกทั้งอยากและไม่อยากให้เธอรู้ความจริง)) และก็น่ากลัวมากว่าที่มีพูดถึง ménage a trios ไว้ด้วย .... ถ้ามีจริง ๆ ฉันจะกรี๊ดคนแรก! แต่ทั้งนี้ก็ต้องบอกว่า อย่างน้อยที่สุด เห็นความเชื่อมโยงระหว่างเธอกับ Ambrose มากกว่า เธอกับ Gareth นะ – และถ้าใจร้ายพอ ก็อยากบอกว่าสิ่งเดียวที่เหมือน UF ก็คือมีผู้ชายมากว่าหนึ่งนี่แหละ!!

หนังสือจะดีได้กว่านี้ ถ้าเปลี่ยนวิธีเขียน และการให้น้ำหนัก เพราะส่วนตัวพล็อตหลายอย่างก็พลิกผันมหาศาล (แต่ก็ไม่ถึงกับคาดเดาไม่ได้ หรือบางอย่างก็กรี๊ดว่าเขียนมาได้!) ให้คะแนนที่ D ก็แล้วกัน

ปล. ปกหลังบอกว่า
Two magnetic men will unite to aid Rose--her mysterious fey advisor, Ambrose, and the vampire Lord Shenley, an earl of scandalous reputation and even more scandalous appetites. One will save her, one will betray her, ....... แหม โปรยหลังทั้งที twist กว่านี้หน่อยได้ไหมคะ อ่านอย่างนี้เดาได้เห็น ๆ !!!

Friday 17 April 2009

Spiral Hunt by Margaret Ronald (n)

หยิบมาดูเพราะชอบปก (โทนสีปกเขียวกับส้ม) พลิกดูเรื่องก็เหมือนจะใช้ได้ หน้าแรกที่อ่านไปก็เหมือนจะดู ก็เลยตัดสินใจเอากลับมาด้วย แล้วก็พบว่าสัญชาตญาณทำงานได้ดีมาก เป็น UF ที่ผูกเรื่องดีที่สุดที่เคยอ่าน และก็ดีใจที่เจอ



ชนิด : Urban Fantasy / Magic/ Folklore/ Suspense
ชุด : Evie Scelan Novels, Book 1
สำนักพิมพ์ : Eos (January 27, 2009)
จำนวนหน้า : 320 หน้า


Evie ถูกเรียกว่า Hound เพราะประสาทการรับรู้กลิ่นที่โดดเด่นของเธอช่วยให้เธอค้นหาสิ่งของ และคนที่ไกลออกไป หรือแม้แต่สูญหายจนเจอ และแม้มีอำนาจพิเศษที่ทำให้เธอเข้าใจถึงโลกอีกด้านของบอสตันที่การใช้อำนาจพิเศษและเวทย์มนต์เป็นเรื่องปกติ (โลกที่ในเรื่องเรียกว่า Undercurrent) เธอก็วางตัวเองในฐานะคนธรรมดา จนกระทั่ง Frank แฟนเก่าที่สาบสูญไปนานโทรหาเธอในกลางดึกคืนหนึ่งที่ความปกติของเธอจบสิ้นลง

เธอพบ Brendan ชายที่อ้างตัวว่าเป็นเพื่อนของ Frank ผู้ต้องการตามหาเขาให้เจอ และช่วยเขาหนีออกจากเมือง (โดยเฉพาะหมายถึงหนีออกจากกลุ่มคนที่กักขังตัว Frank มานาน) ระหว่างเดียวกัน Rena เพื่อนของ Evie ก็ขอให้เธอช่วยไขคดีการฆาตกรรมแปลกประหลาดที่ดูจะเกี่ยวข้องกับเวทย์มนต์ ซึ่งกลายเป็นว่าเชื่อมโยงกับ Frank อย่างไม่คาดฝัน

หากเมื่อสืบสาวลึกไปมีเงื่อนงำและปริศนาลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อย ๆ และอันตรายรอบตัวเธอก็ทวีขึ้นทุกขณะ โดยเมื่อกลุ่มคนที่เคยได้ตัว Frank ไป มุ่งมั่นที่จะได้ตัว Evie ไปอีกคน และเธอไม่อาจรู้ได้เลยว่าเธอจะไว้ใจใครได้!

จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้ก็คือโครงเรื่องที่ผูกไว้ลึกซึ้งมาก แม้จะเป็นหนังสือแนว Urban Fantasy แต่ก็ถือว่าระดับการเป็น Suspense ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย ตั้งแต่เปิดเรื่องมาที่การรับโทรศัพท์เป็นการเริ่มต้นปริศนาที่ลึกซึ้งให้ต้องหาคำตอบ ตั้งแต่เมื่อคนรักเก่าของเธอบอกว่าจะหนีออกจากเมือง และมีอีกเสียงที่บอกให้เธอระวังตัวว่าการล่าจะเริ่มต้นขึ้น ซึ่งส่งผลให้ตัวเอก คือ Evie จะต้องหาคำตอบให้ได้ว่า Frank อยู่ที่ไหน และ ‘ใคร’อีกเจ้าของอีกเสียงขึ้น และการตามล่าคืออะไร

ระหว่างเดียวกัน เหตุการณ์รอบตัวที่เหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับเธอก็มีผลต่อเธอไปพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นการที่ต้องออกไปช่วยเพื่อนตำรวจสืบสวนหาสาเหตุของการฆาตกรรม และการที่เพื่อนของเธออีกคนหนึ่งขอให้เธอช่วยตามหาของบางอย่างให้ แม้ว่าดูเหมือนเป็นคนละเรื่อง แต่เหตุการณ์ทั้งหมดก็ถูกเชื่อมโยงและถักทอไว้ด้วยกันอย่างชาญฉลาด ถือได้ว่าคนเขียนวางโครงเรื่องไว้ดี และก็ดำเนินเรื่องตามกรอบที่ตัวเองตั้งไว้ได้โดยที่ไม่หลุดออกไปแม้แต่น้อย

ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ Spiral Hunt เป็นหนังสือที่ต้องอ่านอย่างพินิจพิเคราะห์ เพราะเมื่อวางโครงเรื่องใหญ่ไว้และดำเนินเรื่องตามนั้นไว้แล้วก็หมายความว่าเงื่อนงำต่าง ๆ ถูกซ่อนไว้ในเนื้อเรื่องอยู่เป็นระยะ การอ่านหนังสือเล่มนี้เหมือนการต่อรูปปริศนาที่ตัวต่อแต่ละชิ้นจากเงื่อนงำที่คนอ่านได้รับระหว่างอ่านเรื่อง อันหมายถึงว่าเมื่อจบเล่มก็จะได้รูปปริศนาที่มีคำตอบสมบูรณ์

ทั้งนี้ นอกเหนือจากการวางโครงเรื่องที่แหลมคมแล้ว สิ่งที่ไม่ด้อยไปกว่ากันเลยก็คือ จินตนาการที่ใส่ไว้ในเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นจินตนาการทางความคิดที่สร้างเรื่องราวต่าง ๆ ขึ้นมา หรือแม้กระทั่งจินตนาการทางการเรียบเรียงใช้ถ้อยคำ อย่างที่การใช้ประสาทสัมผัสของเธอถูกบรรยายไว้ว่าอยู่ในรูปเส้นสายที่โยงใยอยู่ด้วยกัน ทำให้ผู้อ่านเห็นภาพและรู้สึกตามไปได้ชัดเจนในใจ หรือจุดที่เด่นที่สุดอีกจุดหนึ่งก็คือการใช้ตำนานพื้นบ้านไอร์แลนด์มาสร้างเป็นสิ่งใหม่ในเรื่อง โดยเฉพาะในส่วนตัวของ Evie เอง ที่การถูกเรียกว่า Hound ไม่ใช่เหตุบังเอิญ และความสามารถในการดมกลิ่นของเธอก็มีที่มาที่ไปที่ชัดเจน ชอบที่การใช้ประโยชน์จากการเล่นเสียงนามสกุลของเธอ (Scelan) ซึ่งกลายเป็นคำอธิบายปริศนาที่ใหญ่มากที่สุดอันหนึ่งในเรื่อง

สิ่งที่ไม่คิดฝัน และจุดพลิกผันก็ถือเป็นความยอดเยี่ยมอีกเช่นกัน สิ่งที่ไม่คิดฝัน และจุดพลิกผันก็ถือเป็นความยอดเยี่ยมอีกเช่นกัน (สปอยล์) [โดยเฉพาะเมื่อคิดว่าการตามหา Frank เป็นจุดประสงค์หลักของเรื่อง การตายของเขาเป็นจุดหักมุมที่ยอดเยี่ยมที่สุดจุดหนึ่ง เพราะกลายเป็นว่า Rena พบศพเขาอยู่ในสภาพแปลกประหลาด และจากที่ตามหาตัวคนรักเก่า ก็กลายเป็นตามหาคนที่ฆ่าเขา และสาเหตุ รวมไปถึงความจริงที่ว่าเธอเข้าไปใกล้เหล่าร้ายมากขึ้นอีก] ปกติแล้ว หากตัวละครถูกทรยศ หรือถูกช่วยจากตัวละครอื่นแล้ว สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นในครั้งเดียว แต่ในเรื่องไม่ใช่เลย ตัว Evie เองได้รับการช่วยเหลือจากตัวละครบางตัวนับไม่ถ้วน ก่อนที่จะถูกหักหลังจากตัวละครตัวเดิม และได้รับความช่วยเหลืออีกครั้ง ขณะที่ตัวละครอีกตัว ได้รับความไว้วางใจจากเธอ ก่อนจะหักหลังเธอและช่วยเหลือเธอในที่สุด ทำให้การอ่านไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าตัวร้ายที่แท้จริง และมิตรแท้ของเธอคือใคร และแต่ละคนมีจุดประสงค์อะไรในใจ (สปอยล์) [อย่างตัว Brendan เองที่หักหลังเธอด้วยการสวมรอยมาช่วยเธอตั้งแต่เริ่มต้น และก็มีเป้าหมายของตัวเองในใจ จนทำให้เชื่อมากว่า แม้เขาจะทรยศ Evie แต่ก็มีเป้าประสงค์มากกว่านั้น และแม้จะเป็นศัตรูที่แฝงตัวมาเป็นมิตร แต่ก็ยังคงความเป็นมิตรอยู่ บทบาทไม่ชัดเจนหรือแน่นอนแต่อย่างใด จนกระทั่งตอนใกล้จบที่ช่วยเธอไว้อีกครั้ง แต่ในที่สุด ก็เป็นศัตรูจริง ๆ และลงเอยด้วยความตาย – นึกว่าจะมีโอกาสแก้ตัวแท้ ๆ] แม้ว่าเราจะเห็นตัวละครอื่น ๆ ทำสิ่งที่น่าสงสัย และไม่น่าเชื่อใจเป็นระยะ ๆ ก็ตาม (สปอยล์) [ยกเว้นแต่ตัว Connor ที่ปรากฏตัวออกมาก็รู้แน่ชัดว่าเป็นตัวร้ายแน่ ๆ และก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย]

Evie เป็นตัวละครที่ต่างจาก Urban Fantasy ทั้งหลายที่ความอ่อนโยน และการคิดถึงคนอื่น ซึ่งส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการรับรู้อารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปจากลิ่นของคนรอบตัวก็ได้ แต่ถึงกระนั้น ก็ทำให้เธอแกร่งแต่ไม่กร้าวกระด้าง อย่างที่เธอแสดงออกกับ Katie น้องสาวของเพื่อนที่ถูกลักพาตัวไปเพราะเหล่าคนร้ายต้องการล่อให้เธอออกมา และจับเธอให้ได้ เมื่อทั้งคู่หนีออกมาได้ เธอให้เด็กหญิงขี่หลัง และพยายามเล่าเรื่องให้ฟัง เพื่อให้ผ่อนคลายความกลัว ก็เป็นฉากที่ชัดเจนที่สุดฉากหนึ่ง

แต่ทั้งนี้ หากจะมองว่าเรื่องลักษณะ Urban Fantasy ต้องดำเนินเรื่องอย่างฉับไว ในลักษณะตาต่อตาฟันต่อฟันแล้ว ก็ถือว่า Spiral Hunt ก็สอบผ่านอีกเช่นกัน ฉากที่เธอสู้กับตัวร้าย และฆ่าตัวร้ายเป็นฉากที่สะใจมากที่สุดฉากหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงสิ่งที่ตัวละครนั้นทำมาตลอด แม้จะโหดไปบ้างก็ตาม
"With one hand I kept my grip on his windpipe, crushing it bit by bit. The other I drove up into his stomach, my fingers pointed together into a single claw, striking, pushing, rending –
The Morrigan’s power screamed through me, and Boru’s pupils dilated as I dug into his flash. What had been the doughly solidity of his stomach below the sternum gave way to something soft and warm, and I reached in, reached further - " (หน้า 283-4)

คำคมในเรื่องที่ชอบก็คือ “No geis is harder than the ones we lay upon ourselves.” (หน้า 295) เพราะในเรื่องเธอหวาดระแวงมาตลอดว่าจะมีมนต์บางอย่างเข้ามาครอบงำเธอ และทำให้เธอต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของผู้ร้าย หรือแม้แต่เป็นเครื่องมือให้ใช้งาน แต่ในตอบจบ Morrigan เทพีไอริชได้พูดประโยคนี้กับเธอ และก็ทำให้เธอได้คิด (และทำให้ตัวคนอ่านอย่างอีฉันได้คิด) ในเรื่องก็พูดถึงตัวละครหลายตัวที่ตกอยู่ภายใต้ความเชื่อที่ตัวเองสร้างขึ้น และถูกครอบงำจากความเชื่อและความคิดจากบทบาทเช่นนั้นจนสูญเสียความเป็นอิสระหรือแม้กระทั่งตัวของตัวเองไปในระดับหนึ่ง (ซึ่งตอนที่พิมพ์ก็คิดต่อ .... ว่าบทบาทของเราเป็นตัวจำกัดอิสรภาพของเราจริงหรือ และถ้าเราไม่มีบทบาทหรือความเชื่อนั้น เราจะเป็นอย่างไร เพราะตัวเราไม่มีทางอยู่โดยปราศจากความเชื่อหรือบทบาทเช่นนั้นได้ ก็เป็นปัญหาที่ตอบยาก และมีเส้นแบ่งข้อจำกัดและโอกาสที่เกิดขึ้นจากบทบาทความเชื่อเหล่านั้นที่แสนจะไม่ชัดเจนอย่างยิ่ง)

สรุปว่าพระเอกตัวจริงในเรื่อง (สปอยล์) [Nate เพื่อนของ Evie ตั้งแต่สมัยเรียน และพี่ชายของ Katie] ก็เป็นพระเอกที่คนอ่านอย่างอีฉันกึ่งลุ้นมาตั้งแต่ตอนเริ่มต้น และก็จบลงอย่างชื่นมื่น ... อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง เพราะเห็นตัวจริง/ ความสามารถที่แท้จริงของตัวเอกแล้วไม่หวาดกลัวจนหนีหายไป (เปรียบเทียบ Hunter/ Clayton/ Daemon เป็นต้น) แต่กลับกลายเป็นว่าการรู้จักตัวจริงทำให้ตัดสินใจเดินหน้าต่อเพราะได้รู้จักกันมากขึ้น (หรืออย่างน้อยก็ผ่านอันตรายมาด้วยกันแล้ว) แต่ก็ทำให้เกิดคำถามว่า ถ้าพระเอกอ่อนแอกว่าจะมีทางออกที่สมบูรณ์ให้กับทั้งคู่แน่หรือ .... ถ้าเขาจะกลายมาเป็นจุดอ่อนของเธอ ทั้งนี้ ก็ต้องติดตามกันต่อไป เพราะเหมือนว่าพระเอกอาจจะมีความสามารถบางอย่างอยู่ในตัวก็ได้

จากการตามล่าหาเกี่ยวกับ Margaret Ronald เธอมีเล่มที่สองในชุด คือ Wild Hunt ซึ่งไม่รู้ว่าจะออกเมื่อไหร่ หรือว่าจะเป็นเกี่ยวกับอะไรชัดเจน (นอกเหนือจากความสามารถที่ถูกปลุกให้ตื่นแล้วของ Evie ในเล่มแรก) ซึ่งตอนนี้อีฉันก็อยากอ่านมาก ... และก็ต้องขอบอกว่าเป็นหนังสือที่ลงตัวที่สุดเล่มหนึ่งตั้งแต่อ่าน UF มา ในฐานะนักเขียนหน้าใหม่ คิดว่าเธอทำได้ดีมาก ๆ (เพราะถึงจะเขียนมาก่อนแล้ว การวางโครงและตามโครงเรื่องอย่างนี้ก็ยากแล้ว) ถึงขั้นอ่านไปกลางเล่มก็คิดว่า A ได้ A แน่ ๆ (เพียงแต่กลัวพลิกผันตอนจบว่าจะทำให้คะแนนน้อยลง) และดังนั้น เมื่อดำเนินไปได้อย่างที่คาดหวังเอาไว้ ก็ให้คะแนนที่ A+ อย่างไม่ต้องสงสัย ชอบมาก มาก และมาก สรุปว่า A perfect combination of clever and imaginative enigma and everything … just right combination!

คิดว่าอาจจะต้องอ่านซ้ำอีกครั้ง เพื่อเก็บรายละเอียดในการตีความ คิดว่าอาจจะต้องอ่านซ้ำอีกครั้ง เพื่อเก็บรายละเอียดในการตีความ เหมือนเป็นหนังสือเกม Whodunit ที่คนอ่านต้องเก็บเบาะแสในระหว่งอ่าน และก็คิดว่าจะไปเขียนรีวิวใน Amazon ให้ด้วยซ้ำ!!!

อีกประการหนึ่งก็คือ คิดว่าเข้าใจ Celtic myth/ folklore แต่สงสัยจะน้อยเกินไป หลังจากนี้จะไปหาอ่านเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ความชัดเจนเกี่ยวกับความเชื่อเหล่านี้มากขึ้น

ปล. มีจุดที่ยังไม่เข้าใจอยู่อีกจุดคือ ความรู้สึกจริง ๆ ของ Brendan ที่มีต่อ Evie ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับจุดยืนของเขา หลายครั้งที่เขาดูจะมีความรู้สึกต่อเธอ สงสัยจะชัดขึ้นหลังอ่านซ้ำ