Sunday 21 October 2018

สาปอสุรา ภาคพิเศษ


“หัวใจ น้ำตาล ความหวาน มดคลั่งงงง!”

หลังจากที่ผ่านไปหลาย (ร้อย) ชาติที่มันตราขอจบสิ้นสุดจากจากทุกอย่าง ทั้งจบการลงโทษ คำสาป และหลุดพ้นสิ้นสุดการเป็นเจ้าชายอสูร (หรือแม้แต่เป็นอสูร) และที่สำคัญ คือการปล่อยมือจากอคิน อคินก็ตามมางอนง้อสำเร็จ และภาคนี้ก็คือการเล่าถึงการใช้ชีวิตร่วมกันของคนทั้งคู่

ส่วนตัว รู้สึกว่าภาคพิเศษเป็นช่วงที่หวานชื่น หวานฉ่ำมาก เพราะว่าหลังจากอคินรู้ความจริง และรู้ว่าตัวเองผิดก็ใช้เวลาเนิ่นนานตามหามันตราจนเจอ ยิ่งประกอบกับการที่มันตราตายในอ้อมกอดและตัดใจจากตัวเองในชาติสุดท้าย (เรียกว่า มันตรา v.1) ก็ยิ่งทำให้อคินพยายามไถ่โทษและชดเชยให้แก่มันตราในทุกเรื่อง เป็นการยอมอย่างไม่มีข้อแม้และไม่มีเงื่อนไขใดๆ เห็นค่าและให้ค่าอีกฝ่ายไว้เหนือทุกอย่าง และส่วนมันตราเอง ด้วยความที่เจ็บช้ำซ้ำไปมา ทั้งจากท่าทีของอคินที่มีต่อตัวเอง และโดยเฉพาะจากทัศนคติที่ไม่เชื่อใจ และเหมือนจะให้คุณค่าดารัญมากกว่าก็ทำให้ต้องระมัดระวังและสงวนท่าทีของตัวเองเอาไว้เสมอเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องถลำลึกลงไปสุดตัวอีก เลยมีความรู้สึกว่าสภาพความคิดและอารมณ์ของตัวละครทั้งสองตัวกลับเป็นสลับที่กัน และเงื่อนไขในใจทั้งคู่กลายเป็นตัวกำหนดทั้งความรู้สึกนึกคิด และกรอบความสัมพันธ์ที่มีต่อกันไปเลย

อืมม เอาว่าดีก็ดี เพราะอคินให้ค่า และเห็นค่าของมันตรามาก แต่บางทีก็คิดว่า มันดูไม่สมดุลอยู่เลย เพราะว่ากลายเป็นว่าไม่มีตรงกลางไป เหมือนช่วงนี้เป็นช่วงปรับสมดุล และเมื่อความสัมพันธ์ของคู่นี้เข้าที่ ก็คงต้องมีการปรับสมดุลใหม่ เพื่อที่จะไม่ให้ความสัมพันธ์ครั้งนี้บิดเบี้ยวผิดเพี้ยนจนทำลายตัวเองไปในระยะยาว เพื่อให้เป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติ และเกรงใจระวังกันน้อยลง

อืม จะพูดแบบนี้ไปอย่างเดียวก็ไม่ถูก เหมือนอคินน่าสงสารเวลาอยู่ต่อหน้ามันตรา แต่ในแง่หนึ่ง เพราะความที่เป็นผู้ใหญ่กว่า และเป็นใหญ่ได้ดั่งใจมาตลอด ก็จะมีการเอาแต่ใจ และเจ้าเล่ห์ของอคิน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการก็มีอยู่เป็นระยะๆ ด้วย ผ่านการอ้อนงอแงบ้าง การขอความเห็นใจบ้าง การหว่านล้อมหน้านิ่งบ้าง หรือแม้กระทั่งการยื่นคำขาดบ้าง (อย่างหลังมาบ่อย ถ้าเกี่ยวกับบุคคลที่สาม ที่มีสิทธิมีอันตรายคุกคามความสัมพันธ์ อย่างเช่น เนวิน)

แต่ก็นั่นแหละ สองคนมีช่วงเวลาช้ำกันมาเยอะ ก็น่าจะให้มีช่วงเวลาที่ดีและหวานชื่นต่อกันมาด้วย โดยเฉพาะเมื่อมันตราคลายปมในใจ ช่วงเวลาที่เกิดขึ้นจริงๆ ก็ไม่ต่างจากช่วงข้าวใหม่ปลามันของทั้งคู่นี่นะ เล่มพิเศษมีช่วงเวลาที่น่ารักหลายอย่าง เป็นช่วงเวลาเล็กน้อยแต่ทำให้เห็นการผูกพันและการให้ค่ากันของทั้งคู่

ส่วนตัว ช่วงที่ชอบที่สุด ก็คือช่วงที่มันตราคลายปมตัวเองและเรียกอคินว่า ท่านพี่ ตามที่เคยเรียกไปในวัยเด็กสมัยยังเป็นเจ้าชายอสูร (มันตรา v.0) ติดใจกับคำเรียกเชิงสัญลักษณ์ (ที่แสดงความรู้สึกรักใคร่ ยกย่องและไว้เนื้อเชื่อใจอย่างไม่มีเงื่อนไข) มาตั้งแต่เล่มหลัก (ซึ่งเล่มหลักก็ย้ำไปหลายครั้ง ทั้งในฝันและนิมิตที่มันตราเห็น ช่วงที่อคินได้ยินละเมอ หรือแม้แต่ในช่วงย้อนอดีต) และก็คิดเสมอว่า ส่วนหนึ่งในใจของอคินคงโหยหาได้คำเรียกนั้น (และความรู้สึกด้านดีจากมันตรา) กลับคืนมา ซึ่งในตอนพิเศษ ก็มีฉากนี้อยู่จริง (อย่างไรก็ตาม สารภาพต่อไปนิดว่าคิดฉากคำเรียกนี้ได้ทั้งแบบละมุนที่คนสองคนปรับใจคุยกัน และทั้งช่วงที่เป็น kinky fantasy ของอคิน – ถ้าอคินจะคึกขึ้นมา เมื่อได้ยินคำนี้บนเตียง?)

ซึ่งในแง่หนึ่ง ถ้าเกิดไม่มีดารัญเข้ามาแทรกกลาง ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็คงจะเป็นแบบนี้มาโดยตลอด เพราะขณะที่มันตรายกย่องเทิดทูนอคิน ฝ่ายหลังก็เอ็นดูและตามใจมันตราอย่างมาก เป็นความผูกพันที่เกิดขึ้นเนิบช้าจนกลายเป็นความรัก  (ในภาคย้อนอดีต รู้สึกว่าพอช่วงทั้งสองคนเริ่มโต ท่าทีของอคินเป็นอย่างชายหนุ่มมากกว่าจะเป็นพี่ชาย ไม่ว่าจะเป็นช่วงขี่ม้า และช่วงที่มันตราไปหาในกองทัพ) คู่แล้วไม่แคล้วกัน แม้จะต้องมีมารผจญหรือพลัดพรากพันชาติ โถ...

อคินมีช่วงเวลาที่ผ่อนคลายและจับต้องได้อยู่เยอะ ผู้ชายที่ดูเหินห่างและเย็นชาในภาคหลักกลับมาเป็นคนรักที่ทั้งใส่ใจ และอ่อนโยนในภาคนี้ ฉากใส่ใจและให้ความสำคัญมีอยู่เยอะ แต่รักฉากที่อคินถูกปลุกให้ตื่นในตอนดอกไม้มากที่สุด ช่วงบรรยายที่ว่า “อคินเสยผมไปด้านหลังลวกๆ ก่อนจะลุกนั่งพิงหัวเตียง ...” ทั้งที่เป็นฉากไม่มีอะไร และไม่ใช่การเอาใจ แต่แสดงให้เห็นถึงอคินที่ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่มีการเสแสร้ง หรือวางตัวใดๆ

ทั้งนี้ มีหลายฉากที่เป็นช่วงเดาได้ โดยเฉพาะช่วงเทศกาลดวงดาวที่อคินขอให้มันตราใส่ชุดพิธีการ และมันตราไม่ยอม คิดอยู่แล้วว่าต้องเป็นชุดพิธีในฐานะคนรักของอคินแน่ ก็นับว่าท่านพี่อคินใช้เทศกาลนี้เปิดตัวให้รู้กันไปทั้งภพอสูรเลย เป็นทั้งการยกย่องให้เกียรติ และขณะเดียวกันก็ประกาศความเป็นเจ้าของจริงจัง

มันตรานายช่าง (หรือมันตรา v.2) เป็นตัวละครหลักในภาคนี้ แต่เพราะรู้จักกับมันตรานายทหาร (v.1) ก่อน ทำให้อดไม่ได้ที่จะคิดถึงตัวตนในภาคนั้น อย่างที่ในหนังสือก็บอกว่าแต่ละภพ แต่ละชาติก็มีบุคลิก ความชอบที่แตกต่างกันออกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีสิ่งแวดล้อมและเงื่อนไขชีวิตมากำหนด และส่วนตัวก็หลงรักมันตรา v.1 มากที่สุดเสียด้วย เพราะความที่ต้องโตเร็ว และพึ่งพาตัวเองทำให้ตัวตนในภาคนั้นเป็นผู้ใหญ่ เคร่งขรึม จริงจัง พอมาประกอบกับอาชีพที่เป็นก็ยิ่งมีความเข้มงวดกับตัวเองสูง แต่นั่นก็เป็นเสน่ห์ของมันตรา v.1 ที่จะใช้สายตามองสิ่งที่เกิดขึ้น และใช้สมองประมวลวิเคราะห์สถานการณ์รอบตัว ก่อนตัดสินใจด้วยความรอบคอบและใช้เหตุผล หลงรักความทนง และพึ่งพาตัวเองนั้นอย่างแท้จริง (และบางที การอ่านภาคหลักก็ไม่ได้มองเป็นการอ่านนิยายรัก แต่เป็นการลุ้นรอมันตราเข้าใจเหตุการณ์ในอดีต และหาหนทางแก้ไขสิ้นสุดการลงโทษ มากกว่าที่จะอ่านนิยายรักให้มนตราได้หัวใจของอคิน)
ซึ่ง มันตรา v.2 มีบุคลิกของตัวเองก็จริง แต่อาจเพราะเกิดใหม่ในช่วงที่พ้นโทษไปแล้ว ทำให้ชีวิตและเงื่อนไขต่างๆ เรียบง่ายและสงบสุขมากกว่าในอดีต ซึ่งก็คงส่งผลต่อบุคลิกส่วนนี้ด้วย ก็เลยเกิดภาพมันตรานายช่างที่ดูร่าเริง มีความสุขกับสิ่งรอบตัวขึ้นมา แต่ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะเห็นภาพ มันตรา v.2 นี้เมื่อมีอคินเข้ามาแล้ว ก็เลยรู้สึกว่ามันตรา v.2 นี้ใช้อารมณ์และความรู้สึกเป็นหลัก (แต่ ก็อาจเป็นการลำเอียงก็ได้ เพราะเอาเข้าจริง มันตราภาคไหนๆ ไม่ว่าจะตั้งแต่ v.0 ก็ใจรวนไม่นิ่ง ให้อารมณ์นำทางโดยเฉพาะเมื่อมีอคินมาอยู่ข้างตัว)

ชอบองค์ประกอบหลายอย่างของภาคหลัก ตั้งแต่การเป็นแฟนตาซีที่กลายมาเป็นฟิวเจอร์ริสติสที่ย้ำประเด็นอ่อนไหวทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมาเป็นตัวดำเนินเรื่องในตอนแรก พร้อมกับการคลายปริศนาและที่มาตัวเองของมันตรา โดยเฉพาะชอบฉากการตายของมันตรามาก  ทั้งในแง่เป็นการตัดจบ และเป็นการลงโทษอคินเป็นนัย และตามมาด้วยการรู้ตัวและค้นหามันตราของเจ้าตัว อย่างที่ผู้เขียนบอกว่าสมบูรณ์และลงตัวในตัวเองแล้ว แต่กลายเป็นว่าส่วนนี้ก็เป็นอาหารคาวรสจัดเข้ม และพอมีภาคพิเศษก็เหมือนจะเป็นการเติมของหวานปิดท้ายให้มื้ออาหารที่ชื่อว่า สาปอสุรา นี้ครบถ้วนมากขึ้น

ส่วนตัวเรียกภาคพิเศษนี้ว่า the Sweet Sickness/ the Sweet Imbalance หรือถ้ารวมกันก็จะเป็น Sickly yet Sweet Imbalance ซึ่งมีความหมายแง่บวก – ความไม่สมดุลแรกรักเป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว!

ความรู้สึกของมันตรา ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติที่แล้ว ทำให้คิดถึงเพลง Inside and Out เวอร์ชั่น Feist ถึงเนื้อเพลงอีกฝ่ายจะเป็นคนเจ้าชู้หลายใจ แต่ก็คงไม่ต่างกันกับการที่อคินหันไปเลือกดารัญหลายครั้งหลายครา  แต่ว่าก็ยังตัดใจ ตัดความรู้สึกไม่ได้เสียที อยากปล่อยมือแต่ก็ทำไม่ขาด เป็นความหมกหมุ่นลุ่มหลงที่ทั้งคนเขียนและคนอ่านได้แต่ถอนใจ

Baby, I can't figure it out
Your kisses taste like honey
Sweet lies don't gimme no rise
Oh, for what you're trying to do
Livin' on your cheatin'
And the pain grows inside me
It's enough to leave me crying in the rain
Love you forever but you're driving me insane
And I'm hanging on
Oh, oh, oh, oh
I'll win, I'll never give in
Our love has got the power
Too many lovers in one lifetime
Ain't good for you
You treat me like a vision in the night
Someone there to stand behind you
When your world ain't working right
I ain't no vision, I am the girl
Who loves you inside and out
Backwards and forwards with my heart hanging out
I love no other way
What are we gonna do if we lose that fire
Wrap myself up and take me home again
Too many heartaches in my lifetime ain't good for me
I figure it's the love that keeps you warm
Let this moment be forever
We won't ever feel the storm
Don't try to tell me that it's over

I can't hear a word I can't hear a line
No girl could love you more
And that's what I'm cryin' for
You can't change the way I feel inside
You're the reason for my laughter and my sorrow
Blow out the candle I will burn again tomorrow
No man on earth can stand between my love and I
And no matter how you hurt me, I will love you till I die
Inside and out
Inside and out

ส่วนความรู้สึกของอคิน ตัวละครที่เพิ่งจะได้เลื่อนขั้นจากตัวประกอบเกือบตัวร้ายมาเป็นพระเอกเกือบซื่อบื้อในภาคที่แล้ว และเป็นพระเอกเจ้าเล่ห์ แต่อบอุ่น (อย่างน้อยก็กับมันตรา) เหมือนกับเพลง Ilusm ของ Gnash นะ คือว่าได้กลับมาแล้วก็จริง แต่แง่หนึ่งก็ยังเป็นความรู้สึกหม่นๆ ของการไถ่โทษและเจ็บปวดจากความรู้สึกในใจ ทั้งการตามหา การรอคอย กว่าจะมาพบเจอ แต่ขณะเดียวกันก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่ตอบรับ

I always see the light way before the dark
And you always see the end way before the start
I've been trying and finding that things going right
Aren’t as simple as everyone told me they would be

Out of breath Out of time
Is it your turn? Is it mine?
I can’t sleep tonight
I can’t speak tonight

Just make me feel special
And make me feel loved
Make me feel something
Lately life’s made me numb
I just want to hold you
For just long enough
So you don’t get tired of me telling you
I love you so much

But I love how you stare at me
I stay cause I’m scared to leave
I’m not prepared to be
Lonely without you see
That just won’t feel right
I need you in my life

แต่พอช่วงใกล้ๆ จบพอความรู้สึกมันตราเข้าที่ และอคินรู้สึกว่าความรักลงตัว เป็นเพลง ILYSB ของ LANY  อารมณ์ครึกครื้นขึ้น และมีความสุขกับโลกรอบตัว (และโลกของสองเรา) ได้ อยากใช้เวลาเพื่อบอกรัก และมีมันตราเป็นศูนย์กลางจักรวาลเนี่ย // ขำที่เพลงพูดถึงเต้นรำในห้องครัว สถานการณ์บอกรักแบบนี้ อคินทำมาแล้ว!

And you need to know
You're the only one, alright, alright
And you need to know
That you keep me up all night, all night

Oh, my heart hurts so good
I love you, babe, so bad, so bad

Mad cool in all my clothes
Mad warm when you get close to me
Slow dance these summer nights
Our disco ball's my kitchen light

And you need to know
That nobody could take your place, your place
And you need to know
That I'm hella obsessed with your face, your face

ปล. พอคิดถึงอคิน คิดถึง Taking Me Back ของ LANY ตอนเลือกเพลงด้วยเหมือนกัน พี่แกคงคิดว่าช่วง honeymoon phrase แบบที่อยู่ด้วยกันจะกลับมาได้ ฉะนั้นช่วงที่รู้การตัดสินใจของมันตราก็คงเหมือนล้มทั้งยืน ได้ยินเสียงกลองให้คิดว่าเป็นเสียงหัวใจอคินกรีดรัวว!
Move into the morning
Champagne on our lips
Are we overthinking?
We can't come down like this

If I could, know I would try
Tell me now, tell me how
To change your mind

I can’t take it back, can't take it back
Is it even that bad?
We can go back, we can go back
'Cause I know you know our
Love is like that, love is like that
Can I talk you into
Taking me back, taking me back?
So baby, won’t you slow down?

This can make or break us
Hold out, spend the night and wake up
'Cause right now I can't seem to show you
We can go back, we can go back

I can't take it back, can't take it back
Is it even that bad?
We can go back, we can go back
'Cause I know you know our
Love is like that, love is like that
Can I talk you into
Won't you take me back?