Tuesday 20 July 2010

Darkness Calls by Marjorie M. Liu

ซื้อเล่มสองมาเพราะชอบเล่มหนึ่ง


ชนิด : Urban Fantasy/ Huntress/ Demon
ชุด : Hunter Kiss, Book /
สำนักพิมพ์ : Ace (Jun 30, 2009)
จำนวนหน้า : 320หน้า

จากความวุ่นวายเล่มที่แล้ว เล่มนี้เปิดฉากมาเหมือนจะปกติ ยกเว้นแต่ว่า มีคนจากโบสถ์มาตามหาตัว Grant คนรักของ Maxine และขอให้เขาเดินทางไปด้วยเพื่อช่วยเหลือคนที่เคยเป็นเพื่อนของ Grant ซึ่งแม้สถานการณ์จะอันตราย แต่ Grant ก็ไม่มีทางเลือก และตัว Maxine เองก็ต้องปล่อยให้ Grant ไป ในระหว่างนั้นเอง ปู่ของ Maxine ก็เตือนเธอถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับ Grant และเปิดมิติให้เธอเดินทางไปหา Grant ในอีกทวีป

หากแต่ Mr. King ก็ยังตามล่าตัว Maxine อยู่ และอันตรายที่ตามมาก็มีมากกว่าที่ทั้งคู่คาดคิดไว้มากนัก ทั้งหมดจึงต้องหนีการไล่ล่าไปเรื่อย ๆ

ย่อเรื่องได้แค่นี้ เพราะจำไม่ได้ และเพราะไม่รู้เรื่อง ในบรรดาหนังสือแนวนี้ที่อ่าน เล่มนี้เป็นความผิดหวังที่สุดเล่มหนึ่ง จากเล่มที่แล้ว ปมปัญหาที่เปิดไว้มหาศาลในเล่มที่แล้ว ไม่ได้ถูกตอบแม้แต่ข้อเดียว และที่สำคัญ ยังเพิ่มความสับสนใหม่ในเล่มนี้เข้าไปเสียด้วย ทุกคนในเล่มมีความเป็นมาที่ยิ่งใหญ่ และมีความสำคัญยิ่งใหญ่ แต่ไม่มีการพูดถึงว่าเป็นอะไร และเป็นมาอย่างไร ทำให้คนอ่านสงสัยและสับสนต่อไป ดังเช่น เราได้รู้อดีตเกี่ยวกับครอบครัวของ Maxine และความเกี่ยวข้องของเธอกับปู่แล้ว เล่มนี้ หนังสือยังพูดถึงต่อไปอีก ถึงความสำคัญของปู่ของเธอ ในฐานะที่ “เกือบจะ” เป็นเทพเจ้าในอดีต และเปิดประเด็นใหม่ ถึง Mary หญิงชราจรจัดที่ Grant ดูแลในเล่มที่แล้ว ว่าเป็นคนเลี้ยงดู Grant มาตั้งแต่เด็ก และเป็นคนซ่อนเขาไว้ในโลกมนุษย์ เพื่อจะหลีกหนีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่คนของ Grant เจอ ซึ่งทำให้ เขากลายเป็น คนสุดท้ายในตระกูล หรือ The last of his line อย่างที่หนังสือพูดถึงไปมา แต่ไม่บอกความสำคัญหรือนัยใด ๆ จากสิ่งนี้เลย นอกจากนี้ ยังพูดถึงเด็กจรจัดที่ Maxine และ Grant ดูแลว่าเป็นอะไรสักอย่างที่หลงลืมอดีตและที่มาของตัวเอง และต้องคอยหวาดกลัวอยู่เสมอ ฯลฯ

ทั้งนี้ สิ่งที่ทำให้น่าผิดหวังยิ่งขึ้นนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้นก็คือ เล่มนี้ไม่มีอะไรนอกจากการหลบหลีการไล่ล่า/ ไล่ฆ่าของ Maxine และพวก ซึ่งเป็นการหนีไปเรื่อย ๆ และหอบหิ้วคณะทั้งหลายที่ได้กล่าวมาด้วย กลายเป็น the endless tiring chase of the vague nothingness เพราะนอกจากจะวิ่งไป หนีไปโดยที่ไม่รู้อะไรแล้ว การที่ต้อง “หอบหิ้ว” คนทั้งหมดไปด้วยก็ทำให้วุ่นวายและน่าเหนื่อยหน่ายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อฉากวิ่งวุ่นนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า

อ่านไปเมื่อปีที่แล้วพอดี และที่รีวิววันนี้ก็เพราะเห็นว่าเล่มใหม่ใกล้จะออกแล้ว แต่คิดว่าคงไม่อ่านต่อ เล่มนี้ให้คะแนนที่ D+ (คิดยากมาก เพราะไม่เคยให้คะแนนหนังสือต่ำขนาดนี้มาก่อน นอกจาก Night's Rose)

This Heart Of Mine by Susan Elizabeth Phillips

เรื่องของ Molly น้องสาวต่างแม่ของ Phoebe




(หาปกที่มีไม่ได้)

ชนิด : Romance/ Comtemporary
สำนักพิมพ์ : Avon (February, 2002)
ชุด : Chicago Stars


ตั้งแต่เด็ก Molly แอบชอบ Kevin ผู้เล่นของทีม Chicago Stars มาตลอด แต่เขาไม่เคยเห็นเธอเลย และสิ่งที่เขาสนใจก็มีเพียงฟุตบอลกับกีฬาบ้าระห่ำเท่านั้น อย่างไรก็ดี เธอแอบย่องเข้าหา Kevin .ในคืนหนึ่ง เมื่อทั้งคู่อยู่กันตามลำพังโดยบังเอิญ

ความคิดชั่ววูบมีผลกระทบมากกว่านั้น เมื่อ Molly ท้องขึ้นมา และ Phoebe กับ Dan ก็บีบบังคับให้ Kevin รับผิดชอบกับสิ่งที่พวกเขาคิดว่านักกีฬาหนุ่มทำลงไป หากหลังแต่งงาน Molly แท้ง และทั้งคู่ก็แยกจากไปกัน ก่อนที่ Kevin จะพบว่า เธออยู่ในสภาวะหดหู่หลังการสูญเสียลูกในท้อง และเมื่อเขาต้องเดินทางไปดูที่ดินของครอบครัว เขาจึงตัดสินใจพา Molly ไปด้วย

ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันทำให้ทั้งคู่ได้เห็นตัวตนของอีกฝ่ายอย่างที่เป็น และก็ทำให้ทั้งคู่ตกหลุมรักกันจริง ๆ

ในบรรดาสามเล่มที่อ่านคิดว่าตัว Molly เป็นเด็กที่สุด และในแง่หนึ่งก็รับผิดชอบตัวเอง (รวมไปถึงมีความคิดเคารพตัวเอง) น้อยที่สุดด้วย ตั้งแต่เด็ก เธออยากได้ความรักจากพ่อ และพยายามเรียกร้องผ่านการเป็น “เด็กดี” ทั้งจากความประพฤติ และการเรียน ซึ่งแม้ภายหลัง การที่เธอได้รับความรักจากพี่สาวและพี่เขย ซึ่งกลายมาเป็นครอบครัวของเธอจริง ๆ “ปม” ตัวนี้ก็ไม่หมดไป เพราะตัวตนของเธอที่คนรอบข้างรับรู้และเข้าใจก็คือการเป็นเด็กดี -เรียบร้อย เชื่อฟัง และเรียนเก่ง- และดังนั้น ความรับรู้ที่กลายมาเป็นความคาดหวังกลาย ๆ เช่นนี้ก็กดดันเธอจนแสดงออกผ่านพฤติกรรมต่อต้านสังคมอยู่เป็นระยะ ๆ ไม่ว่าจะเป็นกดกริ่งเตือนไฟ หรือแม้แต่การบริจาคเงินมรดกส่วนของเธอเพื่อการกุศล ซึ่งทำให้ไม่ชอบที่หนังสืออธิบายว่า การแสดงโต้ตอบสังคมของ Molly เป็นเพื่อทดสอบความรักของพี่สาวและพี่เขยว่าเป็นแบบไม่มีเงื่อนไข เพราะส่วนตัว มองว่าพฤติกรรมเหล่านี้ของเธอไม่ได้เป็นไปเพราะทดสอบความรัก แต่เป็นเพื่อระบายความคาดหวังที่คนรอบข้างมีต่อตัวตนที่เธอกลายมาเป็นมากกว่า

ดังนั้นแล้ว โดยเนื้อแท้ Molly อาจจะโชคดีกว่าพี่สาว ที่ที่เริ่มต้นชีวิตด้วยจุดสะดุดชีวิตที่น้อยกว่า และภายหลังมีคนให้ความรักและความเอาใจใส่จริง ๆ แต่ในแง่หนึ่ง สิ่งนี้ก็กลับมากดดันตัวเธอด้วย เมื่อไปเปรียบเทียบกับพี่สาวในแง่ความสำเร็จ แล้วกลายเป็นว่าตัวพี่เองประสบความสำเร็จและพิสูจน์ตัวเองผ่านการเข้ามาเป็นเจ้าของทีมฟุตบอลได้ แม้จะมีการต่อต้านและตั้งแง่ของคนรอบข้าง ความสุขในชีวิตครอบครัว ขณะที่ในเวลาเดียวกัน ก็มีรูปร่างหน้าตาและมีเสน่ห์ดึงดูดใจสูง

การได้พบตัว Kevin อาจจะเป็นการหมุนออกไปจากกรอบที่เธอสร้างขึ้นเพื่อขังตัวเอง การพบกันของทั้งคู่ (หรือเรียกให้ถูก ก็คือ จุดเริ่มที่ Molly เองเริ่มแอบชอบ Kevin) มีอยู่ในเล่มก่อนของชุด ซึ่งไม่ได้อ่าน และดังนั้น ก็ไม่สามารถให้เล่มนั้นเป็นหลักต่อยอดมาได้ แต่ถ้าจะวิเคราะห์ไปเอง เสน่ห์ดึงดูดเธอเข้าไปก็คือ การกล้าที่จะท้าทายกฎระเบียบ และหลุดไปจากความคาดหวังใด ๆ ของคนรอบข้าง ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอแสวงหาอยู่ในใจ แต่ไม่สามารถแสดงออกมาได้ หรือหากจะแสดงออกมาก็เป็นไปโดยการใช้นิทานของเธอเป็นสื่อ

หลังการพบกัน และได้อยู่ด้วยกัน จะเห็นได้ว่า เธอเริ่มกล้าที่จะสู้เพื่อตัวเอง และลุกขึ้นมาทำตามสิ่งที่ตัวเองเชื่อมากขึ้น จุดนี้สะท้อนจากการที่บรรณาธิการของเธอขอร้องเกินกว่าเหตุให้เธอแก้ภาพในนิทานให้เป็นไปตามที่กระแสสังคมเพ่งเล็ง และแม้เธอจะไม่ต้องการทำตาม ก็ไม่สามารถปฎิเสธไปตรง ๆ และกลับต้องมาทุกข์ทรมานใจเอง แต่ภายหลัง เธอก็กล้าจะปฎิเสธและแม้กระทั่งตัดสินใจออกมาพิมพ์เอง

อย่างไรก็ตาม เมื่อมองย้อนกลับไปถึงบุคลิกและสิ่งที่สะท้อนอยู่ในใจของ Molly จึงเริ่มเข้าใจได้ว่าทำไมเธอถึงคิดที่จะ “ย่อง” เข้าหาพระเอก ทั้งที่ตอนแรกรู้สึกว่า เป็นความคิดที่ชั่ววูบ และไม่รับผิดชอบ จนถึงขั้นทำให้ไม่ชอบอย่างยิ่งได้ เพราะทั้งนี้ อย่างที่ได้เขียนไปว่า เนื้อแท้ของเธอเป็นคนที่กล้าลุย กล้าได้กล้าเสีย และที่สำคัญ มีความคิดเสี่ยวตายและท้าทายโลกในหัวมากกว่าตัวตนที่เธอเป็นอยู่ และตัวตนที่เธอแสดงออกมากนัก

ขณะที่ Kevin สภาพครอบครัวที่เข้มงวด และการที่ได้รับรู้ว่าตัวเองไม่ใช่ลูกที่แท้จริงของครอบครัว ทำให้เขาสร้างวินัยที่เข้มงวด และอยู่ในกรอบที่ตัวเองตั้งไว้เพื่อจะให้ตัวเองก้าวไปข้างหน้าและประสบความสำเร็จได้ ซึ่งขณะเดียวกันสิ่งนี้ก็กลับมาทำให้เขากดดันตัวเองจนหันไปหากีฬาเสี่ยงตายเป็นทางระบายออก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ได้รู้ความจริงเกี่ยวกับแม่ของตัวเอง และความเข้าใจผิดว่าตัวเองถูกแม่ที่ให้กำเนิดปฎิเสธ ก็ทำให้เจ้าตัวกลัวการผูกมัด และกั้นกรอบตัวเองไว้จากความสัมพันธ์จริงจังใด ๆ ที่เกิดมี โดยหันไปหาความสัมพันธ์ชั่วครั้งชั่วคราวเป็นทางเลือกให้ชีวิต อย่างที่ Molly ค่อนแคะว่า Kevin เลือกคบแต่นางแบบต่างชาติที่ความสามารถการภาษาอังกฤษต่ำ เพื่อหลีกเลี่ยงความสัมพันธ์ที่มากขึ้น และจริงจังขึ้นก็เป็นเรื่องจริง

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบุคลิกพระเอกทั้งสามเล่มจะไม่ค่อยแตกต่างกันมากกัน – หน้าตาดี เป็นนักกีฬาดาวรุ่ง ฐานะดี เสน่ห์แรง ความมั่นใจในตัวเองสูง (และลึก ๆ มีปมปิดกั้นตัวเองจากสัมพันธภาพไม่มั่นคงกับแม่ (และพ่อ)ในวัยเด็ก – แต่สิ่งที่ทำให้ Kevin น่ารัก และ “รัก” ได้ก็คือ ความรับผิดชอบที่เขามีต่อ Molly การกระทำของเธอ และผลที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของ Kevin เลย แต่เขาเลือกที่จะรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการแต่งงาน หรือแม้แต่การ “ดูแล” เธอจากสภาพหดหู่ที่เกิดหลังการแท้ง ทั้งที่สิ่งเหล่านี้ เขาสามารถเลือกที่จะเดินหนีได้ และก็ทำให้ภาพลักษณ์ของเขาในสายตาคนอ่านเรื่องมาก (รู้สึกว่าถ้าตั้งชื่อบล็อกภาษาอังกฤษ จะต้องเรียกตัวเองว่า Fussy Reader เป็นแน่)

เพราะความชอบที่ Molly มีต่อ Kevin ทำให้สาวเจ้าแสดงกริยาท่าทีแปลกประหลาด และไม่ใช่ตัวตนเธอตลอดเวลา และสิ่งเหล่านี้มีผลให้มุมมองของ Kevin ที่มีต่อตัวเธอผิดเพี้ยนตามไปด้วย และดังนั้นเงื่อนไขที่ทั้งสองคนจะต้องใช้ชีวิตร่วมกันที่รีสอร์ทก็ทำให้ทั้งคู่ได้เห็นตัวตนของอีกฝ่ายอย่างแท้จริงด้วย สิ่งที่ชอบก็คือ Molly ตรวจจับอารมณ์และความหงุดหงิดของ Kevin ได้เสมอ (ซึ่งถ้าคิดว่าเธอหลงรักเขาตลอดมา และมองเห็นตัวเขามาตลอดก็ไม่แปลกอะไร) และก็พยายามและหาทางแก้ความเครียดที่เกิดขึ้นได้ทุกครั้ง และสำหรับ Kevin เองก็เป็นคนที่เห็นความบ้าบิ่นกล้าเสี่ยงตายที่แม้แต่พี่สาวและพี่เขย –คนในครอบครัวของเธอ- ก็ไม่เคยเห็นเสียด้วย ดังที่ตอนหนึ่งในหนังสือ Kevin ระลึกถึงสิ่งที่ได้คุยกับ Dan พี่เขยของ Molly และมีความคิดไปอีกทาง

Phoebe and Dan saw brainy Molly, the love r of children, bunnies, and ridiculous dogs. Only he seemed to understand that Molly Somerville’s veins had trouble rushing through them instead of blood.

[Dan]’d said that Molly was twenty-seven going on forty. Twenty-seven going on seven was more like it. No wonder she’d made a career as a children’s book author. She was entertaining her peer group!
(page 205)


ฉากที่ Kevin รู้ใจตัวเองและกลับไปหา Molly ก็เป็นฉากที่น่ารักอีกฉากหนึ่ง เพราะเจ้าตัวกำลังขับรถสปอร์ตด้วยความเร็วสูง และก็เริ่มรู้สึกตัวว่าความเร้าใจจากความเร็วไม่สามารถแทนที่ความเร้าใจและสนุกสนานจากการอยู่กับเธอได้ และกลับกลายเป็นกลัวความเร็วที่เกิดขึ้น เพราะความผิดพลาดที่อาจเกิดจะทำให้เขาไม่สามารถกลับไปหาเธอ

และดังนั้น ส่วนตัวมองว่าการมาพบกันของคนสองคนที่มีความต้องการและความโหยหาในสิ่งเดียวกัน และอย่างที่จะบอกต่อไปว่า “Put a creature in a cage, it gets restless; put two creatures in a cage, they get content with one another.”

หนังสืออ่านเรื่อย ๆ สนุกใช้ได้ แม้ว่าจะเริ่มเรื่องได้งง ๆ (หรือมิฉะนั้นก็เป็นคนอ่านที่งง ๆ เอง) มีฉากที่น่ารักหลายตอน (อย่างเช่น Kevin พยายามจะเล่นกับเด็กที่มาที่แคมป์ที่กลายมาเป็นรีสอร์ท เพราะไม่อยากให้เด็กเป็นแบบตัวเองในวัยเด็กที่มาที่แคมป์แล้วต้องเหงา เพราะไม่มีเพื่อนเล่นวัยเดียวกัน) อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อ่านแล้วสะดุดที่สุดก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ของ Kevin ที่พยายามมาคืนดีกับลูกชาย และกับผู้ชายอีกคนที่เธอเจอระหว่างนั้น เพราะเวลาอ่านไม่ชอบแบ่งเรื่องแล้วแบ่งสมอง

ถ้าต้องให้คะแนน ให้ที่ B

Monday 21 June 2010

Natural Born Charmer by Susan Elizabeth Phillips

อ่านเรื่องนี้ เพราะอยากเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างงานของคนเขียนในช่วง 1990s และปัจจุบัน



Genre : Romance/ Comtemporary
Series : Chicago Stars
Publisher : Avon (April 29, 2008)
No of page : 400


เปิดฉากที่ Dean นักกีฬาดาวรุ่งจากทีม Chicago Stars ซึ่งอยู่ระหว่างพักฟื้นและค้นหาตัวเองหลังการบาดเจ็บขับรถผ่าน Blue ศิลปินสาวในชุดคอสตูมตัวบีเว่อร์ระหว่างทาง และความอยากรู้อยากเห็นที่มาจากความเหงาก็เปิดโอกาสให้เขารับเธอขึ้นรถมา

และเนื่องจาก Blue กำลังถังแตก และไม่มีที่ไป แทนที่เธอจะลงจากรถเมื่อเข้าเมืองได้ ก็ทำให้เธอต้องติดสอยห้อยตาม Dean จากโคโลราโดไปจนถึงฟาร์มของ Dean ในเมืองเทนเนสซี ซึ่งเธอแอบหวังว่าเธอจะหางานได้ และแยกจากเขาไป

หากทว่า คนที่ดูแลบ้านฟาร์มของ Dean กลับเป็นแม่ที่เขาเกลียด และดังนั้น Dean จึงยึด Blue เป็นกันชนระหว่างเขากับแม่ และเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ถาโถมก็ทำให้ทั้งคู่ผูกพันกันมากขึ้นเรื่อย ๆ

ต้องสารภาพว่าไม่เคยเขียนเรื่องย่อที่เป็นเรื่องรักจริงจังมาก่อน และก็รู้สึกว่า เล่าได้ไม่สวย อย่างไรก็ตาม หนังสือเล่มนี้ลงตัวมาก และมากกว่าที่คิดว่าจะเป็นด้วยซ้ำ ส่วนหลักก็เพราะบุคลิกของตัวเอกที่สมจริง และเป็นลักษณะส่วนตัวที่ชอบ - Blue เป็นลูกที่เกิดมากจากแม่นักรณรงค์สังคม และดังนั้น แม่ของเธอก็วิ่งไปออกช่วยเหลือคนทั้งโลกโดยที่แทบจะไม่สนใจลูกตัวเองเลย หญิงสาวจึงเติบโตมาโดยที่เปลี่ยนบ้าน ย้ายครอบครัวไปเรื่อย ๆ และซ่อนความเหงา และเปราะบางของตัวเองไว้ใต้ท่าทีแกร่ง และเกือบกระด้าง เธอแข็งแกร่งพอที่จะปกป้องตัวเองได้ และการเติบโตมาโดยพึ่งพาตัวเองเป็นหลัก ก็ทำให้เธอเป็นตัวละครที่รู้คิด และเข้าใจตัวเอง แต่ขณะเดียวกัน แม้จะมองว่า เธอใช้สมองและเหตุผลคิดเป็น แต่การเติบโตอย่างถูกโยนไปทางข้างไปทางก็ทำให้เธอก็อ่อนโยน และละเอียดอ่อนพอที่จะจับอารมณ์และตอบสนองความรู้สึกของคนรอบข้างได้ และก็ทำให้เราหลงรักเธอได้ง่าย

Dean เป็นตัวละครที่น่าจะเด่น แต่เพราะลักษณะตัวละครชายในชุด Chicago Stars มีลักษณะคล้ายคลึงกัน – หน้าตาดี เป็นนักกีฬาดาวรุ่ง ฐานะดี เสน่ห์แรง ความมั่นใจในตัวเองสูง (และลึก ๆ มีปมปิดกั้นตัวเองจากสัมพันธภาพไม่มั่นคงกับแม่ (และพ่อ)ในวัยเด็ก - ส่งผลให้ Dean มีบุคลิกเคาะพิมพ์ออกมาด้วย แต่สิ่งที่ทำให้ Dean แตกต่างจากคนอื่นน่าจะเป็นเพราะความสัมพันธ์ที่มีกับ Blue โดยเฉพาะบทสนทนาเชือดเชือนระหว่างกัน และการเขียนที่ลุ่มลึกขึ้น และเพิ่มมิติของตัวละครให้มากขึ้นของ Susan Elizabeth Phillips ซึ่งก็ทำให้การอ่านสามเล่ม It had to be you, This Heart of Mine และ Natural Born Charmer ทำให้จำบุคลิกพระเอกของ Dean ได้มากที่สุด

ความสัมพันธ์ระหว่าง Blue กับ Dean ในเรื่องทำให้อ่านแล้ว เชื่อถึงการเรียนรู้กันและกันของคนสองคน โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นกันในช่วงที่แย่ที่สุด และลำบากที่สุด ในช่วงที่ Blue กำลังตกงาน ไร้ทางไป และ Dean เวลาที่กำลังไม่มั่นคง ซึ่งถ้าหากรักกันได้ เพราะช่วงเวลาเช่นนี้ ก็น่าจะดีกว่า การเห็นอีกฝ่ายในช่วงที่ดีที่สุด ซึ่งเป็นแค่ภาพลวงตามากกว่าความเป็นจริง และอีกสิ่งหนึ่งก็คือ การเติมเต็มกันและกันของอีกฝ่าย แม้ผิวเผินทั้งคู่จะดูแตกต่างกัน แต่ลึกลงไปแล้ว สภาพบ้านแตก และพึ่งพาตัวเองมาตั้งแต่เด็ก ก็ทำให้ทั้งคู่ปิดตายความสัมพันธ์ที่มีต่อคนรอบข้าง และอย่างยิ่ง การใช้ชีวิตคู่ร่วมกับใครสักคน หากการที่ได้พบและรู้จักอีกฝ่าย ก็ทำให้ได้เห็นคนที่มีความต้องการ และโหยหาสิ่งเดียวกัน ซึ่งเหล่านี้แล้วก็ทำให้ทั้งคู่ได้พบคนที่ใช่ เปลี่ยนแปลงไป โดยที่ยังคงความเป็นตัวของตัวเองได้

ไม่ว่าเชื่อว่าอ่านเรื่องนี้ แล้วจะน้ำตาหยดแปะจนต้องกำทิชชู่ในมือได้ แต่ก็เป็นไปแล้วจากความเปราะบาง และความเหงาภายในของ Blue หนังสือเล่มนี้ยังเหมือนเล่มอื่นในชุดที่แก้โจทย์ความไม่ลงตัวกันในเรื่องครอบครัวอยู่ ส่วนหนึ่งทำให้เรื่องราวของตัวละครลงตัวมากขึ้น และสมจริงมากขึ้น และก็ปฎิเสธไม่ได้ว่า รายละเอียดที่บางครั้งเพิ่มมากไป เบี่ยงความสนใจและทิศทางที่ควรจะมีให้กับตัวละครหลักมากเกินไป ดังที่ใน Natural Born Charmer พยายามแก้ปัญหาให้กับพ่อแม่ของ Dean ซึ่งให้ทั้งคู่มีบทบาทมากจนเกือบมากเกินไป โดยเฉพาะเมื่อทุกอย่างไม่ควรจะคลายไปอย่างหวานชื่นเสมอไป

ตัวละครหนึ่งซึ่งสนุกที่ได้อ่านก็คือ Nita ผู้หญิงปากร้าย และ (ดูเหมือน) ใจร้ายที่เป็นเจ้าของเมือง เธอเหมือน Blue ตรงที่ซ่อนความเปราะบางและไม่มั่งคง ภายใต้วาจาเราะร้ายและก้าวร้าว หากการได้พบกับ Blue ก็ทำให้เธอได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง และเรียนรู้ที่จะรักและผูกพันกับคนรอบข้างอีกครั้งเช่นกัน แม้จะฟังดูอ่อนหวาน แต่การที่ทั้งคู่ซ่อนตัวเองไว้ภายใต้เปลือกนอกผ่านวาจาเชือดเชือนก็ทำให้การปะทะฝีปากระหว่างกัน เป็นสิ่งหนึ่งที่สนุกที่ได้อ่านเสมอ

"And remember to act surprised."
"All I have to do is look at you," Nita said as she took Blue in from head to toe.
(หน้า 332)

“..I won’t live forever, and you know I don’t have anybody else to leave my money to.”
“You’re one of the undead. You will outlive us all.”
(หน้า 333)

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความผูกพันที่เกิดขึ้นระหว่างกัน เป็นไปผ่านท่าทางที่ดูไม่ถูกชะตา และหาเรื่องกันและกัน ผ่านทางวิธีการของเธอเอง ดังเช่น Nita ตัวเองไปกินข้าวเย็นที่บ้านของ Dean หลังจากที่รู้ว่า Blue จะเป็นคนทำกับข้าว หรือเอาสร้อยเพชรของตัวเองใส่กระเป๋าของ Blue เพื่อให้ตำรวจจับเธอเข้าคุก เพื่อจะรั้งไม่ให้ Blue ออกจากเมืองไป

เห็นได้ว่า Nita ก็รัก Blue และเป็นคนไม่กี่คนที่ลุกขึ้นมาปกป้องเธอ โดยเฉพาะเวลาที่ Nita คิดว่า Dean เอาเปรียบ Blue อยู่ และเมื่อเวลาผ่านไป Nita ก็เปรียบเสมือนแม่ของเธอจริง ๆ หรือแม้กระทั่ง Blue เอง เมื่อได้เรียนรู้และอยู่ร่วมกันไปก็ทำให้เธออ่านท่าทีของ Nita ออก และรู้ว่า Nita อยากให้หญิงสาวอยู่ด้วยกัน

เล่มนี้อ่านสนุกและอ่านติดพันทั้งเล่ม มีช่วงที่ไม่ชอบก็คือ ทัศนคติของ Dean ที่มีต่อ Blue ตอนใกล้ ๆ จบ ในช่วงที่เขาไม่ยอมบอกให้เพื่อนรู้ว่า Blue เป็นใคร และทำให้เธออยู่ในสภาพกึ่งคนใช้ต่อหน้าเพื่อน หากวันถัดมากลับโกรธที่ Blue ไม่ยอมรับข้อเสนอของเขาที่ให้ย้ายไปอยู่ด้วยกัน และมองว่าเขาเสียสละพอแล้วที่กล้ายื่นข้อเสนอให้เธอ ก็ไม่แน่ใจว่าควรจะให้คะแนนเท่านั้น แต่ในแง่ที่อ่านแล้วถูกใจ ก็เอาไป B+ แล้วกัน (โดยที่พึงระลึกว่ามาจากความชอบตัวละคร และไม่ได้อ่านแนวนี้เป็นปกติ)

ติดใจรูปแบบหลายอย่างของ Susan Elizabeth Phillips ที่เจอในหนังสือทั้งสามเล่ม และคิดว่าน่าจะได้เขียนถึงในเวลาถัดไป

Princess at Sea by Dawn Cook

*รีโพสต์จากบล็อก หมาเลี้ยงแกะ (Sunday, September 03, 2006) เนื่องในโอกาสที่รู้ว่า Dawn Cook เป็นใคร

หลังจากอ่าน Decoy Princess ก็พาลให้อยากอ่าน Princess at Sea ต่อไปใจจะขาด และเพราะคิโนะไม่สั่งเข้ามาก็เลยต้องทำให้ต้องสั่งเข้ามาเองอีกต่างหาก ซึ่งก็ยังหวั่น ๆ ใจว่า เล่มนี้จะไปรอดไหม แต่ปรากฏ เล่มนี้เลิก “ง่าย ๆ โง่ ๆ แต่ดันสนุก” มาเป็น “สนุกเข้มข้นแบบไม่โง่” อีกต่างหาก นับว่า ช่วงนี้มีดวงซื้อหนังสือโหมดนี้ ถ้าไม่นับการซื้อ Weather Wardens มาติดกัน 4 เล่มนะเนี่ย




ชนิด : Light fantasy
สำนักพิมพ์ : Ace (August, 2006)

จำนวนหน้า : 344 หน้า


ใน Decoy Princess นั้น เจ้าหญิง Contessa หรือ Tess พบว่าตัวเองเป็นแค่เด็กที่ถูกซื้อมาเพื่อเป็นตัวแทน เพื่อให้เจ้าหญิงตัวจริงปลอดภัยจากการถูกลอบสังหาร และต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้เจ้าหญิงตัวจริงกลับมาครองบัลลังค์ได้สำเร็จ

และ ใน Princess at Sea ทุกอย่างก็เหมือนจะเป็นไปได้ด้วยดี ยกเว้นความจริงที่ว่าเจ้าหญิงตัวจริงซึ่งถูกเลี้ยงมาในสำนักนางชีไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการปกครองบ้านเมืองหรือการเมืองใด ๆ เลย และ Tess ก็ต้องเป็นที่ปรึกษาควบคู่ไปกับการคุ้มครองเจ้าหญิง หากแต่ทุกอย่างไม่ง่ายดายสมใจเสมอไป เมื่อคราวนี้ เจ้าหญิงและคู่หมั้นซึ่งอยู่ระหว่างล่องเรือดูใจกันถูกโจรสลัดจับไปเรียกค่าไถ่ และ Tess ซึ่งต้องวุ่นวายกับการแก้ปัญหาทะเลาะเบาะแว้งของทั้งคู่มาตลอดก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากพยายามทุกวิถีทางเพื่อช่วยคนทั้งคู่ออกมาให้ได้อย่างปลอดภัย

จริง ๆ แล้วพล็อตคราวนี้ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าคราวที่แล้ว เพราะ Tess ก็ยังต้องระหกระเหินรอนแรมบุกป่าฝ่าดงเพื่อหน้าที่ที่เกิดจากความรับผิดชอบในใจเหมือนเดิม เริ่มแรกที่อ่าน ก็คิดไม่ต่างจากตอนอ่าน Decoy Princess อันเป็นเล่มแรกว่า ตัวเอกของเราก็ยังเป็นสาวน้อยมหัศจรรย์ทำได้ทุกอย่างทุกทาง แต่พออ่านไปเรื่อย ๆ พบว่าสนุกกว่าที่คิด และที่สำคัญ สนุกกว่าเล่มแรกมาก เพราะจะเห็นได้ชัดมากขึ้นว่า ที่คุณเธอสามารถทำโน่น นี่ นั่น ได้ไม่ได้เกิดจากเพราะการเป็น “ตัวเอกทำได้” เพียงอย่างเดียว หากแต่เกิดจากใจที่ไม่ยอมแพ้ และไม่ยอมจำนนปล่อยให้ทุกอย่างหลุดเหนือการควบคุมไปต่างหาก อย่างที่บอกว่า “ถ้ามีความพยายาม ก็มีความสำเร็จ” และ Tess ก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนจริง ๆ และก็เหมือนว่าเมื่อเขียนเล่มที่สอง จากการปูพื้นเรื่องและตัวละครในเล่มแรกมาแล้วก็ทำให้ Princess at Sea มีน้ำหนักและสมเหตุสมผลกว่าเล่มที่แล้วมากขึ้น

และนั่น ส่วนหนึ่งก็เกิดจากตัวละครอย่าง Tess เติบโตขึ้นและรู้จักโลกมากขึ้นส่วนหนึ่ง และที่สำคัญจากการที่ประเด็น “ผู้เล่น” สามารถเปิดเผยได้อย่างชัดเจนในบทแรก (ต่างจากเล่มแรกซึ่งประเด็นนี้ เพิ่งเป็นรูปเป็นร่างขึ้นในบทกลาง ๆ และหลัง ๆ) จนสามารถเกิดสถานะและบทบาทที่ซับซ้อนขัดแย้งของตัวละครจากสถานะจริง ๆ ที่ตัวเองเป็น และสถานะผู้เล่นที่ต้องปิดงำไว้ดำเนินควบคู่กันไปจนทำให้รู้สึกสนุกและชวน ติดตามว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างไร และเกิดการตัดสินใจอย่างไรต่อไป โดยเฉพาะเมื่อต้องให้น้ำหนักกับสถานะทั้งสองควบคู่กันไป และให้เกิดประโยชน์กับทุกฝ่าย

ถึงแม้ Tess จะเป็นเจ้าหญิงตัวปลอม ไม่ใช่เจ้าหญิงโดยสายเลือด แต่เป็นเจ้าหญิงจากการอบรมเลี้ยงดูก็ตาม แต่เธอก็ยังได้รับการยกย่องเป็นเจ้าหญิงจริง ๆ ได้อยู่ดี เพราะแม้ฐานะที่เป็นอยู่จะถูกเปิดเผย คุณสมบัติและที่สำคัญใจของเธอก็ทำให้เธอมีค่ามากกว่านั้นมาก อย่างที่เมื่อไฟไหม้เรือ เจ้าหญิงตัวจริงซึ่งไม่ได้เลี้ยงดูมาอย่างเจ้าหญิงกลับร้องไห้หวาดกลัว ขณะที่ Tess คิดหาทางดับไฟ และหาทางรอดให้ตัวเองและพวก ซึ่งถ้าดูตอนนี้ และดูจากการที่ Tess ต้องระหกระเหินเดินป่าจนถึงกลับมาที่วังได้สำเร็จเป็นต้นแล้ว จะพบว่าบริบทนี้สำคัญมาก เพราะการเป็นเจ้าหญิงในยุคยุโรปกลาง อาจจะหมายถึงแค่หญิงสาวสูงศักดิ์ผู้มีชีวิตอยู่บนหอคอยงาช้าง และไม่ต้องทำอะไรมากกว่าการเต้นรำให้ถูกจังหวะ และเย็บปักถักร้อยให้ดีอยู่ในห้องนอนก็ได้ อย่างที่คนในวังตกใจและตื่นตระหนกกับสภาพของ Tess เมื่อแรกกลับมาถึงวัง และต้องการให้เธอไปอาบน้ำแล้วแต่งตัววางท่าให้สมกับการเป็นเจ้าหญิง (...trying to get me to my rooms to be washed, combed, fed and princessified. หน้า 232) มากกว่าที่จะนั่งถกเจรจาปัญหาเร่งด่วนกับบรรดาที่ปรึกษาอย่างฉับพลัน

Dawn Cook คนเขียนบอกว่า ณ ขณะนี้ยังไม่มีแผนการจะเขียนเล่มต่อต่อไป แต่เมื่อดูจากตอนจบ ก็ถือว่า สะสางลงตัวและปิดฉากสวยงามได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งถ้าจะพูดตามความรู้สึกจริง ๆ ต้องบอกว่า ทำได้ถูกใจและลงตัวมากกว่าหนังสือหลาย ๆ เล่มเยอะเลย หรือถ้าจะพูดให้ถูก ก็ต้องบอกว่า เป็นฉากปิดที่พอใจที่สุดเท่าที่เคยอ่านหนังสือหมวดนี้มา สิ่งที่เป็นปัญหายุติได้อย่างลงตัวด้วยทางแก้ง่าย ๆ แต่สามารถรวมทางออกของปัญหาทุกอย่างไว้ด้วยกัน และอีกอย่าง ก็ต้องสารภาพด้วยว่า ถูกใจมากที่ชายหนุ่มที่เก็งไว้ได้เป็นพระเอกตอนจบสมใจจริง ๆ (ซึ่งไม่ได้เกิดจากอะไรมากกว่าไปการชอบบุคลิกลักษณะคนเช่นนั้นเป็นทุนเดิม และมากกว่าบุคลิกอีกแบบในเรื่องเท่านั้น)

สำหรับประโยคถูกใจจากเล่ม นี้

“You can’t partake of the future properly with only the memories of today.” หน้า 99 “... there’re ways to wreck revenge other than death, and some can serve a purpose.” หน้า 329

ปล.
... แต่ อืม คิดไปคิดมาก็ยังอยากอ่านเรื่องของ Tess ต่ออยู่ดีนั่นแหละ ทำอย่างไรดีหนอ? และอย่างไรก็ตาม สงสัยว่าจะต้องไปเริ่มหาเรื่องอื่น ๆ ของเจ๊ Dawn Cook มาอ่านด้วยแล้ว

The Decoy Princess by Dawn Cook

*รีโพสต์จากบล็อกหมาเลี้ยงแกะ (Wednesday, July 19, 2006) เนื่องในโอกาสที่รู้ว่า Dawn Cook เป็นใคร

เมื่อวันอาทิตย์ไปคิโนะมา แล้วก็ด้วยความที่มัวแต่ดูหนังสือโน่น นี่ นั่นไปเรื่อย ๆ ทำให้กว่าจะมาถึงหมวด fantasy ก็จวนตัวได้เวลานัดกับแม่เต็มที ก็เลยรีบคว้าหนังสือตามมาเล่มหนึ่ง

ก็เลยเป็นที่มาของ The Decoy Princess ในวันนี้



ชนิด : Light fantasy
สำนักพิมพ์ : Ace (November 29, 2005)
จำนวน หน้า : 368 หน้า

เปิดตัวด้วย Contessa เจ้าหญิงของเมืองที่กำลังจะต้องแต่งงานกับเจ้าชายเมืองข้าง ๆ ด้วยเหตุผลทางการเมือง และทุกอย่างก็เหมือนจะไปได้ดี ทั้งการรวมตัวของอาณาจักรสองแห่ง และการมีคู่ครองที่เหมือนจะเป็นเจ้าชายในฝันได้ง่าย ๆ แต่แล้วทุกอย่างก็กลับพลิกผัน เมื่อความจริงปรากฏว่ามา Contessa ไม่ใช่เจ้าหญิงที่แท้จริง หากแต่เป็นแค่เด็กที่ถูกซื้อมาเพื่อเป็นตัวแทน เพื่อให้เจ้าหญิงตัวจริงปลอดภัยจากการถูกลอบสังหารเท่านั้น

ซ้ำร้าย คู่หมั้นหมายกลับเกิดมักใหญ่ใฝ่สูงคิดจะรวบเอาอาณาจักรโดยการยึดอำนาจใน ปราสาทไปเสียอีก และ Contessa ที่เข้าตาจนก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะหลบหนีออกไปจากเมือง เพื่อตามหาเจ้าหญิงตัวจริง และพาเธอกลับมา พร้อม ๆ กับการพยายามเอาชีวิตรอดจากผู้ไล่ล่าที่ตามมา

ดังนั้น คำจำกัดความของ The Decoy Princess ที่กระชับและเข้าใจง่ายที่สุดก็คือ “ง่าย ๆ โง่ ๆ แต่ดันสนุก” พล็อตหลายอย่างขาดน้ำหนักและความน่าเชื่อถือไปจนดูเหลือเชื่อ อย่างเช่น เด็กผู้หญิงคนเดียวสามารถเอาชนะทหารฝ่ายตรงข้ามที่ยึดครองอาณาจักรได้ – แม้ว่าจะมีปัจจัยอื่นของตัวละครอื่นเข้ามาร่วมได้ก็ตามที – ทั้งที่ปรึกษา ทั้งตัวละครหลักอื่นที่ดูจะมีประสบการณ์และความชำนาญมากกว่ากลับไม่มีบทบาท หรือความสำคัญในการกู้อำนาจคืนมาเท่าไหร่ อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้อาจจะเกิดจากการเล่าเรื่องจากมุมมองของบุคคลที่หนึ่ง ซึ่งก็คือ Contessa ส่วนหนึ่งก็ได้

แต่ก็นั่นแหละ ถ้าไม่คิดอะไรมาก The Decoy Princess ก็อ่านได้สนุกและเร้าใจพอสมควร โดยเฉพาะช่วงเวลาของการผจญภัยระหกระเหินตามลำพังซึ่งชวนให้ติดตาม ไม่ว่าจะเป็นการพนันไพ่เพื่อหาเงินเป็นค่าม้า หรือแม้แต่การต่อรองกับเจ้าของเรือเพื่อหาเดินทางข้ามทะเล สนุกที่จะดูว่าเธอจะทำอะไร สนุกที่จะดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นมา นอกจากนี้ การสร้าง “ผู้เล่น” เอาไว้ในเรื่อง ก็ทำให้เกิดความลึกลับ และน่าเกรงขาม พอ ๆ กับการกระตุ้นความอยากรู้ถึงที่มาที่ไปได้ ซึ่งการเพิ่มมิติ “ผู้เล่น” นี้ขึ้นมาก็ช่วยเพิ่มความแตกต่างให้กับการเป็นหนังสือที่พูดถึงแค่ การครองเมือง การมีอาณาจักรของบรรดาพระราชาพระราชินี และเหล่าเจ้าหญิง เจ้าชายได้ดี

แล้วก็ต้องสารภาพว่า พอใจกับหนังสือเล่มนี้พอตัว ไม่ถึงกับประทับใจมาก แต่อย่างน้อยก็ไม่ทำให้ผิดหวังกับหนังสือหรือเสียดายเงินที่จ่ายไป และก็แอบสนุกที่จะดูว่าชายหนุ่มสองคน ใครจะมีบทบาทมากกว่ากัน ซึ่งหน้าสุดท้ายก็ยังคงปริศนาอยู่ดี เหมือนทิ้งท้ายไว้ยังไม่จบ แล้วก็เหมือนเปิดไว้ให้คิดต่อยอดต่อไป

ซึ่งพอมาหาข้อมูลเพิ่มก็อย่าง ที่สงสัยจริง ๆ Dawn Cook มีเล่มต่อจริง ๆ Princess at Sea กำลังจะออกขายปลายเดือนนี้ แล้วก็เกรงว่าจะต้องซื้อมาอ่านต่อ แต่อืมม ดูจากการตั้งชื่อและลักษณะการดำเนินเรื่องเล่าเรื่อง จริง ๆ แล้ว The Decoy Princess และ Princess at Sea เป็นหมวด Young Adult หรือเปล่านี่?

อย่าง ไรก็ตาม ชอบประโยคนี้นะ เห็นแล้วเข้าใจถึงคำที่บอกว่าเส้นไหมก็ฆ่าคนได้เหมือนคมดาบเลย
“……Tess, you lack those abilities [bringing herself to kill, in particular] because that’s what I wanted my successor to be. I didn’t want a soldier. I wanted an intelligent, sophisticated, beautiful woman who would search for an answer rather than go in with arrows flying and sword flashing. Someone who could enslave with charm instead of chains.”

ปล. ประโยคเดียวที่พูดได้หลังจากสองคืนก็คือ The book did steal my sleep! ไม่ได้นอนแบบ proper นอนมาสองคืนแล้ว!

Dawn Cook is Kim Karrison!!!!

Nothing much to say, I have visited Cook’s website after a long while and have realized that Dawn Cook actually is the legendary Kim Karrison! After all those years I have been yearning for her book! After all those years I have been spending time wondered if she resigned from the writing world!

เพิ่งรู้ว่า Dawn Cook เป็นนามปากกาเขียนเรื่องแฟนตาซีของ Kim Karrison ในเวบ แล้วก็รู้สึกอึ้ง งง และโง่เป็นอย่างมาก เพราะว่า Cook ไม่ค่อยดัง ก็เลยคิดไปว่า เธอตัดสินใจเลิกเขียนหนังสือไปแล้ว และไปที่เวบก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ มานานมาก

แต่เมื่อคืน เพิ่งเห็นว่าเธอบอกว่าเป็นเพราะเธอใช้เวลาเขียนเรื่องในฐานะ Kim Karrison มากกว่า แต่เพราะสำหนักพิมพ์จะเอาชุด Truth มาพิมพ์ใหม่ ก็เลยใช้ความเป็น Kim Karrison มาโฆษณาชุด

เฮ้อ โง่มาสี่ปี

Monday 14 June 2010

Cheat the Grave by Vicki Pettersson (eng)

Like City Of Souls, I again ‘possess’ Cheat the Grave with the kindness of May of Mostly Romance blog; and so, any gratitude and appreciation are all going to May, and yes, our miss Vicki Pettersson and RT! (The statement is very much sounds like last year indeed!)

Genre : Urban Fantasy / Epic/ Superheroes
Series : Sign of the Zodiac, Book 5
Publisher : Eos (May 25, 2010)
No of page : 368


At the end of the last book, City Of Souls, Joanna sacrifices her superhero power to save one mortal child, and that means she no longer possesses the super ability and is reduced to just another mere mortal . Thus, Warren, the head of Light side, banishes her from the group and orders other superheroes from helping or even contacting her.

Joanna may live happily afterwards. Unfortunately, she is now a mortal who has learnt about the super world, and who has been a target of Shadow…still. So, apart from being betrayed and feeling disappointed with losing those being her friends after her power, our lady is also living in dread of having her life taken, especially when Sleepy Mac, lethal killer from Midheaven has been sent to Las Vegas to end her.

In order to survive, she has no other choices than taking up offer from unlikely allies and walking through unlikely path.

The first thing coming to my mind after finishing Cheat the Grave is Vicki Pettersson (or VP onwards) has done splendid job on plotting complex yet elegant story lines. All the events and incidents in the series prove that she has carefully designed and laid her outlines in multi-layered ties. And they are all elegant in the way that everything is in harmony and supported by reasons and ideas that makes even every little thing makes sense!

For that, a lot of beyond-expectations have been mentioned and solved in this book. Particularly, puzzles on her mother, Zoe. As we have seen Jo feeling bitter and neglected by her mother’s abandon after the abusive damage happened to her. (Spoiler) [Nevertheless, Zoe never leaves her daughters at all. She disguises into Suzanne, the stepmother of Cher who was Oliver’s best friend. So, having become Olivia, Jo is being close to Suzanne too.]
Personally, this is one of the greatest twisters for two reasons. One is VP has created the impossible to become possible, for the opposite differences between two characters had prevented us readers from such possibility. This also serves as an explanation and reconciliation between the daughter and the mother. Since, while what her mother has done is for saving Jo herself, yet leaving Jo in time the daughter needed her most is quite unforgivable or irreconcilable. Still, such turning plot eases up everything.

Another solved enigma is the truth about Hunter. (Spoiler) [In the end, the weapon master did not betray Jo as herself and the readers may think. He has been exploited by his ‘wife’ and Warren. (Warren could not allow having anything or anybody to have Jo’s attention, bar from completing her Kairos duty for Warren. Most importantly, the one he loves the most is Jo!)] This explanation may sound plain and simple; however, the story lines in book three and four show the cleverness of VP in inputting us with misleading anticipation, one that loaded with one-sided information that will later trick us, especially when what has happened is not what has been early predicted.

And that is also VP’s success in turning Hunter’s status (Spoiler) [from the very active betrayer and mean plotter in the last book into passive victim in Cheat the Grave. After the current book, readers won’t be left with his bad actions and impressions any longer. On the other hand, we will pray for book six and pray for the time when Jo returns to Midheaven to rescue Hunter to the real world!]

Thinking out of the box also fills the book with excitement. Should things be normal, when virtue and evil are together, we always choose the former. Yet, sometimes boundaries and lines dividing such virtue and evil are never clear. And so, we can not place the Light over or have them win over the Shadow, since everything should live equally for the right balance. As we have seen this kind of balance in the book, (Spoiler) [there is a forming/ rising of the Grays, which consist of the former Shadow and Light members who see the potential of middle realm.]; and this also confirms the fifth sign for (Spoiler) [the Shadow binding with the Light.] Seriously, such directions are more interesting than taking one’s side blindly.

This is simply true when those assisting her in this book are simply her former enemies,
(Spoiler) [and the ones who save Jo are the former Shadows turning Grays, in particular Harlan Tripp, the rogue Shadow member who fought with Jo before in Midheaven, who offers his life for saving Jo near the end of the book.] And, at the same time, those who once stood with Jo are now her nemesis.

Somewhat, this turning also presents the dark side of the Light. As for claiming themselves with the reason of protecting the ‘goodness’ and doing the good deeds, they take any means (and even ‘mean’ approaches) and see the world around them so one-sidedly that their minds have become restricted. It has been announced that the troop opens for everyone. Yet, in reality, this side is under the domination of Warren and Tekla, and can not accept and respect those outside their own group. For instance, they say they protect mortals, but they also see these lives are more inferior and have less meaningful than theirs. Additionally, this sense of protection is from their sense of duty, rather than the needs to help other people at all.

As for Jo herself, coming from outside society and being half-shadow means they never ever truly accept her, no matter how much she has done a great boons. What best reflects the depravity of the Light apart from discarding after she stops being useful to them is that (Spoiler) [ Warren and Tekla, upon seeing Jo as not being a pure Light, failed to let Jo know that she needed to trade her life essence for passing in and out Midheaven world. And, at that time, Jo was still even in full use for the troop.]

While the bad guy is no doubt Tulpa, and the series see him with almighty power; the last two books finds him with a lot of limits. Still, such limitations are somewhat one of the great charms of Sign of the Zodiac series, for nothing is absolute, nothing is perfect in itself; anything imperfect is more alluring and interesting. In my view, the real villain is certainly Warren. Again, the man uses everyone around him as a prawn and does not hesitate to throw those no longer being useful for him away. I like Machiavelli and try to see Warren that way, but I can’t refrain myself from loathing him. (Not even refrain my thoughts though!) Therefore, I only felt satisfied Warren when upon hearing Jo exposing Warren’s action; trust in this leader has gone wavered. Although the level of doubt is still low, it will definitely affect his status in the troop in the future. (Sweet time to come!)

Without Warren who sees everything cut clear in black and white, the coalition of the Light and the Shadow would eventually be more likely.

On the other hand, being separated from the troop and living her own life (and later on re-making her identity) helps bring about the new direction of the series. Had it not been this way, it would have follow the same old script, which Jo acted by her own instinct during the assigned job and messed everything up, making the whole Light side get furious and suspicious about her. But then, all her good deeds and feat (especially the confrontation with Tulpa) would let the group re-embrace her back. And had the book gone along with this pattern, and with emphasizing on her Kairos status; it would make a predictable storyline for readers, leaving us tired at the end. (However, the one-great-nemesis-per-one-book concept is still on.)

One striking potential is another growth of Jo in Cheat the Grave. This is because after her life being shaped and molded as Kairos and the troop’s member and fighter, she had lived and lived with those expectations placed upon her. That’s why when that life has gone, her identity as well as reason for living is also gone. For her to search for the new identity coming from the new purpose of life brings about one great development, one that teaches Jo on understanding life and its meaning with her own terms, apart from what others (Warren, to be precise) created and imposed upon her. (And this is ironic that the one who gives Jo this reason of life is dying Tripp.) And seeing and knowing her life’s worth helps Joanne to see her ability – she now realizes, even now as a mere mortal, she can make differences, huge differences. (Actually, Jo is never a mere mortal anyway, when she still continues her unbelievable performances such as touching and using others’ conduits.)

Eventually, she stands up and acts for herself. As said in the City Of Souls review, the development of Jo herself is ongoing - and she is getting better and better from each book to the next, especially when compared to Book One. Definitely, this is one of the most outstanding features of this series. Sign of the Zodiac creates its characters and let us see the better and the best of the main characters along their transformation, although during the path these characters (Jo, actually) see the worst of their reality that they are off tract and lost from time to time. Nevertheless, somewhat detours and difficulties are indeed the part that makes the series realistic and full of life from never-give-up attitude and action, which is very different from easy happy ending in any fixed formula.

Nevertheless, ignorance, Jo’s one greatest flaw, is here still. The series of crises makes her befall in the bottom of self-pitiness and neglect things around her. In this aspect, while she may be regarded as self-loving and self-centered creature, she becomes careless with the world. From the beginning of the series, had she looked wider, Jo could have grabbed as well as created many opportunities to favor herself better. Alternatively, she claimed that the beauty-without-brain character that she inherits from Olivia is for tricking other people. Nevertheless, there have been too many times she plays along with the attribute far too much. For example, she knows the board meeting that she is to for the first time as a head will be held in the morning, but she still goes to Suzanne’s wild party until the late of the night. The party (including the incident with Shadow) makes her doze up during the meeting, yet she is furious when others look down at her. She also tells herself that she has already paid attention to her meeting documents but she understands only nothing, even though she can find someone to explain the materials to her.

In City of Souls, there was an introduction of Midheaven. And with the complexity of that created dimension, combined with Jo leaving part of her essence/ ability there; there was also an expectation that she may return there again. And here in book five, the expectation just met with the actual reality! The significance of Midheaven as a relative variant affecting her power - both in personal terms as a superhero and in group term as a supporting/ adding arsenal - seems to be large. This is especially true when (Spoiler) [Jo needs to save Hunter there.]

While reading the previous releases, it has been clear that the heroine has only seen the dark and cruel parts of life. Therefore, we readers have become reluctantly familiar to see what will happen to her during our thrilled reading, for nothing comes easily and free. This is especially true when I was given this book, and the giver warned me that she had talked to VP in RT, and VP said that Cheat the Grave was much, much more terrible than the last one!

Nevertheless, after finishing this book, it must be stressed that this has been the only one in the series that we start to see light at the end of the tunnel! Our dear superhero-turns-mortal has not much been through a lot of real horrible adventures. (Somewhat, the cruel thing that happens to Luna the Cat is the most sickening time in the book, and yes, in the series) For the sum-up, it should be, should be, should be …. something I don’t yet come up with! And for the grade, I would like to give A for its beautiful plots and use of words. However, I was a bit annoyed with Jo in the beginning of the book, although I realise that I should have not. For what she has been through, to go back and function normally was unlikely. Also, the book should indeed take time to relay these hard moments of her: let the readers see her hurt feeling and later her bring back to action. And so, A for realistic transformation and B+/A for bringing the readers to edge with her never-stable life!

And the conclusion is “Cheat the Grave made me Cheat the Bed”!

I’m happy, Happy, and happy! (Spoiler) [Here we will see the comeback of Hunter in the next book. This couple is for the couple! From my reading experience, exchange of essence between the characters (which is done through aureole in this case.) usually links to creating bonds that last eternal between them. (That also is the reason why Hunter’s betrayal was hard to read!) Also, this book sees the more delicate feelings of the two!]

Tuesday 8 June 2010

Cheat the Grave by Vicki Pettersson (th)

ได้หนังสือมาด้วยความกรุณาของคุณเมย์แห่ง Mostly Romance และดังนั้น คำขอบคุณและความซาบซึ้งใด ๆ ที่มียกให้คุณเมย์ Vicki Pettersson และงาน RT นะคะ (พูดเหมือนเล่มที่แล้วตอนปีที่แล้วเลยเชียว)


ชนิด : Urban Fantasy / Epic/ Superheroes
ชุด : Sign of the Zodiac, Book 5
สำนักพิมพ์ : Eos (May 25, 2010)
จำนวนหน้า : 368 หน้า


จากท้ายเล่มที่แล้ว (City Of Souls) ตัว Joanna เสียสละพลังของซุปเปอร์ฮีโร่ที่เธอมีไปเพื่อช่วยเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งหมายความว่าทำให้เธอหมดพลังพิเศษต่าง ๆ ไปและกลายเป็นแค่คนธรรมดา ดังนั้น Warren หัวหน้าของฝ่าย Light จึงขับไล่เธอออกมาจากกลุ่ม และออกคำสั่งไม่ให้ซุปเปอร์ฮีโร่ช่วยเหลือ หรือแม้แต่ติดต่อใด ๆ กับ Joanna เลย

Joanna อาจจะอยู่เป็นปกติสุขหลังจากนั้นได้ แต่บัดนี้เธอเป็นคนธรรมดาที่รู้จักโลกเหนือมนุษย์แล้ว และก็เป็นเป้าหมายของฝ่าย Shadow ไม่ต่างไปจากเดิม ซึ่งทำให้นอกเหนือจากความผิดหวังและการสูญเสียคนที่เคยเป็นเพื่อน หลังจากสูญเสียพลังไปแล้ว เธอก็ต้องหวาดระแวงกับการถูกจ้องเอาชีวิตตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่อ Sleepy Mack นักฆ่าอันตรายจากโลก Midheaven ถูกส่งมากำจัดเธอ

เพื่อรักษาชีวิตให้รอด เธอก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับความช่วยเหลือจากกลุ่มคนที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ และเลือกหนทางที่ไม่น่าจะมีอยู่

เมื่ออ่านเล่มนี้จบ สิ่งแรกที่คิดก็คือตัวคนเขียน เป็นคนที่วางโครงเรื่องได้ซับซ้อน และสละสลวยมากที่สุดคนหนึ่ง เหตุการณ์ที่ดำเนินมาจนถึงเล่มนี้ แสดงให้เห็นชัดว่า เธอวางและผูกโครงเรื่องที่มีอย่างละเอียด พลิกแพลงหลายชั้น และที่ใส่คำว่า “สละสลวย” ลงไปด้วยก็เพราะทุกอย่างสอดคล้อง และมีเหตุผลประกอบการกระทำทำให้ทุกอย่างที่เกิดมีที่มาที่ไปอยู่ทั้งหมด

และนั่นก็หมายความว่า สิ่งเหนือความคาดหมายหลาย ๆ อย่างถูกพูดถึง และเฉลยในเล่มนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งที่เกี่ยวกับ Zoe แม่ของเธอ (สปอยล์) [Jo รู้สึกขมขื่นและน้อยใจมาตลอดที่ถูกแม่ทิ้งไปเมื่อเกิดเรื่องกับเธอในวัยเด็ก แต่ที่จริงแล้ว Zoe ไม่ได้จากลูกสาวไปไหนเลย แต่กลับมาเป็น Suzanne แม่เลี้ยงของ Cher ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของ Olivia ซึ่งเมื่อเธอกลายเป็น Olivia ก็หมายความว่า Jo ก็ได้ใกล้ชิดและสนิทสนมกับ Suzanne ไปด้วย] ซึ่งส่วนตัว คิดว่าเป็นการหักมุมที่เก่งในสองด้าน นั่นก็คือ สร้างความไม่น่าจะเป็นให้เกิดขึ้น เพราะบุคลิกของคนทั้งคู่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และก็ทำให้ไม่มีใครคาดคิดถึงความเป็นได้เช่นนี้มาก่อน และสิ่งที่สองก็คือ อธิบายและแก้ไขความแตกร้าวที่เกิดขึ้นระหว่าง Jo และแม่ได้ เพราะแม้สิ่งที่แม่ของเธอทำไปเป็นเพื่อปกป้องตัวเธอก็ตาม แต่การทิ้งลูกสาวในยามที่ต้องการแม่ที่สุดไป ก็ไม่น่าจะให้อภัย หรือสมานความสัมพันธ์ที่กลายเป็นร้าวฉานได้ หากแต่การหักมุมที่เกิดขึ้นก็ทำให้ทุกอย่างคลี่คลายได้ลงตัว

หรือสิ่งที่สองที่เกิดก็คือ ความจริงเกี่ยวกับ Hunter (สปอยล์) [เพราะท้ายที่สุดแล้ว Hunter ไม่ได้ทรยศเธออย่างที่ Jo คิด เขาก็ถูกภริยาของเขา และ Warren หลอกใช้เช่นกัน (เพราะ Warren ยอมไม่ได้ที่ สิ่งอื่นหรือคนอื่นจะมีความสำคัญกับ Jo นอกเหนือจากการทำหน้าที่เป็น Kairos ให้กับ Warren) และคนที่เขารักที่สุดก็คือ Jo] ซึ่งแม้สิ่งที่เกิดจะดูเรียบง่าย และธรรมดา แต่ถ้าตามเนื้อเรื่องมาตั้งแต่ช่วงเล่มสาม และเล่มสี่ก็จะทำให้เราเห็นความฉลาดของคนเขียนในการป้อนข้อมูล ระหว่างเนื้อเรื่องเพื่อบ่มเพาะความคาดหมายของเรา หากก็เป็นข้อมูลด้านเดียวที่ทำให้เราสร้างสมมติฐานและความเชื่อที่มาหลอกเราในภายหลังด้วย โดยเฉพาะเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นแต่อย่างใด

และก็เป็นความสำเร็จของผู้เขียนที่เปลี่ยนสภาพของ Hunter (สปอยล์) [จากคนทรยศในเล่มที่แล้ว มาเป็นเหยื่อได้ เพราะเมื่ออ่านเล่มนี้จบ ผู้อ่านจะไม่หลงเหลือการกระทำหรือภาพไม่ดีของเขาในเล่มที่แล้วอยู่แล้ว แต่กลับเป็นในทางตรงกันข้าม ที่รอให้เล่มหกมาถึงโดยไว และรอเหตุการณ์ที่ Jo จะเข้าไปช่วยเหลือ Hunter กลับออกมาสู่โลกปกติอีกครั้ง]

การคิดนอกกรอบเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้หนังสือเล่มนี้สนุกและน่าติดตาม เพราะหากเป็นอย่างปกติธรรมดาแล้ว เมื่อความดีกับความชั่วมาอยู่ด้วยกัน เราก็มักจะให้ข้างความดีเป็นฝ่ายถูกเสมอ แต่บางครั้งกรอบและเส้นแบ่งความดีความชั่วก็ไม่ชัดเจน และนั่นก็หมายถึงว่า เราไม่สามารถให้น้ำหนักฝ่าย Light เหนือกว่า หรือมีชัยชนะเหนือฝ่าย Shadow ได้ เพราะทุกอย่างควรจะมีอยู่อย่างเท่าเทียมกัน เพื่อความสมดุลซึ่งในเล่มนี้ ก็เกิดการสร้างสมดุลเช่นนี้ขึ้น (สปอยล์) [โดยการเกิดขึ้นของกลุ่ม Grays ซึ่งเป็นการรวมตัวของฝ่าย Shadow และ Light บางส่วนที่เห็นความเป็นไปได้ของการเกิดพื้นที่ตรงกลาง] ซึ่งก็ตรงกับสัญญาณอย่างที่ห้าด้วย (สปอยล์) [The Shadow binding with the Light] และการดำเนินเรื่องเช่นนี้ก็สนุกกว่าการอยู่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจงมาก

โดยเฉพาะเมื่อคนที่มาช่วยเหลือเธอมาจากคนที่เป็นศัตรูของเธอมาก่อน (สปอยล์) [เล่มนี้คนที่ช่วยให้เธอรอดชีวิตมาจาก Sleepy Mac ก็คือเหล่าบรรดา Shadow ที่กลายมาเป็น Grays และโดยเฉพาะ Harlan Tripp อดีต Shadow ที่เธอเจอใน Midheaven และสละชีวิตของตัวเองปกป้อง Jo ในตอนท้ายเรื่อง] ซึ่งในขณะเดียวกัน คนที่เคยเป็นพวกเดียวกับเธอก็กลายมาเป็นศัตรูด้วย

ซึ่งก็หมายถึงการนำเสนอด้านมืดของฝ่าย Light ด้วย เพราะกลายเป็นว่าแม้ทุกอย่างที่ฝ่ายนี้ทำไปด้วยเหตุผลที่จะปกป้องความดี แต่ก็กลายเป็นไม่เลือกวิธีการ และมองสิ่งรอบตัวด้วยมุมมองด้านเดียวจนมีจิตใจที่คับแคบเสียด้วย ดังเช่น แม้จะบอกว่าเปิดโอกาสให้ทุกคน แต่ในความจริง ฝ่ายนี้ก็เผด็จการด้วยการครอบงำของ Warren กับ Tekla และก็ไม่สามารถยอมรับและให้เกียรติคนที่ไม่ใช่ฝ่ายเดียวกับตนได้ เช่น แม้จะปกป้องมนุษย์ แต่ก็มองว่า เหล่ามนุษย์ธรรมดาอยู่ต่ำ และมีคุณค่าน้อยกว่าพวกตน และแม้การปกป้องนี้จะเป็นไปตามหน้าที่ แต่ก็ไม่ได้ออกมาจากความต้องการที่จะช่วยเหลือคนอื่นแต่อย่างใด

อย่างสำหรับกับตัว Jo เอง การที่เธอมาจากสังคมข้างนอก และมีฝ่าย Shadow อยู่ครึ่งหนึ่งในตัว ก็ทำให้พวกนี้ไม่เคยจะยอมรับเธอจริง ๆ ไม่ว่าเธอจะทำดีหรือสร้างประโยชน์ให้อย่างใด ซึ่งสิ่งที่สะท้อนความเลวร้ายของฝ่าย Light ที่สุด นอกเหนือจากการที่ทิ้งขว้าง Jo เมื่อเธอหมดประโยชน์แล้ว ก็คือ (สปอยล์) [แม้ว่าจะรู้ว่าเธอจะต้องใช้พลังชีวิตแลกเพื่อผ่านเข้าออก Midheaven ตัว Warren กับ Tekla ก็ไม่คิดบอกเธอ เพราะมองว่า เธอไม่ใช่ฝ่าย Light ที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งในขณะนั้นยังเป็นช่วงที่ Jo ยังมีประโยชน์ และคุณค่าใช้สอยเต็มที่กับฝ่าย Light ด้วยซ้ำ]

แม้ตัวร้ายตัวจริงจะเป็น Tulpa และหนังสือจะสร้างให้ตัว Tulpa มีอำนาจเหลือล้นก็ตาม แต่สองเล่มหลังไม่รู้สึกไปเช่นนั้น โดยเฉพาะเล่มนี้ที่เห็นข้อจำกัดหลายอย่างของเจ้าตัว แต่ก็อาจจะเป็นข้อดีข้อหนึ่งของหนังสือชุดนี้ ที่ไม่มีอะไรเด็ดขาด และสมบูรณ์แบบในตัวเองก็ได้ ทุกอย่างที่มีจุดบกพร่อง น่าสนใจและมีเสน่ห์กว่าเสมอ .... แต่ในแง่หนึ่งก็ทำให้รู้สึกว่าตัวร้ายที่แท้จริง น่าจะเป็นตัว Warren มากกว่า โดยเฉพาะเมื่อ ให้ทุกคนรอบข้างเป็นหมากในมือ เพื่อจุดประสงค์ของตัวเอง และก็พร้อมที่จะทิ้งคนเหล่านนี้โดยไม่รีรอ หากหมดประโยชน์กับตน ่ในฐานะที่ชอบ Machiavelli พยายามมองให้ Warren อยู่ในสภาพนั้น แต่ก็ยังทำใจให้ไม่เกลียด Warren ไม่ได้ (และไม่คิดจะทำด้วย) ซึ่งก็ทำให้สะใจแกมสมน้ำหน้า Warren เมื่อฝ่าย Light (หรือที่ออกเสียงได้ว่า ฝ่าย-ร้ายย) มาเผชิญหน้ากับ Jo และได้ยิน Jo เปิดโปงพฤติกรรมของของ Warren แล้วก็ทำให้ความเชื่อมั่นในตัว Warren สั่นคลอน ซึ่งแม้ตอนนี้จะไม่ใช่ระดับสำคัญอะไร แต่ก็น่าจะมีผลกับฐานะของเขา (หรือ “มัน”) ในกลุ่มในเวลาต่อไป

ซึ่งหากปราศจาก Warren ที่มองทุกอย่างเป็นขาวดำชัดเจน ก็คงจะทำให้การรวมเป็นหนึ่งของ Light และ Shadow ในอนาคตมีความเป็นไปได้ชัดเจนขึ้น

อย่างไรก็ตาม การแยกตัวมาจากกลุ่ม และมาใช้ชีวิตของตัวเอง (รวมไปถึงการสร้างตัวตนใหม่ในภายหลัง) ก็ช่วยให้หนังสือมีรูปแบบใหม่ได้ เพราะมิฉะนั้นก็จะกลายเป็นแบบแผนว่า Jo ทำตามสัญชาตญาณของตัวเองในระหว่างที่ได้รับมอบหมายงาน และก็ก่อเรื่องวุ่นวาย จนกลุ่มโกรธเคืองและหวาดระแวงเธอ แต่ความดีความชอบที่เธอทำ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผชิญหน้ากับ Tulpa) ก็ทำให้กลุ่มกลับยอมรับเธอใหม่ในภายหลัง ซึ่งหากหนังสือจะเป็นรูปแบบเช่นนี้ต่อไป และเน้นตัวเธอในฐานะ Kairos ก็คงจะเริ่มเป็นรูปแบบที่ทำให้คนอ่านคาดเดาได้ และเบื่อหน่ายในท้ายที่สุดตามมา (หากอย่างไรก็ตาม ปรากฎการณ์ศัตรูคู่อาฆาตเล่มละตัว -ที่จะมีตัวหนึ่งที่คอยตามล่าตามอาฆาตตัว Joanna จะเปิดฉากสู้จริงจังในตอนจบ- ก็ยังมีอยู่)

สิ่งหนึ่งที่มีแนวโน้มที่ดีก็การเปลี่ยนแปลงตัวเอกอีกครั้งหนึ่งของ Jo เพราะหลังจากที่ถูกสร้างชีวิตใหม่ในฐานะ Kairos และนักสู้ของกลุ่มแล้ว เธอก็อยู่และมีชีวิตด้วยความคาดหมายเช่นนั้น และเมื่อทุกอย่างหายสิ้นไป ตัวตนและเหตุผลการมีชีวิตอยู่ของเธอก็หายไปด้วย ซึ่งการที่เธอค้นหาตัวตนและเหตุผลการมีชีวิตของเธอได้นั้น ก็ทำให้เกิดพัฒนาการที่สำคัญที่เธอได้เห็นคุณค่าและความหมายของชีวิตด้วยการตีความของตัวเองนอกเหนือไปจากที่คนอื่น (โดยเฉพาะที่ Warren สร้างขึ้นมาและยัดเยียดให้เธอ) ด้วย ซึ่งการเห็นคุณค่าและให้ค่าตัวเองก็ทำให้เธอเห็นความสามารถของตัวเองที่แม้ตอนนี้จะเป็นแค่คนธรรมดาก็สร้างความเปลี่ยนแปลงได้ (ซึ่งอันที่จริง แม้ Jo จะกลายเป็นคนธรรมดา แต่เธอก็ยังทำในสิ่งที่ไม่น่าเชื่อทั้งหลายได้เหมือนเคย ดังเช่น การใช้ conduit ของคนอื่น)

และก็ทำให้เธอลุกขึ้นมาเป็นฝ่ายรุกและสร้างโอกาสให้กับชีวิตของเธอเอง อย่างที่เคยได้พูดไปในรีวิวเล่มก่อนว่า พัฒนาการของตัว Jo ก็เป็นลำดับ และเปลี่ยนแปลงขึ้นมาในทางที่ดีเรื่อย ๆ จากเล่มแรกด้วย และแง่นี้ก็ทำให้เห็นความโดดเด่นที่สุดอีกอย่างหนึ่งของหนังสือชุดนี้ ส่วนตัวเองคิดว่า Sign of the Zodiac เป็นชุดที่เกิดตัวละครขึ้นมา และสร้างทิศทางพัฒนาการของตัวละครหลักได้ที่ดีสุด แม้ตัวละครหลักของเธอเจอความเป็นจริงในด้านร้ายกาจจนบต้องหลงทาง หรือหลุดไปอยู่เสมอก็ตาม เพราะอุปสรรค และความลำบากเหล่านี้ก็คือ สิ่งที่ทำให้เรื่องสมจริง และมีชัยชนะจากการไม่ยอมแพ้ ต่างจากความสุขสำเร็จรูปที่มาง่าย และฉาบฉวย

อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนจุดใหญ่ของ Jo ที่คือ การไม่สนใจ (ignorance) ก็ยังอยู่ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้เธอจมอยู่ในความสงสารตัวเอง และไม่สนใจสิ่งรอบข้างเลย แง่นี้เธออาจหมายถึงเธอเป็นคนที่รักและสนใจตัวเองเป็นใหญ่ แต่ก็ทำให้เธอขาดความสนใจกับสิ่งรอบข้างด้วย ซึ่งจากเล่มแรก หากเธอมองให้กว้างก็จะฉกฉวยโอกาสและสร้างสถานการณ์ด้านบวกให้ตัวเองได้มากกว่านี้

หรืออย่างที่เธอบอกว่าบุคลิก “สวยไร้สมอง” ที่เธอรับมาจาก Olivia จะเป็นเพื่อตบตาหลอกคนอื่น แต่หลายครั้ง เธอก็ทำให้ไปตามบุคลิกเช่นนั้นเช่นเดียวกัน อย่างที่รู้ว่า พรุ่งนี้จะมีประชุมคณะกรรมการที่เธอจะต้องไปเข้าร่วมในฐานะประธานกรรมการเป็นครั้งแรก แต่เธอก็ไปร่วมปาร์ตี้ของ Suzanne จนเกือบเช้า จนหลับระหว่างประชุม และก็โกรธที่คนอื่นในที่ประชุมมาดูถูกเธอ ซึ่งเธอก็บอกตัวเองว่าเธอดูเอกสารประชุมแล้ว แต่ไม่รู้เรื่อง ทั้งที่เธอก็สามารถหาคนมาช่วยอธิบายรายละเอียดต่าง ๆ ให้ได้

เล่มที่แล้ว มีการพูดถึงโลก Midheaven ไว้ และด้วยการสลับซับซ้อนของโลกที่สร้างขึ้น และการที่เธอทิ้งพลังส่วนหนึ่งของเธอไว้ที่นั่นก็ทำให้คาดหมายว่า เธอน่าจะได้กลับไปอีก ซึ่งก็เป็นจริงเช่นนั้น และดูเหมือนว่า ความสำคัญของโลก Midheaven ในฐานะตัวแปรที่มีผลกับพลังของเธอ ทั้งส่วนตัวในฐานะซุปเปอร์ฮีโร่ และส่วนกลุ่มในฐานะกำลังเสริมน่าจะมีมากขึ้น ซึ่งโดยเฉพาะ (สปอยล์) [การกลับไปเพื่อช่วย Hunter] ก็น่าจะทำให้เห็นโลก Midheaven ในเล่มที่หกต่อไป

เมื่ออ่านเล่มก่อน ๆ ในชุด จะพบว่าตัวเอกเจอแต่ความเป็นจริงของชีวิตที่เป็นด้านมืด และด้านที่โหดร้ายมาโดยตลอด และดังนั้นก็ทำให้ทำใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตเธอในหนังสือเล่มต่อมาได้ว่า ไม่มีอะไรที่ได้มาง่าย ๆ และได้มาโดยไม่มีราคาแน่ โดยเฉพาะเมื่อ ตอนที่ได้รับหนังสือเล่มนี้มา ได้รับคำเตือนว่า ถ้าคิดว่าเล่มที่แล้วตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ก็ขอให้ทำใจว่า Cheat the Grave น่าตกใจกว่าเล่มที่แล้วมาก หากแต่เมื่ออ่านไปจนจบ เล่มนี้เป็นเล่มเดียวที่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ และไม่รู้สึกว่าเธอเจอเรื่องร้ายอะไรมากนัก (นอกเหนือจากเรื่องที่เกิดกับแมว Luna ซึ่งเป็นช่วงที่อ่านลำบากที่สุดในเล่ม และในชุด เป็นการส่วนตัว) ขอสรุปว่า สรุปว่า สรุปว่า ...... สรุปว่าอะไรก็ยังคิดไม่ได้ และสำหรับการให้คะแนน จริง แล้วควรจะให้ A เพราะเป็นเล่มที่เขียนได้ดี ทั้งในเรื่องการให้ภาษาและคำ และการวางโครงเรื่อง แต่หงุดหงิดกับตัว Jo ในช่วงแรกอยู่บ้าง ทั้งที่ไม่ควรหงุดหงิด เพราะจากสิ่งที่เกิดขึ้น เธอไม่น่าจะกลับมาเป็นปกติได้เร็วได้ง่ายแน่ และหนังสือก็ควรมีการถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้ออกมา ให้เห็นความรู้สึกของเธอ และการลุกกลับขึ้นมาสู้ของเธอ และดังนั้น ในแง่ความสมจริง ให้ A แต่ในด้านคนที่ลุ้นกับชีวิตของเธอให้ B+/A

และสรุปว่า “Cheat the Grave made me Cheat the Bed!”

ดีใจที่สุด ดีใจ และดีใจที่สุด (สปอยล์) [ขอต้อนรับการกลับมาของ Hunter ในเล่มหน้า ... คู่แล้วไม่แคล้วกัน เพราะว่าจากการอ่านหนังสือมานาน การที่ตัวละครแลกเปลี่ยนพลังชีวิต (หรือในแง่นี้ก็คือผ่านการแลก aureole) น่าจะสร้างการเชื่อมโยงของตัวละครได้ที่สุด และมักจะมีผลตลอดไป (ซึ่งก็เลยทำให้การทรยศของ Hunter เป็นสิ่งที่ทำใจยอมรับได้ยากที่สุด ในการอ่าน) และเล่มนี้ก็ได้อ่านความรู้สึกละเมียดของคนทั้งคู่ด้วย]

จะพยายามกลับมาเขียนภาษาอังกฤษโดยไว

Sunday 23 May 2010

Mark of The Demon by Diana Rowland

เห็นหนังสือเล่มนี้ครั้งแรกน่าจะจากเวบอเมซอน แล้วก็ก้ำกึ่งว่าจะซื้อหรือไม่ เพราะว่าชอบอารมณ์ของปก แต่พล็อตก็ดูค่อนข้างธรรมดา อย่างไรก็ตาม ตอนที่จะสั่งหนังสือ ก็เห็นว่าคิโนะสั่งเข้ามาแล้ว และที่สำคัญก็คือ หนังสือออกตั้งแต่ปลายมิถุนา 09 แต่เก็บสต็อคแล้วหาไม่เจอ พอถอดใจเลยคิดจะอ่าน อยู่ ๆ ก็เจอที่สาขาเอ็มโพเรียมตอนปลายปี ก็เลยพลิกไปพลิกมา และซื้อมาอ่านในที่สุด (ซะที)

ได้ข่าวจากคุณเมย์แห่ง Mostly Romance ว่าสำนักพิมพ์บ้านเราซื้อลิขสิทธิ์มาแล้ว



ชนิด : Urban Fantasy / Suspense/ Serial Killer/ Summoner / Demon/
Cop
ชุด : Kara Gillian, Book 1
สำนักพิมพ์ : Bantam (June 23, 2009)
จำนวนหน้า : 384 หน้า


Kara นักสืบสาวท้องถิ่นอาจจะเหมือนตำรวจธรรมดา ๆ ที่เราพบเจอตามท้องถนน หากแต่เธอมีความลับที่ไม่อาจให้ใครอยู่ได้ซ่อนอยู่ นั่นก็คือ เธอมีความสามารถในฐานะผู้เรียกปีศาจ ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตคนละมิติมาทำสัญญาและใช้งานโดยมีค่าตอบแทนระหว่างกัน

หนังสือเริ่มเรื่องที่ฆาตกรต่อเนื่องผู้ถูกเรียกว่า The Symbol Man กลับมาฆ่าคนอีกคน โดยที่คนที่ถูกฆ่าไม่มีความต่อเนื่องใด ๆ เลย นอกเหนือไปจากรอยแผลละเอียดอ่อนที่เป็นแบบแผนทั่วทั้งร่างเหยื่อ และ Kara ผู้เคยติดตามคดีนี้เมื่อหลายปีก่อน ก็ได้รับมอบหมายให้สะสางคดีนี้อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คนทั่วไปไม่รู้ ก็คือ ในฐานะผู้ใช้ปีศาจที่เห็นสิ่งลี้ลับ เธอเห็นความเกี่ยวเนื่องอีกอย่างที่เหยื่อแต่ละคนมี นั่นก็คือ essence หรือพลังชีวิตที่มากเหนือกว่าคนปกติ และเหยื่อแต่ละคนก็ถูกสูบพลังเช่นนี้ไปจนหมด

เรื่องราวซับซ้อนมากขึ้น เมื่อคดีนี้เป็นที่สนใจเพิ่มขึ้นในวงกว้าง และ FBI ก็ส่ง Ryan เจ้าหน้าที่พิเศษกับคู่หูมาร่วมสืบคดี และดูเหมือนว่า เขาก็รู้และเข้าใจสิ่งที่เธอรู้เสียด้วย นอกเหนือจากนี้ ในระหว่างที่ Kara เรียกปีศาจระดับต่ำมาใช้งาน เธอกลับเรียก Rhyzkahl เจ้าแห่งปีศาจทรงพลังมาแทนที่ ซึ่งเหตุผลที่เธอทำ “พลาด” และเหตุผลที่ Rhyzkahlและเหตุผลที่ Rhyzkahl ไว้ชีวิตเธอ ก็เป็นอีกเรื่องที่กวนใจ Kara ไปพร้อมกัน

หนังสือเล่มนี้ได้รับคำชมจาก Charlaine Harris ผู้เขียนชุด Southern Vampire (ที่กลายเป็น ซีรีย์ True Blood ทาง HBO) ว่า “A nifty combination of police procedural and urban fantasy.” และนั่นก็ถือเป็นคำอธิบายหนังสือที่ดีที่สุด เล่มแรกการเปิดตัวทั้งผู้เขียน Diana Rowland และชุดหนังสือ Kara Gillian ทำได้ดีและโดดเด่นมาก ในแง่ของการวางโครงเรื่องทั้งในส่วนที่เป็นการไขปริศนาคดี และการไขปริศนาเกี่ยวกับการเรียกใช้ปีศาจ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ Rhyzkahl)

ในส่วนของการไขคดี นอกเหนือจากการวางโครงเรื่องซับซ้อนและคิดหลายชั้นแล้ว การสืบสวนตามขั้นตอนตำรวจก็ทำได้ดีและสมจริง ช่วงตรวจค้นและหาหลักฐานในที่เกิดเหตุ และช่วงชันสูตรศพพิสูจน์หาหลักฐานไม่แตกต่างจากการดูซีรีย์สืบสวนดี ๆ อย่าง CSI หรือ Bones ผ่านทางการอ่าน โดยเฉพาะช่วงที่เป็นการหาระยะเวลาเวลาการตายจากหนอนและแมลงที่มาวางไข่ผ่านนักกีฎวิทยา ซึ่งก็เพราะตัวคนเขียนเคยเป็นอดีตตำรวจมาก่อน

แรงจูงใจของฆาตกรทำได้ดี สมเหตุสมผล และตัวผู้อ่านก็รู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้ได้ โดยเฉพาะการวางโครงเรื่องให้ตัวละครหลายตัวถูกโยงใยไว้ด้วยกันจากเหตุการณ์ในอดีต และเวลาบ่มเพาะความแค้นของฆาตกร ซึ่งรวมไปถึงการแฝงตัวอย่างแนบเนียนของฆาตกรด้วย(สปอยล์) [ฆาตกรที่จริงก็คือหัวหน้าของเธอ ซึ่งเป็นผู้ใช้ปีศาจที่เรียก Rhyzkahl มาเพื่อที่จะให้รักษาภริยาของตัวที่กำลังป่วย แต่ปิดฉากด้วยการที่ Rhyzkahl กลับฆ่าทุกคนในห้อง แต่เขารอดมาได้ด้วยอาการปางตาย]

ส่วนของการใช้ปีศาจวางตรรกะได้ดีระดับหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ที่มีต่อกันระหว่างผู้เรียกปีศาจและปีศาจที่ถูกเรียกมา มีจุดที่รู้สึกขัดใจก็คือเหตุดึงดูดใจที่ตัว Kara มีต่อ Rhyzkahl และความสัมพันธ์ที่ดูจะเกินเลยระหว่างกัน แต่ (สปอยล์) [หนังสือก็บอกให้เรารู้ภายหลังว่า Rhyzkahl หาประโยชน์จากใช้จุดอ่อนของ Kara ที่ต้องการใครสักคนมาเพื่อล่อให้เธอทำสัญญาเป็นผู้เรียกเขาได้แต่เพียงผู้เดียว]

และเมื่อเอาทั้งสองส่วนมารวมกันก็จะกลายเป็นเหตุผลพอดี หนังสืออธิบายการฆ่าของ The Symbol Man ไว้ว่า (สปอยล์) [ฆาตกรเห็นความผิดพลาดในการเรียก Rhyzkahl มาว่าเกิดจากที่พลังที่ใช้เรียกและผูกมัดเจ้าปีศาจมีไม่พอ และเพื่อจะทำให้สำเร็จ ก็ต้องสะสมพลัง หรือ essence จากเหยื่อให้เพียงพอ การฆ่าที่หลากหลาย กินเวลา และทรมานเป็นเพื่อการทดลองว่าอย่างใดจะให้พลังดีที่สุด และการเรียกมาโดยมีพลังเพียงพอก็จะสามารถผูกมัด Rhyzkahl มาใช้งานตามใจได้ ซึ่ง Rhyzkahl ซึ่งคำอธิบายนี้ก็อธิบายเหตุการณ์ในตอนแรกด้วยว่า เหตุใด Kara จึงเรียก Rhyzkahl มาได้ ทั้งที่เจ้าตัวเองเรียกปีศาจระดับต่ำมา] และกลายเป็นหนังสือสืบสวนที่มีแนวทางของแฟนตาซีในเมืองที่สนุกและชวนอ่านมากที่สุดเล่มหนึ่ง ยกเว้นตอนจบที่ไม่แน่ใจว่าจะชอบหรือไม่ชอบอย่างไร เพราะเป็นไปได้ในเชิงแฟนตาซีในเมือง แต่เกือบไม่มีตรรกะในทางสืบสวน (สปอยล์) [Kara กึ่งตายไปแล้วจากการทำร้ายของปีศาจที่ฆาตกรเรียกมา แต่ Rhyzkahl ชุบชีวิตให้เธอ โดยไปรักษาที่มิติของเขา และพาเธอกลับมาหลังจากนั้นอีกกว่าสองอาทิตย์] ให้คะแนนที่ B+ และสรุปว่า “One of the best detective suspense with urban fantasy cause.”

หนังสือมีเล่มสองที่วางแผงแล้วตอนต้นปี 10 คือ Blood of the Demon ซึ่งต้องบอกว่าเข้มข้นสู้เล่มแรกไม่ได้ (จะรีวิวต่อเร็ว ๆ นี้) และเล่มสามที่จะออกต้นปี 11 คือ Secrets of the Demon โดยที่ระยะเวลาที่ทิ้งนานก็เพราะเปลี่ยนสำนักพิมพ์ จาก Bantum เป็น Daw เพราะเจ้าเดิมไม่คิดจะต่อสัญญา แต่ทั้งนี้ นอกจาก Secrets of the Demon แล้วก็ยังได้สัญญาคือ สองเล่มมาด้วยคือ Sins of the Demon, and Touch of the Demon

ปล. และดังนั้นก็จะต้องเปลี่ยนปกด้วย กรี๊ด แล้วจะเป็นเซ็ทเหมือนเดิมไหมคะ กรี๊ด กรี๊ด




Friday 21 May 2010

The Drowning City by Amanda Downum

เห็นเล่มนี้ที่คิโนะ เอ็มโพเรียม ถูกใจกับปกที่เป็นตัวเอกหน้าตาเคร่งขรึมจริงจัง และดูเหมือนจะสามารถ และพอเริ่มอ่านก็ชอบวิธีการใช้ภาษา และการใช้คำ (พูดง่าย ๆ ได้ว่าเลือกหนังสือจากปก...อีกตามเคย)



ชนิด : Semi-Urban Fantasy / Fantasy/ Magic/ Necromancer / Mage/ Politics/ Spy
ชุด : The Necromancer Chronicles, Book 1
สำนักพิมพ์ : Orbit; 1 edition (September 1, 2009)
จำนวนหน้า : 384 หน้า


เปิดฉากที่ Isyllt ผู้มีความสามารถติดต่อกับวิญญาณและคนตาย ถูกมอบหมายให้มาที่เมือง Symir ที่อยู่ข้ามทะเลออกไป เพื่อติดต่อและช่วยเหลือคนพื้นเมืองที่กำลังก่อกบฏ ด้วยจุดมุ่งหมายว่า หากจักรวรรดิต้องวุ่นวายกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นแล้ว ก็จะทำให้ความตั้งใจรุกรานประเทศของเธอล่าช้าลงไป เมื่อเดินทางมาถึงเมือง เธอได้พบกับ Asheris ผู้ที่ทำให้เธอต้องยุ่งยากใจทั้งจากความสามารถในการใช้ไฟ ระดับสติปัญญา และจากความจริงที่ว่าเขาอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับเธอ

ซ้ำร้าย Xinai หนึ่งในสองนักรบรับจ้างที่เดินทางกับเธอ กลับกลายเป็นคนพื้นเมืองของ Symir ที่หนีตายจากการฆ่าล้างเผ่าเมื่อสิบกว่าปีก่อน และเมื่อได้พบกับคนต่างเผ่าที่เคยช่วยเหลือให้รอดชีวิต Xinai ก็เข้าไปผูกวนอยู่กับการล้างแค้นและปลดแอกให้กับชนพื้นเมือง จนหันหลังจากทั้ง Isyllt และ Adam นักรบรับจ้างอีกคนที่เป็นทั้งคู่หูและคนรักของตัวเอง

อีกทั้ง Zhirin ลูกศิษย์ของผู้ใช้เวทย์มนต์ที่ Isyllt รู้จัก อยู่ในสถานะทั้งคนรักของผู้นำกลุ่มก่อกบฏฝ่ายสันติ และฐานะลูกสาวของนักการเมืองทรงอำนาจที่สนับสนุนวัง

และดังนั้น เมื่อทุกฝ่ายมีความต้องการและจุดประสงค์ของตัวเอง สถานการณ์จึงตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆ จนปะทุเมื่อถึงขีดสุดในช่วงหลัง และ Isyllt ก็ต้องเลือกทางที่ให้งานที่ได้รับมอบหมายมาสำเร็จลุล่วง โดยที่ยังรักษาชีวิตของเธอ และคนที่เธอเข้าไปผูกพันในเมืองให้ได้

เลือกหนังสือเล่มนี้จากปกและการใช้คำอย่างที่ได้บอกไป แต่เมื่อมาอ่านเข้าจริง ๆ รู้สึกว่าการใช้คำพรรณนากึ่งบรรยายในเรื่องใช้คำเยอะ และฟุ่มเฟือยมากไปในบางจุด และบางจุดก็ใช้สำนวนภาษาที่วกวนจนอ่านแล้วงง สิ่งเหล่านี้รวมไปถึงการเรียกชื่อเฉพาะด้วยชื่อมากกว่าหนึ่งชื่อด้วยก็ได้ ซึ่งเมื่อประกอบกับตัวละครที่มีอยู่มากแล้วก็ทำให้สับสน และงุนงงจนต้องพลิกกลับมาดูหลายครั้ง และการใส่รายละเอียด และการใช้คำก็ก้ำกึ่งอยู่ระหว่าง ซับซ้อน และ สับสน (complex กับcomplicated ได้) ซึ่งถือเป็นจุดด้อยที่สุดในหนังสือเล่มนี้ และทำลายอรรถรสในการอ่านไปบางส่วน ซึ่งตอนแรกเข้าใจว่าเป็นคนเดียว (และทำลายความเชื่อมั่นในเรื่องการอ่านหนังสือและตีความส่วนตัวไปมากโข ก่อนจะพบว่ามีหลายคนที่บ่นแบบเดียวกัน) และดังนั้น การมีรายชื่อศัพท์มาให้ อาจจะช่วยได้บ้าง

.... ซึ่งจุดที่สำคัญที่สุดที่รู้สึกว่าตัวเองต้องใช้เวลาทำความเข้าใจมากเกินไปก็คือ สภาพฝ่ายกบฏ (สปอยล์) [ที่มีมากกว่าหนึ่งกลุ่ม และแบ่งเป็นฝ่ายที่รักสงบ และใช้ความรุนแรง ซึ่งกว่าจะเข้าใจก็งงไปหลายรอบ]

อย่างไรก็ตาม ปฎิเสธไม่ได้ว่ารายละเอียดมากมาย หลายหลากเช่นนี้ก็มาเพิ่มความสมจริง และใส่มิติให้กับตัวละครจริง ๆ (จุดแบ่งของความรก และรายละเอียดสมจริงแทบจะไม่ชัดเจนเลย และถ้าตัวคนเขียนปรับแก้ได้ เรื่องนี้ก็คงอ่านง่ายกว่านี้มาก) หนังสือมีด้านที่เป็นทั้งแฟนตาซี (การสมมติเมือง สภาพสังคม ทัศนคติ และการใช้ชีวิตต่าง ๆ การพรรณนาความ) แต่ขณะเดียวก็มีมุมที่เป็นแฟนตาซีในเมืองด้วย (วิธีการดำเนินเรื่อง ความฉับไว และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความกล้าได้กล้าเสีย และแนวคิดของตัวละคร) ซึ่งส่วนตัวเห็นว่าเป็นสิ่งที่เพิ่มความแปลกใหม่ให้หนังสือ เพราะอยู่ระหว่างสองอย่าง และดังนั้น สามารถแก้ความซ้ำเดิมที่มีมาของหนังสือทั้งสองประเภทได้ (และก็คิดว่าสิ่งหนึ่งที่ดึงดูดให้ซื้อมาก็คือการดำเนินเรื่องผสานกันเช่นนี้)

มุมมองที่มองผ่านเรื่องไม่ได้มองผ่าน Isyllt เพียงคนเดียว แต่มองผ่าน Xinai และ Zhirin ด้วย โดยการใช้บุคคลที่สามมาเป็นคนเล่าเรื่อง และตัดเรื่องผ่านตัวละครทั้งสามไปมา ทำให้นอกเหนือจากจะรู้สถานะความเป็นไปของตัวละครนั้น ๆ ในขณะนั้นแล้ว ก็ยังรู้ความคิด ความต้องการ และสถานการณ์รอบข้างด้วย ซึ่งสนุกและเร้าใจมาก เมื่อตัวละครแต่ละตัวกระทำการที่ขัดแย้งกัน ด้วยเหตุผลของแต่ละคน และก็ทำให้คนอ่านเกิดความคาดหวัง และเอาใจช่วยตาม โดยเฉพาะเมื่อตัวคนเขียนสามารถสร้างภาพของผู้หญิงสามคนที่มีภูมิหลังแตกต่างกัน ซึ่งทำให้ทั้งนิสัย ความสามารถ ความเข้าใจต่อชีวิต ความต้องการ และสิ่งเร้าในชีวิตของแต่ละคนผิดแผกจากกันด้วย

และดังนั้นชอบการดำเนินเรื่อง ทั้งความรวดเร็ว ความเรียบง่าย และจังหวะในการตัดเรื่อง (ผ่านมุมมองของแต่ละคน) เราเห็นสภาพเมืองที่มีปัญหาภายในและรอจุดประทุขึ้นมา และก็เห็นการกระทำของตัวละครแต่ละตัวที่มีต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ชอบความกล้าที่จะตัดสินใจ และโลกหลายมิติที่คนเขียนสร้าง โดยเฉพาะโครงสร้างโลกวิญญาณและชีวิตหลังความตายที่มีอยู่ในเรื่อง (ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะไม่ได้เรื่องเช่นนี้มาก่อน?)

อย่างไรก็ตาม มีจุดที่ไม่น่าจะมีผลกับเรื่องแทรกเข้ามาในเรื่อง และ/หรือ อธิบายเหตุผลได้ไม่ดีพอหลายครั้ง โดยเฉพาะเรื่อง(สปอยล์) [ฆาตกรที่เป็นคนฆ่าอาจารย์ของ Zhirin ซึ่งหาแรงจูงใจที่ชัดเจนในการฆ่าไม่ได้พอ นอกเหนือไปจากการเปลี่ยนจุดโฟกัสให้ตัว Zhirin กลับไปอยู่ที่บ้าน และเน้นความสัมพันธ์กับแม่ของเธอ นอกเหนือจากความจริงที่อาจารย์ก็เป็นผู้ใช้เวทย์มนต์และเป็นสายลับเก่าที่ไม่น่าจะถูกฆ่าง่าย ๆ]

ช่วงที่เหตุการณ์เข้มข้นขึ้นไปถึงตอนจบคิดว่าสมจริง และเป็นจริงที่สุด แม้จะบอกไม่ได้ว่าเป็นอย่างที่อยากให้เป็นหรือไม่อย่างไร (สปอยล์) [ดังเช่น Isyllt เสียความสามารถในการใช้มือที่ถนัดไป / Adam เลือกที่จะทั้ง Xinai ไว้ที่เมืองก่อนเดินทางกลับ เพราะมองว่านี่เป็นสิ่งที่เธอเลือกแล้ว/ และ Zhirin สังเวยชีวิตตัวเองให้กับเทพแห่งแม่น้ำ เพื่อช่วยเหลือเมืองไว้เมื่อภูเขาไฟปะทุ และเมืองก็ถูกทำลายไปเกือบครึ่ง ถือเป็นโศกนาฏกรรมที่สมจริงครั้งใหญ่ จะมีก็เพียง Asheris คนเดียวที่ดูจะได้ประโยชน์ เมื่อได้กลับเป็นอิสระอีกครั้ง]

อ่านเรื่องนี้ตอนเกิดเรื่องร้าย ๆ ในบ้านเรา และก็เห็นความคล้ายคลึงที่ว่า ความบ้าคลั่ง และใจที่จ้องทำลาย แม้จากความต้องการแสดงออก และเรียกร้องสิทธิของตนไม่เป็นประโยชน์กับใคร แต่กลับเป็นอันตรายทั้งต่อตัวเอง คนรอบข้าง และสังคม ให้คะแนนหนังสือที่ B-/B และสรุปให้ว่า "darkly brilliant madness, darkly brilliant illness." ซึ่งแปลว่าพูดไม่รู้เรื่องอีกแล้ว

ปลายปีน่าจะออกเล่มสอง The Bone Palace ดูอารมณ์อีกที เพราะคะแนนหนังสือที่จะอ่านต่อได้ก็คือ B แต่จากปกแล้วน่าจะซื้อได้อยู่

ปล. ทั้งนี้ คิดว่าสภาพสังคมที่เธอสร้างขึ้นมาจากเมืองในเอเชีย (โดยเน้นที่เอเชียตะวันออก เกือบเฉียงใต้ และตะวันออกกลาง) ผสมกับแนวคิดบางส่วนจากแอฟริกา (ถ้าไม่เข้าใจผิดไปเอง) ชัดเจนที่สุดที่สภาพอากาศ อาหาร (เน้นที่เครื่องเทศรสจัด และแกงกะหรี่) ภาชนะ (ไม้ไผ่ และลำไม้ไผ่) ฯลฯ โดยที่สังคมเป็นจากเอเชียตะวันออกอย่างอินเดีย และการเรียกชื่อ (โดยเฉพาะเผ่าพื้นเมือง) มีส่วนผสมระหว่างจีนและเวียดนาม ดังเช่น Cay Linn และ Cay Xian ซึ่งอย่างหลังนี้ คนเขียนเขียนแล้วเข้าใจ แต่คนอ่านต้องใช้เวลาตีความเข้าสมองอยู่ระยะหนึ่งเสมอ

Monday 15 February 2010

Moonlight by Rachel Hawthorne (n)

เห็นในลิสต์พารานอมอลทีนของอเมซอนแว่บ ๆ แล้วก็เจอที่คิโนะ ด้วยความที่อยู่ในช่วงลดโปรโมฯ ก็เลยงกเอากลับมาด้วย และก็ไม่อยากบอกว่าชอบวิธีการใช้สีและการวางเลย์เอาท์ที่หน้าปกก็เลยเอามา ไม่ได้เกี่ยวกันเล๊ย ใครบอกว่าอย่าตัดสินหนังสือจากหน้าปก ขอให้มาคุยกันสักหน่อยเถิด (ช่วยบอกให้เลิกดูแค่ปกเสียที)




ชนิด : YA/ Paranoramal/ Werewolves
ชุด : Dark Guardian #1
สำนักพิมพ์ : Harperteen (Feb 23 2009)
จำนวนหน้า : 272 หน้า



เมื่อเธอยังเด็ก พ่อแม่ของสาวน้อย Kayla ถูกฆ่าตายเมื่อครั้งทั้งครอบครัวไปเที่ยวด้วยกันในป่า และแม้จะอยู่กับพ่อแม่บุญธรรมที่รักเธอเหมือนลูกสาวแท้ ๆ แต่เธอก็ไม่สามารถขจัดความกลัวป่าในส่วนลึกในใจเธอได้ และเพื่อแก้ปมในใจ ปีนี้ช่วงปิดเทอมเธอจึงมาเป็น Sherpa หรืออาสาสมัครในป่าร่วมกับเด็กคนอื่น ๆ ที่อยู่ในท้องถิ่นรวมเป็นหกคน โดยมี Lucas หนุ่มเคร่งขรึมจริงจังที่ไม่ค่อยพูดเป็นหัวหน้ากลุ่ม

ทั้งหมดมีภารกิจคือ พาพ่อลูกและนักศึกษาที่บอกว่ามาเพื่อศึกษาหมาป่าเข้าไปในป่า และตั้งแคมป์ให้ได้สำรวจบริเวณ ก่อนจะไปรับกลับไป แต่ทว่าระหว่างการเดินทางก็เหมือนจะมีเหตุการณ์แปลก ๆ ขึ้น ทั้งจากที่เธอรู้สึกว่ามีคนคอยจ้องมองเธออยู่ตลอดเวลา และหมาป่าลึกลับที่ปรากฏตัวขึ้นมาช่วยเธอหลายครั้ง ขณะเดียวกัน กลุ่มพ่อลูกที่พวกเธอนำทางมาก็เชื่ออย่างยิ่งว่ามนุษย์หมาป่ามีตัวตนอยู่จริง โดยมี Mason เป็นหนึ่งในนั้น และพวกนั้นก็มาที่นี่เพื่อที่จะพิสูจน์และเอาตัวมนุษย์หมาป่ากลับไป

และดังนั้น สิ่งที่รอเธออยู่เมื่อสิ้นสิ้นการเดินทางก็ไม่ใช่สิ่งที่เธอคาดคิดเอาไว้แม้แต่น้อย เพราะนอกเหนือจากเธอจะต้องค้นหาความรู้สึกส่วนลึกที่ มีต่อเธอ ความยุ่งยากที่พ่อลูกก่อให้กับกลุ่ม Sherpa ก็มีมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาพยายามพิสูจน์ความเชื่อของตัวเองโดยที่ไม่สนใจผลลัพท์ใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นตามมา และที่สำคัญ เธอก็ไม่เข้าใจกับจิตใจตัวเอง และธรรมชาติในใจเธอแม้แต่น้อย

เพิ่งมาพบว่าเขียนริวิวเรื่องนี้ค้างไว้ตั้งแต่กรกฏาปีที่แล้ว และดังนั้น การกลับมาเขียนอีกครั้งจึงเป็นการเขียนจากความทรงจำและความรู้สึกที่ตกค้างอยู่ในใจ (ซึ่งนับแค่ส่วนที่จำได้) เท่านั้น หนังสือเล่มนี้ก็เป็นเรื่องเหนือจริงสำหรับเยาวชน และดังนั้นก็เป็นไปตามสูตรสำเร็จหลายอย่าง (ดูเรื่องสูตรสำเร็จที่เคยพูดไปก่อนหน้า) ไม่ว่าจะเป็น ตัวเอกที่พยายามค้นหาตัวตนของตัวเอง ชายคนรัก (หรือชายคนรักที่จะเป็น)ซึ่งไม่แสดงท่าทีใด ๆ ยกเว้นแต่ปฎิกริยาเคมีระหว่างกัน กลุ่มเพื่อนที่พร้อมจะช่วยเหลือกัน และที่ขาดไม่ได้ ก็คือ เผ่าพันธุ์เหนือจริง ซึ่งในเรื่องนี้ก็คือ มนุษย์หมาป่า (ดูจากชื่อเรื่องก็น่าจะได้)

เนื่องจากหนังสือเล่มนี้เป็น YA จึงเขียนอย่างไม่ลงรายละเอียดและความสมจริงลงไปลึกมาก ซึ่งก็เป็นปัญหาสำหรับคนอ่านผู้ใหญ่ขณะอ่านอยู่หลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการคาดเดาเรื่องราวและเนื้อเรื่องที่จะดำเนินต่อไปได้ และที่ซ้ำร้ายที่สุดก็คือการแก้ปัญหาและอธิบายเหตุการณ์หลายอย่างที่ทำให้รู้สึกหงุดหงิด และไม่สมจริง (สปอยล์) [โดยเฉพาะที่อธิบายว่าจริง ๆ แล้วพ่อแม่แท้ ๆ และตัวนางเอกก็เป็นมนุษย์หมาป่าด้วยเช่นกัน แต่เพราะเกิดอุบัติเหตุในป่าขึ้นมาทำให้หลังพ่อแม่นางเอกตาย โดยที่สภามนุษย์หมาป่าช่วยไว้ไม่ทัน และทำให้นางเอกต้องส่งไปอยู่กับครอบครัวมนุษย์ ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว ด้วยอำนาจที่คนกลุ่มนี้มี การตามหาและตามรับตัวนางเอกกลับมาก็ทำได้ไม่ยาก และไม่ใช่เรื่องเหนือกำลังแต่อย่างใด] หรือการแก้ปัญหาท้ายเรื่อง [ที่ทำให้พ่อลูกนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องรู้ว่ามนุษย์หมาป่ามีอยู่จริง และพร้อมจะกลับมาเพื่อแก้แค้น และจับมนุษย์หมาป่าไปทดลอง ซึ่งถ้าจะตัดไฟแต่ต้นลมก็ทำได้ แต่ก็เป็นไปได้ว่าคนเขียนเขียนทิ้งไว้เพื่อให้เป็นเหตุการณ์ในเล่มต่อ ๆ ไป] รวมไปถึงการที่พระเอกเป็นหัวหน้ากลุ่ม (และหัวหน้ากลุ่มผู้พิทักษ์) แต่กลับไม่มีวิจารณญาณหลายอย่างที่ควรจะมี หรือมีอย่างเพียงพอ

แต่นอกเหนือจากนี้แล้ว คิดว่าหนังสือตอบโจทย์ความโรแมนติกและชวนฝันในฐานะการเป็นเรื่อง YA ได้ดี เพราะเป็นการพูดถึงรักแท้และรักนิรันดร์ ดังที่เผ่ามนุษย์หมาป่ามีเรื่องของคู่แท้ที่ฝ่ายชายจะสักชื่อของหญิงสาวที่ตัวเองรักและต้องการใช้ชีวิตด้วยไว้ที่ไหล่ และเมื่อถึงเวลาแปลงร่าง –เมื่อฝ่ายหญิงอายุ 17 ปี และฝ่ายชายอายุ 18 ปี- ผู้หญิงจะมีสิทธิจะเลือกรับรักหรือไม่ก็ได้ โดยที่ผู้ชายจะเปลี่ยนแปลงอีกไม่ได้ เป็นการเลือกและความรักเพียงครั้งเดียว (ซึ่งถ้าฝ่ายหญิงไม่รับรักตอบ ผู้ชายก็จะอยู่คนเดียวและเป็นโสดไปตลอดไป) และก็เป็นการแต่งงานที่ทำในป่าภายใต้แสงจันทร์หลังการแปลงร่างของฝ่ายหญิง โดยมีชุดแต่งงานสีขาวเตรียมไว้พร้อม (โรแมนติกขนาดไหนคิดดู) ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว อายุเพียงเท่านี้ถือว่าเด็กเหลือเกิน และก็มีสิ่งต่าง ๆ รอเราอยู่ในโลกอีกมาก

จุดหนึ่งที่ชอบในเรื่องก็คือการที่บรรยายไว้หลังปกว่าตัว Kayla เป็น all-American beauty ซึ่งทำให้คิดภาพการเป็นสาวเชียร์ลีดเดอร์ที่แต่งตัวสวยทำอะไรไม่เป็น แต่ในเรื่อง เธออึด และต่างจากที่คิดไว้เยอะ ดังเช่น เมื่อมีคนต้องว่ายน้ำไปเพื่อเอาเชือกไปผูกกับฝั่งตรงข้ามเพื่อเป็นหลักเกาะให้กลุ่มเดินไปได้ก็กลายเป็นหน้าที่ของเธอ แทนที่จะเป็นหนุ่ม ๆ Sherpa ในคณะ และก็กลายเป็นว่าสาวน้อยของเราเป็นตัวแทนคัดเลือกเพื่อจะไปแข่งว่ายน้ำโอลิมปิกและพลาดตำแหน่งไปเพียงไม่กี่วินาที

รวม ๆ คิดว่าเป็นหนังสือ YA ที่อ่านได้เล่มหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อตัวละครในเรื่องน่ารัก และเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับเด็ก ๆ ที่อ่าน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องความรักธรรมชาติ ใส่ใจคนอื่นรอบข้าง ฯลฯ ซึ่งเรื่องหลักมาแรงในแนวนี้ (ไม่ขอเอ่ยชื่อ) ไม่มี ในฐานะ YA ให้ B แต่ในฐานะหนังสือผู้ใหญ่ให้ B-/C+ และถ้าจะต้องสรุปก็ขอบอกว่า “as light, bright, shining as the Moonlight” ในความหมายที่ว่าเป็นแสงจันทร์ แต่เป็นแสงอาทิตย์ไม่ได้ และไม่พอ จบอย่างงง ๆ

ปล. ตอนแรกที่อ่านจบ คิดว่าจะไปเอาเล่มอื่นมาอ่านต่อ เพราะพูดถึงตัวละครเพื่อนสาวของนางเอกที่ค่อนข้างถูกใจ และ ณ ขณะนี้ เมื่อกลับมาอ่านหนังสืออย่างคัดเลือกอีก คิดว่าคงจะหยุดไป