Saturday 13 December 2008

Moon Called by Patricia Briggs (n)

เนื่องจากสนุกและถูกใจกับ Cry Wolf พอตัว จึงไม่แปลกใจอะไรที่พอรู้ตัวอีกทีก็วิ่งไปที่คิโนะ เอ็มโพเรียม แล้วคว้า Moon Called กับ Blood Bound กลับมาแล้ว (ซึ่งก็พลาดมากที่ไม่ได้เอา Iron Kissed กลับมาด้วย ทำให้ต้องดิ้นรนไปคว้ามาอีกภายหลัง) แต่นั่นแล หลังจากคิดว่าต้องการทางหลบในชีวิต ซึ่งคงทำให้ต้องซื้อหนังสือตามมาอีกมากเป็นแน่ ก็ได้ถึงกาลต่อบัตรสมาชิกอีกครา ใบที่สามแล้ว



ชนิด : Urban Fantasy/ Werewolf/ Vampires
ชุด: Mercy Thompson, Book 1
สำนักพิมพ์ : Ace (January 31, 2006)
จำนวนหน้า : 304 หน้า

การที่ผู้หญิงยึดอาชีพช่างซ่อมรถเป็นเรื่องแปลกอยู่แล้ว แต่ Mercy สาวซ่านักซ่อมรถ VW ของเรามีความพิเศษกว่าที่เห็นภายนอกอีกมาก โดยเฉพาะเมื่อเธอเป็น shapeshifter ที่เติบโตมาในฝูง werewolf ... Moon Called เรื่องเริ่มต้นเมื่อเธอเจอหนุ่มน้อย werewolf แปลกหน้าที่มาขอทำงานที่อู่ของเธอ ซึ่งปกติแล้ว werewolf จะต้องอยู่ร่วมกับฝูง และไม่สามารถเข้าสู่พื้นที่นอกอาณาเขตโดยที่หัวหน้าฝูงในพื้นที่นั้น ๆ ไม่รู้เรื่องไม่ได้ อย่างไรก็ตาม Mercy รับเด็กหนุ่มไว้ทำงานด้วย จนกระทั่งเมื่อเรื่องราวดูจะมีเงื่อนงำอันตรายกว่าที่คิด และ Mery ต้องขอความช่วยเหลือจาก Adam หัวหน้าฝูง Tri-Cities

หากคืนนั้น ศพของ Alan หนุ่มน้อย werewolf ถูกทิ้งไว้ที่หน้าบ้านเธอ และบ้านของ Adam ถูกบุกรุก โดยที่เขาอยู่สภาพบาดเจ็บสาหัส และ Jesse ลูกสาวคนเดียวถูกลักพาตัวไป อะไรคือสาเหตุการตายของ Alan? เหตุใด Adam จึงถูกจู่โจม และ Jesse ถูกลักพาตัวไป? และใครคือผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด?

หนังสือเป็นการเล่าเรื่องผ่านมุมมองของ Mercy ซึ่งสนุกกว่าที่คิดว่าจะเป็นมาก เพราะนอกจากจะมีการดำเนินเรื่องที่ฉับไวรวดเร็วตื่นเต้นให้ผู้อ่านต้องพลิกเปิดอ่านตามไปทีละหน้าอย่างลุ้นระทึก ใจจดใจจ่อกับสิ่งที่จะเกิดในหน้าต่อไปแล้ว การออกแบบบทบาทและบุคลิกตัวละครแต่ละตัวก็น่าสนใจ และมีความลึกพอสมควร ไม่ว่าจะเป็น Mercy เอง ตัว Adam หัวหน้าฝูง หรือ Samuel หมอหนุ่มลูกชายของหัวหน้าฝูงใหญ่ที่ถูกสั่งมาให้ช่วยไขคดี รวมไปถึงแม้แต่ตัวละครรอง โดยเฉพาะเหล่า werewolf ในฝูงของ Adam อย่าง Warren ซึ่งความเป็นเกย์ส่งผลให้โอกาสในอยู่ร่วมสังคมฝูงก่อนหน้านี้แทบจะเป็นศูนย์ และ Ben ที่มีท่าทางก้าวร้าว และมีข่าวลือว่าก่อคดีร้ายแรงจนต้องย้ายมาอยู่ที่ฝูง เป็นต้น ซึ่งลำพังความเป็นมาและทัศนคติของตัวละครเหล่านี้อย่างเดียวก็ชวนให้อ่านได้อยู่แล้ว

แนวการเขียนเรื่อง Moon Called เน้นหนักไปทางตื่นเต้นลึกลับ และกึ่ง ๆ สอบสวน เพราะเริ่มต้นและด้วยปริศนาที่เกิดขึ้นในช่วงแรก การพยายามหาคำตอบที่ซ่อนอยู่ ก่อนจะนำไปสู่การคลี่คลายในท้ายเล่ม ซึ่งผู้อ่านจะได้เงื่อนงำและร่องรอยของสิ่งที่เกิดทีละนิดผ่านเหตุการณ์ที่เกิด เมื่อประกอบกับการประติดประต่อเบาะแสทั้งหมดผ่านการคิดอย่างแหลมคมของ Mercy ก็จะได้คำตอบที่สมบูรณ์

ทั้งนี้ สิ่งที่ผู้แต่งทำได้ดีอีกอย่างอีกสองเรื่องก็คือ การแทรกเหตุการณ์รองเสริมเข้าไประหว่างเล่ม ซึ่งทำให้การมุ่งเน้นที่การสืบสวนนั้นไม่ครอบงำเรื่องราวในเล่มจนเกินไป และการเพิ่มอารมณ์ขันเข้าไปผ่านการบรรยายของ Mercy ซึ่งแม้หลายครั้งจะเป็นผ่านความคิดประชดประชัน ก็ยังทำให้เรื่องสนุก ช่วยทอนความหนักและตึงเครียดไปได้มาก

จริง ๆ แล้วหนังสือวางให้เหล่า werewolf ที่มีบทบาทในเรื่องทั้งหลัก (Adam และ Samuel) และรอง (Darryl, Warren และ Ben) มีความสามารถและเก่งกาจในระดับสูง หากในเรื่อง เหมือนว่าตัวละครที่สามารถและทำได้ทุกอย่างจะเป็น Mercy เอง ซึ่งอย่างใน Moon Called ตัว Adam ก็เพลี่ยงพล้ำและต้องให้เธอไปช่วยอยู่หลายครั้ง ซึ่งทั้งนี้อาจจะเป็นการมองเรื่องและฟังเรื่องผ่าน Mercy โดยที่ไม่เห็นสิ่งที่คนอื่นคิดและทำก็ได้

สรุปได้สั้น ๆ ว่า She’s a touch bitch! (ดูรูปเธอจากหน้าปกก็รู้)

Thursday 11 December 2008

Cry Wolf by Patricia Briggs

ใครหนอใครพูดว่า One thing lead to another คะ? เชิญมาพิสูจน์ได้แล้วที่นี้ หลังจากอ่าน Novella เรื่อง Alpha and Omega ไป.. ก็ให้ติดใจต้องไปขวนขวายหา Cry Wolf มาอ่านอีก โอ


ชนิด : Urban Fantasy/ Werewolf / semi-close
สำนักพิมพ์ : Ace Mass-market Ed edition (July 29, 2008)
จำนวนหน้า : 320 หน้า

Cry Wolf ดำเนินเรื่องต่อจาก Alpha and Omega ซึ่งเป็นเรื่องสั้น ที่ลงใน On the Prowl หนังสือรวมเรื่องสั้นที่ Patricia Briggs เขียนร่วมกับคนเขียนคนอื่น ๆ อีก 3 คน โดยในเรื่อง Charles ลูกชายและมือขวาของ Marrok หัวหน้าเหล่า werewolf ในอเมริกา ถูกส่งให้มา "จัดการ" กับปัญหาและความไม่ชอบมาพากลในฝูงชิคาโก้ ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ Anna สมาชิกในฝูงนั้นรายงานเรื่องนี้ให้ Marrok รับรู้พอดี และดังนั้น เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของ Anna จากการถูกฆ่าปิดปาก Charles จึงต้องรับหน้าที่คุ้มครองเธอด้วย ก่อนที่เขาจะพบว่าหมาป่าในตัวยอมรับ Anna เป็นคู่ของตน

อย่างไรก็ตาม ใน Cry Wolf เปิดฉากมาด้วยการที่ Anna เก็บของเพื่อย้ายข้ามเมืองไปอยู่กับ Charles ... การย้ายไปอยู่ด้วยกันคงไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้า Anne ไม่ต้องรีบเก็บของไปอย่างรีบเร่ง และ Charles ไม่ได้อยู่ในสภาพหมาป่าเพื่อฟื้นตัวหลังจากถูกยิงด้วยกระสุนเงินระหว่างการสู้กับฝูงชิคาโก้มา ซึ่งแทนที่จะมีเวลาพัฒนาความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นอย่างกะทันหัน การที่มีมนุษย์ถูกทำร้ายจากฝีมือของ werewolf ในภูเขาทำให้ Charles ที่อยู่ในสภาพบาดเจ็บต้องออกตามหาล่าคนร้ายในเทือกเขาหิมะไปกับ Anna และเรื่องราวก็ซับซ้อนมากขึ้น เมื่อใครก็ตามที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้อาจสั่นคลอนถึงอำนาจของฝูง werewolf ทั้งมวล!

โอ เป็นครั้งที่เขียนเรื่องย่อได้ไม่ค่อยรู้เรื่องชอบกล แต่ถ้าจะสรุปอย่างสั้นอย่างที่ชอบทำหลังอ่านหนังสือจบก็คือ Cinderella-like werewolf love story ไม่ก็ werewolf-style Cinderella! เพราะในส่วนของ Anna แม้เธอจะเป็น Omega –หมาป่าที่มีฐานะพิเศษในสำหรับฝูง – แต่การที่ถูกแปลงเป็นหมาป่าอย่างไม่คาดฝัน และถูกฝูงที่อยู่ด้วยปฎิบัติต่อเธออย่างเลือดเย็น และโหดร้ายมากว่าสามปีทำให้เธอแทบไม่เหลือความเคารพตัวเอง หรือแม้กระทั่งความเป็นตัวเองเลย และยิ่งต้องย้ายมาเมืองที่ไม่รู้จัก โดยที่ยังไม่รู้จัก Charles ดีก็เพิ่มปมในใจของเธอเข้าไปอีก ความรู้สึกไม่ลงตัว ผิดที่ผิดทางฝังแน่นอยู่ในใจของ Anna ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อประกอบกับความเกลียดชังสิ่งที่ตัวเองกลายเป็น ซึ่งจริง ๆ ที่บอกว่า werewolf-style Cinderella ก็เพราะการอ่านเรื่องนี้ทำให้เกิดความสงสัยใจอย่างมากว่าหลังจากที่ Cinderella ย้ายไปอยู่กับเจ้าชายในวังแล้ว จะเกิดความรักความสมหวังตลอดกาลเป็น happily ever after จริงฤา เพราะในเรื่องตัวเธอเองก็ไม่ได้รู้จักเจ้าชายไปมากกว่าการเต้นรำด้วยกันในเวลาชั่วค่ำคืน

นอกเรื่องไปนิดตามนิสัยเถลไถล ... กลับมาที่ทางฝั่ง Charles บ้าง ชายหนุ่มมีนิสัยค่อยข้างเงียบขรึมและเก็บตัว การเป็นหมาป่าโดดเดี่ยวมาตลอดทำให้เขาไม่คุ้นเคยกับการมีใครมาตลอดชีวิต แม้กระทั่งกับพ่อและพี่ชายก็ยังมีระยะหว่างกันไว้ตลอด ซึ่งเมื่อหมาป่าในตัวเขายอมรับ Anna นั่นก็ทำให้ Charles ปรับเปลี่ยนและยอมรับที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อการอยู่ร่วมกัน ซึ่งอาจจะไม่เพียงพอในสายตา Anna ซึ่งยังไม่มั่นใจ และสงสัยกับสิ่งทั้งหมดที่เกิดขึ้นอยู่

อย่างไรก็ตาม ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมวิจารณ์ออกมาเป็นเรื่องรัก มากกว่านิยาย Urban Fantasy เพราะหลังจากที่เกือบครึ่งเล่มแรกพูดถึงสภาพของทั้งคู่หลังกลับมาในเรื่องการปรับตัวเข้าหากันผ่านสายตาของ Anna และ Charles แล้ว ครึ่งหลังก็เป็นการลุยเขาไปเพื่อตามล่าหาคนร้าย .. อ่านบทวิจารณ์จากหลาย ๆ คน ส่วนใหญ่บ่นว่ารำคาญว่าดำเนินเรื่องค่อนข้างช้าในช่วงแรก สำหรับตัวเองรู้สึกว่าก็ยังพอรับได้ แต่ที่รู้สึกว่าไม่ชอบ ก็คือตอนเดินลุยเทือกเขามากกว่า เพราะมีแต่เดินลุย ลุย และลุยหิมะ เปิดไปกี่หน้าก็ยังเหมือนเดิม ซึ่งก็กลายเป็นว่าเร็วเกินไปในช่วงหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงขมวดปม และจบ เพราะทำให้ลักษณะย่อหน้าละเรื่องมากกว่าจะเป็นหน้า รู้สึกขาดช่วงและขาดรายละเอียดมากไปพอดู

แต่นั่นแหละ ถ้าจะถาม ก็ชอบมากพอที่จะซื้อเล่มสอง Hunting Ground ที่จะออกกลางปีหน้าได้

ปล. จริง ๆ ที่เขียนไปเป็นส่วนของความคิดเห็นส่วนที่เกิดก่อนอ่าน Mercy Thompson Novel ที่เป็นส่วนก่อให้เกิด Cry Wolf … หลังจากอ่าน MTN (ซึ่งเป็นตัวสร้างชื่อให้ Patricia Briggs ด้วย) พอจะรู้สึกได้ว่า ทำไมคนที่เริ่มอ่าน MTN มาก่อนถึงรู้สึกว่าช้า การดำเนินเรื่องเป็นคนละแบบจริง ๆ และเป็นการมองจากมุมมองคนสองคนมากกว่าจะเป็นจากตัว Mercy คนเดียวอย่างใน MTN ก็ไม่แน่ใจว่าตัวคนเขียนตั้งใจว่าอย่างไร เพราะอ่านแล้วเรื่องนี้เป็น love story มากกว่า action อย่างอีกเรื่อง (แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น การเขียนแต่ละแบบก็มีจุดดีไปคนละอย่าง) และอาจจะเป็นเพราะบุคลิกของตัวละครหลักในเรื่อง ที่ทำให้ Alpha and Omega Novel ดูก้าวร้าวน้อยกว่า Mercy Thompson Novel ด้วย

และที่สำคัญ บุคลิกและบทบาทของ Charles แตกต่างจากใน MTN อย่างสิ้นเชิง ถ้าเจอท่าทีเพิกเฉยถึงขั้นเฉยชา และเย็นชาที่ผ่านมา ก็คงไม่ได้คิดกันว่าจะภาคที่ passionate เช่นนี้ได้ อย่างที่ Asil หมาป่าอีกตัวว่าไว้ว่า “... To see Charles, the original lone wolf, caught with a foot in the trap of amor – this will amuse me for a while longer, I think.” ก็อยากรู้ว่าถ้าเล่มสองออกมา บุคลิกของทั้งคู่จะเปลี่ยนไปเป็นแบบไหน และที่สำคัญจะมีโอกาสที่ Anna ได้เจอ Mercy ไหม

สำคัญมาก – วิจารณ์ภาษาไทยฟังดูงง ๆ จะมาทำภาษาอังกฤษต่อไปเร็ว ๆ นี้

เพิ่มเติม
(010209)
ได้อ่านบทวิจารณ์จาก Avidbookreader.com ว่าหงุดหงิดที่บุคลิกของ Anna ค่อนข้าง regressed จากในเล่มเรื่องสั้น ก็พอเข้าใจได้ เพราะตัวเองก็รู้สึกเหมือนกัน แต่อย่างน้อย ความไม่มั่นใจเพราะถูก unrooted จากที่ซึ่งคุ้นเคย มาอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ก็น่าจะพอให้อภัยได้ .. หรือไม่หนอ ก็นั่นแล รอ Hunting Ground อยู่ อย่างที่บอกว่าอยากรู้ว่าบุคลิกจะเปลี่ยนไปไหม ทั้ง Anna ทั้ง Charles!

(280209)
บทสัมภาษณ์ Patricia Briggs ที่เกี่ยวกับ Anna และ Cry Wolf ใน Avidbookreader Catches Up with Fantasy Writer, Patricia Briggs(07/28/2008)

Monday 1 December 2008

The Magicians’ Guild by Trudi Canavan

ชุด Black Magician Trilogy ประกอบไปด้วยหนังสือสามเล่มตามลำดับ คือ The Magicians’ Guild/ The Novice และ The High Lord และดำเนินเรื่องโดยมี Sonea เป็นศูนย์กลาง ซึ่งถือเป็นจุดดีเพราะทำให้เราเกิดความรู้สึกผูกพันและเชื่อมต่อกับตัวละครอย่างต่อเนื่อง ... อย่างไรก็ตาม เนื่องจากตอนที่อ่าน (ต.ค. 48) วิจารณ์ไว้เล่มเดียว และไม่ได้วิจารณ์เล่มที่เหลือต่อ ปัจจุบันก็เลยเหลืออยู่เท่านี้ และจุดเด่นที่สุดของ Black Magician Trilogy ก็คือทำให้ได้กลับมา genre นี้อีกครั้ง เพราะพอพ้นช่วงเด็กการอ่าน youth literature หลายเรื่องก็น่าสนุกน้อยลง และความรู้ภาษาอังกฤษก็ไม่พอที่จะอ่านนิยายภาษาอังกฤษเป็นเล่ม ๆ เสียด้วย แต่พอได้เจอ The Magicians’ Guild ก็เลยกลับมาอ่าน genre นี้อีกเรื่อย ๆ

(และว่ากันตามจริง The Magicians’ Guild ก็เป็นเล่มแรกที่ทำให้มาวิจารณ์หนังสือได้เป็นวรรคเป็นเวรอีกด้วย ... อาเมน milestones เยอะจริงหนอ!)


(UK backpaper /hardcover edition)

ชนิด : fantasy
สำนักพิมพ์ : HarperCollins Publishers (US edition)/ Orbit Books (UK edition)


The Magicians’ Guild พูดถึงตัวเอกของเรื่อง Sonea เป็นสาวน้อยจากสลัม (ในหนังสือใช้คำนี้เลย) ที่เพิ่งค้นพบว่าตัวเองมีเวทย์มนต์ อย่างไรก็ตาม การค้นพบพลังของเธอเกิดขึ้นต่อหน้าผู้ใช้เวทย์มนต์จำนวนมาก และการใช้เวทย์มนต์ก็ถูกจำกัดให้เป็นเรื่องของคนเฉพาะกลุ่ม (The Magicians’ Guild) เสียด้วย ดังนั้น เพื่อไม่ให้ความรู้เฉพาะนี้หลุดไปยังคนนอก เหล่าผู้ใช้เวทย์มนต์จึงต้องตามหาตัว Sonea ให้พบโดยเร็ว อย่างน้อย ๆ ในรอบ 500 ปีที่ผ่านมา ไม่มีใครนอกเหนือจากคนใน Guild สามารถใช้พลังอำนาจพิเศษเช่นนี้ได้เลย Guild จึงต้องแข่งกับเวลาเพื่อตามหาตัว Sonea ก่อนที่พลังที่เธอมีจะควบคุมไม่ได้จนทำลายคนทั้งเมือง และกับ Sonea เอง ... การหลบหนีเพื่อเอาชีวิตรอดก็เริ่มต้นขึ้น !

เล่มนี้จะพูดถึงความพยายามในการหาตัว Sonea ของ Guild และพูดถึงการค้นพบความสามารถของ Sonea และการที่เธอใช้เวลาหลบหนีจากผู้ที่ไล่ล่าไปพร้อม ๆ กับพยายามควบคุมพลังของตัวเอง แต่จะทำอย่างไร เมื่อพลังที่มีเริ่มควบคุมได้ยากขึ้น ๆ จนแม้แต่ตัวเองก็สั่งการไม่ได้ และแม้จะหลบหลีกอย่างไร การไล่ล่าของ Guild ก็กระชั้นใกล้ตัวเข้ามาทุกมี เกมแมวจับหนูครั้งนี้ จะมีจุดจบเช่นไร ? และ Sonea จะสามารถรอดพ้นการไล่ล่าไปได้หรือ?

ใครที่ชอบนิยายแฟนตาซีคงจะตกหลุมรักกับ Black Magician Trilogy ของ Trudi Canavan ได้อย่างง่ายดาย Trudi เปิดตัวหนังสือชุดนี้ด้วย The Magicians’ Guild ซึ่งถึงแม้จะมีพล็อตง่าย ๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นไปตามนั้นเสมอไป สิ่งละอันพันละน้อยที่ถูกแทรกเข้ามาทำให้น่าสนใจ ติดตาม และไม่อาจคาดเดาได้ อย่างที่ตัว Trudi เองเรียกว่า '50/50 twists' นั่นก็คือว่า ถึงแม้จะเดา หรือคาดการณ์ได้มากเพียงไร ก็ทำได้แค่เพียงครึ่งเดียว .... และนั่นก็ช่วยให้ผู้อ่านต้องกลั้นใจและพลิกหน้าต่อไป ๆ เพื่อค้นหาด้วยตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้น และนี่ก็ถือเป็นเสน่ห์งานเขียนของ Trudi ที่เด่นชัดที่สุดพอ ๆ กับการเพิ่มมิติความสมจริงให้ตัวละครด้วยอารมณ์ความรู้สึกและจินตนาการ โดยเฉพาะกล้าที่จะใส่ความล้มเหลวและความรู้สึกล้มเหลวของตัวละครลงไป ซึ่งในขณะเดียวกัน แทนที่จะทำให้ผู้อ่านรู้สึกหดหู่ เศร้าหมองหรือมองโลกในแง่ร้ายได้ด้วย กลับทำให้เกิดสนใจตามติดตัวละครต่อไป เพราะตัวละครของ Trudi เต็มไปด้วยความหวังและความมุ่งมั่น ... ถึงแม้จะใช้เวลานาน ถึงแม้จะต้องให้ผู้อ่านคาดหวังอยู่นาน แต่แล้ว สิ่งนั้นก็เกิดในที่สุด จนผู้อ่านเต็มตื้นไปกับความสำเร็จที่ได้มา

Friday 14 November 2008

Wicked Lovely by Melissa Marr


จริง ๆ เห็น Wicked Lovely ที่คิโนะ เอ็มโพเรี่ยมมาตั้งแต่ปีที่แล้วแล้ว ด้วยความที่ปกสวยถูกใจ แต่ก็แค่พลิก ๆ มาดู ไม่ได้ติดใจอะไรจนกระทั่งวันก่อนไปที่ B2S ชิดลม เจอฉบับเปเปอร์แบ็ค อ่านแล้วสนุกใช้ได้ ก็เลยตัดสินใจซื้อกลับมา จะว่าไปก็เป็นหนังสือแฟนตาซีเล่มแรกที่ไม่ได้ซื้อมาจากคิโนะน่ะเนี่ย – และก็คิดว่าสงสัยถึงช่วง 'หลบหนี' ของชีวิตอีกแล้ว มิฉะนั้นก็คงไม่แสวงหาแฟนตาซีเล่มใหม่มาอ่านเป็นแน่

ชนิด : Young Adult/ Urban Faery
สำนักพิมพ์ : HarperTeen (Paperback) (April 29, 2008
จำนวนหน้า : 352 หน้า

Aislinn อาจจะเหมือนเด็กสาวไฮสคูลธรรมดา แต่เธอต่างออกไปด้วยความสามารถมองเห็นเหล่าแฟรี่ที่อยู่รอบตัวได้เหมือนกับแม่และยายของเธอ และนั่นก็ทำให้ Aislinn ต้องปฏิบัติตามกฏสามข้อที่ยายสอนมาอย่างเคร่งครัด นั่นคือ อย่าจ้องแฟรี่ที่มองไม่เห็น อย่าพูดกับแฟรี่ที่มองไม่เห็น และที่สำคัญที่สุด อย่าดึงความสนใจจากพวกนั้นมา เพราะแฟรี่เป็นตัวอันตราย

แต่ตอนนี้ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไป เมื่อแฟรี่ทรงพลังสองตน ทั้ง Keenan พระราชาของเหล่าซัมเมอร์แฟรี่ และ Donia สาวน้ำแข็งที่ดูไร้ชีวิต กำลังติดตามอยู่รอบ ๆ ตัวเธอ และโชคร้ายว่าการเมินเฉยอย่างที่ทำมาตลอดชีวิตไม่ได้ผลอีกต่อไป ทั้งสองก้าวเข้ามามีบทบาทกับ Aislinn มากขึ้นเรื่อย ๆ ถึงตอนนี้ สิ่งเดียวที่ Aislinn จะใช้เป็นที่พึ่งได้ก็คือ Seth เพื่อนหนุ่มที่อาศัยอยู่ในบ้านรถไฟ ผู้เป็นที่พึ่งทางใจให้เธอตลอดมา ทั้งจากความสงบและเข้าใจที่ Seth มีให้ และจากสภาพบ้านของเจ้าตัวที่เป็นเหล็ก ซึ่งหมายถึงแฟรี่จะไม่มีทางเข้ามาได้

อย่างไรก็ตาม การหนีอาจจะไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด และ Aislinn ก็ต้องตัดสินใจที่จะเลือก!

จริง ๆ หนังสือเล่มนี้สนุกเพราะ "การเลือก" อย่างที่ตัว Melissa Marr พูดเอาไว้ เพราะเมื่อมีสถานการณ์อย่างหนึ่งออกมา ตัวละครหลักถูกคาดหวังให้ทำตามบทบาทที่ตัวเองได้รับ เพราะความเชื่อและทัศนคติที่สืบต่อกันมา แต่เพราะการกล้าคิดนอกกรอบ และเปิดให้ตัวเองได้เลือก และเลือกได้ (แม้จะมีผู้อื่นมาช่วยตัดสินใจด้วยก็ตามที) ก็เลยทำให้สามารถทำในสิ่งที่ต่างออกไปได้ และก็เป็นสิ่งที่ลงตัวที่สุดเสียด้วย ซึ่งเมื่อมองจากโครงเรื่องที่วางไว้ แม้จะคาดเดาได้บ้าง ตามลักษณะหนังสือ Young Adult ที่ไม่ได้วางโครงเรื่องไว้ลึกนัก ก็ยังสนุกที่จะได้อ่าน และได้ลุ้นคาดหวังผลลัพธ์ที่น่าจะถูกต้องสำหรับทุกฝ่ายไว้ ... ซึ่งถ้าพูดไปก็ไม่แน่ใจว่าจะ spoil หรือเปล่า แต่ก็คงไม่มีคนอ่านแน่ ทั้งบล็อกนี้และทั้งตัวหนังสือ ก็เลยขอเล่า และพูดบันทึกให้ตัวเองเลยก็แล้วกัน ว่า ถ้า Keenan ได้เจอ Summer Queen แล้ว และทิ้งผู้หญิงที่ยอมทิ้งตัวเอง และยอมทนทุกข์ทรมานมานานไปแล้ว Keenan จะเป็นตัวละครหลักที่กลวง ไม่มีหัวคิด และไร้น้ำใจที่สุดเท่าที่เคยอ่านมาเลยทีเดียว

อีกประการหนึ่งก็คือ เมื่อเลือกแล้ว เราจะทำตามสิ่งที่เลือกอย่างไร จะยอมรับ หรือจะเสียใจทุกข์ทนกับสิ่งที่ตัวเองเลือกอย่างไร ซึ่งในคามหมายนี้ก็รวมถึงเมื่อเริ่มแรกถูกบังคับให้ต้องเลือก และต้องกระทำด้วย จะยืดอกยอมรับช่องทางที่เปิดไว้ให้อย่างไร – ยอมรับ และหาหนทางที่ดีที่สุดที่จะรับมือ และอยู่ร่วมกับสิ่งนั้น ผลลัพธ์เช่นนั้น หรือจะทนทุกข์ทรมานและเสียใจ ซึ่งยิ่งทำให้สิ่งที่เลือกทุกข์ใจไปมากว่าเดิม?

อย่างหนึ่งที่อ่านบทวิจารณ์แล้วรู้สึกขำก็คือ หลายคนมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่อง love triangle รักสามเส้าที่การอ่านและจินตนาการเป็นตัวนางเอกทำให้เกิดความสุขใจ เป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่หนอ เพราะอ่านแล้วไม่รู้สึกตาม และการอ่านเรื่องรักสามเส้าในครั้งนี้ ถ้าดูตามสถานการณ์ก็พอจะเดาได้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ ... กับสิ่งหนึ่งที่มีคนวิจารณ์ไว้ก็คือ การพูดถึง sex ในหนังสือ Young Adult ถึงแม้ว่าเน้นการบอกเป็นนัยให้รู้ว่ามี มากกว่าการบรรยายฉากเช่นนั้นจริงจัง นั่นสิ ถือว่าเป็นความผิดไหมหนอ? เพราะคนที่พูดพูดด้วยความหงุดหงิดว่าการกล่าวถึงฉากเช่นนั้นเป็นกระแสใหม่ในโลกแฟนตาซี Young Adult เสียเหลือเกิน ถ้าจะถามความรู้สึกส่วนตัวก็รู้สึกปกตินะ ไม่ได้รู้สึกติดใจอะไรจนกระทั่งมาอ่านเจอบทวิจารณ์นี่แหละ เรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องที่เปิดเผยในสังคมตะวันตกมิใช่หรือ และการเปิดให้รับรู้ก็ดีกว่าจะปิดไว้อย่างที่ทำในสังคมเราเสียด้วย

อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องบอกก็คือไม่ได้อ่าน urban fantasy ที่เป็น sub genre fairy เท่าไหร่ พูดกันตามจริงก็อ่านเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก ดังนั้น ถ้าจะบอกว่าคนเขียนทำการบ้านหรือค้นคว้าเรื่อง fairy มาดี ก็คงจะพูดหรือลงไปแตะไม่ได้ แต่ที่แน่ ๆ ก็คือ fairy genre ที่เห็นมีแต่ film noire เป็นหลักชอบกล

ก็นั่นแล ก็ขอจบด้วยประโยคที่น่าจะอธิบายได้หมด There is always a choice.

ปล. ณ ขณะนี้ มีเรื่องที่เซ็ทในโลกเดียวกัน และใช้ตัวละครเดียวกัน พูดง่าย ๆ ก็คือเป็น sequal แบบไม่ค่อย sequal เท่าไหร่ คือ Ink Exchange ที่เล่าเกี่ยวกับ Leslie เพื่อนสนิทของ Aislinn และก็เกรงว่าดิฉันจะต้องหามาอ่านอีกเป็นแน่ แต่เนื่องจากไม่ชอบ hard cover ก็เลยจะลองไปอ่านก่อน ถ้าชอบจริง ๆ อาจจะซื้อ หรือมิฉะนั้นก็รอปีหน้า