Friday 20 March 2009

Black Magic Woman by Justin Gustainis (n)

เห็นมาหลายครั้ง แล้วก็ติดใจทั้งชื่อทั้งปก หยิบมาแล้วก็วางอยู่หลายครั้ง (เกือบจะใช่แต่ไม่ใช่) จนในที่สุดก็ตัดสินใจเอามา เพราะจะได้เลิกสงสัยเสียที


ชนิด : Thriller/ Supernatural / Investigation / black magic
ชุด : A Morris and Chastain Investigation, Book 1
สำนักพิมพ์ : Solaris (January 29, 2008)
จำนวนหน้า :366 หน้า


เรื่องเริ่มต้นที่ Quincey Morris นักสืบเรื่องเหนือธรรมชาติได้รับการจ้างวานจากครอบครัวที่ประสบเหตุการณ์สยองขวัญในบ้านให้มาช่วยไขคดี และเมื่อมีเงื่อนไขของการใช้เวทย์มนต์เข้ามาเกี่ยวข้อง เขาจึงเรียก Libby แม่มดขาวที่รู้จักกันมาช่วยไขคดีอีกคน หากแต่เมื่อสืบลงไปก็ค้นพบว่า ต้นเหตุมาจากบรรพบุรุษของครอบครัวที่มีข้อขัดแย้งกับแม่มดดำในช่วงคดีซาเล็ม และการหยุดเรื่องเหนือธรรมชาติที่เล่นงานคนในบ้านได้อย่างแท้จริงก็คือ ตามหาแม่มดที่สืบเชื้อสายจากอดีตให้เจอ

ระหว่างนั้นเอง นักสืบ FBI Fenton ก็ได้ร่วมมือกับ Van Dreenan ตำรวจที่ประจำหน่วยสืบสวนคดีเหนือธรรมชาติจากแอฟริกาใต้เพื่อสืบหาคดีฆาตกรรมขโมยอวัยวะเด็ก ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น ทั้งนี้ แม้เรื่องราวจะเหมือนกับคดีอาชญากรรมต่อเนื่องทั่วไป แต่จากประสบการณ์ของ Van Dreenan ทำให้เขารู้ว่าคดีนี้มีเรื่องของเวทมนต์มืดเข้ามาเกี่ยวข้อง และเขาก็ต้องรีบตามล่าตัวฆาตกรออกมาให้ได้ ทั้งเพื่อส่วนรวม และเป้าหมายในใจส่วนตัวของเขาเอง (สปอยล์) [ลูกสาวของเขาเป็นหนึ่งในเหยื่อที่ถูกฆ่ามาก่อน]

Black Magic Woman วางอยู่ในชั้นแฟนตาซี/ Urban Fantasy ก็จริง แต่แนวทางของหนังสือเหมือนเป็นเรื่องสืบสวน ทริลเลอร์ ที่มีสาเหตุมาจากเรื่องเหนือธรรมชาติ (ไม่ว่าจะเป็นจากแม่มด ผีดูดเลือด ปีศาจ มนุษย์หมาป่า และอื่น ๆ ทั้งหมายทั้งปวง และในเรื่องก็มีตัวละครเหล่านี้ทั้งหมดเสียด้วย) แทนที่จะเหมือนเรื่องแอ็คชั่นกระแสหลักที่ตัวต้นเหตุเป็นเหล่าฆาตกรโรคจิต อาชญากร หรือมิฉะนั้นก็เป็นสายลับจากประเทศที่เป็นภัยแฝงและภัยตรงของอเมริกา และดังนั้น การดำเนินเรื่องก็ไม่ต่างกัน ที่เล่มนี้ใช้การดำเนินเรื่องสลับฉากกันเป็นระยะระหว่างตัวละครสามฝ่ายเป็นหลัก ที่คือ Quincey กับ Libby /Van Dreenan กับ Fenton และคนร้ายตัวจริง ซึ่งแม้เราจะเข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างพวกเขา และเห็นความเชื่อมโยงที่แต่ละฝ่ายมีต่อกันแล้ว แต่ในหนังสือ ตัวละครเหล่านี้ก็ก็แทบจะไม่ได้มีปฎิสัมพันธ์ใด ๆ กันเลย (ตามหลักหนังสือแอ็คชั่นที่วิ่งสวนกันไปสวนกันมา?)

ส่วนตัวรู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้เกือบสนุก แต่มีสิ่งที่คาดเดาหรือคิดว่าจะเกิดได้มากเกินไป เป็นไปตามสูตรสำเร็จหลายอย่างและที่สำคัญ สำหรับตัว Quincey + Libby และ Van Dreenan + Fenton แล้ว แม้ผู้ที่พวกเขาตามหาจะเป็นผู้ร้ายคนละคนกัน แต่ก็มีความเกี่ยวข้องกัน (สปอยล์) [คนร้ายตัวจริงที่เป็นแม่มดดำต้องการให้คนร้ายของ Van Dreenan + Fenton ฆ่าเด็กเพื่อเอาอวัยวะไปเป็นส่วนผสมในการทำพิธีสาปแช่งเอาชีวิตครอบครัวที่พูดถึงในตอนแรก] และถ้าจะดูว่า ทั้งตัว Quincey / Libby และ Van Dreenan นั้น มีความเข้าใจและประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องเหนือจริง และมนต์มืดมามากแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็น่าจะคาดเดาได้ไม่ยาก โดยเฉพาะเมื่อ Van Dreenan รู้จัก Libby มาก่อน และในเรื่องก็มีการโทรศัพท์ไปขอความช่วยเหลือจากเธออีกด้วย (ถือเป็นตอนที่คาดผิด และผิดหวังตอนอ่านระดับหนึ่ง)

นอกจากนี้ ด้วยความเข้าใจและประสบการณ์ที่มีน่าจะช่วยให้คนทั้งสามสร้างบทบาทตัวเองได้มากกว่านี้ แทนที่จะเดินเกมในแนวรับมากเกินไป อย่างที่ Quincey กับ Libby ใช้วิธีตามหาคนที่น่าจะเป็นเบาะแสทีละคนทีละคน และแทนที่ฉากเหล่านี้จะดูน่าตื่นเต้นเหมือนการกะเทาะเปลือกเกาลัดเพื่อไปสู่เนื้อใน แต่กลับกลายเป็นดูยืดยาวและไม่สิ้นสุด และสำหรับ Van Dreenan ความเข้าใจที่มี ไม่ทำให้เขาเดินเกมรุกเพื่อดักหน้าตัวร้ายได้เลย นอกจากจะช้ากว่าก้าวหนึ่งตลอดแล้ว ยังเหมือนเขานั่งรอให้เด็กคนต่อไปที่จะถูกฆ่า มากกว่าจะหาทางช่วยให้ได้

แต่ทั้งนี้ แม้หนังสือจะเน้นเรื่องของ Quincey กับ Libby อย่างที่ชื่อชุดหนังสือบอกไว้ ส่วนตัวเองเมื่ออ่านคิดว่าบทบาทของ Van Dreenan ค่อนข้างโดดเด่นกว่ามาก และเมื่ออ่านจบ ก็ต้องบอกว่าเป็นตัวละครที่จำได้มากว่าเสียด้วย สำหรับหนังสือชุดเช่นนี้อาจจะเป็นจุดบกพร่องอีกจุดหนึ่ง

สิ่งที่น่าขันและเสียดสีความเป็นอเมริกัน ซึ่งกลายเป็นจุดเปลี่ยนในเรื่องอย่างหนึ่งก็คือ คนร้ายฝั่งของ Van Dreenan กับ Fenton ไปมีเรื่องในร้านค้าปั๊มน้ำมัน และด้วยความที่เธอมาจากทวีปแอฟริกาก็ทำให้เธอประมาทคิดว่ารอดตัวไปได้ หากแต่กล้อง CCTV ที่จับอยู่ ทำให้ตำรวจรู้เบาะแสและสืบโยงไปหาเธอได้ .... ซึ่งเมื่ออ่านตรงนี้ก็เห็นจุดที่จะขยายผลต่อไปก่อนที่จะเกิดขึ้นจริง จุดอ่อนของตัวละครกลายจะกลายเป็นจุดอ่อนของคนเขียนตรงนี้ด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ไม่น่าใจว่ารู้สึกไปเองไหม แต่คิดว่า ช่วงใกล้จบน่าจะมีขมวดปมมากกว่านี้ เพราะขณะนี้ที่ทั้งสองฝ่ายไล่ตามและเข้าใกล้ตัวคนร้ายเข้าไปเรื่อย ๆ ค่อนข้าวเข้มข้น หากเมื่อมีการเผชิญหน้ากันกลับจบอย่างรวดเร็ว . ที่ต้องบอกว่ารวดเร็วเกินไป และคนร้ายก็ถึงจุดจบง่ายดายกว่าที่ควรจะเป็นมาก โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงความทรงพลัง ร้ายกาจ และโหดเหี้ยมที่ผ่านมาในเล่ม และก็เป็นจุดด้อยใหญ่ที่สุดของหนังสือที่ทำให้หนังสือไม่ไปถึงที่ควรจะเป็น

อ่านได้ และก็ถือเป็นหนังสือที่อ่านง่ายมากที่สุดอีกเล่มที่อ่านมา ทั้งในด้านที่ว่า “อ่านออกง่าย” และ “หนังสืออ่านง่าย (ภาษา? การใช้ประโยค? การตีความตาม? แต่อย่างน้อยก่อนหน้านี้อ่าน Zodiac บางย่อหน้าแล้วต้องอ่านหลายซ้ำก็มี)” ให้คะแนนที่ C+ แล้วก็ถ้าคะแนนเชื่อถือไม่ได้ ก็บอกว่า just another easy thriller … with supernatural cause.

ปล. ช่วงที่ Quincey + Libby ไปหาเบาะแสจากที่โน่นที่นี่ทำให้นึกถึงสองพี่น้อง Dean/ Sam โอยย.. เมื่อไหร่ Season Four จะมาคะ!!!

Tuesday 17 March 2009

The Touch of Twilight by Vicki Pettersson (n)

เล่มสองแล้วก็เล่มสาม...


ชนิด : Urban Fantasy / Epic
ชุด : Sign of the Zodiac, Book 3
สำนักพิมพ์ : Eos (May 27, 2008)
จำนวนหน้า : 416 หน้า


หลังจากที่ Joanna ละเว้นชีวิต Regan ในเล่มที่แล้ว Regan เลือกที่จะใช้ Ben เป็นเกราะคุ้มกันตัวเธอโดยปลอมเป็นหญิงสาวที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับ Joanna ในอดีตเพื่อเข้าไปใกล้ชิดกับ Ben ซึ่งก็ทำให้ Joanna อยู่เฉยไม่ได้

หากแต่ในขณะเดียวกัน เธอก็ถูกติดตามจาก Doppelgänger ที่ทั้งพยายามบอกใบ้ข้อความพิเศษให้เธอ และทั้งพยายามจะทำร้ายเธอ ... รวมทั้งตัว Tulpa ที่ต้องการให้ Joanna เข้าเป็นพันธมิตรเพื่อทำลาย Doppelgänger ปริศนาอีกด้วย

และหากสถานการณ์ยังไม่เลวร้ายพอ สัญญาณอย่างที่สาม – การที่ตัว Kairos จะตอบรับความมืดภายในตัว - ที่จะเกิด ก็ยิ่งเพิ่มความตึงเครียดในหมู่ซุปเปอร์ฮีโร่

ในบรรดาสามเล่ม เล่มนี้เป็นเล่มที่อ่านหงุดหงิดอารมณ์เสียที่สุด เพราะว่า เมื่อมีเรื่องที่เกี่ยวกับ Ben เข้ามาก็ทำให้ Joanna หมกมุ่นอยู่กับความคิดเกี่ยวกับ Ben และเต้นไปตามทิศทางที่ Regan ต้องการตลอดเวลา ซึ่งหนึ่งในหลายอย่างก็คือ เธอลงมือทำร้ายคนธรรมดาเพราะคิดว่าเป็น Regan และเสียอาวุธคู่มือ ( เรียกว่า ‘Conduit’ โดยที่แต่ละคนจะมีอาวุธเฉพาะตัวแตกต่างกันไปตามบุคคลทั้งฝ่ายสว่างและมืด และเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ซุปเปอร์ฮีโร่และชาโดว์ถูกฆ่าได้) ให้ Regan ไป (ซึ่งหลังจากเหตุการณ์ท้ายเล่มสามก็สงสัยว่าเธอจะตามคืนมาได้อย่างไรมาก)

และอย่างที่ Regan บอกว่าเธอต้องเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบความผิดพลาดหรือแม้แต่สิ่งที่เธอทำหลายอย่างและหลายครั้งแสดงให้เห็นว่า เธอมีข้ออ้างเสมอที่จะลงมือทำอะไร และมีข้อแก้ตัวเสมอในการปฎิเสธความรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นเพราะบ้าบิ่น ไม่คิดก่อนทำหรืออย่างไรก็ตาม แต่เหตุผลทั้งหลายทั้งปวงที่ยกมา ไม่ให้แสดงให้เห็นว่าเธอรอบคอบ หรือช่างคิดแต่อย่างใด หากเป็นการแสดงให้เห็นการรักตัวเอง และการหมกมุ่นกับตัวเองที่มากเกินไป อย่างที่เธอทำให้ Regan ฆ่าพ่อของตัวเอง ซึ่งแม้ว่าเขาจะเป็นอาชญากรที่สมควรถูกฆ่าก็ตาม แต่เธอทำให้เขาถูกฆ่าในฐานะพ่อของศัตรูคู่อาฆาตของเธอ เป็นการแก้แค้นทางอ้อม มากกว่าจะเป็นการฆ่าเพื่อกำจัดอาชญากร

จริง ๆ การที่เธอยอมปล่อยมือจาก Ben เป็นหนทางที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าล้างความทรงจำของคนรักเก่าออกไป แต่เธอก็ทำไม่ได้ และส่วนหนึ่งที่เห็นได้จากบริบทในเรื่องก็คือ นอกเหนือจากที่เธอบอกว่ารักเขาแล้ว ส่วนหนึ่งก็คือ เธอกลัวว่าตัวตนของเธอเองในฐานะ Joanna จะหายไป และนั่นก็ทำให้เธอเลือกที่จะยึดเขาไว้ด้วย นอกจากนี้ หลายอย่างก็แสดงให้เห็นว่าทั้ง Joanna และ Ben ไม่ได้รู้จักกันเพียงพอหลังที่หายจากชีวิตของอีกฝ่ายไปร่วมสิบปีเลย ทั้งคู่รักตัวตนที่คิดว่าอีกฝ่ายเป็น เห็นสิ่งที่ตัวเองอยากเห็น (โดยเฉพาะตัว Joanna ที่ไม่ยอมรับ เมื่อมีหลักฐานหลายอย่างที่แสดงให้เห็นด้านมืดของ Ben) และติดกับภาพในอดีตอยู่ดี ซึ่งแม้การอยู่ร่วมกันหลังจากนั้นจะมีความเป็นได้ “ถ้า” Joanna ไม่ได้กลายเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ แต่ก็อาจจะเกิดปัญหาได้หลังจากนั้นที่ช่วงเวลาหวานชื่นระหว่างกันหมดไป

ซึ่งความคิดคำนึงที่ Joanna มีต่อ Ben ทำให้การตัดสินใจของเธอผิดพลาดหลายครั้ง โดยเฉพาะครั้งสุดท้ายที่เธอทนเห็นความสำคัญที่ Regan ที่มีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ กับเขาไม่ได้ จนเลือกที่จะตัดสินใจสารภาพความจริงทุกอย่างให้ชายหนุ่มฟัง ซึ่งเป็นความงี่เง่าที่จะส่งผลร้ายต่อทุกคนที่เกี่ยวข้อง และดังนั้น การที่เมื่อถึงเวลานัด (สปอยล์) [Joanna เจอ Regan ในร่างของ Joanna อยู่บนเตียงกับ Ben] จึงเป็นฉากที่ชอบมากเป็นส่วนตัว เพราะเป็นตัวจัดการที่เด็ดขาดที่ทำให้เธอคิดใหม่หลังจากนั้น (และหลังจากสติหลุดไปทั้งคืนนั้น) ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ส่งผลให้ Joanna ปล่อยมือจาก Ben และจาก Olivia ได้จริง ๆ เธอเรียนรู้ที่จะก้าวต่อไปได้

ซึ่งส่วนนี้ ก็ ironic อยู่นิดหน่อยที่เมื่อสาเหตุการไม่ปล่อยมือจาก Ben ของเธอก็เพราะอยากให้คนที่รู้จักตัวตนของเธอ รู้จัก Joanna หลงเหลืออยู่ แต่กลายเป็นว่าในตอนท้ายเล่ม สมาชิกในกลุ่มซุปเปอร์ฮีโร่ (นอกเหนือจาก Warre, Micha, Tekla และ Hunter) ก็ได้ล่วงรู้ว่าที่แท้จริงของเธอที่ไม่ใช่ Olivia แต่เป็น Joanna ในที่สุด (อย่างที่ในบอร์ด Vicki เรียกว่า “JOlivia”) และก็แปลกที่เหล่า Shadows จำนวน หนึ่งรู้ว่าเธอเป็นใครเป็นระยะ ๆ (อย่างน้อยในแต่ละเล่มก็ต้องมีคนรู้) แต่กลับกลายเป็นเหล่าซุปเปอร์ฮีโร่ไม่รู้เรื่องนี้เลย ฉากที่พวกนี้ตกใจกับตัวตนของเธอก็เป็นฉากที่อ่านขำฉากหนึ่งเช่นกัน (เพิ่มเติม-แก้ไข 24/03/09)

และก็ต้องสารภาพว่า เล่มนี้อ่านได้จบรอดฝั่งก็เพราะตัว Hunter ซึ่งกลายเป็นตัวละครที่ชอบที่สุดในเรื่องไปแล้ว หลังจากที่เดินเกมรุก Joanna และทำสัญญา platonic ไปในเล่มสองแล้ว เล่มสามคุณพี่ก็กลับมารุก Joanna อีก และถ้ามองว่า นอกเหนือจากแรงดึงดูดที่มีต่อกัน (แม้ Joanna จะไม่ยอมรับก็ตาม) เขาเป็นคนเดียวที่รับมือกับเธอได้ และ เป็นคนเดียวในกลุ่มที่ยอมรับด้านมืดในตัวเธอชัดเจนที่สุด อย่างที่บอกเธอว่า “The Light in you is amplified because of your darkness. I’m like a child pressing my nose against a windowpane, seeing the source of the light and wanting to warm myself in.” (หน้า 338) – ซึ่งถ้าไม่ได้ชอบ Hunter มาตั้งแต่ใกล้จบเล่มที่แล้ว ก็มาตกหล่มตรงนี้ได้ ง่าย ๆ แต่แอบแรง

ถ้าเป็น Joanna คนเดิม อาจจะอยู่กับ Ben ที่บอกว่าตัวเองเป็น “….the soft spot where a strong woman can rest.” (The Taste of Night, หน้า 359) ได้ แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป คนที่จะเป็นเช่นนั้นได้สำหรับเธอ ไม่ใช่ Ben อีกต่อไป ด้วยความเหมาะสมทั้งปวง และอาจจะเป็นว่า a superhero lover for a superhero ด้วย อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ที่เดินหน้าถอยหลังระหว่างกันก็ทำให้เหนื่อยใจเสียเหลือเกินว่าจะเกิดอะไรต่อไป โดยเฉพาะเมื่อ (สปอยล์) [เธอนอนกับ Hunter เพื่อที่จะเป็นทางออกให้ลืมสิ่งที่เห็นระหว่าง Ben กับ Regan แล้วทำร้ายจิตใจเขาเช้าวันรุ่งขึ้น] และที่สำคัญ (สปอยล์) [เมื่อตัว Hunter ปรากฏอยู่ใน Shadow Manuals เล่มถัดไป] (กรี๊ดด จะเกิดอะไรขึ้นคะ) ทั้งที่ เรื่องระหว่างเธอกับ Hunter เหมือนกับเรื่องที่เธอจะปล่อย Ben ไป ที่ว่าขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น


จุดหนึ่งที่ไม่ชอบคือ การ flashback ตัด ความไปเล่าที่มาที่ไปของสิ่งที่เกิด ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ในกรณีที่คนอ่านอ่านมาตั้งแต่ต้น ด้วยความเร็วปีละเล่ม ซึ่งจะช่วยย้อนความเป็นมาของเรื่อง แต่ส่วนตัวเอง อาจจะเป็นเพราะอ่านติดกันทั้งสามเล่ม เลยรู้สึกว่าน่ารำคาญ และเป็นการย้ำที่มากไป โดยเฉพาะเมื่ออ่านเล่มสาม

ไม่ชอบตอนใกล้จบมากนัก เพราะดูเป็นการขโมยซีนตัวละคนอื่น สร้างสถานการณ์ให้ตัวเองดูฉลาด ขณะที่ไม่ฉลาดที่ทำให้ตัว Tulpa โกรธอย่างหนัก และก็ไม่กล้าคิดถึงสถานการณ์ในเล่มสี่เลย มีหวังเหนื่อยหนักกว่านี้แน่ ๆ ทั้งที่ผ่านมาดูเหมือนเยื่อใยในฐานะพ่อ หรืออย่างน้อยก็ในฐานะคนที่ใช้ประโยชน์ได้ ทำให้เธอถูกไว้ชีวิตมาหลายครั้งก็ตาม และก็ไม่ชอบที่เธอไม่ได้จัดการ Regan ให้เด็ดขาด ตีงูต้องตีให้ตาย อย่าแค่หลังหักแท้ ๆ

อย่างไรก็ตาม เล่มหน้าไม่น่าจะมี Ben แล้ว แล้วก็สาธุลุ้นระหว่างเธอกับ Hunter มาก เพราะอย่างน้อยที่สุด สิ่งที่เขาเสนอให้ ไม่ใช่แค่คนรัก แต่เป็นคนเก็บความลับ พันธมิตร และคนระวังหลังให้

ให้คะแนนที่ B/B- .. too much snappish.

สรุปรูปแบบ 3 เล่ม ได้ว่า
1.จะเปิดเรื่องที่ Joanna ทำอะไรตามใจ และตามสัญชาตญาณของตัวเอง และเพราะด้านมืดในตัวก็จะทำให้ฝ่ายซุปเปอร์ฮีโร่หวาดระแวง

2. Sign ในแต่ละเล่มถือเป็น theme ของเรื่อง แต่ก็เป็นเกี่ยวกับตัวเธอในฐานะ Kairos ทั้งสิ้น อันแรก - ‘The Rise of Kairos’ คือบอกว่าตัว Kairos ที่มีพลังทั้งด้านสว่างและด้านมืดอยู่อย่างละครึ่งจะเกิดขึ้น และฝ่ายที่ Kairos เลือกข้างจะชนะ อันที่สอง – ‘The Cursed battlefield’ ซึ่งหมายถึงไวรัสที่ใช้คร่าชีวิตคนในลาสเวกัส อันที่สาม – ‘Kairos embracing her darkness’ อันนี้ ส่วนตัวเอง ไม่เห็นเหตุการณ์เช่นนั้น รู้สึกว่าที่ตีความไว้กับที่เป็นไม่เหมือนกัน

3.ในแต่ละเล่ม อาจจะมีตัว Shadow ออกมามีบทบาทเป็นระยะ ๆ แต่จะมีอยู่ตัวเดียวที่จะคอยตามล่าตามอาฆาตตัว Joanna / ถูก Joanna ตามล่าตามอาฆาต หรือทั้งสองอย่างเลยก็ได้ เรียกว่าเป็นศัตรูในเล่มนั้น ๆ เลย (Ajax, Joaquin และ Regan ตามลำดับ) และตัวเธอก็จะฆ่าพวกนี้ไม่ได้ แค่สวนกันไปสวนกันมาจนจะจบเล่ม จึงจะฆ่าได้

4. ถึงซุปเปอร์ฮีโร่จะคอยหวาดระแวงเธอ แต่ท้ายเล่มตัวเธอเองก็จะเป็นฝ่ายถูกและฝ่ายเอาชนะตัวร้ายได้ และทำให้พวกซุปเปอร์ฮีโร่ต้อนรับเธอในตอนจบทุกครั้ง

5. ระหว่างที่เจอ ”ศัตรู” จากข้อสองตอนท้ายเล่ม เธอจะต้องเจอ Tulpa ทุกครั้ง แต่ก็ไม่ถูกฆ่า รอดชีวิตมาได้ทุกที และก็มีเรื่องกลับไปเล่าให้คนอื่น (โดยเฉพาะ Warren) เกี่ยวกับความคืบหน้าต่าง ๆ เสมอ

6. สิ่งที่อธิบายชุดนี้ได้ดีมาก ๆ คือ คำวิจารณ์ของ Publishers Weekly ที่บอกว่า “Moody, fast-paced … blends fantasy, comic book superheroism and paranormal romance, but holds no promise of a happily-ever-after. [Readers] will embrace Pettersson's enduring, tough-as-nails heroine and anticipate gleefully the next volume… “
(ส่วนตัวเอง no promise of a happily-ever-after จริง ๆ ไม่รู้ว่าเลิกรู้สึกรันทดกับชีวิต Joanna หรือว่าเคยชินแล้ว)

ไม่เกี่ยว
ฟังเพลง "Please don't leave me" ของ Pink แล้วคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่าง Joanna กับ Hunter มาก (แต่สภาพการเป็น Archer และ Kairos ในกลุ่มซุปเปอร์ฮีโร่ นี่ "One Foot Wrong")

I don't know if I can yell any louder,
How many times have I kicked you out of here?
Or said something insulting?

I can be so mean when I wanna be,
I am capable of really anything,
I could cut you into pieces,
But my heart is, broken.

You're my perfect little punching bag,
And I need you,
I'm sorry.

The Taste of Night by Vicki Pettersson (n)

เนื่องจากเก็บกดตอนหาเล่มหนึ่งไม่ได้ ก็เลยเอามาทั้งเล่มหนึ่งสองพร้อมกัน แม้ว่าจะยังไม่ได้อ่านใด ๆ ไป ซึ่งก็กลับกลายเป็นเรื่องดี เพราะจบเล่มหนึ่งแล้วก็ต่อได้เลย



ชนิด : Urban Fantasy / Epic
ชุด : Sign of the Zodiac, Book 2
สำนักพิมพ์ : Eos (February 27, 2007)
จำนวนหน้า : 448 หน้า


หลังจากเล่มที่แล้วที่ Joanna รู้ว่าตัวเองเป็นใครแล้ว เธอได้รู้จักตัวตนของชายที่เคยทำร้ายเธอเมื่อตอนอายุ 15 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งในบรรดา Shadows และเป็นคนที่เธอตามล่าเพื่อล้างแค้นมาตลอด 10 ปีด้วย ดังนั้น ซุปเปอร์ฮีโร่ของเราจึงไม่ลังเลเลยที่จะหาทางแก้แค้นและตามฆ่า Joaquin ให้ได้

หากแต่ความมุ่งมั่นของ Joanna ไม่ใช่สิ่งที่ดีนักสำหรับกลุ่ม เพราะพวกเขารู้ว่าความมุ่งมั่นที่มากเกินไปอาจย้อนกลับมาทำร้ายหญิงสาวหรือแม้แต่ส่วนรวมได้ง่าย โดยเฉพาะเห็นได้ชัดว่า เธอจะทำได้ทุกอย่าง เมื่อประกอบกับความกลัวว่า Tulpa หัวหน้าเหล่าร้ายจะใช้แผนทำให้เธอกลายเป็นพวก ก็ทำให้กลุ่มตัดสินใจที่จะสั่งให้เธอเก็บตัวอยู่ในฐานทัพของพวกตนระหว่างที่เกิดเหตุการณ์ประหลาดที่คร่าชีวิตผู้คนในลาสเวกัส

หากแต่ Joanna ไม่ใช่คนที่จะยอมอยู่นิ่ง ยิ่งเมื่อเธอได้เบาะแสต่าง ๆ ทั้งที่เกี่ยวกับ Joaquin และเหตุการณ์ที่เกิดจาก Regan สมาชิกกลุ่ม Shadows เธอจึงเลือกที่จะสู้ในแบบของเธอคนเดียว แม้ว่าจะต้องขัดคำสั่งของกลุ่มก็ตาม

หนังสือชุดนี้ดำเนินเรื่องด้วยเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เน้นที่สัญญาณที่จะเกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา แต่ในขณะเดียวกันก็เน้นถึงการเติบโตและเปลี่ยนแปลงของตัวละครด้วย ดังที่เห็นว่า หลังจากที่เธอใช้ชีวิตของเธอมาคนเดียวสิบปี และสู้กับความชั่วร้ายในแบบของเธอ ตอนนี้เป็นเวลาที่เธอมีกลุ่มเพื่อน และต้องเรียนรู้ที่จะทำตามกลุ่ม ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะปรับตัว และโดยเฉพาะเมื่อกลุ่มของเธอยังระแวงและหวาดกลัวเธออยู่ เป็นความขัดแย้งที่กลุ่มต้องการให้ Joanna ทำตามข้อเสนอของส่วนร่วม แต่ขณะเดียวกัน ส่วนร่วมนั้นก็พยายามแปลกแยกเธอออกไป แม้ว่าเล่มหนึ่ง Warren จะเป็นคนที่เชื่อมั่นเกี่ยวกัน Kairos ก็ตาม แต่เล่มนี้เห็นได้ชัดว่า หลายครั้ง เขาไม่ยอมที่จะเชื่อมั่นเธออย่างที่ควรจะเป็น .... การถูกกีดกันออกมาไม่ว่าจะรูปแบบไหน ก็ทำให้ Joanna ยิ่งกล้าที่จะวางตัวโดดเดี่ยว และทำตามใจตัวเองยิ่งกว่าเดิม

ส่วนนี้อาจจะมองว่าเธอเป็นฝ่ายผิดก็ได้ แต่การอ่านส่วนตัวมีความรู้สึกว่าผิดด้วยกันทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะเมื่อ Warren ไม่ยอมฟังความคิดใด ๆ จาก Joanna เลย ขณะที่เธอมองว่าพฤติกรรมของ Shadow มีมากกว่านั้น และเขาเชื่อว่าทั้งสองฝ่าย Light และ Shadow จะแสวงหาความสมดุล แม้ว่า Joanna จะได้เงื่อนงำจาก Reagan และจากประสบการณ์ของเธอมาก็ตาม จนทำให้ตั้งรับและดำเนินการหลายอย่างช้าเกินไป อีกทั้งความคิดขาวกับดำที่แบ่งชัดเจนก็ทำให้ยึดหลักการมากเกินไป จนไม่ดูเหตุผลเบื้องหลังการกระทำ หรือผลสำเร็จที่ทำให้เกิดขึ้นได้ ... ทั้งที่ตัว Warren เอง ก็ถือชีวิตคนและเหล่าซุปเปอร์ฮีโร่รอบตัวเป็นหมากในการต่อสู้โดยไม่เลือกวิธีการเช่นกัน

การเติบโตส่วนหนึ่งของ Joanna ก็คือ การเลือกที่จะละทิ้งการแก้แค้น ซึ่งในตอนเริ่มเรื่อง เห็นได้ชัดว่า เธอมุ่งมั่นจนถึงขั้นบ้าบิ่นและถึงขั้นปล่อยให้ความคิดนี้ออกมาครอบงำตัวเธอ ไม่ว่าจะเป็นยอมไว้ชีวิต Reagan เพื่อแลกกับเบาะแสที่เธอจะได้เกี่ยวกับ Joaquin และบุกไปที่บ้านของเขาจนถูกจับได้ และเกือบจะไม่รอดชีวิตหากสมาชิกในกลุ่มซุปเปอร์ฮีโร่ตามไปช่วยไม่ทัน เธอให้การแก้แค้นเป็นความสำคัญอันดับแรก ดังที่ในระหว่างการฝึกพลังของกลุ่มที่เธอทำให้ตัวเองและคนอื่นบาดเจ็บจากความเชื่อในหัวของเธอไปด้วย หากเมื่อท้ายเรื่องมาถึง ในสถานการณ์ที่ใกล้เคียงกัน สิ่งที่เธอเลือกอย่างไม่ลังเลก็คือช่วยเหลือคนอื่น และท้ายสุด ให้ Tekla ซุปเปอร์ฮีโร่ที่ลูกชายถูก Joaquin ฆ่าตายเป็นคนลงมือเสียเอง ซึ่งแม้ตัว Tekla เองจะเป็นคนเตือน Joanna ถึงผลร้ายของการปล่อยให้ความแค้นครอบงำ แต่กลายเป็นว่าเธอถูกครอบงำในนาทีนั้น หาก Joanna ต่างหากที่เลือกจะปล่อยวาง

จุดหนึ่งที่คนเขียนทำได้ดี ก็คือ กล้าที่จะเขียนให้ตัว Joanna ผิดพลาดและล้มเหลว จากการจมจ่ออยู่กับการแก้แค้น และการเลือกของเธอ โดยเฉพาะครั้งท้ายสุดที่ทำให้เธอถูกไล่ออกจากกลุ่ม (สปอยล์) [เมื่อเธอเป็นพาหะนำไวรัสไปสู่ฐานที่มั่นของเหล่าซุปเปอร์ฮีโร่ และทำให้สมาชิกคนหนึ่งต้องตายไป] เพราะรู้สึกว่าการเขียนให้ตัวละครประสบความสำเร็จเป็นเรื่องง่าย แม้ว่าคนอ่านอ่านสนุก แต่ก็เป็นสูตรสำเร็จมากเกินไป สิ่งที่ดีคือ กล้าให้เธอล้มเหลว หากแต่ไม่ย่อท้อในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง และเรียนรู้ข้อบกพร่องของตัวเอง อย่างที่เธอเขียนไว้ในเล่มนี้

ทั้งนี้ ส่วนตัวมองว่า ข้อผิดพลาดที่มากที่สุดสำหรับตัว Joanna ไม่ใช่การมุ่งมั่นล้างแค้น แต่เป็นการที่ไปช่วย Ben และลงเอยด้วยค่ำคืนร่วมกัน การที่เธอยังตัดใจไม่ได้ ทำให้เธอทำตัวลำบากยิ่งขึ้นไปอีก และสำหรับ Ben การที่รู้ว่าเธอยังไม่ตาย แต่ไม่กลับมาหาเขาก็ทำร้ายจิตใจชายหนุ่มอย่างสาหัส นอกเหนือไปจากความจริงที่ว่า เธอเปิดเผยตัวเองให้เขารับรู้ ขณะที่กลุ่มพยายามอย่างยากลำบากที่จะสร้างตัวตนให้เธอใหม่ .... ซึ่งความหน่ายส่วนตัวก็คือ ยิ่งทำให้ความเป็นไปได้ระหว่างเธอและ Hunter ช้าขึ้นด้วย

พูดถึง Hunter หลังที่ออกโรงมาในเล่มแรก ด้วยท่าทีที่ดูแปลกแยก เด็ดขาด และคล้ายจะเป็นอันตรายต่อตัว Joanna กลับกลายเป็นว่าท้ายเล่มทำให้เห็นความเป็นไปได้ที่จะเกิดมากขึ้น อย่างที่การแลกเปลี่ยนพลังทำให้ ... he was experiencing far more of me that any man ever had.( The Scent of Shadows, หน้า 411) ร้อยทั้งร้อย หลังจากนี้กลายเป็นตัวเลือกลำดับแรกแน่ ๆ และเล่มนี้ ทาง Hunter ก็ออกมามีบทบาทที่เกี่ยวกับ Joanna มากขึ้น ถึงแม้ตอนท้ายเล่ม ความเป็นไปได้ระหว่างกันจะมีอุปสรรคก็ตามที

อย่างไรก็ตาม เมื่อมองว่าเล่มแรกเป็น ugly reality เล่มนี้คงเรียกได้ว่าเป็น ironic reality ดังที่เหล่าซุปเปอร์ฮีโร่ต้องการให้เธอเลิกที่จะลุยคนเดียว และเชื่อในกลุ่ม แต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่เชื่อในตัวของ Joanna อย่างเต็มที่ ถ้ามองว่า A heart to a heart, a trust to a trust. สิ่งเหล่านี้ก็คงเกิดได้ยาก หรือระหว่างการเผชิญหน้ากันที่ Joaquin แสดงความรังเกียจ Joanna ที่ไม่ยอมเลี้ยงลูกที่เกิดหากแต่เอาไปให้คนอื่นเลี้ยง เพราะรังเกียจพ่อของลูก หรือ Joaquin ศัตรูตลอดกาลของเธอเลือกที่จะทิ้งเบาะแสสุดท้ายของเขาให้ Joanna และที่สำคัญ สิ่งที่ดูจะเสียดสีและเล่นตลกกับเธอที่สุดก็คือลูกสาวที่เกิด (สปอยล์) [ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เธอรังเกียจและพยายามปฎิเสธการมีอยู่ของลูกสาวเธอมา เพราะคิดว่าเป็นลูกที่เกิดจากที่ Joaquin ข่มขืนเธอ หากกลายเป็นลูกของเธอกับ Ben] ชะตาชีวิตเล่นตลกกันเข้าไป

ทั้งนี้ก็คงเรียกได้ว่าเป็น Machiavellian reality ได้อีกอย่าง เพราะแรงจูงใจและเหตุผลในการกระทำทั้งหลายมีลึกซึ่งหลายซับหลายซ้อนกว่าที่เป็นอยู่มาก ทั้ง Regan ที่อ้างว่าช่วยเธอเพราะอยากให้เธอกลายเป็นฝ่าย Shadow และให้ตัว Joanna วาง Regan เป็นมือขวา ทั้งที่จริง ๆ แล้วเป็นอย่างอื่น หรือที่ชัดและลึกที่สุดคือตัว Tulpa ที่สาเหตุที่จริงของการสร้างไวรัสต้นเหตุไว้ทั่วเมืองไม่ใช่การทำร้ายเหล่าซุปเปอร์ฮีโร่อย่างที่เข้าใจกัน หากเป็น (สปอยล์) [การกำจัดตัว Joaquin ที่มีอำนาจและเริ่มท้าทาย Tulpa มากขึ้นเรื่อย ๆ]

ความลุ่มลึกและรายละเอียดของโลก Light and Shadow ที่ Vicki Pettersson ในเล่มนี้ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเล่มนี้ที่อ่านเจอว่าเด็ก ๆ ในร้าน ไม่ใช่แค่คนที่อ่านและรู้เรื่องราวของ Light and Shadow ผ่านการ์ตูน หากความเชื่อและจินตนาการเป็นตัวสร้างพลังด้วย และที่สำคัญ เด็ก ๆ เหล่านี้ก็เป็น changeling ที่คอยช่วยเหลือซุปเปอร์ฮีโร่อีกต่างหาก ... แต่ทั้งนี้ ด้วยความที่รายละเอียดเยอะมาก ทำให้อ่านแล้วเก็บข้อมูลลำบาก อยากให้ในเวบของเธอทำ glossaries รวบศัพท์ รวมตัวละครจะดีมาก

จริง ๆ การกล้าเขียนให้ตัวละครทำผิดอาจจะดี แต่ช่วยไม่ได้ที่ทำให้ต้องคิดอยู่เนือง ๆ ว่าจะมีอะไรแย่ไปกว่านี้ไหม ทำให้ได้ ฺB+/B หรือ 4.3 โดยประมาณ A snap bitch goes oh-so-snappy.

ปล. ความจำปลาทองมาก พออ่านเล่มสามไปแล้วจำเล่มสองไม่ได้ กรี๊ด!

aureole?
และทั้งนี้ สงสัยการนับสภาพ aureole มาก ๆ (สปอยล์) [ถ้านับว่าเธอฆ่า Butch, Greta และ Liam] ไปแล้ว ก็น่าจะเป็น 3 ครั้ง ทำไมในช่วงกลางเล่มสองนับได้แค่ครั้งเดียว และทั้งนี้ ถ้า Joanna ฆ่า Liam ไปแล้ว เธอก็น่าจะอยู่ในสภาพ aureole ที่ทำให้ Joaquin สัมผัสถึงตัวเธอไม่ได้ นอกจากนี้การฆ่า Ajax ด้วยอาวุธของเขาเองก็น่าจะทำให้เธออยู่ในสภาวะ aureole อีก?

แท็กหนังสือ

ไปเจอแท็กหนังสือมาจาก บล็อกคุณแม็กซ์/เมย์ และก็เอามาเล่นตามประสาพวกที่หมกมุ่นกับตัวเอง

*เล่มที่มี link คือบทรีวิวส่วนตัวค่ะ

1) Which book has been on your shelves the longest? (หนังสืออะไรที่อยู่บนชั้นหนังสือของคุณยาวนานที่สุด)
- หลายเล่มมากค่ะ ถ้านานสุดน่าเป็นพวกวรรณกรรมเยาชนที่ดอกหญ้านำมาแปล

2) What is your current read, your last read and the book you’ll read next? (กำลังอ่านอะไรในตอนนี้? เพิ่งอ่านจบไป? และจะอ่านอะไรต่อไป?)
- เพิ่งอ่าน The Touch of Twilight (Vicki Pettersson) จบ และกำลังเริ่ม Black Magic Woman (Justin Gustainis)

3) What book did everyone like and you hated? (หนังสือเรื่องอะไรทีทุกคนชอบแต่คุณเกลียด)
- New Moon (Stephenie Meyer) ถึงขั้นกรี๊ดหลังอ่านไปครึ่งเล่ม และทำให้ไม่อ่านเล่มอื่นต่อ … และไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงมีคนมาโพสต์ตอบรีวิวนี้เยอะมาก ทั้ง ๆ ที่บล็อกอื่นร้าง

4) Which book do you keep telling yourself you’ll read? (หนังสือเรื่องอะไรที่คุณพยายามบอกให้ตัวเองอ่านเสียที)
- 1984 (George Orwell) ถูก Urban fantasy ทั้งหลายแซงตลอดเวลา

5) Which book coming out in 2009 is top priority to read? (หนังสืออะไรที่ออกในปี 2009 ที่คุณให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก)
- Undone (Rachel Caine) อยากอ่านมากหลังอ่าน excerpt จบ

6) Last page: read it first or wait 'til the end? (แอบเปิดตอนจบอ่านก่อนรึเปล่า)
- ไม่ค่อยทำค่ะ พยายามถือคติอดเปรี้ยวไว้กินหวาน และกลัวว่าถ้ารู้แล้วจะทำให้อ่านไม่สนุกไม่ลุ้น ถ้าจะมีก็คืออ่านผ่าน ๆ ช่วงที่ไม่ชอบ แต่ก็ไม่ค่อยทำเหมือนกัน (ซึ่งก็แล้วแต่เล่มด้วย)

7) Acknowledgements: waste of ink and paper or interesting ? (คำอุทิศที่คนแต่งเขียนตอนต้นเล่มคิดว่าน่าสนใจ หรือเปลืองกระดาษและน้ำหมึกไปเปล่า ๆ)
- อย่างน้อยก็ทำให้เห็นโลกของคนเขียนที่มากกว่าแค่เรื่องในหนังสือ ทำให้รู้จักนักเขียน และหลายครั้งทำให้เห็นทัศนคติและมุมมองก็มี

8) Which book character would you switch places with? (มีตัวละครตัวไหนไหมที่คุณอยากมีชีวิตแบบเขา)
- ไม่มีค่ะ แต่อยากได้ความสามารถ tracing มาก คงจะดี ถ้าเดินทางได้ในฉับพลัน และไม่ต้องเสียค่าเดินทาง

9) Which Authors do you want to read that you haven't yet? (นักเขียนคนไหนที่คุณอยากอ่าน แต่ดันไม่ได้อ่านสักที)
- ตอนนี้ไม่มีมังคะ

10) Which books are still on your shelf from when you were in school. (หนังสือเรื่องอะไรที่ค้างอยู่บนชั้นตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือ)
- เยอะค่ะ อยู่ครบหมด

11) Which book has been with you to the most places? (หนังสือเรื่องอะไรที่เดินทางไปกับคุณในหลายสถานที่มาก)
- ชุด Black Magician Trilogy (Trudi Canavan) เล่มสองสามทำให้อดนอนบนเครื่องบินมาแล้ว

12) Any “required reading” you hated in high school that wasn’t so bad ten years later? (หนังสืออะไรที่โดนบังคับให้อ่านสมัยเรียนหนังสือ ที่ตอนนี้กลับมาอ่านแล้วไม่ได้รู้สึกว่ามันเลวร้ายเท่าไหร่)
- ไม่ค่อยมี มีแต่กรณีที่หยิบมาดูแล้วรู้สึกว่าเลวร้ายกว่าเดิมสำหรับพวกนอกเวลาภาษาอังกฤษ มีแต่เรื่องไม่สนุก และไม่น่าสนใจ

13) Stephen King or Anne Rice (เลือกใครระหว่างสตีเฟ่น คิงกะแอน ไรซ์)
- ไม่อยากเลือกทั้งคู่ อาจจะเป็น Stephen King แต่ก็กลัวหลอน – ไม่ชอบเรื่องผีใด ๆ อย่างยิ่ง แค่ดูซีรี่ย์ The Shining ยังกลัวเลย

14) Used or brand new? (ซื้อหนังสือเก่า หรือหนังสือใหม่)
- หนังสือใหม่ค่ะ รู้สึกว่าเป็นของเราคนเดียว แต่อาจเป็นเพราะบ้านเราหาหนังสือเก่าที่สภาพดี และเป็นเล่มที่ต้องการยากด้วยก็ได้ แต่ถ้าเป็นนอกทางเลือก อยากได้ห้องสมุดให้ยืมมากกว่า เพราะจะได้ไม่ต้องเสี่ยงหาหนังสือชุดใหม่ ๆ มากนัก ชนิดว่าชอบแล้วค่อยซื้อ

15) Have you ever seen a movie you liked better than the book? (มีหนังเรื่องอะไรที่ทำออกมาแล้วดีกว่าหนังสือ)
- ไม่ค่อยดูหนัง เพราะฉะนั้นไม่ขอตอบ

16) Who is the person whose book advice you’ll always take? (คำแนะนำของเพื่อนคนไหนที่คุณเชื่อเสมอ เวลาเขาแนะนำหนังสือให้อ่าน)
- ไม่ค่อยมีค่ะ ปกติไม่ค่อยมีคนให้คุยเรื่องหนังสือมากนัก แต่รู้สึกว่าเจ้าของบล็อก urbanfantasy.wordpress.com แนวอ่านหนังสือ และแนววิจารณ์ออกมาคล้าย ๆ กัน

17) Recommend a series/ or book: (มีหนังสือเล่มไหน หรือชุดไหนที่อยากแนะนำให้อ่านรึเปล่า)
- ข้อนี้อาจจะยากที่สุด เพราะลางเนื้อชอบลางยา รสนิยมและความชอบอ่านหนังสือไม่เหมือนกัน ดังนั้นไม่กล้าแนะนำ
แต่ที่คิดว่าควรอ่าน ถึงแม้จะไม่ใช่ในฐานะความคิดเสียดสีทางการเมือง แต่เป็นการเห็นคุณค่าคนอื่นก็คือ Animal Farm (George Orwell)
กับ The Little Prince(Antoine de Saint-Exupéry)โดยเฉพาะบทที่เกี่ยวกับหมาจิ้งจอก ส่วนตัวมองเป็นคัมภีร์การมีปฎิสัมพันธ์กับคนอื่น

Friday 13 March 2009

The Scent of Shadows by Vicki Pettersson (n)

เห็นมาหลายครั้งที่คิโนะ แต่พอจะเอามาจริง ๆ หนังสือก็หมด เพิ่งได้ตอนสั่งเข้ามาใหม่ปลายเดือนกุมภาฯ นี่เอง ...



ชนิด : Urban Fantasy / Epic
ชุด : Sign of the Zodiac, Book 1
สำนักพิมพ์ : Eos (February 27, 2007)
จำนวนหน้า : 464 หน้า


ก่อนวันเกิดอายุยี่สิบห้าปี เรื่องวุ่นวายกำลังล้อมรอบตัว Joanna ทายาทเจ้าพ่อคาสิโนแห่งลาสเวกัส นับตั้งแต่นัดบอดที่คิดจะฆ่าเธอระหว่างมื้ออาหาร คนรักในอดีตที่กลับมาเจอกันใหม่โดยไม่คาดฝัน และคนจรจัดท่าทางประหลาดที่บอกว่าเธอกำลังถูกตามล่า

หากคืนก่อนวันเกิด น้องสาวของเธอถูกฆ่าต่อหน้า และ Joanna ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากรับความช่วยเหลือจาก Warren ชายจรจัดที่ดูเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่เกิดและรู้เรื่องราวทั้งหมด เขาอธิบายให้เธอฟังอย่างคร่าว ๆ ว่าพวกเขาเป็นกลุ่มซุปเปอร์ฮีโร่ที่มีหน้าที่สู้กับเหล่าร้ายที่เรียกว่า Shadows และปกป้องมนุษย์

และสถานการณ์ก็บีบบังคับให้ Joanna ต้องละทิ้งตัวตนของตัวเอง และใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ชื่อใหม่ .. ขณะที่ต้องสู้กับเหล่า Shadows ไปด้วย

ทั้งนี้ หลักเรื่องซุปเปอร์ฮีโร่ถูกอิงมาจากหนังสือการ์ตูน คนเหล่านี้จะเป็นองค์กรที่เรียกตัวเองว่า Zodiac troops และคอยกระจายตัวอยู่ตามเมืองใหญ่ต่าง ๆ เพื่อดูแลรักษาความปลอดภัย โดยที่สมาชิกกลุ่มซุปเปอร์ฮีโร่ส่วนที่ต่อสู้จะมีอยู่ด้วยกัน 12 คนตามราศีในแต่เมือง ขณะที่ฝ่ายร้ายก็เป็นเช่นเดียวกัน และที่ล้อเลียนอีกอย่างก็คือเรื่องราวเกี่ยวกับการต่อสู้ทั้งหมดจะถูกบันทึกเป็น manuals ผ่านหนังสือการ์ตูน (คิดถึง Marvel Comics ไว้เพราะเป็นเช่นนั้นเลย) และคนที่อ่านคือเด็ก ๆ

เรื่องย่ออย่างย่อก็คงได้แบบนี้ ช่วงที่เปิดเรื่องมา และดำเนินเรื่องถึงกลางเรื่อง ทำให้คิดถึงเรื่อง La Femme Nikita และหนังแอ็คชั่นฮอลลีวูดตรงที่ทางเลือกที่ปิดตายบังคับให้ตัวเอกต้องทิ้งตัวตนของตัวเอง เข้าร่วมกับองค์กรที่ไม่รู้จักไม่เข้าใจมาก่อนเพื่อต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม และต้องถูกสร้างตัวตนมาใหม่ ซึ่งไม่ได้เกิดจากความสมัครใจของตัวเองแต่อย่างใด ... ซึ่งในกรณีของ Joanna นอกเหนือจากชีวิตที่เธอต้องละทิ้งไปแล้ว เธอก็ยังต้องสูญเสีย Ben คนรักในอดีตที่กลับมาเจอ และกำลังจะเริ่มต้นกันใหม่เสียด้วย ส่วนตัวเองในช่วงนี้ถือเป็นดราม่ามาก และทำให้รู้สึกสงสารตัวละครทั้งสองตัวจนทำให้หงุดหงิดกับพล็อตเรื่องไปด้วย

อย่างไรก็ตาม หลังหน้าที่ 300 โดยประมาณ การปูเรื่องที่เนิ่นนานเริ่มเข้าไปสู่ฉากแอ็คชั่นจริง ๆ หรืออย่างน้อยก็จะเรียกว่าฉากเริ่มสู้เริ่มบู๊ของ Joanna ซึ่งไม่ใช่แค่การรบกับตัวร้าย แต่เป็นในองค์กรด้วยกันเอง เพราะการที่เธอมาจากนอกองค์กร และมีสายเลือด Shadows อยู่ในตัวครึ่งหนึ่ง ทำให้สมาชิกกลุ่มซุปเปอร์ฮีโร่ไม่ไว้วางใจเธอ และหวาดระแวงจนสร้างความเป็นศัตรูให้เกิดขึ้นระหว่างกัน ซึ่งการที่เธอถูกแปลกแยกออกไป ก็ทำให้เธอต้องใช้ความสามารถของเธอเพื่อสร้างที่อยู่ของเธอให้ได้ – ในแง่ที่หากเธอไม่ได้ความไว้วางใจ ก็ได้ความหวาดกลัวต่อตัวตนของเธอ

และก็ต้องบอกว่า ทัศนคติและความอารมณ์ร้ายใจร้อนของตัวละคร urban fantasy เป็นสิ่งที่เด่นชัดก็จริง แต่ในกรณีนี้เทียบกับวาจาเราะร้ายของเธอไม่ได้เลย นอกเหนือผลด้านอารมณ์ที่เธอสร้างให้เกิดได้แล้ว การต่อกรด้วยคำพูดของเธอซื้อเวลาให้เธอในสถานการณ์ร้ายมาหลายครั้ง และก็สร้างโอกาสในการหนีเอาตัวรอด หรือแม้แต่เอาชนะให้เธอด้วย เป็น calculated, strategic bite อย่างที่สุด ดังที่เมื่อเธอเผชิญหน้ากับหัวหน้าใหญ่ของเหล่าร้าย (ซึ่งเป็นพ่อที่แท้จริงของเธอด้วย)
“I fucked your mother!”
“You men,” I said, shaking my head when silence fell again. “I don’t know why you always think that lends you some sort of power. I mean, let’s be honest, okay? Just between you and me. My mother? She fucked you.” (หน้า 434)

ตัวตนของ Joanna เป็นแบบตัวเอก urban fantasy ทั่วไป ทั้งแกร่ง ห้าว กล้า และพึ่งพาตัวเองได้ และดังนั้นเมื่อเธอต้องถูกบังคับให้กลายเป็นคนอื่น (สปอยล์) [ซึ่งจริง ๆ ก็คือ Olivia น้องสาวของเธอ และกลายเป็นว่าเธอเป็นคนที่ถูกฆ่า และน้องสาวเป็นคนรอดชีวิต] และอยู่ในร่างสาวบลอนด์ Bimbo ก็เป็นทั้งเรื่องที่น่าขันและน่าหงุดหงิดไปพร้อมกัน เมื่อกางเกงหนังแนบเนื้อและรองเท้าบู๊ตอย่างเดิมถูกแทนที่ด้วยกระโปรงสั้นปรี๊ดและส้นสูงสี่นิ้ว คนรอบตัวอาจจะมองที่รูปลักษณ์ภายนอกของเธอและประมาทจากสิ่งที่พวกเขาเห็น แต่ขณะเดียวกัน ก็ทำให้เธอต้องใช้ชีวิตอย่างที่พวกเขาเชื่อด้วย จุดที่ชัดมากคือเมื่อเหล่าซุปเปอร์ฮีโร่ถามว่าเธอฆ่าตัวร้ายก่อนหน้าได้อย่างไร เพราะรูปลักษณ์ของเธอไม่ทำให้คนอื่นเชื่อว่าเธอมีความสามารถพอ และเธอตอบว่า ตัวร้ายนั้นล้มเพราะสะดุดแมวของเธอ ก่อนที่จะเล่าเรื่องที่เกิดในภายหลัง

ในบรรดาเรื่องที่อ่านมา เรื่องนี้มีมิติความสมจริงแง่ ugly reality ที่สุด นอกจากจุดดราม่าที่ชัดในช่วงแรก ๆ จากอารมณ์ที่เธอต้องเผชิญในช่วงแรกแล้ว การไม่ยอมรับของสมาชิกคนอื่นก็เป็นเรื่องที่เห็นได้ชัดอีกเรื่องหนึ่ง พวกเขาแปลกแยกจากเธอและคิดว่าเธอที่มีส่วนมืดอีกครึ่งหนึ่งอยู่ในตัวไว้ใจไม่ได้ โดยเฉพาะกับสมาชิกคนหนึ่งที่คิดว่าตัวเองจะได้ตำแหน่ง และผิดหวังเพราะ Joanna จนทำให้เกลียดชังและรังเกียจเธอมากกว่าใคร – ซึ่งส่วนตัวคิดว่าสมจริง แต่ก็น่ารำคาญไปพร้อมกัน เพราะถ้าแปลกแยก หันหลังให้ และคิดว่าเธอจะทรยศไปสู่อำนาจมืดแล้ว การไม่เป็นที่ยอมรับน่าจะเป็นตัวผลักดันที่รุนแรงและชัดเจนได้

หรืออย่างอดีตของ Joanna เอง เธอถูกข่มขืนเมื่ออายุสิบห้าปี ถูกทำร้าย และปล่อยทิ้งให้ตายโดย Shadow ซึ่งได้รับคำสั่งมาจากพ่อของเธอ (ซึ่งไม่รู้ว่าเธอเป็นลูกสาวของเขา) เพื่อทำลายเธอที่อาจกลายเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ตำแหน่ง Archer คนต่อไป ซึ่งนอกจากทิ้งเธอให้แตกสลายแล้ว ยังทำให้เธอต้องแยกจาก Ben ในตอนนั้น เพราะเขารู้สึกผิดที่ปกป้องเธอไว้ไม่ได้

มีจุดหนึ่งที่คิดว่าน่าจะเกิดต่อไป ตัว Joanna มีพลังทั้งด้านสว่างและด้านมืดอยู่อย่างละครึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดมาก่อน และก็ทำให้เธอเป็น Kairos ตามคำทำนายที่ว่าจะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดกับความสมดุล และคนที่ได้ตัวเธอเป็นพวกจะชนะ (ทำนองนี้) แต่หลายอย่างในเรื่องเหมือนจะใบ้ให้เห็นว่าไม่มีอะไรที่แบ่งชัด คนเราทั้งดีและเลวในตัวเอง และทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเรา คิดว่าน่าจะมีที่เธอจะปรับสมดุลทั้งหมดในภายหลัง ความคิด Us and Others ทำลายคนอื่นไม่น่าจะใช่สิ่งที่คนเขียนอยากจะสื่อ (แต่ก็ไม่แน่ใจ อาจเป็นจุดที่ไม่ชอบเองก็ได้)

เมื่อเปิดเรื่องมา เราเห็นความผูกพันระหว่าง Joanna กับ Ben ชัดมาก มากจนคิดว่าเขาเป็นพระเอกแน่ ๆ แต่หลัง ๆ อ่านไปก็ไม่แน่ใจ เพราะเมื่อชีวิตเปลี่ยน Joanna กลับไปหา Ben ไม่ได้ และการอยู่ห่างไว้ก็ทำให้คนที่เธอรักปลอดภัย คิดว่า Warren หัวหน้าหน่วยซุปเปอร์ฮีโร่แห่งลาสเวกัสดูจะมีบทบาทมากกว่า โดยเฉพาะเมื่อเขาเป็นคนที่เชื่อว่าเธอคือ Kairos และคอยดูแลช่วยเหลือเธอ แต่พออ่านถึงตอนหลังกลับเป็นว่า คนที่ดูดึงดูดเธอเป็นคนอื่น(สปอยล์) [ Hunter ซุปเปอร์ฮีโร่ที่เป็นนักรบ นักวางแผน และคนสร้างอาวุธ] และหลังจากสองคนแลกเปลี่ยนพลัง (เรียกให้ง่ายได้เช่นนี้) ก็ทำให้ความเชื่อมโยงระหว่างกันชัดเจนขึ้น

อ่านแล้วหลงรักความแกร่ง ไม่ยอมใคร และหลักการตาต่อตาฟันต่อฟันของเธอมาก ๆ ให้คะแนนที่ B+/A (จริง ๆ จะให้ A แต่ก็รู้สึกว่าไม่ชอบช่วงแรกที่ดูไร้ทางเลือกไปหน่อย แต่หลัง ๆ สนุกจนลืมได้ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าควรให้เท่าไหร่? 4.75?) สรุปว่า Viciously enticing, I love that snap bitch!

มีรีวิวหลังปกบอกว่า Read at your own risk – it’ll keep you up past bed time. (Charlaine Harris) แต่ก็ออกจะบอกว่า อ่านเล่มไหน อีฉันก็เป็น แค่นี้ประกันอะไรไม่ได้นะคะ

ปล. เนื่องจากอ่านเล่มสองไปจะครึ่งเล่มแล้ว ทำให้รีวิวไม่ดี เพราะเวลาเขียนชอบเอามาปนกัน ทั้งที่จะเขียนก่อนอ่านเล่มสองแล้วเชียว เฮ้อๆๆ ก็น่าจะพูดหมดแล้ว แต่ตอนนี้กำลังเกลียด และรำคาญ Warren มาก ๆ

Thursday 12 March 2009

Tangled Webs by Anne Bishop (n)

Anne Bishop. Black Jewels. แค่นี้ก็บอกได้แล้วว่าทำไมถึงซื้อ ถึงจะรอปกอ่อนก็เถอะ (และถึงจะติด Dream Thief จนอ่านเล่มนี้ทีหลัง โอ)



ชนิด : Fantasy / Dark
ชุด : Black Jewels, Book 6
สำนักพิมพ์ : Roc (March 3, 2009)
จำนวนหน้า : 368 หน้า


เล่มนี้ Jaenelle ได้ความคิดจากเด็ก ๆ Landen (พวกไม่มีเวทย์มนต์) เกี่ยวกับความเชื่อผิด ๆ ที่มีต่อชาว Blood (พวกที่มีเวทย์มนต์ และมีอำนาจตามอัญมณีที่ตัวเองครอบครอง ยิ่งสีเข้มมากก็จะยิ่งมีอำนาจมาก) จึงคิดสนุกที่จะสร้างบ้านผีสิงที่ล้อเลียนความเชื่อนี้ขึ้นมา

บัตรเชิญถูกส่งไปถึง Surreal ซึ่งต้องตอบรับคำเชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เธอและ Rainier ก้าวเท้าสู่บ้านผีสิงแห่งนี้โดยมีเด็ก Landen อีก 7 คนร่วมขบวนไปด้วย โดยได้รับคำใบ้ว่า มีทางออกอยู่จำนวนหนึ่งซึ่งจะปิดตัวลงไปทุกครั้งที่ใช้เวทย์มนต์ และหากทางออกถูกปิดจนหมด คนที่อยู่ในบ้านก็จะถูกขังอยู่ตลอดไป

หากแต่ Jaenelle ไม่ได้ส่งคำเชิญใด ๆ มา และบ้านหลังนี้ก็ไม่ใช่บ้านผีสิงที่เธอสร้างแต่อย่างใด ... เจตนาของผู้ที่สร้างบ้านนี้ เป็นเพราะต้องการที่จะแก้แค้นและต่อกรกับตระกูล SaDiablo โดยไม่ได้ต้องการให้คนที่อยู่ข้างในรอดชีวิตออกไปได้ และระหว่างที่ Surreal และ Rainier พยายามรอดชีวิต และหาทางออกมาให้ได้นั้น Jaenelle Daemon และ Lucivar ที่อยู่ข้างนอกก็กำลังช่วยพวก Surreal เช่นเดียวกัน

ขออนุญาตถอนหายใจ เพราะไม่สามารถเขียนเรื่องย่อเกี่ยวกับตัวละครส่วนที่ไม่ใช่เนื้อเรื่องได้ เรื่อง Tangled Webs เป็นเล่มที่ 6 ในชุด Black Jewels (และถึงแม้จะตัด Invisible Ring ออกไปทำให้เหลือเป็นเล่มที่ 5 ก็ตาม) ก็ยังเป็นจำนวนสูงอยู่ดี และถึงขั้นนี้ก็ย่อให้เข้าใจที่ไม่ใช่เข้าใจเองลำบากมาก ทั้งความเป็นมาตัวละคร ทั้งโลก และทั้งชนชั้นของตัวละคร แต่ก็คิดว่าบล็อกนี้คนมาอ่านไม่ค่อยมี (ไม่มี อันที่จริง) ดังนั้นจะถือโอกาสข้ามไป

ระหว่างที่ 3 เล่มแรกพูดเกี่ยวกับการพยายามอยู่รอด และเอาชนะความบิดเบี้ยวของโลกรอบตัว เล่มที่ 5 พูดถึงเรื่องการปรับสู่สภาพปกติของตัวละครหลังการต่อสู้ครั้งใหญ่นั้น ซึ่งการที่เป็นเรื่องสั้นทำให้พูดค้างไว้และเป็น transition มาต่อในเล่มนี้อันเป็นเรื่องของการใช้ชีวิตตามปกติ คือใช้ชีวิตอย่างที่ควรเป็น มีโอกาสที่จะมีความสุขกับชีวิต และไม่ทุกข์ทรมาน ซึ่งในบางแง่จะเรียกว่าชีวิต happily-ever-after ได้ในระดับหนึ่ง (ไม่รู้จะพูดอย่างไรเหมือนกัน ฟังดูเหมือนเขียนเกินจริง แต่ถ้าอ่านเล่มต้น ๆ มาก่อนจะรู้ว่ามันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ คืออย่างน้อยก็หลับได้โดยที่รู้ว่าพรุ่งนี้ยังตื่นอยู่ และ/ หรือไม่ถูกฆ่าในระหว่างวัน)

อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่ชีวิตอยู่ในอันตรายมาตลอด การมีความสุขและมีชีวิตเรียบง่ายอาจไม่ใช่เรื่องง่าย เช่นตัว Daemon ที่หวาดกลัวอยู่ในส่วนลึกในจิตใจเกี่ยวกับชีวิตที่ตัวเองกำลังมี และตั้งคำถามกับ Saetan ผู้เป็นพ่อถ้าหากเขาจะเปลี่ยนไปเพราะสิ่งเหล่านี้จนไม่สามารถปกป้องสิ่งที่รักได้หากมีเหตุการณ์ใด ๆ เกิดขึ้น

“But sometimes I wonder if I’ll lose the edge that makes me who and what I am. Sometimes I wonder, when the day comes for me to stand as defender, If I’ll have become too soft, too tame, to protect what matters most. Is that the price I’ll have to pay for a pleasant life?” (หน้า 43)

ซึ่งจุดนี้ถือเป็นประเด็นที่ใช้ดำเนินเรื่อง เพื่อให้เห็นว่า ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อมีอันตรายเข้ามา ตัว Daemon เองจะได้รู้และเข้าใจว่าสิ่งที่เขาเป็นจะไม่มีวันจางหายไป และเขาก็สามารถดูแลและคุ้มครองคนในครอบครัวได้ และผู้ที่เข้ามาท้าทายและทำอันตรายต่อคนในครอบครัว (Surreal และ Rainier ในกรณีนี้) ก็ได้บทเรียนที่แลกด้วยชีวิตอย่างสาสมในตอนท้าย
และการสู้กับศัตรูที่สร้างบ้านผีสิงนี่เองก็เป็นบททดสอบให้ Daemon เข้าใจ แล้วดังนั้น แม้จะให้น้ำหนักความสำคัญกับการหาทางออกมาจากบ้านผีสิงของ Surreal และ Rainier แต่น้ำหนักจริง และประเด็นเรื่องอยู่ที่ตัว Daemon ดังที่กล่าวไป จึงน่าเสียดายที่บทบาทของ Surreal และ Rainier ในเรื่องด้อยลงไปกว่าที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงตัว Surreal ที่เติบโตมาโดยลำพัง และต้องสู้ด้วยตัวเองมาตลอด และใช้ชีวิตด้านหนึ่งในฐานะมือสังหาร เธอน่าจะเตรียมพร้อมและตั้งรับได้ดีกว่านี้ในการรับมือกับอันตรายที่มองไม่เห็นในบ้าน การแสดงออกในบ้านของ Surreal ตั้งรับมากเกินไป และมีน้อยเกินไป และอีกจุดหนึ่งก็คือ ในการแก้แค้นตัวร้าย Surreal น่าจะมีส่วนร่วมด้วย และเป็นจบทุกอย่างด้วยตัวเองมากกว่าจะเป็น Daemon แต่เพียงลำพัง (ซึ่ง Surreal กับ Daemon เป็นตัวละครที่ชอบที่สุดในเรื่องแท้ ๆ)

ก็เลยไม่แน่ใจว่าทำให้เห็นจุดด้อยอื่นตามมาด้วยหรือไม่ โดยเฉพาะตรรกะของ Daemon ที่พอรู้ว่าเกิดเรื่องก็สั่งให้ Lucivar อยู่ในบ้าน ทั้งนี้ ถ้ามาอยู่ด้วยกันก็อาจจะคิดหาทางออกได้มากกว่า และก็น่าจะใช้การสื่อสารทางจิตเป็นหลักให้รู้เรื่องมากกว่าแค่ออกคำสั่งใส่กระดาษ (ถ้าอ้างว่ามีปัญหาเรื่องระยะทาง เล่ม 1-2 สองคนนี้ก็ทำ ทั้งที่ห่างกันคนละเมือง) หรือเมื่อ Lucivar เข้าไปในบ้านได้ ก็น่าจะสื่อสารกันให้รู้เรื่อง (หรือมิฉะนั้น ตัว Surreal ก็น่าจะหาทางติดต่อและไปรวมกับ Lucivar แทนที่จะสติแตกว่า Lucivar เข้ามาในบ้านและเตลิดหนีไปอีกทาง) และบุคลิกของ Surreal เองก็ด้อยอ่อนกว่าเล่มอื่น ๆ ที่เคยไป โดยเฉพาะเมื่อเธอหวาดหวั่นกับท่าทีของญาติ ๆ ฝ่ายชายทั้งหลายที่ปกป้องเกินเหตุของเธอ ซึ่งทั้งที่ในเล่มสาม (Queen of the Darkness) ตัว Surreal ไม่พอใจและขั้นอาละวาดเกี่ยวกับพฤติกรรมเช่นนี้แท้ ๆ

ในเล่มนี้ ตัวละครแต่ละตัวก็เติบโต ก้าวถึงศักยภาพของตัวเองอย่างที่ควรเป็น และก็ใช้ความสามารถของตัวเองให้เกิดประโยชน์ได้ และมีหน้าที่ความรับผิดชอบชัดเจน ซึ่งการให้น้ำหนักหน้าที่ความรับผิดชอบต่อพื้นที่ที่ปกครอง และดังนั้น ให้ความสำคัญและเห็นค่าคนในพื้นที่นั้น ๆ ในฐานะผู้ใต้ปกครองเป็นสิ่งที่ไม่ชัดมากมาก่อนในเล่มแรก ๆ ยิ่งในฐานะต่อปัจเจกบุคคลดังที่ Lucivar สงสารเด็กที่ถูกฆ่าตายและกลายเป็นปีศาจอยู่ในบ้าน และหาทางช่วยออกมา หรือ Jaenelle กับ Daemon รับเด็กกำพร้าที่เจอหน้าบ้านผีสิงนั้นมาอยู่ในความอนุเคราะห์ แม้แสดงให้เห็นว่าตัวละครเติบโตจนให้ความสำคัญกับคนอื่นเป็น แต่ส่วนตัวเองรู้สึกว่าเป็นมิติที่นุ่มนวลขึ้นสำหรับตัว Anne Bishop เอง ดังที่ในเล่มสาม ตัวละครรอบตัวก็ไม่ได้ให้เวลาหรือความช่วยเหลือในการปรับตัวของ Daemon มาสู่ Kaeleer แต่อย่างใด แต่กลับรำคาญกึ่งไม่พอใจที่เขายังคุ้นเคยกับชีวิตใหม่ และในเรื่อง Belladonna ก็เป็นเช่นเดียวกัน

และอีกจุดหนึ่งก็คือเล่มนี้เป็นเล่มแรก ๆ ที่อ่านเจอเกี่ยวกับ Territorial males ซึ่งแม้จะกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับหนังสือ paranormal โดยเฉพาะเล่มที่มีมนุษย์หมาป่าแล้วก็ตาม แต่ในเรื่องนี้ก็เด่นที่ปกป้องและดูแลคนในครอบครัว ที่มากไปกว่าแค่คนรักและคู่ครองอย่างที่หลาย ๆ เล่มเป็น อย่างตอนที่ Saetan เสียใจว่าลูกชายสองคนไม่ยอมให้เขาออกจากบ้านตอนเกิดเรื่อง และคิดว่าเป็นเพราะตัวเองแก่ แต่ Draca ตัวละครอีกตัวแย้งว่าเป็นเพราะ Lucivar ไว้ใจให้ Saetan เป็นคนดูแลคนในครอบครัว และเพราะ Daeton ปกป้องใจตัวเองไว้ – และส่วนตัวเอง จุดนี้เป็นจุดที่น่ารักที่สุดในเล่ม

“Lucivar brought his wife and son here because you are here. He depends on you to protect what he holds dear.”
“And Daemon?” Saetan asked. “What is he protecting?”
“More than Lucivar, Daemon needs a father who understands him. By keeping you here, he is protecting his own heart.” (หน้า 238-9)

อีกประเด็นหนึ่งที่รู้สึกว่าน่ารักในเล่มนี้ คือ การกระดากอายของ Lucivar ที่มีต่อการอ่านหนังสือ ซึ่งเจ้าตัวรู้สึกว่าเป็นจุดอ่อนและปมด้อยของตัวเองมาตลอด แต่ท้ายที่สุดแล้ว คนที่ช่วยพวกที่ติดอยู่ในบ้านออกมาได้ก็เป็นตัว Lucivar และด้วยวิธีเฉพาะของเจ้าตัวเอง ทำให้เห็นว่าเรามีความเชี่ยวชาญต่างกัน และความเชี่ยวชาญเหล่านี้ก็มีประโยชน์กันต่างวาระต่างเวลา หรือการที่เจ้าตัวรู้สึกว่าตัวเองหยาบกระด้าง แต่เขาก็สามารถใช้เวลาเป็นวัน ๆ นั่งฟัง Tresa เล่าเรื่องและเข้าใจสิ่งที่เธอพูดได้ และก็ได้รับการตอบแทนเป็นความรู้ที่ Tresa แทรกผ่านการเล่าเรื่อง

เมื่อได้อ่านหนังสือมากขึ้น และได้รู้จักโลกแฟนตาซีมากขึ้น ทำให้คิดว่าการอ่านงานของ Anne Bishop จะไม่เหมือนเดิม เพราะต้องการความลุ่มลึก และรายละเอียดเกี่ยวกับตัวละครที่มากขึ้นกว่าเดิม และคิดว่า งานของ Anne Bishop ขาดสิ่งเหล่านี้ หากแต่เมื่อเริ่มอ่าน Tangled Webs กลับเข้าใจอย่างยิ่งว่า งานของเธอดิบก็จริง แต่การเขียนเรื่องให้ดิบ แต่ยังคงเสน่ห์ความน่าอ่านได้เป็นสิ่งที่ไม่ง่ายเลย และดังนั้นก็หลงรักงานของเธอเหมือนเดิม หรืออาจจะยิ่งกว่าเดิมก็ได้ ยิ่งเจอะเจอตัวละครที่คุ้นเคยและผูกพันมานานก็เป็นความรู้สึกเหมือนได้เจอเพื่อนเก่า ระหว่างที่อ่านถึง 60 หน้าแรก รู้เลยว่าอ่านไปนั่งยิ้มอารมณ์ดีอยู่คนเดียวที่เจอตัวละครที่คุ้นเคย และได้เห็นบุคลิกและความเป็นไปเกี่ยวกับตัวละครเดิม ๆ อีกครั้ง (และคิดว่า Anne Bishop ก็น่าจะรู้สึกเช่นเดียวกันตอนเขียน เพราะว่าเกือบจะเป็นเรื่องยากที่จะอ่านงานของเธอไปเกือบ 100 หน้า เห็นตัวละครเด่น ๆ ทั้งหมดออกมีบทบาทแล้วไม่มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นเลย – ทั้งคนเขียนก็สนุกกับการเขียน และคนอ่านก็มีความสุขกับการอ่านตัวละครที่คุ้นเคย และการกระทำที่คาดเดาและคาดหวังได้) ก็ขอสรุปว่า that same old expresso!

ให้คะแนน B และบอกในบล็อกอีกครั้งว่าคะแนนเหล่านี้เชื่อถือไม่ได้แม้แต่น้อย และก็รอ The Shadow Queen ปกอ่อนปีหน้า

ปล. ก็เช่นเดิม Hell’s fire, Mother Night, and may the Darkness be merciful.

ชอบตรงที่ Lucivar ถาม Daemon ว่าใครอยู่ในบ้าน เพราะถ้าไม่มีใครอยู่ Daemon คงพังบ้านไปนานแล้ว

Black Jewels Series.
Daughter of the Blood (1998)
Heir to the Shadows (1999)
Queen of the Darkness (2000)
The Invisible Ring (2000) * เรื่องเล่าก่อนเรื่องหลัก และมีตัวละครแยกจากกัน
Dreams Made Flesh (2005)
The Shadow Queen (2009)

Tuesday 10 March 2009

7 Seeds by Yumi Tamura (n)

นานทีจะมีการ์ตูนเข้ามา ทั้งที่ก็อ่านตลอด แต่หลังจบ 7 Seeds เล่ม 12 แล้วรู้สึกอยากพูดถึงจริง ๆ เพราะไม่ใช่ทั้งเรื่องรักตามประสาการ์ตูนเด็กผู้หญิง และการผจญภัยต่อสู้สำหรับเด็กผู้ชาย .... แต่เป็นเรื่องของการเติบโต และการเรียนรู้ หลังจากอ่านแล้วทำให้คิดตามต่อยอดไปมากจริง ๆ


ชนิด : Shōjo manga/ Sci-Fi/ Horror
สำนักพิมพ์ : บงกช
จำนวนเล่ม : ถึงปัจจุบัน 12 เล่ม ( หรือ 14 เล่ม ภาษาญี่ปุ่น)
รางวัล : Shogakukan Manga Award for shōjo manga (2007)

เมื่อมีการทำนายถึงอุกาบาตที่จะมาพุ่งชนโลก รัฐบาลของประเทศต่าง ๆ จึงริเริ่มโครงการลับที่ชื่อว่า ‘7 Seeds’ โดยการนำเด็กหนุ่มสาวที่แข็งแรง สุขภาพดีและถูกคัดเลือกไว้มาแช่แข็ง เพื่อให้พวกเขาดำรงเผ่าพันธุ์ต่อไป หลังจากสภาพแวดล้อมกลับเป็นปกติและเด็กกลุ่มนี้ตื่นขึ้นมา

สำหรับประเทศญี่ปุ่นเอง ได้แบ่งเด็ก ๆ ออกเป็น 5 ทีมตามชื่อฤดูกาลตั้งแต่ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว ฤดูร้อน A และ ฤดูร้อน B โดยแต่ละกลุ่มประกอบไปด้วยเด็กเจ็ดคนที่ไม่รู้ล่วงหน้าว่าพวกเขาจะต้องถูกแช่เแข็ง และไกด์นำทางหนึ่งคนที่จะเป็นคนสอนวิธีเอาชีวิตรอด

เรื่องเริ่มต้นที่การตื่นขึ้นของเหล่าสมาชิกในทีมฤดูร้อน B ที่ตื่นขึ้นมาโดยที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง โดยเฉพาะก่อนที่จะหลับไปทุกอย่างยังเป็นเหมือนปกติ หากเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาพวกเขาอยู่ในโลกหนึ่งที่มีสภาพแวดล้อมแตกต่างไปจากเดิม และคนที่เคยรู้จักและผูกพันหายไปเกือบหมด ซึ่งทำให้เด็กกลุ่มนี้ต้องพยายามทำความเข้าใจกับความเป็นไปที่เกิดขึ้นรอบตัว และในขณะเดียวกัน เรียนรู้เพื่อนรอบตัวและเอาตัวรอดให้ได้ โดยที่การเล่าเรื่องในภาคนี้จะเน้นที่ตัว นัตซึ เด็กผู้หญิงที่เก็บตัว และขี้อายเป็นหลัก

สำหรับทีมฤดูใบไม้ผลิ เราไม่ได้เห็นการปรับตัวในช่วงแรก แต่เป็นหลังจากที่สมาชิกในทีมเรียนรู้และเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว และดังนั้นจึงเป็นการสู้เพื่อเอาชีวิตรอดและการอยู่ร่วมกันของสมาชิกทั้งหมดเป็นหลักมากกว่า โดยมี ฮานะ เด็กผู้หญิงหน้าตาสะสวยที่เข้มแข็งและเชี่ยวชาญการผจญภัยเป็นตัวเอก และฮานะก็เป็นแฟนของ อาราชิ ในทีมฤดูร้อน B ผู้คอยปกป้องและช่วยเหลือนัตซึ

ทีมฤดูหนาวอาจจะเป็นทีมที่โชคร้ายที่สุด กลุ่มนี้เป็นกลุ่มแรกที่ฟื้นขึ้นมาหลังการแช่แข็งสิบห้าปีก่อนเนื้อเรื่องหลัก โดยที่สมาชิกสามคนในกลุ่มตายไประหว่าง “การตื่น” และในระหว่างเดินทางจนเหลือเพียง อารามากิ ผู้เดียวที่เดินทางเร่ร่อนและเอาชีวิตรอดสืบมา และมีเพื่อนร่วมทางเป็นหมาป่าสองตัวที่ถูกตั้งชื่อตามสมาชิกในกลุ่มที่จากไป

ขณะที่สมาชิกกลุ่มอื่นอยู่ด้วยกันในฐานะเท่าเทียม ฤดูใบไม้ร่วงเป็นกลุ่มเดียวที่ถูกปกครองโดยสมาชิกที่แข็งแกร่งที่สุดสองคน คือ อากิโอะ กับ รัน ผู้ใช้ความหวาดกลัวเป็นอำนาจ สมาชิกกลุ่มนี้ลงหลักปักฐานมากที่สุด แต่คนอ่านได้เห็นเรื่องราวในกลุ่มนี้จากมุมมองของ นัตซึ และ ฮานะ เท่านั้น

ทีมฤดูร้อน A แตกต่างจากสมาชิกในกลุ่มอื่น ๆ โดยสิ้นเชิง เด็กเหล่านี้เป็นเด็กพิเศษที่ถูกเลี้ยงอย่างแปลกยากจากสังคมมาตั้งแต่เริ่มต้น และก็ถูกฝึกให้เข้าใจกับการเอาตัวรอดและใช้ชีวิตในสภาพทุรกันดารได้อย่างดีเยี่ยม อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขที่ทำให้พวกเขาเป็นคนที่ถูกเลือกก็คือการทดสอบที่เด็กคนอื่นนอกเหนือจากเจ็ดคนนี้ถูกคัดออกและจบชีวิตลงอย่างโหดร้าย ทำให้กลุ่มเด็กที่มีความหวังและความสามารถเด่นชัดที่สุดกลายเป็นกลุ่มที่สิ้นหวังและเต็มไปด้วยความเกลียดชังที่สุด

ช่วงแรกจะเป็นการเล่าถึงเนื้อหาการผจญภัยและเอาชีวิตรอดให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป การปรับตัวและการพยายามใช้ชีวิตในรูปแบบที่แตกต่างไปจากเดิมของสมาชิกในแต่ละกลุ่ม ซึ่งสมาชิกก็จะมีทั้งไปจนถึงขั้นเกลียดต่อต้าน และไม่เข้าใจสิ่งที่เกิด กับพวกที่ปรับตัวได้ และพยายามมากจนเกินไปในระดับต่าง ๆ กัน พร้อมกับการอยู่ร่วมกับคนอื่นที่เพิ่งรู้จักเป็นครั้งแรกหลังการลืมตาตื่นขึ้นมา ซึ่งจะต้องไว้ใจ และเรียนรู้กันและกันให้ได้ในฐานะกลุ่ม ขณะที่รักษาความต้องการและชีวิตของตัวเองในระดับบุคคลให้ได้

อย่างไรก็ตาม ในช่วงปัจจุบัน (เล่ม 12) เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง และมีการขมวดปมเรื่องมากขึ้น เมื่อแต่ละกลุ่มเริ่มการผจญภัย มีการแยกตัว และรวมตัวกับสมาชิกในกลุ่มอื่น และการผจญภัย และชีวิตที่เปลี่ยนไปนั่นเองที่ทำให้แต่ละคนเติบโต และเรียนรู้หน้าที่ของตัวเองมากขึ้น ดังเช่นในเล่มนี้ที่ นัตซึ เรียนรู้ที่จะก้าวไปข้างหน้า และพยายามหลุดออกมาจากกรอบของตัวเอง เพื่อเป็นที่พึ่งของกลุ่มให้ได้มากขึ้น หรือที่พวกเขาพยายามเป็นคนที่ดีกว่าเดิม ด้วยการกำจัดปีศาจในใจของตัวเองออกไป อย่างที่อาราชิบอกกับเด็กหญิงจากกลุ่มอื่นที่เขาช่วยไว้ว่า เขาเคยขับไล่อารามากิไป ทั้งที่รู้ว่าชายโดดเดี่ยวที่เขาเจอต้องการเพื่อน เขาเสียใจกับการกระทำของตัวเอง และทำให้เขาตั้งใจที่จะช่วยทุกคนที่เจอระหว่างทาง

ยูกิ ทามูระเขียนการ์ตูนไว้หลายเรื่อง และแต่ละเรื่องก็เป็นการเติบโต และเรียนรู้เข้าใจชีวิตของตัวละครทั้งสิ้น แม้ว่า Coming-of-Age ในความหมายของเธอจะเป็นการเห็นโลกที่ต่างไปจากกรอบไร้เดียงสาที่เคยมี เป็นการรู้จักโลกด้วยความเป็นจริงที่ค่อนข้างโหดร้าย ขณะที่พยายามรักษาตัวตนที่ตัวเองเป็นเอาไว้ การอ่านหนังสือของเธอเพียงเล่มเดียว อาจจะไม่เห็นภาพใด ๆ นอกจากการเดินเรื่องที่อาจดูเนิบนาบ แต่เมื่ออ่านทั้งหมดก็จะเห็นภาพการผจญภัยและการเติบโตที่ชัดเจน

เล่ม 13 คงได้เห็นอะไรมากขึ้น และก็แทบจะอดใจไว้ไม่ไหว

Queen of Dragons by Shana Abe (n)

หลังอ่าน Dream Thief จบก็หลุดไปอ่านเรื่องโน้นเรื่องนี้เล่มละสองบทอยู่หลายเล่ม ก่อนที่จะกลับมาอ่าน Queen of Dragons ต่อ ก็ไม่แน่ใจว่าทำไมไม่อ่านต่อเลยเหมือนกัน ... แต่ที่แน่ ๆ การอ่านอะไรแล้วถูกใจไปก่อนหน้าทำให้หาอย่างอื่นอ่านต่อยากมาก ยาก ยาก ยาก



ชนิด : Fantasy / Historical Romance / weredragons
ชุด : The Drakon, Book 3
สำนักพิมพ์ : Bantam; Reprint edition (November 25, 2008)
จำนวนหน้า : 336 หน้า


การผจญภัยของ Lia และ Zane ที่ไปตามหา Draumr ทำให้รู้ว่าใจกลางเทือกเขาคาร์เพเธียนในทรานซิสวาเนีย ยังมีมนุษย์มังกรอีกกลุ่มอาศัยอยู่ ซึ่งทำลายความเชื่อที่ว่าพวกในอังกฤษเป็นเผ่าพันธุ์สุดท้ายไปอย่างสิ้นเชิง ... แต่ก็เปิดความหวังให้สภามุ่งหวังให้เกิดการรวมตัวกันของทั้งสองเผ่าผ่านการแต่งงานระหว่างกันด้วย

เรื่องเริ่มต้นเมื่อ Maricara เจ้าหญิงและผู้ปกครองของเผ่าทรานซิสวาเนียนล่วงรู้ถึงการล่ามนุษย์มังกรจากกลุ่มนักล่าที่ถูกเรียกว่า sanf inimicus และดังนั้น เธอจึงเดินทางมาที่อังกฤษเพื่อแจ้งข่าวนี้ด้วยตัวเอง

ซึ่งอาจจะไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมนัก เพราะหลังการหนีไปของ Lia ส่งผลให้ Christoff กับ Rue พ่อและแม่ของเธอผู้เป็นหัวหน้าเผ่าได้ตัดสินใจหนีหายไปเพื่อตามเธอกลับมา และปล่อย Kimber ลูกชายคนโตเป็นคนรับภาระการดูแลเผ่าไว้ ขณะที่การหายออกไปของคนทั้งสามหมายถึงการสั่นคลอนความเชื่อและกฎระเบียบของเผ่าที่มีมานาน และทำให้ความตึงเครียดเกาะกุมจิตใจมนุษย์มังกรในเผ่า

เมื่อ Mari (cara) เดินทางมาถึง นอกเหนือความปั่นป่วนที่เธอ –คนนอกเผ่าที่อยู่นอกเหนือกฏเกณฑ์- มีต่อเผ่าและต่อตัว Kimber เองแล้ว มนุษย์มังกรทั้งหมดยังต้องรับมือกับการมาถึงของนักล่าอีกด้วย

ในบรรดาสามเล่ม คิดว่าเล่มนี้เป็นเล่มที่ไร้ทิศทางที่สุด เพราะเมื่ออ่านหลังปก คิดว่าจะเป็นว่าทั้ง Mari และ Kimber ต้องกลายเป็นพันธมิตรต่อกันในการออกล่า sanf inimicus ก่อนที่จะเป็นฝ่ายถูกล่าเสียเอง แต่ในเล่ม ... บอกไม่ถูกว่าเป็นอะไรจริง ๆ เพราะว่าเป็นกึ่งกลางของทุกอย่าง กลายเป็นว่าหนังสือตามตัวละครสองตัวโดยที่แทบจะไม่มีโครงเรื่องที่ชัดเจนแต่อย่างใดเลย (เทียบกับเล่มแรก Smoke Thief ที่ออกตามหาเพชรที่หายไปและจับโจร กับเล่มสอง Dream Thief ที่เดินทางไปหา Draumr) เพราะแบ่งไปพูดถึงเกี่ยวกับบุคลิกและความขัดแย้งของตัวละคร การพัฒนาความสัมพันธ์ของทั้งสองคน และอันตรายที่มาจากเหล่า sanf inimicus และไม่มีจุดเน้นที่ชัดเจน

ไม่แน่ใจว่าหนังสือที่ตัวละครดี แต่โครงเรื่องไม่ดี กับโครงเรื่องดีกับตัวละครห่วยอะไรจะแย่กว่ากัน เล่มนี้พูดถึงตัว Mari และ Kimber มาก มากจนทำให้เรารู้จักและเข้าใจตัวละครสองตัวมากกว่าที่เป็นในสองเล่มที่ผ่านมา แต่ก็ทำให้เนื้อเรื่องไม่คืบหน้าด้วย โดยเฉพาะช่วงที่อ่านครึ่งเล่มแรก มีการบรรยายอยู่มาก และก็เหมือนจะมากเกินไป และในช่วงเกือบจบก็เป็นแบบนี้อีกเช่นกัน และทำให้ไม่เข้าใจว่ามีเหตุการณ์หลายอย่างเข้ามาด้วยเหตุผลอะไร เป็นครั้งแรกที่อ่านหนังสือแล้วมีทั้ง skim, scan และ skip ซึ่งเป็นสิ่งที่แทบจะไม่เกิดขึ้นเลยเวลาอ่านหนังสือเอาอรรถรส โดยเฉพาะหลังจากที่อ่าน Dream Thief จบไป (ซึ่งเล่มนั้นดำเนินเรื่องไวและมีทิศทางมาก) คิดว่า Queen of Dragons น่าจะดำเนินเรื่องได้ดีกว่านี้

สิ่งที่ดีที่สุดในหนังสือเล่มนี้คือ การเติมเต็มกันและกันของ Mari และ Kimber เท่านั้น อย่างที่ปกบอกไว้ว่า "Beautiful, sensual, dangerous – they were the perfect match." แล้วก็อธิบายทุกอย่างในหนังสือเล่มนี้ (อันอาจจะรวมไปถึงสิ่งที่คนเขียนพยายามสื่อสารออกมาเช่นกัน) ตัว Mari เติบโตมาในครอบครัวชาวนา เธอต้องแต่งงานกับ Alpha ของเผ่าทรานซิสวาเนียนตั้งแต่เด็กเพราะความสามารถ และฐานะ Alpha ของเธอ แต่สิ่งที่มีเธอมีก็ทำให้ทุกคนหวาดกลัวเธอ และหวาดระแวงเธอเสียอีก จนเธอต้องแปลกแยก โดดเดี่ยว ต้องฉลาด มีไหวพริบเอาตัวรอด และสร้างเกราะน้ำแข็งล้อมรอบตัวเองไว้

ขณะที่ฐานะของ Kimber อาจจะดีกว่าเธอที่เขาเป็นลูกชายคนโตของหัวหน้าเผ่า และเป็น Alpha ที่จะปกครองเหล่ามนุษย์มังกรต่อไป ทำให้เขาได้รับความเคารพและการยอมรับจากคนในเผ่า แต่นั่นก็หมายถึงความคาดหวังที่มีด้วย และหลังการจากไปของ Christoff และ Rue ก็ทำให้เขาต้องกลายเป็นหัวหน้าคนต่อไป อยู่ในสถานะที่ยิ่งใหญ่แต่โดดเดี่ยว

การที่ Mari ก้าวเข้ามาในชีวิตของ Kimber เปรียบเสมือนการเจอกันของคนสองคนที่เหมือนกัน และแสวงหาคนที่เท่าเทียมกันมาตลอดโดยที่ไม่รู้ตัว ทั้งในเรื่องพลัง ความสามารถ และความรับผิดชอบที่แบกไว้ อย่างที่ Kimber บอกว่า Mari เข้าใจหน้าที่และความรับผิดชอบในฐานะผู้ปกครอง และเขาต้องการคำปรึกษาจากเธออย่าง “ราชาต่อราชา” แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้ Kimber เข้าใจถึงความรักอย่างที่บอกว่า "Uncover the heart; wed the fire." (หน้า 266) ขึ้นมาด้วย และกับ Mari ชายหนุ่มเป็นคนเดียวที่ไม่กลัวเธออย่างที่คนที่ในทรานซิสวาเนียหวาดกลัว และแปลกแยกจากเธอมาตลอด ซึ่งแม้แต่น้องชายของเธอเองก็ยังไม่เข้าใจและเกรงกลัวเธอ การอยู่กับเขาทำให้เธอเจอที่อยู่ของเธอเอง (แม้ว่า Mari ใช้เวลานานในการยอมรับ หลังจากที่ใช้เวลาในการทำลายเกราะของเธอ)

อย่างไรก็ตาม เล่มนี้พูดถึงความรับผิดชอบของคนที่ต้องเป็นผู้นำ และโครงสร้างของเผ่ามากกว่าเล่มอื่น แต่ขณะเดียวกัน“การไล่จับ” และการทำความรู้จักกันมีมากเกินไปจนทำลายเนื้อเรื่อง รวมไปถึงการคั่นเล่าเรื่องที่ไม่ควรมีด้วย กับคิดว่าตอนจบยังอธิบายหลายอย่างได้ไม่ดีพอ ถ้าคิดว่าการอ่าน Dream Thief ทำให้เกิดฉันทาคติแล้ว ก็ยังให้คะแนนมากที่สุด ได้ที่ C - Can’t find my way in, can’t follow without breaking screaming frustrating!

แต่ก็คงอ่านเล่มสี่ต่อ -- ดีที่เล่มสามไม่ดี ทำให้รอปกอ่อนได้ และก็ดีที่เล่มนี้ไม่เป็นเล่มแรก ไม่งั้นคงไม่ได้อ่านต่อ วิธีการดำเนินเรื่องและโครงเรื่องแย่กว่า Secret Swan และก็ทำให้โกรธ ที่มากกว่าผิดหวังอีก -- แต่ก็มีลางสังหรณ์อัปมงคลว่าเล่มสี่อาจจะยิ่งแย่ ไม่กล้าและไม่อยากคิดเลย

ปล. สรุปว่า Runner เล่มแรกไม่ได้ถูกฆ่า และในทางกลับกัน กลายเป็นสมาชิกสภา ... และมีบทบาทของ Zane เล็กน้อย ซึ่งก็ไม่จุใจหรือถูกใจเลย เฮ้อ เฮ้อ เฮ้อ

ไม่เกี่ยว
ความรู้สึกของ Lea ที่มีต่อ Zane ช่วงแรกทำให้คิดถึงเพลง Kinky love ของ Rita Calypso กับช่วงหลัง Perhaps, perhaps, perhaps ของ Pussycat Dolls

You won't admit you love me
And so how am I ever to know?
You always tell me
Perhaps, perhaps, perhaps

If you can't make your mind up
We'll never get started
And I don't wanna wind up
Being parted, broken-hearted

แต่สำหรับ Kimber เป็น If you ever need a stranger ของ Jens Lekman

You think it's funny
my obsession with the holy matrimony
but I'm just so amazed to witness true love

And true love can be measured
through these simple pleasures
they are waiting there for you to be discovered
I would cut of my right arm to be someone’s lover

Sunday 8 March 2009

The Dream Thief by Shana Abe (n)

ทฤษฎีที่ว่าสิ่งหนึ่งนำไปสู่อีกสิ่งหนึ่งก็ยังเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นประจำในบล็อกนี้ การที่อ่านเล่มสองต่อนั้นเป็นทั้งเพราะชอบตัวละครเอกเล่มนี้จากที่ได้อ่านเล่มที่แล้ว และได้อ่าน excerpt หลังเล่มแรก อย่างไรก็ตาม พลาดมากที่ไม่ได้เอาเล่มสองมาพร้อมกัน ทำให้ลงแดงทุรนทุรายยิ่งนัก แล้วก็บอกตัวเองว่ายังมีหนังสืออื่นอยู่ ทำให้กว่าจะกลับไปเอาอีกก็เกือบ 2 อาทิตย์ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเป็นไปได้ โอ แต่ว่า worth the wait เป็นอย่างยิ่ง!!



ชนิด : Fantasy / Historical Romance / weredragons
ชุด : The Drakon, Book 2
สำนักพิมพ์ : Bantam (August 28, 2007)
จำนวนหน้า : 288 หน้า


ในเล่มนี้ Zane เด็กข้างถนนที่อยู่ในการดูแลของ Rue เติบโตขึ้นและกลายเป็นจอมโจรที่มีอิทธิพลอยู่ในเงามืดของลอนดอน หากความเป็นจริงที่ว่าเขาล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของมนุษย์มังกรทำให้ชายหนุ่มต้องตกอยู่ใต้อำนาจบังคับของเผ่า และกลายเป็นเครื่องมือในการติดต่อกับโลกภายนอก เรื่องเริ่มต้นเมื่อ Zane ถูกจ้างกึ่งบังคับจาก Rue และ Christoff ให้ออกเดินทางไปยังโรมาเนีย เพื่อตามหา Draumr เพชรที่สูญหายไปของชาวมนุษย์มังกรกลับคืนมา

หากระหว่างทาง Zane ได้พบกับ Lia ลูกสาวคนเล็กของ Rue และ Christoff ที่แอบวางแผนมาสมทบกับเขา และไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากให้เธอเดินทางไปด้วย แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือหญิงสาวมีพลังที่ทำให้เธอได้ยินเสียงเรียกจาก Draumr มาตั้งแต่เด็ก และเธอมีมองเห็นอนาคตผ่านความฝันซึ่งกลายเป็นจริงเสมอมา

ในบรรดาความฝันทั้งหมดของ Lia สิ่งที่ชัดเจนที่สุดก็คือ ชายหนุ่มใช้อำนาจของ Draumr เพื่อตัวเอง เขาควบคุมเหล่ามนุษย์มังกรได้ และเธอซึ่งเป็นคนรักข้างกายเขาก็กลายเป็นเครื่องมือทำลายครอบครัวและเผ่าพันธุ์ของเธอด้วยพลังมองเห็นอนาคตที่มี

ความขัดแย้งภายในของตัวละครเป็นสิ่งที่ช่วยดำเนินเรื่องได้อย่างดี สำหรับ Zane เอง ความพึงใจทางร่างกายที่มีต่อเธอดูจะเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง (ตามวิสัยหนังสือแนวนี้?) หากแต่ชายหนุ่มรู้ดีว่า บทลงโทษที่มีต่อการไปเกี่ยวข้องกับผู้หญิงจากเผ่ามนุษย์มังกรเป็นเช่นใด ความสัมพันธ์ระหว่างกันที่เป็นไปไม่ได้ทำให้เขาบังคับตัวเองให้หยุดยั้งทุกอย่างไว้ หากแต่ความรู้สึกที่มากขึ้นก็ทำให้เขาหลีกหนีจากเหตุผลของตัวเองและเลือกที่จะครอบครองเธอในที่สุด ซึ่งพฤติกรรมของ Zane แสดงออกชัดถึงทัศนคติในการใช้ชีวิตของเขาที่การครอบครองและการเป็นเจ้าของคือทุกอย่าง และเมื่อเขารักเธอ ชายหนุ่มก็มองว่าหมายถึงการครอบครองเธอด้วย โดยเฉพาะหลังจากเขารู้ถึงอำนาจที่ Draumr มี เขามองเห็นความหวังที่จะได้ตัว Lia ไว้ตลอดไป แม้รู้ว่าจะทำให้เธอตกอยู่ใต้อำนาจเขาก็ตามที และยิ่งเมื่อรับรู้ความรู้สึกของเธอที่มี ก็ยิ่งทำให้เขามุ่งมั่นที่จะได้ครอบครองเพชรมากกว่าเดิม

อย่างไรก็ดี ภูมิหลังของ Zane เป็นสิ่งที่น่าพิจารณาอย่างหนึ่งด้วย เมื่อเติบโตขึ้นมาจากข้างถนน และต่อสู้จนเป็นได้อย่างปัจจุบัน ทำให้สิ่งที่เขาต้องการก็คืออำนาจ และความมั่งคั่ง และหวาดกลัวที่จะตกเป็นเบี้ยล่าง เป็นฝ่ายถูกกระทำ ซึ่งการที่ตกอยู่ในอำนาจของเหล่ามนุษย์มังกร โดยเฉพาะตัว Christoff ที่เป็นคนแย่งชิง Rue ไปจากเขา และการได้ Draumr มาก็ช่วยให้เขาเป็นอิสระ นอกเหนือไปจากการได้ตัว Lia มาอีกประการหนึ่ง

และในแง่นี้ ความผูกพันที่เกิดขึ้นระหว่างทางก็น่าจะอธิบายการตกหลุมรักของ Zane ได้ดีเยี่ยม อย่างที่เล่าว่าเขาเติบโตมาอย่างยากลำบาก ทำให้จอมโจรไม่ไว้ใจใคร พึ่งพาตัวเอง และไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้เขาเกินความจำเป็น หากแต่การเดินทางร่วมกันก็สร้างเงื่อนไขให้เขาต้องอยู่ร่วมและผูกพันกับคนข้างตัว ยิ่งในสถานะที่ลำบากและอันตรายก็ยิ่งทวีความเชื่อมโยงของทั้งคู่มากขึ้นไปอีก และแม้ว่าความหลงใหลคลั่งไคล้ในวัยเด็กที่ครั้งหนึ่ง Zane จะมีต่อ Rue แล้ว แต่นอกเหนือจากความเป็นไปไม่ได้ทั้งปวง ผู้หญิงอย่าง Rue ก็ไม่เหมาะสมกับเขาเช่นเดียวกัน เพราะเธอก็มีเกราะป้องกันตัวของเธอจากคนรอบข้างไม่ต่างอะไรจากเขา ขณะที่ความเรียบง่ายและความจริงใจของ Lia กลับละลายความเย็นชากึ่งการมองโลกในแง่ร้ายของ Zane ลง (และก็ทำให้สนุกที่จะดู Zame หลุดจากกรอบที่เขาสร้างไว้และเปลี่ยนแปลง (สปอยล์) [โดยเฉพาะตอนที่ Lia ตกอยู่ใต้มนต์สะกดของ Draumr และถูกออกคำสั่งให้ทำร้ายเขา เฉพาะที่ชายหนุ่มไม่เชื่อว่าเธอจะทำได้ จนกระทั่งขาหักไปข้างนึงแล้ว])

ความรู้สึกที่ Lia มีต่อชายหนุ่มก็อยู่ในวังวนความสิ้นหวังไม่ต่างกัน หญิงสาวเริ่มฝันเกี่ยวกับคนรักในอนาคตของเธอตั้งแต่อายุสิบสี่ปี ในความฝัน เธอรู้ว่าเขาครองครอง Draumr ไว้ ซึ่งทำให้เขาเป็นเจ้าของเธอ และใช้อนาคตที่เธอเห็นเป็นเครื่องมือสู้กับมนุษย์มังกรที่มาแย่งชิงเพชรและตัวเธอกลับไป แต่เธอไม่เคยบอกใครเกี่ยวกับความฝันเหล่านี้เลย เพราะเธอรู้ว่า ถ้าเธอหลุดปากเรื่องนี้ออกไป เขาจะถูกฆ่าในทันที และดังนั้น แผนการของเธอก็คือออกเดินทางไปพร้อมชายหนุ่มเพื่อชิงเพชรมาจากเขา เพื่อปกป้องครอบครัวของเธอ โดยที่กล้าที่จะยอมเสี่ยงกับบทลงโทษของเผ่า และดังนั้น Lia จึงมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัวที่ไร้ทางออกมาตลอด และความรู้สึกนี้ก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อทั้งคู่เข้าใกล้ Draumr ไปทุกขณะ

Shana Abe เล่าเรื่องการเดินทางของทั้งคู่ โดยมีความฝันของ Lia ที่เกี่ยวกับ Zane ให้ผู้อ่านได้เห็นเป็นระยะ ๆ แต่ในความฝันแต่ละครั้ง เธอก็จะบอกถึงวิธีที่หญิงสาวบอกคนรักของเธอเกี่ยวกับการสู้และเอาชนะมนุษย์มังกรจากเผ่าของเธอ ความฝันเหล่านั้นดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเนื้อเรื่องหลัก นอกจากทำให้คนอ่านคาดหวังถึงสิ่งที่จะเป็นต่อไปในอนาคต ซึ่งเมื่อย้อนมองกลับไปก็จะเห็นว่า บทสนทนาระหว่างทั้งสองนั้นมีแต่การออกคำสั่งของเขาที่มีต่อเธอ และหญิงสาวไม่เคยขัดขืนหรือปฏิเสธใด ๆ เลย ซึ่งกลายเป็นว่าจุดนี้เป็นสิ่งที่คนเขียนทำได้ดีมาก เพราะในที่สุดแล้ว ความฝันที่เกิดขึ้นเป็นเพียงสิ่งที่สร้างความคาดหวังและเบี่ยงเบนความเชื่อที่คนอ่านมีต่อเรื่องในตอนจบ ซึ่งแตกต่างกับความเป็นจริงภายหลังอย่างสิ้นเชิง (ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงตัวเองของ Zane) พาลให้คิดถึงเรื่อง Princess at Sea ของ Dawn Cook ที่บอกว่า “You can’t partake of the future properly with only the memories of today.” เพราะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ และก็กลายเป็นว่า Zane ในการมองเห็นของเธอและในความเป็นจริงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยที่ Zane คนหลังเลือกที่จะรักและถูกรักตอบในสถานะที่เท่าเทียมกัน และกล้าที่จะขอเธอแต่งงาน ขณะที่จอมโจรที่เธอเห็นในฝันพอใจกับการได้ตัวเธอที่เป็นที่มาของความมั่งคั่งและความสำราญของเขาเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม หากมองว่าเธอยึดถือและเชื่อมั่นกับสิ่งที่จะเกิดโดยไม่ยอมที่จะยืนหยัดและเปลี่ยนแปลงใด ๆ ก็เป็นความคิดที่ผิด เพราะเมื่อ Lia มองเห็นสิ่งที่จะเกิด เธอก็เริ่มต้นวางแผน และคิดหาทางออกมาตลอด และเตรียมการถึงขั้นที่เมื่อความฝันบอกเธอว่า จะต้องมีการเดินทางไปถึงโรมาเนีย เธอก็เกลี้ยกล่อมและหลอกล่อให้อาจารย์ในโรงเรียนประจำของเธอหาคนมาสอนภาษาโรมาเนียนให้เธอจนได้ และถึงขั้นเป็นจอมวางแผนที่ปลอมจดหมายจากที่บ้านไปยังโรงเรียน และจากโรงเรียนไปถึงบ้านเพื่อสร้างคำอธิบายในการหายไปสู่โรมาเนียของเธอ หลายอย่างทำให้ Lia เป็นตัวละครที่ดูช่างคิด มุ่งมั่น และจริงจังในแบบของเธอ และทำให้คนอ่านรักเธอและ Zane ไปพร้อมกัน

ในตำนานของชาวมนุษย์มังกรเอง มีเรื่องเล่าในอดีตถึงไพร่ที่ตกหลุมรักเจ้าหญิงของเผ่ามนุษย์มังกร และใช้ Draumr เพื่อจะที่จะพาเธอหนีไป ทำให้เธอเป็นทาสเขา และมีครอบครัวอยู่ด้วยกัน ก่อนที่จะเธอจะฆ่าเขาในดึกคืนหนึ่ง และฉวยเพชรหนีไป อันที่จริง ฐานะระหว่าง Zane กับ Lia รวมไปถึงสิ่งที่จอมโจรคิดจะทำก็ไม่แตกต่างจากไพร่ในเรื่องเท่าไหร่นัก ดังที่มีบทเล่าเรื่องซึ่งมีคั่นเป็นระยะ ว่า “Little is known of what actually happened between the dragon-princess and the peasant who stole her from the bosom of her kind, all those centuries past. We know he was wily enough to thieve the diamond as well, to ensure he wound have Draumr to bind her by his side. We know he was hungry enough for her to risk his own life to keep her, and ruthless enough to destroy her family when they attempted to rescue her from him.“ (หน้า 186) เห็นได้ว่าแม้จะต่างวาระ ต่างเวลา แต่เรื่องราวก็ยังเป็นเช่นเดิม (... และในแง่หนึ่ง ย่อหน้านี้ก็สรุปเล่าเรื่องเกือบทั้งหมดในเล่มได้เช่นกัน)

ความรักและความต้องการที่ Zane มีต่อ Lia ถูกอธิบายไว้อย่างชัดเจนในความฝันคืนหนึ่ง เมื่อเขากำลังจะออกไปเสี่ยงชีวิตกับคนในครอบครัวของเธอ - ซึ่งทำให้เห็นว่าบางครั้ง ความรู้สึกเหล่านี้ก็เป็นตัวผลักดันให้เกิดความรู้สึกด้านมืดอย่างที่เขาเรียกว่า black hopes and a darker heart. (หน้า 277)

“Wait here. Do not follow me. Do not leave this chamber, no matter what do you hear.”
………..
But he didn’t leave. A single, rough finger stroked fire along her cheek.
“Tell me you love me,” he whispered.
(หน้า 101 - ส่วนคัดลอกเพิ่ม 08/100309 ตามลำดับ)

หากในตอนท้าย (สปอยลฺ์) [แม้ชายหนุ่มจะเห็นอำนาจของเพชรในการควบคุมมนุษย์มังกรในกรณีของ Lia แล้ว เขาก็ยังเลือกที่เป็นเจ้าของเพชรนั้นไว้ จนกระทั่งเขาเห็นแผลที่ตัวเองได้รับจาก Lia ขณะที่ตกอยู่ในมนต์สะกดทำร้ายเขา และเข้าใจถึงความเจ็บปวดจากการถูกควบคุม/ ครอบงำ ทำให้เขาตัดสินใจที่จะทำลายเพชรเพื่อให้ Lia เป็นอิสระ] ซึ่งตอนนี้แสดงให้เห็นถึงการเข้าใจและเรียนรู้ความหมายของการรักของ Zane ได้ดี และช่วยให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของเขาด้วย อันต่างจากจุดจบที่นำไปสู่การทำลายและความตายในตำนาน ทั้งนี้ หาก Zane เลือกที่จะใช้เพชรเพื่อผูกมัดหญิงชาวมนุษย์มังกรไว้กับเขาจริง ผลลัพธ์ที่ได้ตอนท้ายอาจจะไม่แตกต่างกันก็ได้ เพราะสุดท้ายแล้ว ความรักที่เธอมีต่อเขาก็จะหายไป

มีตอนหนึ่งที่แสดงถึงความสัมพันธ์ที่เปราะบางระหว่างทั้งคู่ได้ดี และเป็นตอนที่ชอบมากที่สุดในเล่มแห่งหนึ่ง ช่วงหน้า 280-281
“ …, and when she spoke again her voice was broken, more hushed than a whisper. “I love you so much.”

She pressed her face to his neck.

He hovered above her, dazed and delirious. Too late – she’d spoken and he’d already stolen her words, lifting her face and holding his lips to hers so she could not amend them or take them back. They belonged to him now.

She loved him.”

กับอีกจุดหนึ่งแสดงความช่างประชดประชันของ Zane ได้ดี
“You are dripping blood upon my floor,” observed the prince.

My apologies. It is the unfortunate consequence of being shot.” (หน้า 306)

เมื่อสิ่งที่คิดไว้น่าจะเขียนถึงหมดแล้วก็น่าจะจบได้ตรงนี้แล้ว สำหรับการให้คะแนนอยู่ที่ A เพราะหลังจบเล่มแล้วยังไม่อยากให้จบ และอ่านมาได้ใหม่ได้ รวมไปถึง ทิ้งเรื่องให้คิดตามต่ออยู่ในหัวเสียอีก และสำหรับการสรุปที่ไม่ใช่ตัวเลข ก็คือ The expected quite unexpected, yet as expected – a beast with human’s love, and human with beast’s love. ยิ่งเขียนก็ยิ่งเข้าใจคนเดียว โอ

คงจะเริ่มอ่านเล่มสาม - the Queen of Dragons - ต่อในเร็วไว และหวังว่าจะได้รู้เกี่ยวกับ Lia และ Zane หลังจากนั้นมากขึ้น เพราะรู้แต่เพียงว่าทั้งคู่หนีหายไปด้วยกันเพื่อให้พ้นจากเหล่ามนุษย์มังกรเท่านั้น

เพ้อเจ้อและคลุ้มคลั่ง (100309)

ก็ไม่รู้ว่าชีวิตของ Zane กับ Lia จะเป็นอย่างไรต่อจากนั้นใน Dream Thief เพราะสำหรับคู่นี้ ดูเหมือนว่า Happily-ever-after จะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากที่สุด การที่หนีไปด้วยกันหมายถึงว่า ยอมรับและรับรู้ว่าจะต้องกลายเป็น outcasts (แต่อย่างน้อยช่วงเวลาที่อยู่ที่ทรานซิสวาเนียอาจเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดก็ได้?) เลยเกิดสงสัยและเกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า ถ้าเป็นเช่นนี้ การเสี่ยงและเสียสละทุกอย่างเพื่อความรักเป็นเรื่องที่คุ้มไหม ซึ่งสำหรับทั้งสองคน สิ่งนี้อาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุด และถ้าย้อนเวลากลับไปก็จะเลือกเช่นเดิมก็ได้ แล้วก็นะคะ อยากอ่านช่วงสองคนนี้ตกหลุมรักกันอย่างจริงจังมาก กรี๊ด ทำอย่างไรดี ?!!!!

อย่างไรก็ตาม ถ้าเล่มสี่ให้ Zane ตายหรือเป็นอะไรไป จะโกรธมาก แล้วจะคอยสาปแช่ง Shana Abe จริง ๆ นะ

ข้อสังเกตบางประการ
อ่านงานของ Shana Abe มาสามเล่มเจอรูปแบบดังนี้

1. พระเอกอายุมากกว่า และนางเอกจะแอบหลงรักพระเอกมาตั้งแต่เด็ก และก็เป็นการรักแต่ไกล โดยที่พระเอกไม่รู้ตัวเลย แม้เมื่อมาเจอกันอีกครั้ง ก็จะยังไม่รู้จนกระทั่งใกล้ ๆ จบ และพระเอกเป็นฝ่ายบอกรักก่อน .. ก่อนที่ผู้หญิงจะเปิดเผยความจริงให้รู้

2. ตอนที่เจอกัน (ถ้าเจอกัน) นางเอกในวัยเด็กจะดูจืดชืดทั้งด้านรูปหน้าหน้าตาและบุคลิก และทั้งคู่ก็จะขาดการติดต่อหายกันไปเป็นนานปี ก่อนที่จะมาเจอกันอีกครั้ง และพระเอกจะต้องตะลึงทั้งกับรูปร่างภายนอก และบุคลิกภายในของนางเอกซึ่งเปลี่ยนไปหน้ามืดเป็นหลังมือ (คิดถึงสี pastel pink กับ shocking pink – that effect!)

3. (จำไม่ได้กับ Secret Swan) แต่ชุดนี้ พระเอกชอบเอาชื่อนางเอกมาต่อท้ายตามใจชอบเป็น endearment แบบแปลก ๆ เช่น Rue-flower และ Lie-heart (นอกจาก mouse และ snapdragom ตามลำดับ)

4. นี่เป็นเล่มแรกที่พระเอกไม่ได้เป็น aristocrat (ขอบคุณคนเขียนเป็นอย่างสูง) ซึ่งเป็นมาตลอด และ Drakon เล่ม 3-4 ก็กลับมาเป็นอีกแล้ว ไม่เบื่อบ้างเหรอคะ

Tuesday 3 March 2009

The Smoke Thief by Shana Abe (n)

สาเหตุการอ่านไม่มีอะไรเลย นอกจากเป็น weredragon จิตใต้สำนึกที่ชอบมังกรมากไม่มีทางเลือกแล้ว หาเรื่อง weredragon ที่เป็น UF จริง ๆ ก็หายากหาเย็น (เบื่อมนุษย์หมาป่า เบื่อผีดูดเลือดแล้ว ขอตัวอื่นบ้าง ภูติก็ไม่อยากได้ อยากได้มังกร กรี๊ด กรี๊ด) สรุปว่าก็นั่นแล



ชนิด : Fantasy/ Historical Romance/ weredragons
ชุด : The Drakon, Book 1
สำนักพิมพ์ : Bantam (September 26, 2006)
จำนวนหน้า : 352 หน้า


Clarissa เด็กสาวครึ่งมนุษย์ครึ่งมนุษย์มังกร (ที่ในเรื่องเรียกว่า drakon) ปลอมการตายของตัวเอง (fake her death? สำนวนภาษาอังกฤษชอบกล) และหนีออกไปจากถิ่นที่อยู่เดิมไปอาศัยอยู่ในลอนดอน ก่อนจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ในฐานะ Rue หม้ายสาวสูงศักดิ์ที่มีชีวิตแปลกแยก เธอเป็นหญิงสาวคนเดียวในช่วงสี่รุ่นชีวิตมนุษย์มังกรที่กลายร่างเป็นควันและเป็นมังกรได้ และนั่นก็ทำให้เธอใช้ประโยชน์จากความสามารถที่เธอมีเพื่อขโมยเครื่องประดับมีค่าจากบรรดาคนในสังคมได้อย่างง่ายดาย

หากเมื่อเรื่องราวของ Smoke Thief เริ่มเป็นที่โจษจัน ก็ทำให้ชาวมนุษย์มังกรเริ่มร้อนรน พวกเขาจะต้องจับตัว rogue weredragon (หรือ ‘runner’) ที่หนีออกไปจากสังคมของพวกเขากลับมาลงโทษให้ได้ และดังนั้น Christoff หัวหน้าชาวมนุษย์มังกรจึงวางแผนที่จะใช้ Langford Diamond เพชรเม็ดยักษ์ของเหล่าชาวมนุษย์มังกรมาเป็นตัวล่อหัวขโมยออกมา

เรื่องราวผิดแผนไปเมื่อ Christoff ได้เจอกับ Rue และรู้ว่าเธอสามารถแปลงร่างได้ และในฐานะหัวหน้าชาวมนุษย์มังกร ผู้หญิงที่แปลงเป็นมังกรได้ถูกกำหนดให้เป็นคู่ของเขา ซึ่งความต้องการของเขาที่มีต่อเธอก็เป็นเช่นด้วยเสียด้วย หากแต่เพชรถูกขโมยไปโดยฝีมือของรันเนอร์อีกคน และทั้งคู่ก็มีเวลาเพียงสิบสี่วันที่จะตามหาเพชรและหัวขโมยตัวจริง

จริง ๆ เรื่องนี้ไม่มีอะไรมากเลย นอกจากการทำความรู้จักและตกหลุมรักระหว่างตัว Rue และ Christoff ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพราะตัว Rue เองหลงรักฝ่ายชายมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่สมัยที่ตัวเองยังเป็นแค่ Clarissa เด็กลูกครึ่งแล้ว ส่วน Christoff ก็หลงรักตัว Rue ตั้งแต่แรกเห็นในลอนดอน เรื่องราวในหนังสือเล่มนี้จึงเป็นการปูทางเพื่อให้ทั้งคู่ได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน และตกหลุมรักกันมากขึ้นกว่าเดิม และกล้าพอที่บอกความรู้สึกของตัวเองออกไป

พล็อตที่น่าสนใจส่วนตัวก็คือ ประเด็นทางจิตวิทยาที่เกี่ยวกับ Rue เมื่อเธอหนีออกมาจากเผ่าได้ และหวังจะมีชีวิตที่เป็นอิสระหลังจากนั้น เธอไม่ควรใช้ความสามารถที่เธอมีอย่างเด่นชัด และโดดเด่นจนเปิดโอกาสให้มนุษย์มังกรล่วงรู้ถึงการดำรงอยู่ของเธอได้เลย แม้เธอจะถูกจับได้ แต่เธอก็ยังหวังว่าตัว Christoff และสภาเผ่าจะปล่อยให้เธอเป็นอิสระ และใช้ชีวิตตามลำพังของเธอในลอนดอนต่อไปได้ ซึ่งคิดว่าถ้าวางให้ตัวนางเอกฉลาด ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่ดูจะเดียงสามากไป การที่เติบโตมากับขนบธรรมเนียมของชุมชนปิดที่อนุรักษ์นิยมมาตั้งแต่เด็ก น่าจะช่วยให้เธอเห็นบทสรุปเช่นนี้ได้ก่อนที่เธอจะเริ่มต้นชีวิตขโมยแล้ว .... ส่วนตัวแล้ว มองว่าเป็นการเรียกร้องความสนใจมากกว่า เหมือนเป็นการประกาศกร้าวต่อเผ่าที่ไม่เห็นค่าเด็กลูกครึ่งอย่างเธอ ว่า “ดูฉันสิ เห็นฉันสิ เห็นฉันไหม” อย่างมาก

เมื่ออ่านต่อไปเรื่อย ๆ ก็ยิ่งสรุปเช่นนี้ชัดเจน เพราะเธอหลงรัก Christoff มาตั้งแต่เด็ก และเมื่อเธอพบว่าเธอแปลงเป็นมังกรได้ ก็หมายความว่าเธอเป็น female alpha และต้องแต่งงานกับเขา แต่เธอไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น เพราะไม่อยากให้เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ และถ้าจะแต่งงานกัน ก็อยากให้เขาแต่งงานกับเธอเพราะความรักมากกว่า และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เธอตัดสินใจหนีออกมาจากหมู่บ้าน – และส่วนตัวเอง การรอคอยที่นำไปสู่บทสรุปที่เกิดเมื่อ Christoff มาเจอกับเธอ และไม่ยอมปล่อยเธอไป อาจจะเป็นความปรารถนาลึก ๆ ที่แม้แต่ตัวเธอก็ไม่รู้ใจตัวเองก็ได้

และถ้า Christoff จะเป็นพระเอกที่หลงรักเธอเพราะสิ่งที่เธอกลายเป็น ก็คงจะผิดพล็อตไปหน่อย และดังนั้นเขาก็สังเกตเห็นเธอเสมอมาตั้งแต่วัยเด็กแล้ว (โดยที่ Rue เองก็ไม่เคยรู้) และแม้ว่าจะเกิดแรงดึงดูดใจระหว่างกันขึ้น สิ่งหนึ่งที่ปฎิเสธไม่ได้ว่าทำให้ชายหนุ่มรักเธอก็คือ เขาเติบโตมาโดยถูกคาดหมายให้เป็นหัวหน้าคนต่อไป และด้วยความสามารถที่มี ก็ยิ่งทำให้ความคาดหวังที่มีต่อตัวเขาสูง และดังนั้น แรงดึงดูดใจส่วนหนึ่งที่เกิดก็คือ หญิงสาวเป็นกบฏและกล้าหลีกหนีออกมาจากชีวิตและสังคมอนุรักษ์นิยมคร่ำครึที่เขาแหนงหน่าย (ซึ่งก็ทำให้ Christoff พยายามทำทุกอย่างที่จะได้ตัว Rue มา อย่างที่ในเรื่องก็โกหก และผิดสัญญาไปหลายรอบ) อย่างที่เจ้าตัวบอกเธอว่า “You do realize that if you don’t end up marrying me, I’ll turn out a sour old man, just like the rest of them. I need you to rescue me.” (หน้า 317) ซึ่งรู้สึกว่าจุดที่น่ารักที่สุดจัดหนึ่งในหนังสือ (หรืออย่างน้อยก็เป็นจุดที่จำได้มากที่สุด)

จุดที่ไม่ชอบที่สุด ก็คือ เมื่อถูกจับ เธอต้องการอิสระ และดังนั้น เธอก็แลกเปลี่ยนกับ Christoff และสภาว่าจะหาทางนำเพชรกลับมา และนำตัวรันเนอร์ที่เป็นคนขโมยเพชรไปกลับมาให้ได้ ซึ่งเมื่อความรักของเธอกับเขาลงตัวแล้ว Rue ก็ไม่น่าทำเช่นนั้นเลย (สปอยล์)[โดยเฉพาะเมื่อความจริงปรากฏออกมาว่าคนที่ขโมยเพขรไปจริง ๆ ไม่ใช่เขา แต่เป็นคนอื่น] ถ้าเธอจากมาเพราะสภาพสังคมและชีวิตที่มีระเบียบสังคมและชนชั้นจัด เธอก็น่าจะเข้าใจคนที่หนีมาในสภาพเดียวกับเธอ และไม่ควรจะนำตัวรันเนอร์ที่สิ้นหวังและต้องการหลีกหนีจากเผ่าจนถึงขั้นกล้าตัดมือตัวเองออกมา .. เธอกลับไปเผ่าในสถานะคู่ของ Christoff, Queen และ female alpha แต่สิ่งที่รอคอยรันเนอร์อีกคนอยู่ไม่ใช่เช่นนั้นการหลีกหนีมาจากเผ่ามีโทษอยู่สองสถานก็คือ การทำให้ตาบอด (เพื่อที่จะเปลี่ยนร่างไม่ได้ตลอดไป) กับการตายด้วยน้ำมือหัวหน้าเผ่า ซึ่งเป็นทางเลือกที่ถูกเลือกเสมอเท่านั้น

ก็อ่านได้เรื่อย ๆ แบบจบแล้วจำอะไรไม่ได้ ตอนแรกให้ B- แต่พอมารีวิวได้ C+ ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเพราะว่าเล่มต่อไปเป็นเรื่องของ Zane เด็กในความดูแลของ Rue ที่กลายเป็นพระเอกเล่มสองไหม พออ่าน excerpt เล่มสองแล้วก็ให้อยากอ่านต่อไปจนคะแนนที่เกิดจากความดึงดูดเล่มต่อไปสูงขึ้นมาก สรุปให้ว่า Another love story. (ย่อมาจาก Another love story … that happens to be weredragons!

ปล. ถ้าไม่เคยหลงไปอ่าน Secret Swan อาจจะอ่านเล่มนี้เร็วกว่านี้ หรือก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ที่แน่ ๆ เห็นรูปแบบ arrogant male ชอบกล

อื่น ๆ
รีวิวเรื่องจากบล็อกคุณแม๊กซ์ Mostly Romance

- เขียนได้ครอบคลุมและมองได้ลึกซึ้งมาก ๆ


Sunday 1 March 2009

(all book entries by authors)

++URBAN FANTASY++

Chris Marie Green
Night Rising

Jeanne C. Stein
The Becoming

Jenna Black
The Devil Inside

Jocelynn Drake
Nightwalker

Marjorie M. Liu
The Iron Hunt

Melissa Marr
Wicked Lovely (YA)

Patricia Briggs
Moon Called
Blood Bound
Iron Kissed

Cry Wolf

Rachel Caine
Ill Wind
Undone

Glass Houses (YA)

Vicki Pettersson
The Scent of Shadows
The Taste of Night
The Touch of Twilight

++FANTASY++

Anne Bishop
Tangled Webs


Deborah Chester
The Pearls and The Crown Duology

Juliet Marillier
Daughter of the Forest

Wildwood Dancing (YA)
Cybele's Secret (YA)

Patricia A. McKillip
The Forgotten Beasts of Eld
Od Magic

Shana Abe
The Smoke Thief
The Dream Thief
Queen of Dragons

Trudi Canavan
The Magicians’ Guild

++MANGA++

7 Seeds

The Pearls and The Crown Duology by Deborah Chester (n)

ความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ที่เกินให้อภัย เพราะว่าไปเจอวันที่มีหนังสือลดด้วยก็เลยไม่มีเวลาดูหนังสือที่หยิบมากอง ๆ ไว้มาก จนไม่ได้กรองให้ดี แล้วแทนที่จะลองเอามาทีละเล่มก็เกิดกลัวว่าถ้าจะสนุกก็จะต้องดิ้นรนกลับไปเอา ก็เลยตายสองต่อ ... แล้วเรื่องอื่นที่สนุกกว่าก็ไม่ได้เอาเล่มต่อมา เฮ้อ ฉัน!!!



ชนิด : Fantasy
ชุด : The Pearls and the Crown
สำนักพิมพ์ : Ace (November 27, 2007)/ (November 25, 2008)
จำนวนหน้า : 304 หน้า


The Pearls
Shadrael ตอบรับพลังด้านมืดที่ทำให้เขาแข็งแกร่ง แต่เมื่อยุคสมัยของจักรพรรดิองค์ใหม่ที่บูชาแสงสว่างมาถึงก็ทำให้เขาถูกปลดจากตำแหน่ง ต้องกลายเป็นทหารรับจ้าง และหัวหน้าโจร ผู้อยู่ด้วยความเกลียดชังตัวเอง พร้อม ๆ กับความหวาดกลัวว่าวันหนึ่งเขาจะถูกความว่างเปล่าที่เกิดจากพลังที่หายไปของเทพเจ้าด้านมืดกลืนกิน อย่างไรก็ตาม วันหนึ่ง Vordachai (ลงท้ายด้วย –chai ทำให้คิดถึงชื่ออย่างวรชัย อะไรเทือกนี้เสียจริง) พี่ชายที่เป็น warlord เสนอให้เขาจับตัว Lady Lea น้องสาวของจักรพรรดิที่อยู่ระหว่างเดินทางไป เพื่อจะสร้างเรื่องให้ตัว Lord Vordachai เป็นผู้ช่วยเหลือเธอ อันจะนำไปสู่การเป็นอิสระของแคว้นที่เขาได้รับสืบทอดมา

ระหว่างการเดินทาง Lady Lea มีแผนการที่จะหลีกหนีไปจากชีวิตในวังอยู่พอดี เพราะเธอเบื่อหน่ายกับชีวิตในวัง และความวุ่นวายทั้งหลายที่เกิดขึ้น เธอแค่หวังว่าจะกลับไปหาและเป็นส่วนหนึ่งของเหล่า higher being ที่เธอจากมา (จำคำเรียกไม่ได้ แต่ก็คอนเซ็ปต์ประมาณนี้แหละ) และแม้จะมีความสามารถในการทำนายเหตุการณ์และใช้พลังจากธรรมชาติ Lady Lea ก็ไม่ได้คาดคิดไว้เลยว่าเธอจะถูก Shadrael จับตัวไปได้

The Crown
พลังด้านสว่างของ Lady Lea ทำให้ Shadrael ให้พลังที่เขามีไม่ได้เต็มที่ และก็ทำให้มีหลักฐานที่อาจสืบสาวถึงตัวพี่ชายผู้ครองแคว้นเขาได้ และดังนั้นชายหนุ่มจึงเปลี่ยนแปลงแผนการโดยที่มอบ Lea ให้กับนักบวชมืดที่ต้องการพลังของเธอไปเพื่อฟื้นคืนชีพหัวหน้านักบวช และนำเทพเจ้าแห่งความมืดกลับมา

อย่างไรก็ตาม Shadrael เริ่มรู้สึกผิดที่มอบ Lea ให้เหล่านักบวช หลังจากนั้น เขาจึงกลับไปเพื่อช่วย Lea ออกมา แต่ทว่าเรื่องราวไม่เป็นอย่างที่คิด เมื่อเหล่านักบวชป้ายความผิดในการลักพาตัวไปให้ Vordachai และก็ทำให้จักรพรรดิตัดสินใจทำสงครามกับ Vordachai และเหล่านักบวช ซึ่ง Shadrael ก็ต้องลงมาร่วมในสงครามด้วย เพราะเป็นเงื่อนไขเดียวที่เขาจะแลกเปลี่ยนช่วย Lea จากนักบวชได้ และเขาก็ไม่ต้องการให้พี่ชายต้องทำสงครามแต่เพียงผู้เดียว แต่นอกจาก Shadrael แล้วก็ไม่มีใครรู้เลยว่าพวกนักบวชมีแผนจะฆ่าทุกคนด้วยกองทัพโครงกระดูก

เป็นไงล่ะ ย่อออกมาแล้วยังรู้สึกเรื่อยเจื้อยไร้ทิศทาง และก็โกรธตัวเองที่ซื้อมาไม่พอ ยังจะอ่านต่อไปอีก แต่ซื้อหนังสือห่วยมานี่แย่กว่าสั่งอาหารมาอย่างที่ไม่ควรสั่งอีกนะ เพราะก็ยังอ่านต่อไปด้วยความหวังว่ามันจะดีขึ้น มันจะดีขึ้น ก็ไม่รู้ว่าเป็นความหวังหรือการสะจิตตัวเอง

คิดว่าการอ่านหนังสือย้อนยุค พวกยุโรปตอนกลาง (ไม่ว่าจะเป็นแฟนตาซี มีเวทย์มนต์หรือไม่ก็ตาม) แล้วสรุปได้ว่า ความผิดของตัวละครผู้ชาย (ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม) ก็คือ arrogance เชื่อตัวเอง ถือดี และคิดว่าตัวเองรู้แล้ว naivety สำหรับตัวละครผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นเพราะ unknowing หรือ innocent ซึ่งสุดท้ายแล้วนำหายนะมาให้ (แต่ไม่ได้ว่านางเอก ว่าพวก lady in waiting ที่ในที่สุดก็ตายหมด ตอนถูกโจมตี) และ ignorance สำหรับตัวละครทั่วไป ละเลยไม่ใส่ใจเพราะเชื่อในความคิดของตน จนไม่เปิดรับสิ่งอื่น

บุคลิกของ Shadrael เหมือนจะน่าติดตาม เขาดูจะเป็นผู้ชายที่มีความหลัง แต่กลายเป็นว่า หลังจากถูกปลดประจำการ ชายหนุ่มจมอยู่กับความสิ้นหวัง ขมขื่น และเกลียดตัวเอง โดยเฉพาะเมื่อรวมข้อเท็จจริงที่เขาเล่นท้าทายความมืด และได้แลกวิญญาณของตัวเองไปกับพลังเมื่อวัยเยาว์ ทำให้ความหวาดกลัวการสูญเสียพลังและสูญเสียตัวเองหลังการจากไปของเทพแห่งความมืด ทำลายทุกอย่างที่เขามี และบุคลิกเช่นนี้ก็ติดตัว Shadrael อยู่ทั้งเล่มแรก และพอเล่มสอง หลังการขาย Lea ไปให้กับนักบวชมืด ชายหนุ่มก็เต็มไปด้วยความเกลียดชังตัวเอง และความรู้สึกผิด จนหันไปยึดเหล้าเป็นทางให้ลืมปัญหาอีก (เหมือนเล่มแรกที่เปิดมาก็ดื่มเหล้าอยู่ในมุมมืด) เป็นตัวละครที่น่ารำคาญอย่างยิ่ง คนเขียนอธิบายให้เราฟังว่า เพราะได้เจอ Lea ทำให้เขาอยากได้วิญญาณกลับมาอีกครั้ง แต่ว่านะคะ .. ถ้าเอาเธอไปให้นักบวชแลกกับการมีวิญญาณ แล้วมันจะเป็นอย่างไรคะ เอาอะไรคิด ไม่เข้าใจ นอกเหนือไปจากการสูบพลังชีวิต Lea ในแต่ละวัน นักบวชก็คิดวางแผนจับ Lea มาบูชายัญอยู่แล้ว ถ้าตายไปแล้ว ได้วิญญาณกลับมาจะเอามาทำไม ไม่คิดถึงหลักการและเหตุผลเอาเสียเลย (ชาตินี้คงเขียน Business Plan ใด ๆ ไม่ได้) แล้วก็ชอบบอกว่าพี่ชายตัวเองโง่ ไม่คิดอะไร ตัวเองโง่กว่าล้านเท่าแล้วก็คิดว่าตัวเองฉลาดอยู่ได้ ฉลาดได้โล่จริง ๆ ๆ (ไม่ฉลาดและไม่คิด/ ไม่รู้ว่าตนเองไม่ฉลาดผสมกันแล้วยิ่งอันตราย)

ในทางกลับกัน สิ่งที่ทำให้ยังทนอ่านต่อไปนี้ก็คือบุคลิกของ Lea เธอถูกวางว่าฉลาด จิตใจดี เป็นด้านสว่าง และคนเขียนก็พยายามเขียนว่าเธอฉลาด และมีสติดี เพราะเธอมักจะตั้งคำถามถามคนที่จับตัวเธอไป (ไม่ว่าจะเป็น Shadrael หรือเหล่านักบวช บทบาทเธอสองเล่มนี้มีถูกจับตัวเป็นหลักจริง ๆ ) คนเขียนคงมองว่าการที่นางเอกตั้งคำถามถามพระเอกเป็นชุด ๆ เป็นการแสดงภูมิปัญญาและความฉลาดของนางเอก แต่พออ่านแล้วรู้สึกว่าเป็นความพยายามที่ชัดไป และไม่แนบเนียนเป็นที่สุด อย่างไรก็ตาม ส่วนตัว ความเก่ง (อยากเรียกว่ากึ๋นเสียจริง) ของนางเอกพิสูจน์ให้เห็น ตรงความสามารถในการปรับตัว และประเมินสถานการณ์ตรงหน้าต่างหาก เพราะเธอไม่ทำกลัวแกร่งกร้าวหาทางหนี (รู้ไปว่าหนีไม่ก็หนีไม่รอด) หรือคร่ำครวญตีโพยตีพาย แต่อยู่พอดีที่ตรงกลาง ตรงนี้ทำให้รู้สึกว่าเธอน่ารัก และแกร่งจริง อย่างตอนที่อยู่กับพวกนักบวช เธอก็พยายามจนผูกมิตรกับผู้คุมของเธอ และพยายามร้องเพลงเพื่อปลุกปลอบใจตัวเองในคุกใต้เหมืองหินที่ไม่เห็นแสงสว่าง


ตัวละครอีกตัวที่น่ารักก็คือผู้คุ้มครองของ Lea ตัว Tribe เป็นชายแก่ที่ดูเหมือนจะขี้โมโห อารมณ์เสีย เข้าอารมณ์ แต่ก็ทำหน้าที่ของตนอย่างดี (การที่เธอถูกลักพาตัวไปเป็นความผิดของนายกองที่เขาไม่มีอำนาจไปสั่งการ) เมื่อ Lea ถูกลักพาตัวไป ก็มี Tribe ที่ใช้สมองแก้ปัญหา และพยายามตามเธอกลับมา โดยไม่สนใจตัวเอง และไม่ย่อท้อ ทหารในกองกล่าวร้ายว่าเขารัก Lea ซึ่งเขาก็ไม่เคยแก้ข้อกล่าวหานั้นว่า เขารักเธอก็จริง แต่รักเหมือนลูกสาวที่เขาไม่เคยมี

เล่มแรกตอนใกล้จบมีโอกาสที่ Lea จะหนีออกมาได้ แต่ก็ไม่ได้หนีออกมา เพราะเธอเห็นในนิมิตของเธอก่อนหน้าถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอและ Shadrael และก็ทำให้เธอสละโอกาสที่จะหนีเพื่ออยู่ร่วมกับ Shadrael ซึ่งก็ไม่เข้าใจว่า เธอเชื่อในนิมิตของเธอมากเกินไป หรือว่าเธอเป็นพวกคิดบวกมากเกินไป ไม่เข้าใจว่าทำไม Lea ถึงหลงรัก Shadraelได้ เพราะเจ้าตัวไม่น่าให้โอกาสใด ๆ เลย นอกจากเต็มไปด้วยความขมขื่น เกลียดชัง แล้ว ยังโหดร้ายไร้สติอีก มีช่วงกลาง ตานี่เอาผ้าห่มตัวเองให้ Lea ไป แล้วก็บอกว่าทนหนาวได้ ไม่อยากไปแย่งผ้าห่มซึ่งเป็นความสบายเพียงเล็กน้อยจากลูกน้อง ฟังดูดีมีคุณธรรมจริง แต่หลังจากนั้น ก็ฆ่าตัดคอคนที่ไม่เชื่อฟัง เอามีดเสียบ higher being ที่ Lea เจอระหว่างทาง ทั้งที่ไม่มีเหตุที่ต้องฆ่า และอื่น ๆ อีกมากมาย คิดว่านักเขียนมีปัญหาในสร้างบุคลิกตัว Shadrael และไม่สามารถอธิบายความเป็นตัวเขาออกมาได้ดีพอ

ตอบจบสุขสันต์และลงตัวอย่างเหลือเปรียบ Shadrael ไม่มีอะไรไม่เป็นไร Lord Vordachai ตายจากการปกป้องน้องชายแล้ว เขาก็กลายเป็นลอร์ดครองที่ดินคนต่อไป และก็ไม่มีความผิดใด ๆ เสียด้วย เพราะจักรพรรดิองค์ใหม่รักน้องสาวมาก นอกจากได้ครองที่ดินไปแล้ว ก็ได้แต่งงานกับ Lea อีก วิญญาณก็ได้คืนมา เพราะ Lea ยอมสละพลังในตัวให้ และก็ไล่พลังมืดออกไปให้

ทั้งนี้ เข้าใจว่า จริง ๆ ตัวจักรพรรรดินี่เป็นตัวละครหลักใน Ruby Throne Trilogy และ Lea เป็นตัวละครที่มีคนอยากให้เขียนต่อ ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าชุดนั้นจะสนุกกว่านี้ไหม เพราะบุคลิก Caelan ดูรับได้มากกว่า (คงไม่มีใครเลวร้ายไปมากกว่า Shadrael แล้ว) แต่ที่คิดว่าเป็นข้อบกพร่องอย่างหนึ่งของหนังสือก็คือ มีศัพท์เฉพาะ (ตามวิสัยหนังสือแฟนตาซี) เยอะ และถ้าเป็นเล่มต่อมาก็ควรจะมีรวมอธิบายศัพท์ไว้ด้วย เพราะถึงแม้จะตีความเข้าใจได้ที่สุด แต่ก็มีผลต่ออรรถรสการอ่านอย่างยิ่งเหมือนกัน

อย่างไรก็ตาม มีจุดที่ชอบอยู่จุดหนึ่งในเรื่องที่ขอเรียกว่า ก่อปัญหาเพื่อแก้ปัญหา เพราะจักรพรรดิเดินทางไปปราบกบฏก็เลยทำให้ได้เห็นแคว้นที่เป็นปัญหาจริง ๆ และก็ได้รู้ว่าที่พยายามขอลดภาษีมาตลอดเป็นเพราะไม่มีให้จริง มากว่าจะเป็นการบ่ายเบี่ยงไม่จ่ายภาษี และก็เลยทำให้ได้คุยกับคนในพื้นที่เป็นครั้งแรก และเพราะบ้านเดิมของจักรพรรดิถูกกองทัพมังกรทำลายก่อนที่เขาจะถูกจับมาเป็นทาส ทำให้เขาเกลียดมังกรและชิงชังแคว้นนี้ แต่การที่อยากตามหาน้องสาวทำให้ต้องขอความช่วยเหลือจากแคว้นที่ตัวเองกลั่นแกล้งมาตลอด ซึ่งกลายเป็นว่าเหล่านักรบมังกรมองว่าเป็นเกียรติและความภูมิใจอย่างยิ่ง จนกลับมาเข้าใจกันได้ ... กลายเป็นกุศโลบายเล็ก ๆ ที่น่ารักอย่างยิ่ง

กับจุดหนึ่งที่ดูชัดมากว่าเป็นเรื่องของวัย ก็คือ เกมแห่งความตายที่ Shadrael เล่น เพราะถ้าชนะ ก็จะได้พลังอำนาจมาเป็นของตอบแทน (แต่ทั้งนี้ก็แลกกับการไม่มีวิญญาณด้วย คนเหล่านี้จะไม่มีเงา แม้ในแดดจัดยามกลางวัน) และเจ้าตัวเองก็เสียใจเสมอที่อยากเอาชนะคำท้าของเพื่อนทหารจนยอมเล่นเกม การที่เด็กหนุ่ม ๆ มองว่าเป็นเรื่องมีเกียรติและเก่งกล้า หากแต่ผู้ใหญ่กลับมองว่าเป็นเรื่องบ้าบิ่น และเสี่ยงสูง ก็เป็นเรื่องของวัยและวุฒิภาวะด้วย (ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาย older, wiser it seems?)

คิดไปเองว่าจริง ๆ เรื่องนี้มันเหมือนกำลังภายในยุคก่อนโกวเล้งชอบกล หรือเป็นยุคโกวเล้งในเรื่อง ดาบมรกต หรือ กระบี่เย้ยยุทธจักรของกิมย้ง ก็ได้ เพราะกลายเป็นว่าตอนจบทุกอย่างคลี่คลายเพราะนางเอกที่ออกมาแก้ตัวให้พระเอก แล้วทุกคนก็มีความสุข โดยที่มีพระเอกที่ยังงุนงง จับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่คนเดียว แต่จะว่าไป มันก็เหมือนพล็อตกำลังภายในชอบกล ขอให้เปลี่ยน จักรพรรดิเป็นประมุขพรรรคอะไรสักอย่างที่เป็นเจ้ายุทธจักร และ Lord Vordachai กับนักบวชเป็นประมุขพรรคอื่นที่อยากครองบู้ลิ้มคนเดียวก็ได้แล้ว

อีกอย่างที่รู้สึกชัดก็คือ ความคิดขาว-ดำที่เห็นได้ชัด และแบ่งชัดเจนในหนังสือเล่มนี้ ทั้งที่จริง มันไม่มีอะไรเลยที่สุดโต่งไปข้างหนึ่ง จะให้สมดุลมันต้องมีทั้งสองข้าง (จุดนี้ Anne Bishop ทำได้ดีในชุด Ephemera ว่าแล้วก็อยากกลับไปอ่าน) การทำลายเทพเจ้าแห่งความมืด และบูชาเทพเจ้าแห่งแสงสว่างดูจะไม่ใช่คำตอบของทุกอย่าง

จบแล้ว ได้คะแนน D (ที่มาจาก Damn!)