Friday 15 September 2017

มู่กั๋วหวางโฮ่ว โดย หย่งช่าง

- ปัจจบัน เรื่องนี้ยังไม่จบ ดำเนินถึงตอนที่ 37 ใน Dek-D อยู่ - 

"มู่กั๋วหวางโฮ่ว" เป็นนิยายภาคต่อมาจาก "เสี่ยงหวางเฟย" โดยมีตัวละครรองจากภาคที่แล้วมาเป็นตัวละครหลักในภาคนี้ ตอนแรก อืม คิดว่าจะไม่อ่านแล้วเชียว อะไร ทำไมต้องมีภาคต่อด้วยคะ? แต่เผอิ๊ญข่มความอยากรู้อยากเห็นไว้ไม่ไหวก็เลยเอาน่า อ่านดูหน่อย แล้วเป็นไง?? อ่านแล้วติดกว่าภาคเดิมอีกค่ะ คราวนี้

เรื่องราวตอนแรกในเรื่องดำเนินไปอย่างเรื่อย ๆ เรียบ ๆ ก็จริง แต่สิ่งที่สร้างสีสันยิ่งกว่าการดำเนินเรื่องตอนนี้คือตัวละครนี่แหละ "ฮั่วอี้หราน" นางเอกเราย้อนยุคมาจากปัจจุบันกลับไปสู่ดินแดนในอดีตที่มีพลังวิเศษและเทพอสูรพร้อมมิชชั่นตามหาพี่ชายและพี่สะใภ้ จากโลกที่คุ้นเคยไปก็เหนื่อยยากอยู่แล้ว แต่ทว่า ความเหนื่อยเฮือกก็พร้อมขึ้นเมื่อนางกลับไปและอยู่ในร่างของนางโจรที่มีค่าหัว และเทพเจ้าน้อยผู้ถูกส่งมาช่วยคุ้มครองนางก็ดูจะเป็นภาระมากกว่าจะช่วยเหลืออะไรได้จริง ส่วน "มู่ไป๋หลิว" คุณพี่พระเอกก็ไม่ธรรมดา เจ้าผู้ครองแคว้นที่มีฉากหน้ายิ้มแย้ม และท่าทีเรียบง่ายสบายใจ แต่ไม่มีใครรู้ว่าข้างในใจเป็นอย่างไร แต่ภาคนี้ พี่เขามาพร้อมปัญหาในชีวิต เมื่อไปก่อคดีทำสงครามกับทั่วหล้า จนทำให้แคว้นถูกลงโทษและตัวเองถูกจำกัดความสามารถในการใช้พลังยุทธ์ก็ทำให้เจ้าตัวกลายเป็นเสมือนเสือที่ถูกหักเขี้ยว นกที่ถูกเด็ดปีก 

เมื่อสองคนมาเจอกันในสภาพแปลกประหลาด ความระแวงที่มีต่อกันก็ทำให้ความสัมพันธ์เป็นไปอย่างลุ่มๆ ดอนๆ ในช่วงแรก แต่กลับขำขันอย่างน่าประหลาด เพราะตรรกะที่มีต่างกัน ฮั่วอี้หรานมองโลกตามความเป็นจริง และยิ่งเมื่อนางมาจากอนาคต คำพูดคำจารวมไปถึงวิธีคิดจึงล้ำยุคและตรงไปตรงมาไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น ส่วนมู่ไป๋หลิวในฐานะเจ้าครองแคว้นและผู้มีความสามารถก็มีมุมมองและเชื่อมั่นในความคิดของตัวเอง ดังนั้น เมื่อมาอยู่ด้วยกัน แต่ละคนได้เปิดหูเปิดตารับรู้ความคิดและความเชื่ออีกฝ่าย และที่สำคัญด้วยความที่ทันกัน ก็ทำให้เกิดวาจาเสียดสีประชดประชันแบบแปลกๆ ที่รู้กันอยู่สองคนเสียด้วย

สิ่งที่ดีที่สุด เกิดเมื่อ สองคนเริ่มเปิดใจเข้าหากัน และเริ่มรับรู้และเข้าใจตัวตนของอีกฝ่ายมากขึ้น มู่ไป๋หลิวได้แรงจูงใจในการก้าวไปข้างหน้าโดยไม่ต้องรู้สึกผิดกับการกระทำของตนเอง ส่วนฮั่วอี้หรานก็ได้หลักประกันในการดำเนินชีวิต การที่คนสองคนที่ไม่เคยต้องพึ่งใครหันมาไว้วางใจอีกฝ่ายก็ทำให้เรื่องราวงดงามยิ่งขึ้น และเป็นสิ่งที่พิเศษที่สุดในการดำเนินเรื่อง 

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่ออ่านเสี่ยงหวางเฟยมาก่อน ในช่วงแรก การเปิดตัวของมู่ไป๋หลิวจะเห็นภาพของเจ้าตัวในฐานะเจ้าผู้ครองแคว้นอันดับหนึ่งที่ประสบความสำเร็จ มีสองชีพจรสองธาตุในร่างกาย เป็นเทพโอสถ และเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาดี ดูสุขม เยือกเย็น ขณะเดียวกันก็มีความอบอุ่นอ่อนโยน ดูเป็นคนที่เพียบพร้อมและสมบูรณ์แบบ แต่ทว่า ภาพลักษณ์นี้ก็ไม่ได้คงอยู่ตลอด เมื่อจริง ๆ แล้ว เนื้อในของเจ้าตัวทะเยอะทะยานและพร้อมจะก่อสงครามสร้างความวุ่นวายเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ (ถึงแม้ว่าเอาเข้าจริง จะไม่ได้เริ่มต้นเอง แต่เป็แบบจับพลัดจับพลูก็ตาม) จนถูกลงโทษจากรอบด้าน ทั้งถูกผนึกพลังยุทธ์ และถูกริบคืนโลหิตของเทพอสูร จนไม่สามารถใช้พลังได้ และแคว้นกลายเป็นสถานที่ถูกสาป จากที่บอกว่าอากาศดี มีแค่ฤดูใบไม้ผลิกับใบไม้ร่วง กลับเป็นอากาศร้อนแห้งแล้ง ฝนไม่ตก เพาะปลูกไม่ขึ้น

ในเรื่องเสี่ยงหวางเฟย ไม่ได้พูดถึงส่วนของมู่ไป๋หลิวไว้มาก ในฐานะที่เป็นตัวละครรอง แต่ใน “มู่กั๋วหวางโฮ่ว” นั้น เวลาเริ่มต้นที่แคว้นมู่ในช่วงหลังสงคราม และตัวมู่ไป๋หลิวที่เผชิญปัญหารอบด้านอย่างหนัก ทั้งส่วนตัวเอง ก็มีสุขภาพที่ถดถอยและพลังยุทธ์ที่เสื่อมโทรม และกับตัวแคว้นก็มีเรื่องความทุกข์ยากของคนในแคว้น และการคิดก่อกบฎและการต่อต้านจากขุนนางน้อยใหญ่ มีความรู้สึกว่าว่าภาพของมู่ไป๋หลิวก็คือภาพของเสือบาดเจ็บที่กำลังตกยาก เจ็บแต่ไม่สามารถแสดงความอ่อนแอได้ และที่สำคัญก็กำลังถูกความรู้สึกสงสัยตัวเองกัดกินอยู่ลึก ๆ เสียด้วย และดังนั้น การที่มีตัวละครอย่างอี้หรานเข้ามา ก็เลยเป็นการเปลี่ยนสมการในเรื่องนี้ไป เพราะส่วนตัวเรื่องรัก ไม่ว่าจะเป็นแนวอดีต หรือปัจจุบัน  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชาติใด มักเริ่มต้นที่พระเอกที่สมบูรณ์แบบเข้ามาช่วยนางเอกที่ไม่สมบูรณ์แบบ แต่เรื่องนี้ พระเอกไม่สมบูรณ์แบบ แต่ถูกทำให้สมบูรณ์แบบโดยนางเอก เพราะในมุมมองส่วนตัว ฐานะชาติกำเนิดของมู่ไป๋หลิวเป็นแค่ลูกนางกำนัล (หรืออย่างที่คนเขียนเคยพูดไว้เองในคอมเมนต์ว่า “ลูกที่พ่อไม่รัก”) ทำให้แสวงหาความสำเร็จเพื่อที่จะเป็นหลักพิสูจน์ตัวเองอยู่เนืองๆ และเมื่อเกิดจุดสะดุดครั้งใหญ่ในชีวิตเข้า ก็กลายเป็นจุดกัดกร่อนจิตใจ ซึ่งในแง่นี้ ส่วนตัวอี้หรานเอง แม้จะหลงยุคมาอยู่คนเดียวตามลำพัง แต่อี้หรานเข้มแข็งพอและสามารถที่จะอยู่พึ่งพาตัวเองโดยไม่มีมู่ไป๋หลิวได้ แต่การที่ได้รู้จักกัน และได้ใกล้ชิดพอจนเริ่มเห็นปัญหาของมู่ไป๋หลิว ทำให้อี้หรานเลือกที่จะให้ และจุนเจือความรู้สึกทางจิตใจของมู่ไป๋หลิวไว้ ซึ่งถ้าเปลี่ยนตัวละครเป็นตัวอื่นก็ไม่สามารถทำอย่างหญิงสาวได้ และในแง่นี้ก็ทำให้เรื่องนี้สมบูรณ์แบบในตัวเอง

ซึ่งส่วนตัว บทที่ชอบที่สุดในเรื่องบทหนึ่งก็คือ บทที่ 33 มู่ไป๋หลิวกำลังพร่ำโทษตัวเองว่าเขาเป็นสาเหตุที่ทำให้แคว้นใกล้ล่มสลาย อี้หรานกลับมองเห็นภาพรวมทั้งหมดและบอกมู่ไป๋หลิวว่า "เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรให้เสียใจ ทำสงครามแล้วอย่างไร แคว้นถูกสาบแช่งแล้วอย่างไร ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ตราบนั้นก็ค่อยๆ หาวิธีแก้กันไป ..." 

และเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งคู่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไป ก็ทำให้เห็นการเติมเต็มที่อี้หรานมีให้กับมู่ไป๋หลิว โดยเฉพาะเปลี่ยนนิสัยเสือเจ็บ (ถึงแม้ในเรื่องจะเรียกว่า “หมาป่าห่มหนังแกะ” ก็เถอะ) ที่ต้องระแวงรอบข้างไปสู่ความกล้าที่จะเปิดเผยความอ่อนแอของตัวเอง และให้น้ำหนักกับการพึ่งพิงและพึ่งพาอีกฝ่ายขึ้นมา อย่างที่มู่ไป๋หลิวพูดว่า “ ... ข้าเคยแบกทุกอย่างไว้บนบ่าจนวันหนึ่งพบว่า การให้ผู้อื่นช่วยแบกบ้างนั้นมิได้แย่เกินไป บ่อยครั้งยังช่วยขบคิดได้ ... นางมองเห็นในจุดที่ข้ามองไม่เห็น ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันจึงเรียกว่าสามีภรรยา” (เสี่ยวหวางเฟย เล่มสอง หน้า 218) และ “นิสัยถูกตีจนฟันหักฝืนกลืนลงท้อง เจ็บแต่ไม่ยอมปริปากข้าก็เคยเป็น เมื่อพบฮั่วอี้หรานจึงรู้ว่าโอดครวญบ้าง นางก็จะทะนุถนอมข้า นั่นเป็นความรู้สึกที่ไม่เลวเลยทีเดียว” (หน้า 219)

อย่างไรก็ตาม เมื่ออี้หรานมองโลกตามความเป็นจริง และมองว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นไปเพราะต้องพึ่งพากัน และพร้อมจะจบเมื่อทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์อย่างที่ตัวเองต้องการ ทำให้หญิงสาวไม่เห็นความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นว่ากำลังถูกให้ทำให้แปรเปลี่ยนไปทางทิศทางอื่นได้ ขณะที่มู่ไป๋หลิวเริ่มตกหลุมรักอี้หรานมาแบบเรื่อย ๆ จากความแน่วแน่ มุ่งมั่น และเข้มแข็งแบบที่มีแต่ฮั่วอี้หรานเท่านั้นจะมี  จนถึงขั้นอยากให้มาอยู่ข้างๆ กัน ด้วยการใช้ความปลอดภัยมาเป็นตัวล่อหลอก และดังนั้น การรอให้ฮั่นอี้หรานเข้าใจความรู้สึกของฝ่ายชาย ก็เป็นความลุ้นสำหรับคนอ่าน และความสงสัยสำหรับตัวละครในเรื่องคนอื่นเช่นกัน 

การใช้ภาษาของมู่กั๋วหวางโฮ่ว ไม่ได้หนักไปทางคำเยอะ เน้นการบรรยายพรรณามากความ แต่จะเป็นคำน้อยแต่เห็นภาพชัด คำพูดสั้น ๆ แต่มีความหมายลึกซึ้ง และนั่นก็ทำให้ภาษา เมื่อประกอบกับเนื้อเรื่อง มีความเป็นเอกลักษณ์ในตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีการเสียดสีประชดประชันแบบเงียบๆ ให้หัวเราะขำได้เรื่อย ๆ  ดังเช่น บทคนเล่นงิ้วออกโรงว่าความแทนมู่ไป๋หลิว (บทที่ 8) ยิ่งไปกว่านั้น ตัวละครหลากหลายที่มีตรรกะของตัวเองก็พร้อมทยอยออกมาสร้างความวุ่นวายเป็นระยะ ๆ ทั้งความคิด การกระทำ และคำพูดที่คาดไม่ถึงก็ทำให้นั่งอมยิ้มอารมณ์ดีไปได้ 

ปัจจุบันมีถึงตอนที่ 37 และก็ยังดำเนินเรื่องไปเรื่อย ๆ ก็ได้แต่ลุ้นให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองพัฒนาไปได้ก้าวหน้ามากขึ้น และที่สำคัญ ส่วนตัว อยากเห็นอาการตกหลุมรักแบบฉุดไม่ขึ้นของมู่ไป๋หลิวเป็นพิเศษ ถ้าได้เห็นคนที่ทำตัวนิ่งเฉย ไม่ทุกข์ร้อนกับความเป็นไปของโลกรอบข้าง และคนที่พร้อมมีสติรับมือกับทุกอย่าง มาร้อนรนเพราะตกอยู่ในห้วงรักบ้างก็คงสนุกดี ตอนนี้มีแค่หน้ายิ้มพูดเนียน ๆ หน้านิ่งอยู่แค่นั้น (โถ ถ้าเป็นคนอื่นจะกัดว่าหมาหยอกไก่ เผอิญเป็นพี่หลิวก็เลยไม่กล้าพูด) ก็ได้แต่รอลุ้นว่าจะมีวันนั้น และถ้า มีก็ให้มาถึงไว ๆ

ปล. มีจุดหนึ่งตอนท้ายเล่ม “เสี่ยวหวางเฟย” ที่พอมู่ไป๋หลิวรู้ว่าอี้หรานสามารถกลับไปหาครอบครัวได้ และเจ้าตัวก็ถึงกับอาการหลุดจนหมากที่กำลังจะเดินร่วงหลุดจากมือ (เสี่ยวหวางเฟย เล่มสอง หน้า 219) แต่นั่นแหละ จากมุมมองเล่มนั้น ความสัมพันธ์ของทั้งมู่ไป๋หลิวและฮั่วอี้หรานเป็นแค่ส่วนประกอบเล็กน้อยในเรื่องก่อนหน้า และก็ทำให้อยากรู้เรื่องราวของคนคู่นี้โดยตรงมากกว่าเดิม

ปล. อีกครั้ง เพราะว่าปมของเรื่องคือการย้อนอดีตชาติ และทั้งอี้หรานและมู่ไป๋หลิวก็มีบทบาทของตัวเองอยู่ในชาติที่เหลือด้วยเช่นกัน ก็เลยสงสัยว่า ถ้าเช่นนั้น จะมีการพูดถึงชาติอดีตไหม โดยเฉพาะเมื่อ อย่างน้อยในชาติที่สอง มู่ไป๋หลิวก็เป็นคนที่ยังพึงใจกับไป๋หรงซิงเช่นเดิม หากแต่คนที่แต่งกับเขาก็คือ อี้หราน

ปล. อีกครั้ง ตามธรรมเนียมที่ไม่ได้ใช้นานเวลาวิจารณ์หนังสือ ต้องมีเพลงกำกับ 

อืม ความรู้สึกของ มู่ไป๋หลิว นึกถึง  Addicted To You ของ Avicii นะ

I don't know just how it happened,
I let down my guard...
Swore I'd never fall in love again
But I fell hard.

Guess I should have seen it coming,
Caught me by surprise...
I wasn't looking where I was going,
I fell into your eyes.

You came into my crazy world like a cool and cleansing wave.
Before I, I knew what hit me baby you were flowing through my veins...

I'm addicted to you,
Hooked on your love,
Like a powerful drug
I can't get enough of,
Lost in your eyes,
Drowning in blue
Out of control,
What can I do?
I'm addicted to you!

ส่วนความรู้สึกของอี้หราน ยังนึกไม่ออกนะ ไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ แต่ อืม ถ้าให้เลือก คงเป็น Count on Me ของ Bruno Mars นะ

Oh uh-huh
If you ever find yourself stuck in the middle of the sea
I'll sail the world to find you
If you ever find yourself lost in the dark and you can't see
I'll be the light to guide you

We find out what we're made of
When we are called to help our friends in need

โปรดสังเกตว่ามันคือคำว่า “friend” ใช่ค่ะ เป็นแค่พันธมิตรในเฟรนด์โซน พยายามต่อไปนะพี่หลิว!!