Monday 15 April 2013

Insurgent by Veronica Roth





ชนิด : YA/ Dystopia world

ชุด : Divergent, Book 2

หลังพวก Dauntless ถูก Erudite ควบคุมจิตใจให้ฆ่าพวก Abnegation  และ Tris กับ Four ทำลายเครื่องล้างสมองก่อนจะหนีไปในตอนท้ายเล่มแรก

เล่มนี้พูดถึงเหตุการณ์ตอนที่หนีไปอยู่กับพวก Amity และกลับมารวมกลุ่มกับ Dauntless ครึ่งที่ต้องการเป็นอิสระ --และแยกตัวออกมาจากพวก Dauntless Traitor ที่รวมตัวกับ Erudite -- ที่ฐานพวก Candor

Four ถูกเสนอชื่อให้กลายเป็นหนึ่งในหมู่ผู้นำ และก็เหมือนจะมีความลับ/การสมคบคิดกับแม่ที่คุมกลุ่ม Factionless

เข้าใจว่าตอนนี้อ่านไปได้ครึ่งเล่มแล้ว รู้สึกเบื่อขึ้นมาว่าพฤติกรรมของ Tris ออกไปทางระห่ำและไม่ยั้งคิด ต่างจากที่เคยช่างคิด สังเกตุ และหาเหตุผล/ ทางออกในเล่มแรก เข้าใจว่ามีช่วงเวลาที่เลวร้ายแต่น่าจะควบคุมตัวเองดีกว่านี้

เบื่อสภาพ erratic (คำนี้ Cara เป็นคนจำกัดความให้มา) รู้สึกเหมือนเลี้ยงหมาบ้าอยู่ รู้สึกว่าสองคน Tris กับ Four/Tobias เหมือนคู่รักขวางโลก

เบื่อสภาพ the chosen ที่ทุกคนต้องขอคำปรึกษา หรือถามหา Tris โดยเฉพาะเมื่อเกิดการเลือกตัวหัวหน้าใหม่มา และเธอได้รับการเสนอชื่อด้วย ไม่ว่าจะเป็นเพราะสภาพการเป็น divergent ที่อยู่พ้นจากการถูกควบคุมล้างสมอง หรืออะไรก็ตาม การเกิดภาพต้องพึ่งพาเด็กอายุ 16 ปีทำให้รู้สึกว่า ก็สมควรแล้วที่กลุ่มนี้จะถูกมองว่าใช้กำลังมากกว่าการใช้สมอง

ไม่ชอบทิศทางในเรื่องที่กำลังเป็น แต่จะพยายามอ่านผ่าน ๆ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ

Tris – ฉันต้องหาทางออก/ เสียสละ

Four/Tobias – เธอไม่ควรเสียสละโง่ ๆ ฉันไม่ให้เธอไป

Tris – ได้ ฉันไม่ไป (แต่ในใจ “ขอโทษนะ Four/Tobias ฉันต้องไป)

อ่านมากี่รอบแล้วก็ไม่รู้ แต่เจอแต่แบบนี้วน ๆ ไป อ่านมาก ๆ ก็รำคาญนะ เริ่ม melodrama เกินไปแล้ว 


อ้อ ตั้งแต่เล่มหนึ่งแล้ว นางเอกเห็นแก่ตัว คิดถึงแต่ตัวเองกับการเสียสละ แต่ปฎิบัติต่อคนรอบข้าง โดยเฉพาะเพื่อนสนิท แย่มาก อยากจะบอกว่า Psycho bitch ถ้าไม่กลัวว่าจะแรงไป

ให้ C/C-
ปล. แล้วนั่งอ่านทำไม อ่านเรื่องย่อก็พอ ก็บอกแล้วว่าดิฉันเป็น fussy reader!!

เปลี่ยนใจเนื่องจากอ่านไม่จบ เอาไป D พอ

ส่วนข้างล่างตัดตอนมาอธิบายความวุ่ยวานและพารานอยด์ของ Tris

"You believe you know them, that you understand them, but their motives are always hidden from you, buried in their own hearts. You will never know them, but sometimes you decide to trust them."

Divergent by Veronica Roth



อยู่ในช่วง Dystopian Young Adult Read!


ชนิด : YA/ Dystopia world

ชุด : Divergent, Book 1

สภาพสังคมในเรื่องแบ่งเป็น 5 กลุ่มที่ต่างยึดความดีอย่างหนึ่งในแต่ละกลุ่ม คือ พวก Abnegation ไม่เห็นแก่ตัว สมถะ และเสียสละ พวก Amity รักสันติภาพ การปรองดอง Candor ยึดความจริง ความยุติธรรม Dauntless กล้าหาญ กล้าได้กล้าเสีย และ Erudite ใฝ่หาความรู้ และเมื่อเด็กทุกคนอายุครบ 16 ปี ก็ถึงเวลาจะเลือกกลุ่มที่จะอยู่ตามความดีที่เด็กคนนั้นจะยึดถือไปตลอดทั้งชีวิต

สำหรับ Beatrice หรือ Tris เด็กสาวจากกลุ่ม Abnegation เบื่อชีวิตที่ต้องทำตามกฎเกณฑ์และไม่เชื่อว่าตัวเองจะเลียสละได้ ตัดสินใจเลือกที่จะอยู่กับพวก Dauntless อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เห็น เพราะเธอต้องฝึกเพื่อให้ได้เข้ากลุ่มได้จริง ๆ ก่อนที่ถูกไล่ออกกลายเป็นพวก factionless ที่เป็นพวกจรจัด เร่ร่อน และความเป็นศัตรูที่กลุ่ม Erudite มีต่อเหล่า Abnegation กำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ

และเล่มนี้ก็เล่าถึงเรื่องระหว่างฝึกของเธอ ... ความสัมพันธ์ที่มีกับเพื่อน และที่สำคัญ  ความผูกพันที่มีกับ Four ครูฝึกของเธอ

สรุปได้เร็วกว่าที่คิด เพราะขี้เกียจ ก็ไม่เข้าใจว่าจะสรุปทำไม ทั้งที่ปกหลังก็มี และ Plot synopsis ที่ไหนก็มี แต่นั่นแหละ การสรุปความก็เหมือนการย้ำให้เราจับความจำความ และเห็นเรื่องผ่านมุมมองและความเชื่อของเราจริง ๆ

ช่วงฝึกเหมือนอ่าน Harry Potter ในฐานะนักเรียนในสภาพแวดล้อมใหม่พยายามปรับตัวให้เข้ากับสภาพชีวิต และการเรียน และ “ภัยคุกคามพร้อมตาย” จากเพื่อนร่วมเรียน และความสัมพันธ์ที่ไม่แน่นอนกับ Four ก็ทำให้คิดถึง The Novice ของ Trudi Canavan

ถามว่าอ่านสนุกไหม? ก็เหมือนที่หลายคนบอกว่าอ่านได้เรื่อย ๆ แต่ไม่ถึงกับเด่นกว่าใครในแนวเดียวกัน ออกจะหงุดหงิดด้วยซ้ำกับความลับสถานะ Divergent –ซึ่งก็คือมีแนวโน้วและลักษณะของหลายกลุ่มอยู่ในตัว แทนที่จะยึดแนวคิดใดแนวคิดหนึ่งเป็นสำคัญ - ที่ Tris เป็น เพราะสุดท้ายแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าเธอจะเป็นคนเดียว เหมือนหนังสือต้องพยายามหาจุดเขียนให้ Tris โดดเด่นด้วยอะไรสักอย่าง แล้วก็หยิบเรื่องนี้มา เพราะทำให้คนอ่านสงสัย – ในแง่ว่ามันคืออะไร มากกว่าความพิเศษของเจ้าตัว –  กลายเป็นว่าช่วงที่ Tris พยายามสู้ด้วยตัวเองกลับสนุกกว่าความพิเศษของเธอในฐานะ Divergent เสียอีก

ชอบภาพ Four ที่ช่วงแรกเป็นคนแปลกหน้า ก่อนที่แรงดึงดูดระหว่างคนทั้งสองจะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นคนดูแล จนถึงขั้นที่กลายเป็นคนรักกัน และก็ตกใจแกมแปลกใจกับความสัมพันธ์ที่รุดหน้าเร็วมากของทั้งคู่ เพราะชอบอ่านสัมพันธภาพที่ค่อยไปค่อยไปมากกว่า

รู้สึกว่า  Tris ฆ่าคนที่ไม่ควรฆ่า และไม่ฆ่าคนที่ควรฆ่า  และก็ทำให้หงุดหงิดพอสมควร การจัดการลำดับผิดทำให้วุ่นวายกว่าที่ควรจะเป็น และความวุ่นวายก็ตามไปที่เล่ม 2 Divergent ด้วย

ประเด็นที่สุดท้ายแล้วพ่อแม่ของ Tris ตายรู้สึกว่าไม่จำเป็น เป็นการสร้างภาพให้ดูว่าสถานการณ์รุนแรงแต่ก็ไม่สมจริงมากเท่าเวลาอ่านการตายของตัวละครในชุด The Hunger Games


ให้ C+/B หรือ B/C+ ก็ไม่แน่ใจ ไม่รู้จะสรุปอะไร เพราะคิดไม่ออก ณ ขณะนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่รู้ก็คือ การต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งคงยาก สังคมจะอยู่รอดก็ต้องเป็นเพราะแต่ละคนแบ่งงานกันทำตามความถนัด และรู้หน้าที่ของตน เล่มจบก็คงเห็นสังคมไร้กลุ่ม

The Selection by Kiera Cass



ช่วงสงกรานต์ เลยหาหนังสือ YA อ่าน สุดท้ายก็ได้เล่มนี้เข้ารอบมา ถูกใจกับปกมาหลายครั้งแล้ว



ชนิด : YA/ Dystopia world/ Class-gap issue

ชุด :The Selection, Book 1

สภาพสังคมใน The Selection แบ่งชนชั้นชัดเจน ด้วยระบบเลข “หนึ่ง” คือกษัตริย์ และราชวงศ์ “สอง” คือขุนนางและชนชั้นสูง และลดหลั่นไปเรื่อย ๆ จนถึง “แปด” ที่คล้ายวรรณะจัณฑาลในอินเดีย ระบบนี้เข้มงวดว่าแต่ละชั้นต้องอยู่แยกกันชัดเจน และต้องทำงานตามสายอาชีพที่กำหนดตามชั้นเท่านั้น

America อาศัยอยู่กับครอบครัวที่เป็นศิลปินชนชั้น “ห้า” อย่างมีความสุขตามอัตภาพ พ่อของเธอเป็นจิตรกร ขณะที่ตัวเธอเป็นนักร้องและนักดนตรี อย่างไรก็ตาม เธอมีความลับที่บอกใครไม่ได้ว่าเธอรักอยู่กับ Aspen ผู้ที่เป็นคนรับใช้อยู่ในชั้น “หก” 
โลกของ America เปลี่ยนไปด้วยเหตุการณ์ Selection –การเลือกคู่ของเจ้าชาย Maxon จากกลุ่มหญิงสาวผู้โชคดีทั่วประเทศ – และชื่อของเธอเป็นหนึ่งใน 35 คนนั้น 

สรุปย่อ ๆ ก็เป็นแบบนี้

เหตุการณ์สนุกก็เพราะว่าเธอไม่ได้เข้าร่วมการคัดเลือก /แข่งขันด้วยสาเหตุว่าจะได้แต่งงานกับเจ้าชาย แต่เพราะถูกแม่บังคับแกมโน้มน้าว และเพราะถูก Aspen บอกเลิกจากเหตุผลที่ว่าไม่อยากให้เธอต้องลำบากกับการอยู่ในชั้น “แปด” กับเขา
และดังนั้น America ซึ่งอยู่ในสภาพอกหัก ก็พร้อมจะอยู่ในการแข่งขัน เพราะต้องการช่วยสถานการณ์การเงินที่บ้าน (แค่ได้เข้าร่วมการแข่งขัน ชั้นของเธอก็เปลี่ยนไปเป็น “สอง” ไม่นับเงินชดเชยที่ครอบครัวจะได้รับ) และหนีจากสภาพความเป็นจริง (ไม่อยากเจอ หรือเผชิญหน้ากับ Aspen) ซึ่งก็กลายเป็นเรื่องดี เพราะทำให้เจ้าชาย Maxon แปลกใจกับหญิงสาวที่ได้เจอ (ครั้งแรกที่ได้เจอกัน ความห่างบ้านและคิดถึงบ้านก็ทำให้เธออาละวาดไล่เจ้าชายแล้ว) ไม่ต้องระวังตัว โดยเฉพาะ America  เสนอแผนที่จะเป็นพันธมิตรกับ Maxon เพื่อให้เจ้าชายมีเวลาพักผ่อนคลายและมีที่ปรึกษาเมื่ออยู่กับเธอ และนั่นก็ทำให้เข้าชายตกหลุมรัก America ได้อย่างง่ายดาย

นิสัยของ America ค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่เกินวัย ช่างคิด และเห็นใจคนอื่น แต่กลายเป็นว่าทุกครั้งที่ได้อยู่ด้วยกัน หลายครั้งเธอก็จะระบายอารมณ์ใส่เจ้าชายได้ง่าย ด้วยความที่มองว่าเขาเป็นที่พึ่ง ที่พัก แต่ขณะเดียวกัน เธอก็ไม่ได้มองข้ามความดีของเจ้าชายไป เพราะเธอระลึกอยู่เสมอว่า ภาพของเจ้าชายที่ได้เห็นอยู่เสมอผ่านจอทีวีได้เปลี่ยนไปจาก คนแปลกหน้า กลายเป็นคนคุ้นเคย ชัดที่สุดเมื่อเธอครุ่นคิดถึงความรู้สึกที่มีต่อเจ้าชาย และบอกในรายการทีวีว่า

“Maxon Schreave is the epitome of all things good. He is going to be a phenomenal king.” “Whoever he marries will be a lucky girl. And whatever happens to me, I will be honored to be his subject.”

ความผูกพันของทั้งคู่พัฒนาค่อนข้างชัด ในแง่ที่ฝ่ายหญิงสาวเคยชินและเริ่มที่จะคุ้นเคยกับการมีอีกฝ่ายมาอยู่ใกล้ ๆ และใช้เวลาร่วมกัน และกับฝ่ายเช้าชาย เหมือนความรู้สึกนั้นจะยิ่งชัดเจนมาก จนทุกคนมองออกถึงความรู้สึกผูกใจและพึงใจที่มี แต่ทว่า ปัญหาก็คือใจของ America เองที่ยังลืมเวลากับ  Aspen ไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อ ตอนท้ายเล่ม  Aspen กลับมาเป็นทหารอยู่ในวัง ทั้งที่ความรู้สึกของเธอที่มีต่อ Maxon เป็น companion love คู่คิดมากกว่าจะเป็นความวูบวาบหวือหวาอย่างที่เธอเป็นกับ  Aspen

ก็เลยรู้สึกขัดใจอยู่ที่ความรู้สึกของเจ้าชายชัดขนาดนั้น แต่สิ่งที่ทำให้ทุกอย่างยังไม่ลงตัวก็คือ ใจของ America เอง แต่ก็นั่นแหละ ถ้าเปลี่ยนใจง่ายก็คงถูกมองว่า ใจง่าย และไม่มีเรื่องให้เขียนต่อเป็นแน่ และการที่ Aspen มีบทบาทอีกครั้งก็เพื่อให้หญิงสาวได้เลือกและได้เปรียบเทียบจนรู้ใจตัวเองจริง ๆ 

บุคลิกของ America ทำให้อ่านสนุก แต่อีกอย่างก็คือ บุคลิกของ Maxon ด้วย ทั้งที่เป็นเจ้าชาย แต่เจ้าตัวกลับถ่อมตน และมีความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น โดยเฉพาะ เมื่อเขาได้ฟังสภาพความเป็นจริงในสังคมผ่านตัว America และส่วนหนึ่งก็เพราะลักษณะหนุ่มน้อยตกหลุมรักที่ทำให้รู้สึกถูกใจและพอใจที่ได้อ่านจนถึงขั้นอยากอ่านมุมมองของเข้าชายบ้าง

The Elite เล่มที่สองจะออกอีกประมาณ 10 วัน ซึ่งก็เป็นเหตุการณ์ที่เด็กสาว 35 คนถูกคัดออกจนเหลือ 6 คน กลายเป็นกลุ่ม Elite อย่างชื่อเรื่อง ก็กลัวว่าความรักของเจ้าชายที่ออกตัวแรงจะมีเหตุให้ชะงัก และ America จะกลายเป็นคนวิ่งไล่ตามน้ำตาไหลพรากเอง และกลัวว่าเจ้าชายจะจับ America และ Aspen อยู่ด้วยกัน


สรุปว่า เป็น “The Bachelor with the royal twist” เพราะเรียลลิตี้โชว์วันนี้มีเดิมพันด้วยการแต่งงานกับเจ้าชาย ให้คะแนนที่ B+
เพลงที่คิดออกสำหรับเรื่องนี้ อาจจะกลวงไปสักนิด แต่คิดว่าลงตัวในระดับหนึ่ง 

America- Don't Say You Love Me M2M

You're moving too fast, I don't understand you
I'm not ready yet, baby I can't pretend
No I can't
The best I can do is tell you to talk to me
It's possible, eventual
Love will find a way
Love will find a way...
Don't go there baby
Not before I'm ready
Don't say your heart's in a hurry
It's not like we're gonna get married
Give me, give me some time

Maxon “Theorical Love” Yannick Bovy

ตอนแรกที่เปิดใจคุยกับ America ตัว Maxon กลัวมาตลอดว่าจะได้เจอคนที่ใช่อย่างไร และเมื่อคิดว่า America เป็นคนที่เขาผูกใจจริง ๆ ก็ไม่ลังเลที่จะไล่ตามความรู้สึกตัวเอง (แม้ว่าจะหลอก America ได้หลายครั้งก็ตาม)
Is this how you feel?
Theoretical love
Let's make something real
We got a good thing going on
If we don't try we will fall
It doesn't make any sense at all
Theoretical love
Theoretical love

You say, "Stick to the plan"
And I say, "It's out of your hands"
You can make it happen
And what you see is what you'll get
Love is not a concept

Aspen -- “Hardest Thing” 98 Degrees เหมือนกันที่การตัดใจเดินจาก แม้ว่าสาเหตุในเรื่องจะเป็นเพราะฐานะ และในเพลงเป็นเพราะผู้ชายมีคนอื่นอยู่แล้ว

Aspen ตัดสินใจบอกเลิก America เพราะคิดว่าเขาไม่สามารถเลี้ยงดูและให้ชีวิตอย่างที่ America ควรได้รับไม่ได้ และก็เลิกราไปโดยที่ตัว America ตั้งตัวไม่ทัน – แม้ว่าภายหลังจะกลับมา เพราะกลายเป็นทหาร มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และคิดว่าเลี้ยงเธอได้แล้ว

It's the hardest thing I'll ever have to do
To look you in the eye
And tell you I don't love you
It's the hardest thing I'll ever have to lie
To show no emotion when you start to cry

I can't let you see what you mean to me
When my hands are tied and my heart's not free
We're not meant to be

It's the hardest thing I'll ever had to do
To turn around and walk away
Pretending I don't love you

I know that we'll meet again
Fate has a place and time
So you can get on with your life
I've got to be cruel to be kind

Like Dr. Zhivago
All my love I'll be sending
And you will never know cuz
There can be no happy ending

ปล. ตอนต้นเรื่องแอบอินกับสภาพ lovers in the dark มาก ไม่เจอกับตัวไม่รู้สินะ เลยมี quotations ที่ชอบจากเรื่อง  

"Was she the girl he saw every day and was I the girl who fed him and showered him with kisses once a week?"


"A penny in a jar to show my daughter one day, to tell her about my first boyfriend—the one no one knew about?"