Tuesday, 7 April 2009

Bitten by Kelley Armstrong (n)

ไม่เคยอ่านงานของ Kelley Armstrong สักที จนกระทั่งได้ฟังจากคุณเมย์แห่ง Mostly Romance บอกว่าเป็นชุด Urban Fantasy ที่ดี/ ชอบที่สุด และดังนั้น ก็ถึงเวลาอ่านกัน



ชนิด : Urban Fantasy/ Werewolves
ชุด : Women of the Otherworld, Book 1
สำนักพิมพ์ : Plume/ Mass Market Paperback (September 7, 2004)
จำนวนหน้า :448 หน้า


หลังจากต้องกลายเป็นมนุษย์หมาป่า Elena พยายามใช้ชีวิตปกติอยู่เมือง – เธอตัดขาดจากฝูง ดำเนินชีวิตอย่างมนุษย์ธรรมดาในฐานะนักหนังสือพิมพ์ และอยู่กับแฟนหนุ่มนักสถาปนิก – หากวันหนึ่ง โทรศัพท์จาก Jeremy หัวหน้าฝูงขอให้เธอกลับไปด้วยเหตุเร่งด่วน เนื่องจากเกิดการฆาตกรรมจากฝีมือของมนุษย์หมาป่านอกฝูง (ในหนังสือเรียกว่า ‘mutt’) แม้ตำรวจและหนังสือพิมพ์จะสรุปว่าเป็นฝีมือหมาป่า แต่แนวโน้มอันตรายที่อาจจะต่อเนื่องมาถึงฝูงก็ทำให้ต้องออกตามหาคนร้ายให้ได้ก่อนที่เรื่องราวจะลุกลามออกไป

อย่างไรก็ตาม สิ่งรอบตัวซับซ้อนกว่านั้นสำหรับเธอ การกลับไปหาฝูงหมายความว่าเธอต้องเจอ Clayton คนรักเก่า ที่เป็นคนเปลี่ยนให้เธอเป็นมนุษย์หมาป่าเพื่อให้เธออยู่กับเขาตลอดไป และความรู้สึกในใจเธอก็สับสนไม่ยิ่งหย่อนกว่าเหตุการณ์ตรงหน้าเลย

เมื่อเริ่มอ่าน ชอบการบรรยายและอธิบายธรรมชาติของมนุษย์หมาป่าในเรื่องมาก อย่างที่อ่านในหลายเรื่องพูดถึงการเป็นมนุษย์หมาป่าไว้ก็จริง แต่ก็ได้แค่มุมมองความรุนแรงและความเลือดร้อนเป็นหลัก โดยไม่ได้อธิบายอะไรต่อจริงจัง แต่เล่มนี้ทำให้เห็นวิธีคิด ทัศนคติ และสัญชาตญาณ รวมไปถึงพฤติกรรมที่แตกต่างจากเล่มอื่น และแตกต่างจากความเป็นมนุษย์และวิธีคิดอย่างมนุษย์อย่างสิ้นเชิง อย่างที่เปิดมาให้เห็นการออกวิ่งของตัวเอกในยามค่ำคืนที่ล้อเล่นกับเหยื่อ และการวิ่งหนีให้ต้องไล่ล่าเป็นการกระตุ้นเร่งเร้าสัญชาตญาณดิบให้ฆ่า หรือแม้แต่ฉากตามล่ากวางที่อธิบายพฤติกรรมฝูงในการล่าเหยื่อก็ไม่แตกต่างกัน “ความดิบเถื่อน”จากสัญชาตญาณและความเป็นสัตว์ป่าที่เต็มไปด้วยรายละเอียดทำให้เกิดความสมจริงและน่าติดตาม

การที่ผู้เขียนเรียนมาทางด้านจิตวิทยา และแทรกประเด็นเรื่องนี้ไว้ในการขัดแย้งในใจของ Elena ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ และส่วนตัวเองทำให้ Bitten เน้นที่พัฒนาการของตัวละครในการหาคำตอบให้กับตนเองมากกว่าจะเน้นที่เนื้อเรื่อง (เพราะแม้ว่าจะมีเนื้อเรื่อง แต่น้ำหนักที่รู้สึกก็คืออย่างแรก) ถึงแม้ว่าส่วนหนึ่งในใจของ Elena จะรัก Clayton ไม่เคยเปลี่ยน แต่การที่เธอยังเจ็บแค้นกับตัว Clayton ที่เปลี่ยนเธอให้เป็นมนุษย์หมาป่า ทำให้เธออยู่ร่วมกับเขาไม่ได้ และไม่ยอมให้ทุกอย่างกลับเป็นเหมือนเดิม ซึ่งก็เพราะการที่มาจากครอบครัวที่ขาด (พ่อแม่ของ Elena ตายในอุบัติเหตุรถคว่ำ โดยที่เธอรอดชีวิตมาได้ แต่ฝันร้ายนั้นก็อยู่ติดตัวเธอมาจนทำให้ครอบครัวที่รับเธอไปเลี้ยงทนเธอไม่ได้ และต้องเปลี่ยนครอบครัวที่รับเลี้ยงครั้งแล้วครั้งเล่า และเมื่อโตขึ้นเธอก็เป็นเหยื่อพ่อเลี้ยงทั้งหลายอีก) ทำให้ Elena คาดหวังว่าจะโตขึ้น และสร้างครอบครัวที่ปกติสมบูรณ์ได้ แต่การกลายเป็นมนุษย์หมาป่าทำให้ความฝันสูงสุดของเธอพังทลายลง และทำให้เธอให้เธอให้อภัย Clayton ไม่ได้ แม้ว่าจะผ่านมาเป็นสิบปีแล้วก็ตาม

นอกเหนือจากการปฎิเสธ Clay แล้ว เธอก็ยังปฎิเสธความเป็นมนุษย์หมาป่าในตัวด้วยเช่นกัน Elena พยายามอย่างมาก จนมากเกินไปที่จะเป็นปกติในสังคมมนุษย์ เธอพยายามที่เป็นคนธรรมดาตามบรรทัดฐานที่เธอมองว่าใช่ แม้ว่าจะฝืนความต้องการของตัวเธอเอง และทำให้เธอไม่มีความสุข ตั้งแต่การขึ้นรถใต้ดินไปทำงานทั้งที่เกลียดการอยู่ร่วมกับคนแปลกหน้า ทนให้ตัวเองหิวเพราะไม่กล้าให้คนอื่นรู้ว่าเธอกินมากอย่างธรรมชาติร่างกายมนุษย์หมาป่า และอื่น ๆ อีกมาก ทั้งที่ส่วนหนึ่งเธอก็แปลกแยกจากสังคมตามความสมัครใจของเธอเอง เธอหนีออกจากฝูงที่เป็นครอบครัวเพราะมองว่าการเป็นมนุษย์หมาป่าไม่ใช่เรื่องปกติ และดังนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเป็น หรือสิ่งที่เธอควรจะเป็น อย่างที่ Clayton พูดใส่หน้าเธอไว้ว่า “… Do you know what magical spell ‘that place’ [A pack’s home] has you under? It makes you happy. But you won’t admit that because, to you, the only acceptable happiness comes in the ‘normal’ world, with ‘normal’ friends and a ‘normal’ man. You’re bound and determined to make yourself happy with that kind of life, even if it kills you.” (หน้า 323)

ความมุ่งมั่นที่จะเป็นปกติ และมีชีวิตปกติบดบังเธอไม่ให้เห็นสิ่งที่เธอมี และก็กลายเป็นตรวนที่รั้งเธอไว้จากความสุขที่แท้จริงเช่นกัน เธอต้องการคนรักที่สมบูรณ์แบบและรักเธอ ซึ่งในแง่หนึ่ง Clayton ก็เป็นเช่นนั้นให้เธอได้ เธอต้องการครอบครัว เธอก็มี Jeremy และฝูง และบ้านของเธอก็คือที่ฝูง ตอนแรกที่อ่านคิดว่าฝูงปฏิบัติต่อเธอไม่ดี แต่ไม่ใช่เลย เธอหนีมาเพราะตัวเธอเอง เพราะใจของเธอเอง โดยเฉพาะประเด็นที่เธอเคียดแค้นว่า Clayton ทำให้เธอเป็นมนุษย์หมาป่า และหมดโอกาสใช้ชีวิตอย่างปกติ ทั้งที่เธอรักและเชื่อใจเขา Elena มองว่าชายหนุ่มเห็นแก่ตัว และคิดถึงแต่ตัวเอง แต่เมื่ออ่านกลับมองว่าคนที่เป็นเช่นนั้นจริงคือ Elena เอง ความเคียดแค้นทำให้เธอขมขื่นและก้าวร้าวใส่คนอื่นอยู่เนือง (โดยเฉพาะ Clay) แต่เธอไม่เคยมองตัวเองเลย หรือถ้าจะมองก็กล่าวโทษให้เป็นความผิดของ Clay

ซึ่งทำให้ในทางกลับกัน เห็นความรักที่ Clay มีต่อ Elena ได้อย่างชัดเจนและลึกซึ้งอย่างที่สุด เขารักหญิงสาวอย่างที่เธอเป็น มองเห็นเธอได้อย่างถ่องแท้ และเข้าใจเธอยิ่งกว่าที่เธอจะเคยเข้าใจตัวเอง นอกเหนือจากการกัดให้ Elena กลายเป็นมนุษย์หมาป่าเช่นเดียวกับเขาแล้ว ความรักของ Clayton ไม่เคยมีเงื่อนไขใด ๆ เลย ช่วงเกือบปีครึ่งหลังจากที่ Clay กัด Elena และถูก Jeremy ไล่ออกไปจากบ้าน เขาขอร้องให้ Jeremy จัดงานคริสมาสต์ในฝูง เพราะรู้ว่าสำคัญกับ Elena ขนาดไหน แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ด้วย เขายอมเป็นที่รองรับอารมณ์ของเธอ แม้ว่าเธอจะโมโหร้าย และเกรี้ยวกราดใส่เขา พยายามที่จะเข้าใจและอดทน รอให้ Elena กลับมารักเขาได้เหมือนเดิม แม้ว่าจะใช้เวลาเป็นปี โดยที่ไม่เคยหมดใจหรือถอดใจ (รวมไปถึงการกล้าให้ตัวเธอเป็นเหยื่อล่อหรือแม้แต่สู้กับคนร้าย ที่เกิดขึ้นเพราะเขาเชื่อในตัวของ Elena และความสามารถ/ พลังของเธอ ซึ่งประเด็นนี้หายากมาก (และชอบมาก) ที่พระเอกจะปล่อยนางเอกไปรบราฆ่าฟันกับใคร แต่กรณีเกิดขึ้นเพราะ Clay รู้จักเธออย่างแท้จริง และเข้าใจเธอ) อย่างที่ Elena บอกว่าเธอรัก Clay แต่เธอไม่เคยเข้าใจเขาเลย และเมื่อหลังเกิดเหตุ ความพยายามเข้าใจหรือแม้แต่รับฟังของเธอก็ยิ่งหมดไป ถ้ามองว่าเธอรักเขาจริงก็น่าจะเปิดกว้างแล้วเปิดใจได้มากกว่านี้ ประเด็นความฝันในใจก็เป็นสิ่งหนึ่ง แต่ความเป็นจริงก็เป็นอีกสิ่งหนึ่ง เพราะไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างที่เราต้องการ และสิ่งเดียวที่จะทำให้ก็คือสร้างให้สิ่งตรงหน้าดีที่สุดกับเรา

อย่างที่อ่านก็คือ เข้าใจความรู้สึกของ Elena ในเรื่อง แต่ขณะเดียวกันก็รำคาญเธออย่างมากเช่นเดียวกัน และไม่เคยรู้สึกว่า Clay เป็นฝ่ายผิดหรือผิดปกติในเรื่องเลย แต่เป็นคนที่น่าสงสารที่สุด มีตอนที่อธิบายความรู้สึกน้อยใจของ Clay และรู้สึกว่าอธิบายได้ดีก็คือ ตอนที่ Elena ให้ Clay ไปซ่อนเพื่อที่ตัวเองจะออกไปล่อคนร้าย และเขาตอบว่า “Uh-uh. We’ve played this game before. I hide. You never seek. I am a bit slow on the uptake, but I’m beginning to sense a pattern.”(หน้า 175) และโดยเฉพาะตอนที่เธอกลับไปหาแฟน และ Clay ต้องกลับไปคุ้มครองเธอด้วย เป็นช่วงที่รู้สึกว่าเธอเลือดเย็นมาก และใจร้ายมากที่กล้าทำร้ายจิตใจของ Clay และรู้สึกสะใจไปพร้อมกัน .... อย่างไรก็ดี ก็เป็นตอนที่เปรียบเทียบให้เห็นชัดว่า เธออยู่กับใครได้อย่างเป็นธรรมชาติและเป็นปกติในแบบของเธอได้มากกว่า ยิ่งเมื่อเธอและ Clay เป็นคนประเภทเดียวกันอย่างที่เธอไม่เคยรู้ ทั้งลักษณะนิสัยวิธีคิด หรือแม้กระทั่งพื้นฐานชีวิตหลายอย่าง โดยเฉพาะการพยายามที่จะ “เข้าที่เข้าทาง” ในสมัยเด็ก(แปล fix in ว่าอะไรดี?)

และดังนั้น เรื่องที่เกิดในเล่มก็คือ การทำความเข้าใจกับตัวเอง และความต้องการของตัวเอง ซึ่งก็เกิดจากการถูกกระตุ้นด้วยเหตุการณ์มนุษย์หมาป่านอกฝูง เพราะถ้าไม่มีสิ่งนี้ก็จะไม่ทำให้ Elena ทบทวนความสำคัญของ Clay และกับฝูงที่มีต่อตัวเธอเลย

อย่างไรก็ตาม ไม่ชอบโครงเรื่องบางส่วนอย่างหนักเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อ Jeremy ออกคำสั่งให้ Elena กลับไปที่เมืองพร้อมกับมี Clay ตามไปคุ้มครอง เพราะมองว่าอันตรายที่เกิดขึ้นมีตัวเธอเป็นเป้าหมายหลัก ซึ่งความจริง อันตรายที่เกิดขึ้นเกิดจากตัวบุคคลไม่ใช่สถานที่ การเปลี่ยนที่อยู่ไม่ใช่ทางแก้ปัญหาที่ถูกต้องเลย การแบ่งกำลังเป็นสองฝ่ายทำให้การรับมือ และตกเป็นฝ่ายตั้งรับทำได้ยากขึ้น การคุ้มครองตัว Elena ด้วยกำลัง Clay เพียงคนเดียวทำได้ยากกว่าเมื่ออยู่ในวงล้อมของฝูงมาก และในทางกลับกัน การแยก Clay ออกมาก็ทำให้ฝูงมีกำลังเหลือน้อยลง ยิ่งเมื่อพิจารณาว่าเขาเป็นกำลังหลักในการต่อสู้และกำจัดมนุษย์หมาป่านอกฝูงมาตลอด

ยุทธวิธีต่อสู้ของ Jeremy ค่อนข้างตั้งรับมากเกินไป ซึ่งก็ทำให้ฝูงเสียเปรียบในการต่อสู้ โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงว่า การที่มีฆาตกร/ นักฆ่ามารวมอยู่กับมนุษย์หมาป่านอกฝูงก็ยิ่งทำให้ฝูงค่อนข้างเสียเปรียบเมื่อยังคงวิธีคิดแบบเดิมที่ใช้ตรรกะแบบมนุษย์หมาป่าเป็นตัวนำอยู่ จุดนี้ทำให้อดคิดไปถึง Marrok/ Bran ในชุด Mercy ไม่ได้ เพราะหลายอย่างค่อนข้างคล้ายคลึงกัน และเพราะตัว Bran มียุทธศาสตร์ที่รุก และก้าวหน้ากว่ากันมาก ... และจุดหนึ่งที่คิดว่าฝูง ยโสและเย็นชา ก็คือ การที่ไม่ยอมรับฟังเสียงของมนุษย์หมาป่าที่บอกว่าต้องการมีพื้นที่ของตัวเอง ไม่ผิดปกติถ้ามนุษย์หมาป่านั้นจะร่วมมือกับคนอื่นเพื่อให้ได้พื้นที่ของตัวเองขึ้นมา และก็ถึงกับรู้สึกว่าฝูงสมควรได้รับบทเรียนเช่นนี้บ้าง (และก็ต้องบอกว่าอ่านจบเล่มแล้วชอบตัว Marsten ด้วยซ้ำไป)

ตอนใกล้จบของเรื่องถือเป็นการหักมุมอยู่ที่หัวหน้ามนุษย์หมาป่านอกฝูงที่คิดร้ายกับฝูงถูกฆาตกรต่อเนื่องที่ตัวเองสร้างให้เป็นมนุษย์หมาป่าฆ่าตาย แต่ก็ถือว่าอธิบายวิธีคิดของคนแต่ละประเภทได้ดี ซึ่งก็เป็นสิ่งที่หนังสือเล่มนี้ทำมาตลอด (ซึ่งคนอ่านจะชอบไม่ชอบก็อีกเรื่องหนึ่ง – อย่างที่ส่วนตัวเองไม่ชอบ Elena ในบางช่วง) และก็ค่อนข้างชอบแนวคิดการเอาฆาตกรต่อเนื่องมาเป็นมนุษย์หมาป่า เป็นภาพของนักล่าที่กลายมาเป็นผู้ล่าอีกประเภทที่ไม่มีทางเป็นมนุษย์หมาป่าทั้งทางวิธิคิดและพฤติกรรมได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่กลายเป็นนักล่าอย่างเดิมที่มีพละกำลังมากขึ้น – จริง ๆ ถ้าพัฒนาปมตัวนี้มากขึ้นก็น่าจะสนุกมากขึ้นอีกเยอะ (แต่คงกลายเป็นกึ่ง ๆ Hannibal Letter ไป??)

ทั้งนี้ ต้องบอกว่า ความรู้สึกส่วนตัวมองว่า Bitten เป็นเรื่องรักที่ใช้การดำเนินเรื่องแบบ Urban Fantasy เป็นหลัก ให้คะแนนที่ B/B-

อื่น ๆ
1. ยังคิดว่าจะอ่านเล่มสอง (Stolen) ต่อดีไหม เพราะว่าพลาดมากที่ไม่ได้ซื้อเอาไว้ตอนสั่ง Bitten ตอนนี้ในชุดเหลือแค่ Personal Demon กับ Men of the Otherworld ถ้าสั่งก็ต้องรอเดือนนึง แต่นั้นแหละ ก็คิดว่าสั่ง แต่ละสั่งทั้งชุด หรือจะทยอยสั่งทีละ 2-3 เล่มกันพลาดดีคะ? กรี๊ด on hold มาก ๆ

2. ไปดู Fast and Furious 4 แล้ว อดคิดถึงบุคลิกของ Clay กับ Dom (Vin Diesel) เหมือนกันมาก คือ ก้าวร้าว รุนแรง ดิบ และสามารถ แต่ขณะเดียวกัน กับคนที่รักรอบตัวก็ ใส่ใจ เข้าใจ และกล้าให้เสี่ยงอันตราย เพราะรู้ว่าทำได้ (ในหนังพี่แกให้คนรักกระโดดจากรถขึ้นไปบนรถน้ำมันที่กำลังแล่นอยู่ทั้งสองคันเนี่ยนะ โอ น่ากลัวมาก) อย่างที่ Dom บอกในเรื่องว่ารักผู้หญิงที่ 20 % เป็นนางฟ้า 80 % เป็นนางมารนี่ก็ใช่อีก .. Elena ไม่ได้ก้าวร้าวเพราะความเป็นมนุษย์หมาป่า แต่การเป็นมนุษย์หมาป่าทำให้เธอหาทางที่จะใช้ความก้าวร้าว รุนแรงที่เธอซ่อนเอาไว้มาตลอดได้ (เธอรู้ว่าโลกอยากเห็นเด็กที่หัวอ่อนว่าง่าย อารมณ์คงที่ หรืออย่างน้อยครอบครัวที่รับเธอไปเลี้ยงก็ต้องการเช่นนั้น และเธอก็สร้างภาพตัวเองเช่นนั้นขึ้นมา และ Clay ก็เป็นคนเห็นตัวตนที่แท้จริงของเธอก่อนที่เธอจะรู้หรือเข้าใจตัวเองด้วยซ้ำไป)

3. แล้วก็ขอทวงเพลง Please Don’t Leave me ของ Pink คืนจาก Joanna ใน Sign of Sodiac มาให้ Elena แทน ถึงเธอจะไม่สนใจ ทำร้ายจิตใจ Clay ตลอด take Clay for granted เพราะรู้ว่า Clay รักเธอ และไม่มีวันทิ้งเธอ แต่พอเขาห่างไป หรือผิดจากที่เธอคิดไว้ เธอก็กลัวเอง ถึงขั้นใจสั่น ตัวเย็น สติหลุดไป เพลงนี้เหมาะมาก!
I don't know if I can yell any louder,
How many times have I kicked you out of here?
Or said something insulting?

I can be so mean when I wanna be,
I am capable of really anything,
I could cut you into pieces,
But my heart is, broken.

Please don't leave me
I always say how I don't need you
But it's always gonna come right back to this
Please don't leave me

I forgot to say out loud,
How beautiful you really are to me,
I can't be without,
You're my perfect little punching bag,
And I need you, I'm sorry.

12 comments:

  1. อย่างที่บอกไปค่ะ ชอบอ่านรีวิวของคุณมิ้งมาก รู้สึกว่าอ่านแล้วได้อะไรเยอะกว่าตอนเมย์อ่านมาก ทั้งที่อ่านเล่มเดียวกัน แต่หลายครั้งเมย์ก็มองไม่ลึกอย่างที่คุณมอง

    เห็นด้วยมาก ๆ ตรงที่บอกว่าเป็นโรแมนซ์ที่เล่าเรื่องแบบ UF เมย์ไม่เคยคิดถึงจุดนี้มาก่อนเลย จนกระทั่งอ่านที่คุณมิ้งรีวิว ตรงใจมาก ๆ

    ในแง่ของตัวละครแล้ว เมย์ไม่รู้สึกผูกพันอะไรกับเอเลน่าหนักหนา เธอไม่ใช่ตัวละครที่ถึงกับไม่ชอบ แต่ก็ไม่ใช่ตัวละครที่น่าประทับใจ แต่บุคลิคของเธอก็เป็นอย่างนี้เกือบตลอด (ติดจะเห็นแก่ตัวสักหน่อย)

    เมย์ชอบตัวละครผู้ชายในเรื่องชุดนี้มากกว่า ชอบเกือบจะทุกตัว กระทั่งตัวร้าย ที่เราคิดว่ามีมิติมากกว่า นี่อาจเป็นเหตุผลที่เมย์ชอบเรื่องที่เล่าผ่านตัวละครผู้ชายมากกว่า (ซึ่งมาถึงตอนนี้ก็มีแค่สามเล่ม)

    เรื่องชุดนี้ถ้าคนเล่าเรื่องเป็นคนละตัวกัน ก็อ่านกระโดดข้ามกันได้สบายค่ะ แต่ถ้าคนเล่าเรื่องเป็นคนเดียวกันก็อาจจะมีปัญหาสักหน่อย เพราะมันสปอยล์กันเอง

    ReplyDelete
  2. ต้องสารภาพว่าโล่งใจมาก ๆ ค่ะ ที่อ่านเห็นว่าคุณเมย์ชอบรีวิวที่เขียนไป เพราะเรื่องนี้เป็นชุดโปรดของคุณเมย์แล้วก็ไม่แน่ใจว่าพอเริ่มเขียนมีอคติจากการหงุดหงิดใส่เอเลน่าตั้งแต่ตอนอ่านมาเป็นหลักด้วยไหม เพราะไม่น่าเชื่อเลยว่าทั้งที่เธอเป็นคนเล่าเรื่อง เราจะชอบตัวละครอื่น โดยเฉพาะตัว Clay มากกว่าเธอได้มาก และมาก มาก มากนะคะ

    จริง ๆ ที่ทำให้อยากอ่านเล่มต่อก็คือ อยากอ่านเกี่ยวกับ Clay ล่ะค่ะ เล่มสองพฤติกรรมเธอดีขึ้นกับ Clay มากกว่านี้ไหมคะ (ลุ้นมาก ๆ เป็นเงื่อนไขในการอ่านต่อไปจริง ๆ) แล้วส่วนตัวคุณเมย์ชอบเล่มไหนที่สุดคะ ตัวละครอื่นอย่างเพจน่ารักกว่าเอเลน่าไหมเอ่ย

    อย่างที่บ่นในบล็อก ตอนนี้กำลังก้ำกึ่งว่าจะสั่งยกชุดเลยดีไหมล่ะค่ะ เพราะกลัวว่าจะไม่อ่านจนจบทั้งชุดถ้าเจอแบบเอเลน่าใจร้าย แต่ก็กลัวว่าถ้าทยอยเอามาแล้วติดใจจะลงแดง และโกรธตัวเองที่ไม่เอามาจนหมด ... คิดหนักๆๆ

    ตอนนี้เริ่มระบบเจอ UF แล้วซื้อแหลกแล้วล่ะค่ะ อย่างที่เคยอ่าในบล็อกคุณเมย์ว่าพอจะซื้อไม่มีให้ซื้อ เริ่มเจอกับตัวเองหลายครั้งว่าถ้าเจอหนังสือที่ชั้นให้รีบงกเอามาเก็บก่อนหนังสือหมด เลยเหลือกองยังไม่ได้อ่านเยอะมากๆ

    ReplyDelete
  3. เป็นชุดโปรดแต่ไม่ใช่ว่าเมย์จะมองไม่เห็นข้อเสียนะคะ เีพียงแต่บางครั้งมันเป็นข้อเสียที่ไม่มากพอ และทำให้เมย์มองข้ามมันได้อย่างสิ้นเชิง และสำหรับเรื่องชุดนี้เป็นเพราะเคลย์ และตัวละครฝ่ายชายตัวอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นเจรามี่, ลูคัส หรือว่ามาร์สเทน เมย์ว่าเคลลี่ย์มีพรสวรรค์ในการเขียนตัวละครฝ่ายชายค่ะ และนี่เป็นเหตุผลที่เมย์ชอบเรื่อง Men of the otherworld มากที่สุด เพราะเป็นการเล่าเรื่องผ่านฝ่ายชาย ที่เมย์คิดว่า พวกเขามีวิธีมองโลกได้น่าสนใจกว่ามาก

    เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเอเลน่าและเคลย์ไม่แน่ใจว่า สุดท้ายจะลงเอยในแบบที่คุณมิ้งหวังไว้ไหมนะคะ เธอคงไม่ได้ใจร้ายมากไปกว่าที่ปรากฎใน Bitten แล้วล่ะ แต่การอ่อนลงของเธอจะมากพอจนอยู่ในระดับที่คุณมิ้งรับได้รึเปล่า นี่เป็นคำถามใหญ่เลยค่ะ สำหรับเมย์เราถือว่าโอเค อาจเพราะเรายอมรับเธอได้ เพราะเธอคือคนที่เคลย์ต้องการ และเพราะเราชอบเคลย์มาก ก็เลยอยากตามใจเขา

    ตัวละครอื่น ๆ ที่เป็นคนเล่าเรื่อง เพจมีด้านที่ตรงข้ามกับเอเลน่ามากที่สุด ซึ่งเมย์ไม่แน่ใจว่ามันเป็นข้อดีไหม อีฟ (เรื่อง Haunted) คล้ายกับเอเลน่าในระดับนึง ส่วนเจมี่เป็นอะไรที่อยู่ตรงกลาง

    จะน่าเกลียดไปไหมคะถ้าจะบอกว่า ในบรรดาคนเล่าเรื่องฝ่ายหญิงทั้งหมดนี่ เมย์ไม่ได้ชอบใครเป็นพิเศษสักคน ที่ีอ่านและคลั่งชุดนี้มาตลอดเพราะตัวละครฝ่ายชาย

    เรื่องซื้อแหลกนี่เป็นปฏิกริยาจากเหตุการณ์ในอดีตค่ะ ที่อยากได้หนังสือมาก ๆแต่มันดันขายหมดไปแล้ว กว่าจะได้เล่มนั้นก็ต้องรอพิมพ์ใหม่ (ซึ่งถือว่ายังโชคดีที่เขายังพิมพ์นะคะ) เดี๋ยวนี้เลยถือคติซื้อไว้ก่อนคิดทีหลัง (แต่พอสเตทเม้นต์จากบัตรเครดิตมาก ก็คิดหนักอีกรอบ)

    ReplyDelete
  4. อ้ออ่านที่คุณมิ้งบอกว่าดอมเหมือนเคลย์แล้ว ทำให้เกิดอาการอยากดูหนังเรื่องนั้นขึ้นมาทันที

    แต่อยากรู้ว่าวิน ดีเซลเรื่องนี้แกลดน้ำหนักลงมาบ้างรึยังคะ

    ReplyDelete
  5. ฮ่า เรื่องของเอเลน่ากับเคลย์จริง ๆ ก็ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะต้องดีแบบดีดี๊ดีมังคะ แค่ไม่ใจร้ายอย่างเล่มแรกก็น่าจะไหวอยู่ อย่างตอนที่กลับไปหาฟิลลิปแล้วพาเคลย์กลับไปด้วยนี่ไม่ไหวจริง ๆ แต่จบเล่มแรก ดูว่าคุณเธอเห็นค่าเคลย์ขึ้นมามาขึ้นก็น่าจะโอเคแล้วมังคะ

    สงสัยที่คุณเมย์บอกว่าเคลลี่แต่งตัวละครผู้ชายได้น่าสนใจท่าจะจริงค่ะ เพราะว่าส่วนตัวชอบมาร์สเทน เป็นพิเศษรองจากเคลย์ แอบไปอ่านบล็อก “ใครเป็นใครใน Otherworld” ของคุณเมย์มา มาร์สเทนกลับมาเล่ม No Human Involved ใช่ไหมคะ โอ้ อ่านต่อแน่ ๆ ยิ่งตอนนี้คิดว่าถึงพล็อตรวม ๆ จะไม่คมมาก แต่ชอบวิธีคิดของตัวละครค่ะ อ่านตามไปวิเคราะห์ตามไปสนุกดีเหมือนกัน

    เรื่องวิน ดีเซล คิดว่าล่ำบึ้กเหมือนเดิมค่ะ ฮ่า ๆ หรือคิดไปเองว่าบึ้กกว่าเดิมก็ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ ๆ โทรมขึ้นเยอะค่ะ อาจจะเพราะอ่านไปดูเป็นช่วงที่อ่าน Bitten ค้างอยู่ก็ได้มังคะ ก็เลยเอาไปโยงไว้ด้วยกัน แต่ชอบภาคนี้ว่าตาต่อตาฟันต่อฟันดี รุนแรงสะใจ

    ReplyDelete
  6. อ้อ หนังสือในชุดมีหลายสำนักพิมพ์มาก ๆ ทั้ง Plume/ Bantam/ etc หรืออย่างที่เช็คเวบคิโนะ Personal Demon ก็พิมพ์โดย Spectra ถ้าเก็บ เก็บที่ใครพิมพ์จะได้เป็นชุดครบง่ายสุดเหรอคะ

    ReplyDelete
  7. มาร์สเทนกลับมามากกว่าแค่ในเรื่อง No Human Involved อีกค่ะ กลายเป็นพระเอกไปแล้วซะด้วย

    หนังสือชุดนี้พิมพ์กะสองสนพ.ค่ะ สองเล่มแรกกะ Plume ที่เหลือพิมพ์กะ Bantam Spectra คิดว่าคงต้องเก็บทั้งสองสนพ.ล่ะค่ะ (แต่เดี๋ยวก็จะกลับไปเป็น Plume อีกรอบแล้วค่ะ)

    เรื่องนี้ที่เมย์มี ซื้อฉบับที่พิมพ์ในอังกฤษ เพราะว่าทีแรกเคลลี่ย์ขายงานให้กะสนพ.ในเมกาไม่ได้ รู้สึกว่าต้องหลังจากนั้นหลายปีเหมือนกันถึงจะเอา Bitten มาพิมพ์ในอเมริกาได้

    ReplyDelete
  8. กรี๊ด กรี๊ด และกรี๊ดค่ะ ดีใจเป็นที่สุด ชอบ ชอบ ชอบ
    สงสัยจะไม่ค่อยคิดเหมือนชาวบ้านเค้าไปเรื่อย ๆ
    ตกลงสั่งไปก่อน 3 เล่มกับจะไปโฉบเอา Personal Demon ที่มีมาเก็บก่อนค่ะ
    แต่พออ่านเจอตรงนี้ก็เริ่มคิดว่าจะโทรไปสั่งเป็นทั้งชุดจะดีกว่า
    แถมด้วย Dates From Hell อีกเป็นแน่

    ขอบคุณสำหรับข้อมูลสำนักพิมพ์นะคะ :D :D

    ReplyDelete
  9. ตอนอ่าน Bitten ก็ชอบมาร์สเทนมาก ๆ เช่นกันค่ะ เมย์ชอบคาแร็คเตอร์ยังงี้มากอยู่แล้วด้วยเป็นทุนเดิม ประมาณว่า ดีก็ไม่ใช่ ร้ายก็ไม่เชิง แค่เป็นคนที่ทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง (ซึ่งอาจจะดีหรือเลวกะคนอื่น อันนี้ก็แล้วแต่มุมมอง)

    ReplyDelete
  10. จริง ๆ แล้วคิดในมุมมองกลับกัน คนที่อาจร้ายก็คือฝูงก็ได้มังคะ
    เล่มแรกนี้เห็นว่าฝูงผิดเต็ม ๆ เป็นประเด็นการรักษาอำนาจของตัวเอง
    (status quo แปลเป็นไทยในแง่นี้ว่าอะไรดี?) ไม่คิดถึงคนอื่น
    -- เจอแบบนี้บ้างก็ดี :D :D

    ReplyDelete
  11. มุมมองเรื่องมัตต์นี่มีการพูดถึงอยู่นิดหน่อยใน Men of the otherworld ค่ะ อาจเป็นเพราะหนังสือเขียนทีหลัง แต่เล่าเรื่องที่เกิดในอดีต เลยทำเหมือนเป็น foretold อยู่หน่อย ๆ

    ReplyDelete
  12. ตอนนี้อยากอ่านเล่มนี้ที่สุดแล้วค่ะ

    ReplyDelete