Tuesday, 2 June 2009

City of Souls by Vicki Pettersson (th)

"Memories are just silent promises you once made to yourself. The moment is all that matters.”
-p.142-


หนังสือออกจริงช่วงปลายเดือนมิถุนา 52 ก็จริง แต่คุณเมย์แห่ง Mostly Romance ก็กรุณาให้ยืมฉบับ Advance Uncorrected Proof/ Not For Sale มาให้ได้อ่านก่อน ดีใจเป็นที่สุด ขอบคุณทั้งคุณเมย์ ตัว Vicki Pettersson แล้วก็งาน RT เป็นที่สุด อ่านอย่างอารมณ์ดีมีความสุขจริง ๆ ค่ะ :D



ชนิด : Urban Fantasy / Epic / Superheroes
ชุด : Sign of the Zodiac, Book 4
สำนักพิมพ์ : Eos (June 30, 2009)
จำนวนหน้า : 368 หน้า


มาถึงเล่ม 4 ในชุดแล้ว City Of Souls สืบเนื่องมาจากเล่มที่แล้ว เพราะความผิดพลาดบางอย่างทำให้ระหว่างที่ Joanna คืนพลังที่เธอยืมมากลับไปให้ changeling (เด็กที่คอยช่วยเหลือซุปเปอร์ฮีโร่) เธอกลับใส่พลังของเธอลงไปด้วย และดังนั้น เมื่อ เด็ก changeling ดังกล่าวได้รับพลังของเธอไป ก็ทำให้ทุกอย่างรวนไปหมด เพราะว่า Manuals ไม่สามารถบันทึกเรื่องราวใด ๆ ของฝ่าย Light ได้ ทำให้ฝ่ายนี้อ่อนอำนาจลงไป ซึ่งขณะเดียวกันก็ทำให้อำนาจของฝ่าย Shadow เพิ่มมากขึ้น

สิ่งเดียวที่ดูเหมือนจะเป็นคำตอบให้ Jo ได้ ก็คือ ชายที่ชื่อ Jaden Jacks คน ๆ เดียวที่เคยแก้ความผิดพลาดอย่างเดียวกับที่เธอเผชิญอยู่ และเบาะแสเดียวที่เธอรู้ก็คือ ไปที่ Midheaven สถานที่ในตำนานซึ่งน่าจะให้เธอเจอคำตอบที่เธอต้องการได้ ซึ่งแน่นอนว่าการผจญภัยในมิติลึกลับเช่นนั้น ไม่ได้โลดโผนเสี่ยงตายน้อยไปกว่าการสู้กับเหล่า Shadow เลย

ในความเห็นส่วนตัว เล่มนี้แตกต่างจากสามเล่มที่ผ่านมาพอสมควร อาจจะเป็นเพราะจำนวนหน้าที่น้อยลงไปกว่าเดิม (สามเล่มก่อนอยู่ที่ประมาณ 400+ หน้าทั้งสิ้น) ทำให้การดำเนินเรื่องกระชับ ฉับไว และตรงประเด็นขึ้นกว่าเดิมมาก โดยเฉพาะในแง่ที่ตัวของ Jo ไม่ค่อยทำความผิดพลาดใด ๆ อย่างที่เคยทำมาในเล่มก่อน ซึ่งในเล่มเหล่านั้นจะต้องมีทั้งช่วงที่เธอทำสิ่งผิดพลาด และตามแก้ข้อผิดพลาดเหล่านั้น แต่เล่มนี้ เธอไม่อ้อม หรือหลงทางใด ๆ เลย เป้าหมายที่คือการรักษาตัวเด็ก changeling เพื่อให้ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ โดยการตามหาตัวคนคนเดียวที่รู้วิธี ด้วยเบาะแสใน Midheaven ถือว่าภารกิจในเล่มที่เธอได้ค่อนข้างชัด .. ถึงแม้ว่าวิธีการจะไม่ชัดเจนก็ตาม

สิ่งหนึ่งที่ชอบที่สุด และถือว่าคนเขียนทำได้ดีที่สุด ก็คือ การสร้างพัฒนาการการเติบโตของตัว Joanna เอง ระหว่างที่สร้างเหตุการณ์ต่าง ๆ ในแต่ละเล่มให้เธอเผชิญ ถึงแม้ว่าเป้าหมายของหนังสือแต่ละเล่มคือการได้พบกับเหตุการณ์เฉพาะ ๆ ที่เรียกว่า Sign ก็ตาม แต่คนเขียนก็ไม่ละเลยที่จะให้เรารู้สึกถึงการเติบโตของตัวละครไปด้วย ทั้งชุดเป็นทั้ง situation driven และ character driven ไปพร้อมกัน จากเล่มแรก เธอเรียนรู้ที่จะยอมรับตัวเองอย่างที่เป็น ไม่อยู่ด้วยความเกลียดชังโกรธแค้นตัวเองหรือโลกไว้ข้างใน เล่มที่สอง เธอได้รู้จักการอยู่ร่วมและทำงานเป็นกลุ่มกับเหล่าซุปเปอร์ฮีโร่คนอื่น ๆ และเริ่มเข้าใจถึงการไว้วางใจคนอื่นเป็น และเล่มที่สาม ก็เป็นการเรียนรู้ที่จะก้าวต่อไปข้าวหน้าโดยไม่ยึดติดกับอดีต (เห็นได้ชัดที่สุดจากการปล่อยมือจาก Ben คนรักเก่าของเธอ) ทั้งหมดนี้ทำให้รู้สึกว่าคนเขียนวางแผนมาดี และเขียนได้ดี ทั้งในโครงเรื่องหลัก และเนื้อเรื่องย่อย ๆ ในแต่ละส่วน ... อย่างที่ชอบกฏเกณฑ์และกติกาของโลก Midheaven ที่เธอสร้างขึ้น สิ่งต่าง ๆ ดูเหมือนจะทั้งคุ้นเคยและลึกลับในเวลาเดียวกัน และเพราะรายละเอียดปลีกย่อยที่มี ก็ทำให้สงสัยว่าจะมีพูดถึงเกี่ยวกับโลกแห่งนี้อีกไหม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ Jo ทิ้งส่วนหนึ่งของเธอไว้ที่นั่น (สปอยล์) [เพราะการเล่นพนันของเธอทำให้เธอสูญเสีย chip ที่มีพลังไว้ และก็ทำให้พลังของเธอหายไปกับชิปด้วย]

จุดต่างอีกอย่างหนึ่งจากเล่มก่อนก็คือ เธอมีความรู้สึกละเมียดละไมเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเป็นเพราะเธอเกลียดตัวเองน้อยลง และเรียนรู้ที่จะรักตัวเองมากขึ้น ชอบที่ Felix สมาชิกในกลุ่มคุยกับ Jo และทำให้เธอเข้าใจถึงความรู้สึกของการที่มีใครสักคนให้พึ่งพิง ใครสักคนให้กลับไปหา และเธอก็รู้สึกอย่างนั้นกับ Hunter จนกล้าที่จะบอกและกล้าที่จะเดินหน้าต่อไป (สปอยล์) [ซึ่งถึงแม้ในที่สุดแล้ว เหตุการณ์จะกลับเป็นตรงกันข้ามก็ตาม]

จากเล่มนี้สิ่งหนึ่งที่รุนแรงขึ้น (และขึ้นไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่เล่มแรก) ก็คือ ความเกลียด Warren หัวหน้ากลุ่มของเหล่า Superhero (ซึ่งส่วนหนึ่งอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่สามารถนั่งอ่านเรื่องสั้นใน Holidays Are Hell ให้จบเพราะ Warren มีบทบาทเยอะก็เป็นได้) เพราะการที่เขามององค์รวม และภาพใหญ่มากเกินไป ทำให้เขากลายเป็นคนเลือดเย็นจนไปถึงขั้นเห็นแก่ตัว (ถ้าเรานับว่าการเลือกข้างเลือกฝ่ายและทำทุกอย่างให้ฝั่งที่ตัวเองอยู่ให้ได้ผลประโยชน์โดยไม่สนใจคนอื่นหรือฝ่ายอื่น) เขามองทุกคนเป็นหมากในมือเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตัวเองต้องการ .... และขณะเดียวกับก็หมกมุ่นกับการมี Kairos อยู่กับตัว จนพยายามกำจัดทุกอย่าง และทุกคนที่มีอิทธิพลหรือแม้แต่มีความสำคัญกับเธอ แปลกที่การต่อสู้กับฝ่าย Shadows ของเขามีเพื่อปกป้องคนบริสุทธิ์ แต่เขาก็ไม่ลังเลที่จะฆ่าคนบริสุทธิ์ที่มาขวางทางหรือเป้าหมายของเขา ขณะที่ Jo เอง ดิ้นรนเพื่อตัวเองเป็นหลักในเล่มแรก ๆ แต่เธอก็ไม่เคยแม้แต่ละคิดถึงการกระทำเช่นนั้นเลย อย่างที่เธอคิดในหน้าสุดท้ายว่า One person, I thought, as the neon blurred before me was an entire world. การมองคนเป็นตัวเลขอย่างที่ Warren มอง และการมองเป็นบุคคลของ Joanna แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

มิติบุคลิกตัว Joanna เองก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ชอบมาตั้งแต่เล่มแรก (ถึงแม้จะรำคาญยิบย่อยบ้างในบางครั้ง) เพราะเธอถูกกำหนดให้เป็น Kairos และถูกคาดหวังไว้สูงมาก ซึ่งตามจริง แม้เธอจะเป็นคนตามคำทำนาย แต่เธอก็เป็นคนธรรมดา ซึ่งสามารถที่จะทำถูกได้ และขณะเดียวกันก็ทำผิดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อก้าวเท้ามาสู่สังคมยอดมนุษย์เหนือมนุษย์ที่เธอไม่รู้จักมาก่อน เหตุพลาดพลั้งที่อาจเกิดขึ้นด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเธอก็เป็นเรื่องปกติที่จะสามารถเกิดขึ้นได้ ดังนั้น การที่คนเขียนแต่งให้เธอผิดพลาดในหลายครั้งก็ช่วยสะท้อนความเป็นคนธรรมดาที่ ‘บังเอิญ’ มามีพลังและความสามารถพิเศษได้ดี .... เพราะสิ่งสำคัญไม่ใช่ทำทุกอย่างถูกต้องสมบูรณ์ หากแต่เป็นกระทำความผิดแล้วรู้ที่จะแก้ไขให้กลับเป็นดีต่างหาก

อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ไม่รู้ว่าควรปรบมือให้กับตัว Vicki Pettersson หรือว่ากรีดร้องใส่ดี ก็คือ ความกล้าในการเขียนจุดหักมุมใหญ่ถึงสองอย่าง อย่างแรกก็คือ (สปอยล์) [การที่เธอละทิ้งพลังของเธอ และให้พลังนั้นกับ changeling เพื่อช่วยชีวิตเด็กแทน ซึ่งทำให้เธอกลายเป็นคนธรรมดาในตอนจบเล่มนี้] ซึ่งก็เป็นไปตามคำทำนายถึงสัญญาณอย่างที่สี่ด้วย (สปอยล์) [ตัว Kairos จะเสียสละตัวเองเพื่อคนธรรมดา] และอย่างที่สอง (สปอยล์) [การที่ในท้ายที่สุด ตัว Jacks Jaden ก็คือ Hunter และสิ่งที่เขาทำทุกอย่างก็คือเพื่อกลับไปหาคนรัก (หรือพูดให้ถูกจริง ๆ ก็คือ wife!!) ที่เป็น Shadow ของเขาใน Midheaven] ซึ่งแม้เหตุการณ์แรกน่าจะมีผลกระทบกับตัวเธอมากกว่า แต่อดไม่ได้จริง ๆ ที่จะอึ้ง ตะลึง ไปถึงขั้นเกือบช็อคจากเหตุการณ์อย่างที่สอง ในฐานะแม่ยกตัวละครนั้น โดยเฉพาะเมื่อความเป็นไปได้ระหว่างกันเกิดขึ้นตั้งแต่เล่มแรก ๆ และตัวเองก็ลุ้นเอาใจช่วยมาตลอด

และดังนั้น ในฐานะคนอ่านที่วิจารณ์เรื่องที่ Vicki Pettersson กล้าเขียนหักมุมเช่นนี้ ขอให้คะแนนที่ B+/A แต่ในฐานะคนอ่านที่ติดตามชีวิตของ Joanna Archer ให้ได้ที่ B+ และก็สรุปเรื่องว่า “a hard reality, yet appealing life of Joanna Archer. One of my bestest, most favorite on-going UF series with details and attitude ... still!” เพราะไม่รู้จะพูดอะไรดี ประเด็น Ugly/ Cold reality ของเธอก็ยังมีอยู่ และก็ทำให้อยากรู้ความต่อในเล่มห้ามาก เพราะสิ่งที่เกิดกับเธอ และหันหลังจากเธอในเล่มนี้ทั้งหมด เป็นสิ่งที่เธอต่อสู้และสมควรจะได้ทั้งหมด และได้ความสุขมาอยู่กับตัวแท้ ๆ แม้ว่าสิ่งที่ดีที่สุดอย่างเดียวสำหรับ Joanna ในเล่มนี้ก็คือ การกำจัด Regan ไปได้เสียที

ความสัมพันธ์ระหว่าง Joanna และ Hunter

อันที่จริง สิ่งหนึ่งที่ดึงดูดให้อ่านต่อมาเรื่อย ๆ ก็คือตัว Hunter และความสัมพันธ์ระหว่าง Jo กับ Hunter อย่างที่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เหมือนจะลงตัวแล้วก็ไม่ลงตัวมาสักที ซึ่งแม้จะทำให้คนอ่านหงุดหงิดรำคาญ แต่เมื่ออ่านมาถึงเล่มสี่จริง ๆ ก็กลับเป็นว่าชอบที่ความเป็นไปได้ที่น่าจะเกิดยืดเยื้อออกไป เพราะสำคัญที่สุดก็คือการให้เวลากับ Jo ได้ให้โอกาสตัวเองที่จะเริ่มผูกพันตัวเองกับใครสักคน (ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นในเล่มแรก ๆ ก็อาจเป็นสิ่งที่เร็วเกินไป และไม่ถึงเวลาที่ควรจะเกิด โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงว่าเธอมีประเด็นในใจอยู่มาก และต้องปรับตัวกับความเป็นไปที่เกิดขึ้นในสังคมใหม่ และทัศนคติแบบใหม่) และก็ชอบที่เธอแน่ใจกับความรู้สึกของตัวเองจนกล้าที่จะเป็นฝ่ายรุกและไล่ Hunter ในตอนกลางเรื่อง ซึ่งถ้าเฉพาะส่วนนี้ทำให้คิดถึงเพลง In The End ของ Kat De Luna มาก

I'm the textbook definition of a rebel
I see the crowd movin' left and I gotta go right
I'm always in some trouble
To me life ain't fun unless you're in a good fight

So the more you're good to me
The more I try to get you to leave

All my life I've made excuses
Pushing you away, saying that you're not for me
All my life I've ran from you, babe
I tried everything
In the end it was you

(สปอยล์) [อย่างไรก็ตาม อย่างที่ได้พูดไปแล้วว่าท้ายที่สุด คนที่ Hunter ต้องการและกลับไปหากลับไม่ใช่ Jo แต่เป็น Shadow ภรรยาของเขาที่อยู่ใน Midheaven โดยในแง่หนึ่ง เขาเลือกที่จะหักหลัง Jo และเหล่า superhero ด้วยการติดต่อกับ Reagan เพื่อที่จะกลับไปที่ Midheaven ได้] ซึ่งถ้าคิดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาในสามเล่มแรก และในช่วงค่อนเล่มของเล่มนี้ก็ไม่คิดเลยว่าจะลงเอยเช่นนี้ได้ จากเล่มสามและช่วงต้นเล่มสี่คิดถึงความเป็นไปได้เหมือนกันที่เขาจะเป็นคนทรยศอย่างที่มีนัยพูดถึงไว้ แต่ก็คิดว่าเป็นเพราะต้องการตัว Joanna มากกว่าจะด้วยเหตุผลอื่น และเมื่อคิดถึงความเชื่อมั่นที่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่เล่มแรกก็ยิ่งทำให้อึ้งไป ... สงสาร Jo เสียจริง!!! แล้วก็กลายเป็นว่าคนที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างเธอมากที่สุด โดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ กลับเป็น Cher เพื่อนสนิทของ Olivia ที่กลายมาเป็นเพื่อนสนิทของเธอในฐานะ Olivia และ Susanne แม่ของ Cher ทั้งที่เธอเคยไม่ชอบทั้งสองคนมาก่อน

และดังนั้น ความรู้สึกตอนจบก็คงเป็นเพลงนี้เลย I Don't Believe You ของ Pink เศร้าและน่าสงสารเป็นที่สุด

I don't mind it
I don't mind at all
It's like you're the swing set and I'm the kid that falls
It's like the way we fight, the times I've cried, we come to blows
And every night the passion's there so it's gotta be right, right?

I don't mind it
I still don't mind at all
It's like one of those bad dreams when you can't wake up
Looks like you've given up, you've had enough
But I want more no I won't stop
'cause I just know you'll come around... right?

2 comments:

  1. อยากจะบอกว่า I want to grow up and write a review like you. ชอบที่คุณเขียนรีวิวมาก

    คุณมิ้งอย่าลืมส่งลิงค์ไปให้วิกกี้ด้วยนะคะ

    ReplyDelete
  2. ขอบคุณคุณเมย์ค่ะ
    อยากจะบอกว่าชอบที่คุณเมย์เขียนรีวิวมากเหมือนกันนะคะ
    อ่านแล้วได้ใจ และได้อารมณ์ร่วมด้วยตลอดเวลา

    ตอนนี้ส่งลิงค์ไปให้วิกกี้เรียบร้อยแล้วค่ะ คราวนี้เขียนช้าหน่อย เพราะกว่าจะว่างมีเวลา ก็กลายเป็นเขียนสองภาษาอีก แต่คิดว่าเขียนจริง ๆ ภาษาอังกฤษเหมือนจะง่ายกว่ากันเยอะเลยนะคะ

    เหลือ Dayhunter(ซึ่งอ่านจบแล้วก็ชอบเหมือนกัน)จะพยายามเขียนให้เสร็จช่วงปลายอาทิตย์นี้ค่ะ

    ขอบคุณที่ไว้วางใจให้ยืมหนังสือมาอ่านก่อนอีกครั้งนะคะ ขอบคุณมาก ๆ จริงค่ะ :D :D :D

    ReplyDelete