Monday 15 June 2009

Dayhunter by Jocelynn Drake (th)

เล่มนี้ก็ได้มาด้วยความกรุณาของคุณเมย์แห่ง Mostly Romance อีกเช่นเคย และนอกเหนือจากหนังสือแล้ว ที่น่าตื่นเต้นไปกว่านั้นก็คือ ในหนังสือมีลายเซ็นของ Jocelynn Drake พร้อมกับคำว่า Stay out of Venice (ซึ่งถ้าอยากรู้ว่าทำไม ก็ต้องอ่านดู แล้วจะรู้ว่า “ควรจะ” Stay out of Venice จริง ๆ (อย่างไรก็ตาม นอกจากนี้ คุณเมย์ยังใจดีให้แผ่น teaser (ไม่แน่ใจว่าควรเรียกว่าอะไรดี??) แจกที่มีลายเซ็นต์ของ Jocelynn Drake เขียนชื่ออีฉันอีกต่างหาก) ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะกรี๊ดกร๊าดขนาดไหน

ขอบคุณคุณเมย์ และขอบคุณ Jocelynn Drake อย่างสูงค่ะ รวมไปถึงงาน RT ที่ให้โอกาสคนอ่านได้เจอคนเขียนด้วยนะคะ


ชนิด : Urban Fantasy/ vampires/ bad elves
ชุด : Dark Days, Book Two
สำนักพิมพ์ : Eos (April 28, 2009)
จำนวนหน้า : 368หน้า


จากเล่มแรก เมื่อ Mira ผีดูดเลือด (ที่ในเรื่องเรียกตัวเองว่า Nightwalker) ล่วงรู้ถึงแผนการกลับมาของ Naturi เผ่าพันธุ์เอลฟ์อันตรายจากนักล่าผีดูดเลือด Danaus แล้ว ทั้งคู่ต้องละทิ้งความเป็นศัตรูต่อกัน และหันมาจับมือกันเพื่อยับยั้งเหล่า Naturi ที่จะกลับมายังโลก อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์บางอย่างช่วงท้ายเล่ม ทำให้ความเป็นพันธมิตรระหว่างกันมั่นคงและแน่นแฟ้นขึ้น โดยเฉพาะเมื่อกลายเป็นว่าเขาเป็นเพียงคนเดียวที่เธอพึ่งพาและไว้ใจได้

เปิดฉากมาเล่มนี้ Mira ต้องไปที่เวนิซเมืองหลวงของเหล่าผีดูดเลือด (ในฐานะที่ผู้นำของพวกผีดูดเลือด ทั้ง The Liege ผู้ปกครองสูงสุด และ Coven กลุ่มผู้นำที่เรียกว่า Elders อาศัยอยู่ที่นี่ - อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ) ตามคำสั่งของ Jabari ผีดูดเลือดทรงพลังซึ่งเป็นหนึ่งในสาม Elders และเธอก็ไม่มีทางเลือกนอกจากทำตามคำสั่งโดยพา Danaus และ Tristan ไปด้วย

หากแต่การอยู่ท่ามกลางวงล้อมของสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์เดียวกับเธอ ไม่ใช่สิ่งที่อันตรายน้อยไปกว่าการสู้รบกับเหล่า Naturi แต่อย่างใด เมื่อชื่อเสียงและความสัมพันธ์ของ Mira กับเหล่าผีดูดเลือดด้วยกันไม่ดีนัก ทั้งจากความสามารถในการใช้ไฟของเธอ และจากการไปตั้งรกรากในดินแดนใหม่อย่างอเมริกา ขณะที่ผีดูดเลือดส่วนใหญ่เลือกที่จะใช้ชีวิตในยุโรป และดังนั้นเธอก็ต้องเอาชีวิตรอดจากเงื้อมมือและเขี้ยวเล็บของพวกเดียวกัน ขณะที่ต้องอ่านความคิดและแผนการของเหล่า Elders ทั้งสามคนให้ทัน โดยเฉพาะเมื่อแต่ละคนดูเหมือนจะมีแผนการเฉพาะตัวเพื่อผลประโยชน์ของตน และการหักหลังครั้งยิ่งใหญ่หลายอย่างกำลังจะเกิดขึ้น โดยที่ขณะเดียวกัน แผนการกลับมายังโลกของพวก Naturi ก็ยังดำเนินอยู่ต่อไป

ขณะที่เล่มที่แล้ว เน้นไปที่ฉากสู้รบกับเหล่า Naturi ที่บุกมาโจมตีเป็นระยะ ๆ เล่มนี้กล่าวถึงการเผชิญหน้าของ Mira กับบรรดาผีดูดเลือดในเวนิซเป็นหลัก เปลี่ยนจากการสู้กับศัตรูต่างเผ่าพันธุ์มาสู้กับพวกเดียวกันเอง และสถานการณ์ก็เปลี่ยนจากการต่อสู้ใช้กำลังซึ่งหน้าด้วยอาวุธมาเป็นสู้ด้วยสติปัญญาและความเท่าทันใน Coven แทน เพราะว่าสังคมผีดูดเลือดตัดสินกันด้วยอำนาจในรูปแบบของความแข็งแกร่งเป็นหลัก และการเมืองของสังคมคอร์ทใน Coven ก็เข้มข้นที่สุด

ความสัมพันธ์ระหว่าง Mira กับ Danaus ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่พัฒนาไปในเล่มนี้ จะเห็นได้ว่าเล่มที่แล้ว ทั้งคู่ต้องจับมือเป็นพันธมิตรกันเพื่อยับยั้งเหล่า Naturi แต่เล่มนี้เป็นการจับมือกันเพื่อเอาชีวิตให้รอดจากวงล้อมของเหล่าผีดูดเลือดใน Coven และดังนั้น ก็ทำให้ทั้งสองคนต้องร่วมมือกันมากกว่าที่เคย พร้อมพัฒนาความเชื่อใจกัน และต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันไปมากกว่าเดิม (จนถึงขนาดที่ผีดูดเลือดจำนวนหนึ่งมองว่าเธอหักหลังเผ่าพันธุ์ตัวเองไปร่วมมือกับนักล่า และ/หรือ เชื่อว่าเธอแข็งแกร่งถึงขนาดที่สามารถควบคุมนักล่าได้) ซึ่งสำหรับตัว Mira เอง ในฐานะที่หนังสือชุดนี้มองจากมุมมองของเธอเป็นหลักก็ทำให้เราเห็นชัดว่าความไว้วางใจและเชื่อมั่นนี้ก็ถึงขั้นที่เธอเชื่อใจเขามากกว่าผีดูดเลือดด้วยกันเองอย่างที่เธอคิดว่า

“He had hovered close on so many occasions while I slept that I now hated the idea of him not being there when the sun broke above the horizon. Danaus was my only sense of security in this world that was changing too fast. He threatened to destroy everything that I protected. But as the same time, he seemed to be the only one left trying to protect me.” (p. 329)

และเกือบจะถึงขึ้นที่เธอลืมความเป็นศัตรูต่อกันไป ซึ่งเมื่อมีฉากความผิดพลาด (สปอยล์) [ที่ Danaus ลงมือฆ่าผีดูดเลือดอีกตัวต่อหน้าเธอ เพราะเชื่อว่าผีดูดเลือดตัวนั้นจะฆ่ามนุษย์เพื่อช่วยผีดูดเลือดอีกตัว โดยไม่ได้มองบทบาทหรือท่าทีของเธอต่อเรื่องนี้] ก็ทำให้ความรู้สึกผิดหวังและถูกทรยศของเธอรุนแรงมาก

อย่างน้อยในเล่มนี้ เราก็ได้รู้ว่า Danaus นักล่าของเรา “เป็นอะไร” (ไม่ใช่ “เป็นใคร”) และความรู้ที่ได้มาก็ไม่ต่างจากที่คาดไว้ (สปอยล์) [เขาเป็นพวก Bori เผ่าพันธุ์ที่เทียบได้กับเทวดาและปีศาจ และแม่ของ Danaus ก็ทำสัญญาเพื่อให้ได้พลังจากปีศาจ โดยมีเจ้าตัวเป็นผลลัพธ์ ในแง่นี้ก็ทำให้เขาเป็นลูกครึ่งมนุษย์-ปีศาจ หรือมนุษย์- Bori] และก็เพราะสิ่งที่เขาเป็นก็ทำให้เขายึดเหนี่ยวความเชื่อทางศาสนาเป็นหลักในการดำเนินชีวิตในเรื่อง เขาเชื่อในเรื่องความถูกผิด ความดีและความชั่วที่แบ่งแยกกันอย่างชัดเจนจนกระทั่งได้รู้จัก Mira ซึ่งในแง่หนึ่ง ถ้ามองว่าชีวิตของเธอต้องเปลี่ยนแปลงกลับหัวกลับหางไปเมื่อเจอ Danaus ชีวิตของ Danaus ก็เปลี่ยนแปลงไปไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน และในระดับหนึ่ง อาจหนักหนายิ่งกว่า เมื่อสิ่งที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงเขาเป็นเรื่องของความเชื่อและมุมมองของชีวิต

อย่างไรก็ตาม ความไม่เชื่อใจของ Danaus ที่มีในช่วงท้ายเรื่อง (สปอยล์) [ซึ่งอันที่จริงก็เป็นการไม่เชื่อใจผีดูดเลือดตัวอื่น ไม่ใช่การไม่เชื่อใจ Mira แต่อย่างใด] อาจจะทำให้เราสับสนถึงความไว้วางใจและความผูกพันที่ทั้งคู่มีต่อกัน แต่เมื่อมองลงไปให้ลึก สิ่งนี้เป็นตัวอธิบายความเชื่อมโยงที่มากขึ้นซึ่งทั้งคู่มีต่อกันได้ดี การอ่านหนังสือจากมุมมองของ Mira อาจทำให้ไม่เห็นความรู้สึกนึกคิดของ Danaus ชัดเจนนัก แต่ในเรื่องก็มีฉากหลายฉากที่เจ้าตัวเป็นห่วงสวัสดิภาพและความปลอดภัยของเธออย่างมาก ซึ่งอาจจะมากกว่าในฐานะคนคอยระวังหลังให้กันและกันได้ จากเล่มหนึ่งสิ่งหนึ่งที่เหมือนจะเกิดขึ้นก็คือ นักล่าของเราตามหาเธอมาตลอดเป็นเวลานาน และความมุ่งมั่นนั้นก็เหมือนจะสร้างความรู้สึกที่อย่างน้อยที่สุดก็เรียกได้ว่าความผูกพันกับเธอด้วย – แต่สิ่งนี้ก็ไม่ชัดเจนนอกเหนือไปจากการตีความของผู้อ่านอย่างอีฉันแต่อย่างใด

ทั้งนี้ส่วนตัวมองว่าความขัดแย้งตอนใกล้จบนี้ ไม่ใช่เพื่อสร้างความแปลกแยกแตกแยกระหว่างตัวละครทั้งสองตัวแต่อย่างใด จุดเปลี่ยนผันเล็กน้อยนี้มีให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและความเป็นหนึ่งเดียวที่มีมาในตลอดในลักษณะ You and me against the world ในเล่ม (สปอยล์) [เพราะนอกจากฝ่ายที่ถูกทรยศรู้สึกผิดหวังและเจ็บปวดมากแล้ว ฝ่ายที่ก่อเรื่องก็รู้สึกผิดจนถึงขั้นที่กล้ามาหาเธอโดยปราศจากอาวุธเพื่อขอโทษด้วย ซึ่งหาก Danaus ไม่เชื่อใจเธอแล้วก็ไม่น่าจะเดินมาหา Mira โดยที่ไม่มีอาวุธใด ๆ ติดตัว (แม้ว่าเขาจะมีความสามารถฆ่าผีดูดเลือดจากระยะไกลอย่างที่เรารู้ก็ตาม) และการขอโทษนั้นก็ไม่ใช่จากความรู้สึกผิดในการฆ่า แต่เป็นเพราะรู้ว่าทำให้เธอเสียใจ] ซึ่งเห็นชัดมากว่าแม้ทั้งสองจะคอยปกป้องกันและกันโดยบอกว่า เพื่อให้ตัวเองเป็นคนฆ่าอีกฝ่ายในภายหลังเมื่อจบเรื่อง แต่ก็ชัดว่าหลังจากนี้ ทั้งสองคนคงไม่สามารถฆ่ากันได้จริง ๆ

การทรยศ Mira ของ Jabari ในเล่มแรกดูเหมือนจะเป็นเรื่องร้ายแรง และไม่สามารถให้อภัยได้ โดยเฉพาะเมื่อเจ้าตัวใช้เธอในฐานะเครื่องมือมาตลอด อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่รู้สึกก็คือดูเหมือนเจ้าตัวจะมองเป้าหมายเป็นหลักโดยไม่เลือกวิธีการมากกว่าจะมองเรื่องการหลอกใช้หรือใช้ประโยชน์จากใครเป็นเรื่องเสียหาย และถึงแม้เขาจะมีท่าทีนิ่งเฉยและเย็นชาใส่ Mira มาเกือบทั้งเล่ม แต่ลึก ๆ ลงไปเห็นความเชื่อมั่นและไว้ใจที่เธอมีต่อ Jabari ในระดับสมควร แม้ว่าจะเป็นเพราะเธอเป็นคนที่เจ้าตัวรู้ว่าจะทำให้เหตุการณ์ดำเนินไปตามทิศทางที่เขาต้องการและกำหนดอยากให้เป็นได้ โดยเฉพาะเมื่อ Jabari เป็นจอมบงการที่อ่านเกมล่วงหน้าได้เป็นอย่างดี และรู้จักนิสัยใจคอของ Mira อย่างทะลุปรุโปร่ง

ผิดคาดนิดหน่อยที่บทบาทของ Tristan ในเล่มนี้มีน้อยกว่าที่คิด และไม่สลักสำคัญมากเท่าไหร่ แต่อาจจะสำคัญก็ได้ เพราะเขาเป็นตัวกระตุ้นให้ Mira สำแดงพลังของเธอให้เหล่าผีดูดเลือดที่อยู่ล้อมรอบ Coven เห็นเพื่อเป็นการประกาศอำนาจที่เธอมี และที่สำคัญ ความต้องการปกป้องที่เธอมีต่อผีดูดเลือดที่เปรียบเสมือนน้องชายของเธอ (ในฐานะที่ทั้งสองมี “ผู้สร้าง” คนเดียวกัน) ก็ทำให้เธอรับเขาเข้ามาเป็น “ครอบครัว” ซึ่งหมายถึงเข้ามาอยู่ใต้การคุ้มครองของเธอ (อ่านเพิ่มเกี่ยวกับความหมายของ “ครอบครัว” ) ทั้งที่ผ่านมา Mira หลีกเลี่ยงสิ่งนี้มาตลอด และสิ่งนี้ก็ทำให้เธอต้องเผชิญหน้ากึ่งต่อสู้กับผู้สร้างของทั้งสองคน ที่จบลงด้วยการที่ Sadira บาดเจ็บหนักจากไฟของ Mira – ทั้งนี้ ยังติดใจกับ Tristan อยู่ในแง่ที่สงสัยถึงบทบาทและความสำคัญในเวลาต่อไป แม้ว่า Tristan จะถูกสร้างมาเพื่อเป็นตัวสร้างความสำราญ ให้ความบันเทิง มากกว่าจะถูกสร้างให้แข็งแกร่งอย่าง Mira ก็ตามที

จากตัวละคร มาพูดถึงการดำเนินเรื่อง รู้สึกว่าตัวเธอไม่แตกต่างจากตัวละครใน conventional fantasy ที่ต้องสู้กับความชั่วร้ายที่ปกป้องโลก ปกป้องมวลมนุษย์ แต่สิ่งที่ยังคงเหมือน urban fantasy ก็คือสถานการณ์ที่เกินควบคุม/ คาดคิด และสิ่งหนึ่งนำไปสิ่งอื่นเรื่อย ๆ เพราะจะเห็นได้ว่า จากเล่มแรก เธอตั้งเป้าหมายตอนต้นไว้ที่การเจอ Elders ซึ่งก็คือ Jabari เพื่อแจ้งเหตุเกี่ยวกับ Naturi และจบสิ้นหน้าที่ของเธอไว้เพียงแค่นั้น แต่กลายเป็นว่าเธอมีค่าในฐานะเป็น “ผนึก” กัก Naturi เอาไว้จากโลก ซึ่งถึงแม้ในตอนต้นและกลางเล่มเธอจะไม่รู้เรื่องนี้ แต่เธอก็ได้รับมอบหมายให้ตามหาผู้ที่มีส่วนในการสร้างผนึกอยู่ดี และในเล่มที่สอง เธอคิดว่าเธอมาที่เวนิซเพื่อรายงานตัว และรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นให้บรรดา Elders ใน Coven ฟัง แต่ท้ายที่สุด เธอถูกสั่งให้มาเพราะการเป็นหมากตัวสำคัญที่สามารถกำหนดผลต่อการเมืองใน Coven

ทั้งนี้ การเมืองใน Coven ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เล่มนี้สนุก เพราะตัวละครที่ออกมาทั้งหมด แต่ละคนก็มีเป้าหมายและจุดประสงค์ในใจของตัวเองอย่างชัดเจน แม้กระทั่งใน Coven เองก็เห็นได้ว่ามีเป้าหมายของตัวเองที่แตกต่างกันไป และเพื่อจะเอาชีวิตให้รอด Mira ก็ต้องอ่านเกมให้ทัน โดยคาดเดาความต้องการและแผนการของตัวละครอื่นให้ได้ โดยเฉพาะเมื่อมีการหักหลังยิ่งใหญ่จำนวนมากอยู่ (สปอยล์หนัก) [ โดยเฉพาะเมื่อเหล่า Elders ตัดสินใจร่วมมือกับ Naturi บางส่วนที่ไม่ต้องการให้พวกที่เหลือกลับมา โดยให้ Naturi ฆ่า The Liege เป็นการตอบแทน ทั้งนี้ก็เพราะ The Liege ตัดสินใจเลื่อนวันเปิดตัวการมีอยู่ของเหล่าผีดูดเลือดต่อมนุษย์เข้ามา อันจะเลื่อนกำหนดการที่มนุษย์จะรับรู้ถึงการมีอยู่ของเผ่าพันธุ์อื่นเข้ามาด้วย (ในหนังสือเรียกวันที่มนุษย์จะรู้เรื่องนี้ว่า Great Awakening) ซึ่งการเลื่อนกำหนดเข้ามาก็จะทำให้เกิดความขัดแย้งกับเผ่าอื่น ๆ อย่างมนุษย์หมาป่า แม่มด และนำไปสู่สงครามกับผีดูดเลือด เหล่า Elders จึงคิดฆ่า The Liege เพื่อตัดปัญหา] และดังนั้น ก็ทำให้เสียงของ Coven เอง แบ่งเป็นหลายกระแส เห็นได้ชัดที่สุดจาก Macaire และ Jabari

เนื่องเพราะสำหรับฝ่ายแรก (สปอยล์) [Macaire สนับสนุนการร่วมมือกับ Naturi เต็มที่ และหวังว่าการฆ่า The Liege จะทำลายความสมดุลเดิม และทำให้เขามีอำนาจมากที่สุดในหมู่ Elders หรือแม้แต่กับเหล่าผีดูดเลือดได้] แต่สำหรับฝ่ายหลัง (สปอยล์) [Jabari ไม่ต้องการให้เกิดการร่วมมือกับ Naturi และยิ่งไม่ต้องการให้สถานภาพปัจจุบันเปลี่ยนแปลง เพราะจากที่ผ่านมาถึงปัจจุบัน ตัวเขาแข็งแกร่งและมีอำนาจมากที่สุดในบรรดา Elders ที่มีอยู่สามคน อย่างไรก็ตาม เขาต้องการให้ Mira รับตำแหน่ง Elders ที่ว่างอยู่ เพราะการที่เขามีอำนาจเหนือเธอก็หมายถึงเขาจะกำหนดทิศทางเสียงของเธอและคุมเสียงใน Coven ต่อไปได้]

และแม้เจ้าตัวจะไม่คิดมีตำแหน่งใด ๆ ใน Coven (เก้าอี้ของเหล่า Elders มีอยู่สี่ที่ และปัจจุบันก็ว่างอยู่ที่หนึ่ง) แต่เพราะความสามารถและความแข็งแกร่งของ Mira และการเป็นอิสระจาก Elders ในยุโรป รวมไปถึงไปมีเขตอิทธิพลของเธอเองในอเมริกา ก็ทำให้ผีดูดเลือดทั้งหลายเชื่อว่า เธอปรารถนาตำแหน่งนั้น โดยที่เธอไม่เคยคิดถึงตำแหน่ง หรือความเป็นไปได้ในการมีตำแหน่งเลย (ทางกลับกัน เธอต้องการความเกี่ยวข้องที่น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้จาก Coven ด้วยซ้ำ) แต่ท้ายที่สุดแล้ว (สปอยล์) [ช่วงตอนจบ เพราะสถานการณ์ที่บีบบังคับ ก็ทำให้เธอต้องรับตำแหน่ง Elders เพื่อถ่วงดุลอำนาจอยู่ดี] ทั้งที่ปกติแล้ว การเป็น Elders จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อผีดูดเลือดตัวนั้นเป็น Ancient แข็งแกร่งจากการมีอายุเกินพันปีเท่านั้น (แต่กรณีของเธอ เธอถูกสร้างอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้พลังในการใช้ไฟของเธอหายไป และการมีผู้สร้างหลายคนที่ต่างเป็น Ancient ทั้งสิ้นก็มีผลอย่างสูงต่อความแข็งแกร่งเกินอายุของเธอด้วย)

เทียบ Dayhunter แล้ว ชอบมากกว่า Nightwalker ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรู้จักตัวละครและโลกของตัวละครจนคุ้นเคยมากขึ้น และที่สำคัญชอบการสู้ด้วยสมองและความรู้เท่าทันเช่นนี้มาก และการที่มีเหล่าผีดูดเลือดอื่น ๆ เข้ามาก็ช่วยให้เห็นความเป็นไปในโลกนี้ได้ดี (เล่มแรก มีผีดูดเลือดเข้ามาน้อยมาก ทำให้ไม่เห็นถึงสภาพสังคมจริง ๆ แต่อย่างใด) และที่สำคัญ ทำให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของตัวเอกกับบรรดาผีดูดเลือดอื่น และท่าทีที่ต่างฝ่ายมีต่อกันอยู่ ซึ่งสภาพสังคมผีดูดเลือดที่เย็นชา เห็นแก่ตัว และกระหายอำนาจทำให้เห็นภาพของ Mira ดีขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเธอแตกต่างกับตัวอื่น ๆ ที่ทรนง และยึดถือเกียรติ และศักดิ์ศรีเป็นเรื่องสำคัญ (ขณะที่ตัวอื่นเน้น “อำนาจ”) ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ปฎิเสธไม่ได้ว่าทำให้เธอยังคงเป็นเช่นนี้ได้ก็คือ ความสามารถใช้การใช้ไฟ ขณะที่ผีดูดเลือดทั่วไปกลัวไฟ ส่งผลให้เธอแข็งแกร่งพอที่จะป้องกันตัวเอง ผนวกกับการอยู่ใต้อารักขาของ Jabari ก็ยิ่งทำให้เธอเป็นที่ครั่นคร้ามมากยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งการเป็นอิสระนี้ทำให้เธอยังคงมีความสุขและดำเนินชีวิตประจำวันไปได้เป็นปกติ โดยที่ไม่มีความขมขื่น หรือเกลียดชังเหมือนผีดูดเลือดตัวอื่น ๆ ด้วย และก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ชอบเธอ เพราะเธอพยายามใช้ชีวิต และพยายามที่จะมีความสุข

ขณะเดียวกัน เห็นได้ชัดว่า ตัว Mira ไม่ทำร้ายใครก่อน แต่ขณะเดียวกันก็จะไม่อยู่เฉย/ พร้อมจะตอบโต้กลับถ้าใครมาทำร้ายเธอ และโดยเฉพาะสิ่งที่เธอปกป้อง ซึ่งทำให้เธอพร้อมจะตอบกลับแรงกว่าเดิม (อยากจะเรียกเธอว่า Rose-type เสียจริง ปกป้องดูแลตัวเองได้ขนาดนี้!) ซึ่งฉากป้องกันตัว/ ปกป้องนี้ก็เห็นได้ชัดถึงทัศนคติ และความแกร่งของ Mira เมื่อเธอโต้กลับเหล่าผีดูดเลือดที่ทำร้าย Tristan ซึ่งมาอยู่ใต้การคุ้มครองของเธอ


“Who am I?” I snarled, tightening my grip. Her eyes stared at me, confused and terrified. ….. She too has fed on poor, chained Tristan – she deserved to die, consumed in the flames that surrounded her. And she knew it.


“You are the Fire Starter,” she whimpered in a strangled voice.


“Tell them what I have done,” I commanded in a low, grating whisper. “Tell them that if anyone touches what belong to me, I shall hunt them down and collect their hearts for display in my domain. Remind them of what I am …” (p.161)

เห็นในใบ teaser (หรือเรียกอะไรดี?) ว่า จุดขายอย่างหนึ่งที่สำนักพิมพ์โฆษณาก็คือชุดนี้เป็น paranormal romance ด้วย เพราะเกมไล่จับและความสัมพันธ์ระหว่าง Mira และ Danaus ซึ่งทั้งนี้ส่วนตัวเห็นว่าความน่าจะเป็นไปได้ระหว่าง Mira และ Danaus ทำให้หนังสือน่าติดตาม แต่จนถึงปัจจุบัน ความสัมพันธ์และความเชื่อมโยงระหว่างกันก็เป็นไปในลักษณะเพื่อน/คู่หูที่จับมือกันต่อสู้กับโลกมากกว่าจะมีความหวานชื่นใด ๆ เกิดขึ้น (ถึงแม้การเชื่อมโยงสำคัญอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือทั้งสองคนสามารถรับรู้ความรู้สึกของอีกฝ่าย และสื่อสารทางจิตกันได้ รวมถึงการที่ Danaus สามารถควบคุมเธอได้ก็ตาม) ซึ่งก็ทำให้เรื่องน่าติดตามอ่านมากกว่าการได้จะเห็นความสัมพันธ์ที่เร่าร้อนระหว่างกันด้วย (และก็ชอบแบบนี้มากกว่า)

อีกอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าคิดว่าการเป็น paranormal romance คือความสัมพันธ์ของตัวพระ-ตัวนางเพียงสองคน สิ่งเหล่านี้ก็ยังไม่เกิด เพราะเหมือนว่า Mira จะมีความหลังกับตัวละครหลายตัว อย่าง Jabari ในเล่มแรก (แต่ก็เป็นแค่ความรู้สึกที่ดีมากต่อกัน ไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่านั้น) และกับ Valerio ตัวละครอีกตัวที่ออกมาในเล่มสอง ซึ่งก็ไม่น่าเป็นสิ่งที่ผิดปกติอะไร เพราะเธออยู่มานาน การจะอยู่คนเดียวโดยที่ไม่มีความสัมพันธ์/ ปฎิสัมพันธ์กับใครคงเป็นเรื่องผิดปกติยิ่งกว่า และเล่มนี้ก็มีฉากที่เธอใช้เซ็กซ์เป็นทางระบายความเครียด โดยที่ไม่ใช่กับตัวเอกแต่อย่างใดด้วย

ให้คะแนนที่ B++ (สรุปว่าต่างจาก B+/A ไหมนะ?) รอ Dawnbreaker เดือนกันยา ด้วยใจระทึก เพราะบัดนี้ผนึกถูกทำลายแล้ว และเล่มสามก็คงจะยิ่งวุ่นวาย เพราะในหมู่ Naturi ก็มีการหักหลังใหญ่หลวงไม่แตกต่างกันเท่าใด เรื่องนี้กลายเป็นหนึ่งในบรรดาเรื่อง urban fantasy ที่ติดไปแล้ว และถ้านับว่าอยากอ่านอะไรที่สุดในฐานะเรื่องชุด ตอนนี้ ก็คือ Dark Days / Sign of Zodiac/ Outcast เป็น Top Three อยู่ (แม้ชอบ Spiral Hunt ในฐานะหนังสือมาก แต่ไม่แน่ใจในฐานะชุด) ส่วนบทสรุป ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมไม่เคยคิดออกเลย Politics and power struggle had never been this fun!

7 comments:

  1. จากที่อ่านรีวิว (แบบกลัวสปอยล์จัด แต่ก็อ่านนะคะ เพียงแต่ข้ามบ้าง ไม่ข้ามบ้าง) รู้สึกเหมือนตัวเองน่าจะชอบชุดนี้มากกว่า Zodiac นะคะ เพราะรู้สึกเหมือนจะดูมีคู่เอกมากกว่า ส่วนเรื่องที่รีวิวว่าไม่หวานนี่ไม่มีปัญหาค่ะ เพราะฟังจากคนแต่งที่บอกว่า จะมีสิบสองเล่มแล้ว ขืนเริ่มหวานตั้งแต่เล่มนี้ มีหวังเลิกกันเล่มห้าแน่ ๆ

    เริ่มรู้สึกตัวเองว่า ชอบอ่าน UF ที่ตัวละครมีคู่แน่นอน (แม้จะไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นเราสองคน จะเป็นเราหลายคนก็ได้นะคะ แต่ขอให้แน่ว่า มีใครบ้างที่นางเอกเลือก) ไม่ต้องหวานไม่เป็นไร แต่ไม่ชอบเรื่องที่นางเอกโดดเดี่ยวค่ะ เพราะรู้สึกว่า โลกที่พวกเธออยู่มันโหดร้ายพอควรอยู่แล้ว แต่ละคนก็มีภารกิจหนักในการรักษาโลก ก็น่าจะให้มีใครสักคนที่เข้าใจเธอบ้าง

    คุณมิ้งอ่านเรื่อง Darkness Calls ของมาร์เจอรี่ เอ็ม หลิวยังคะ เมย์เพิ่งนิสัยเสียไปเปิดตอนจบเล่มนี้เข้า ทั้งที่ยังไม่ได้อ่านเล่มแรก แล้วรู้สึกว่า จะต้องเริ่มอ่านชุดนี้ซะแล้ว

    ReplyDelete
  2. คุณเมย์ ถ้าส่วนตัวชอบชุดนี้มากกว่า ชุด Zodiac ค่ะ ถึงจะต้องทำโน่นทำนี่ตามคำสั่งและตามเกมคนอื่น แต่ตัวเอกมีอิสระและมีความสุขกับชีวิตมากกว่าเยอะเลย แถมอย่างน้อยมีคนระวังหลังให้อีกต่างหาก จริง ๆ Zodiac นี่เป็นกึ่ง ๆ ลุ้นมาก ว่าเมื่อไหร่เจ้าตัวจะพบความสุขในชีวิตได้เสียที รอ ร๊อ รอ มาหลายเล่มแต่ก็ยังไม่เจอ (และถ้าคุณเมย์ลากอ่านสปอยล์ คนที่คิดว่าจะอยู่เคียงข้างก็ดันเป็นตัวร้าย พลิกโผอีกต่างหาก ไม่รู้จะกรี๊ดอย่างไรถูกจริง ๆ ค่ะ) แต่ตกลงสิบสองเล่มจริง ๆ เหรอคะ ตอนแรกเห็นในบล็อกคุณเมย์ว่ามีหกก็ว่าเยอะแล้ว แต่นี่สิบสอง โอ้ .... (เริ่มเข้าใจที่บอกว่ายาวไม่เห็นทางออก แต่ถ้าออกสักปีละสองเล่มก็ยังไหวนะคะ ปีละเล่มรอกันแก่แน่ ๆ )

    แต่ชอบความสัมพันธ์ของคู่ Mira กับ Danaus นะคะ รู้สึกว่าค่อยเป็นค่อยไปดี ถ้าเกิดร้อนแรงกว่านี้ก็คงจะกลายเป็น PR แทนที่ UF กันไป อย่างที่บอกว่าระดับขนาดนี้ให้หวานประแล่ม ๆ พอชื่นใจแล้วค่ะ

    พูดถึงแนว Romance ก็เลยเกิดคำถามถามคุณเมย์ในฐานะผู้เชี่ยวชาญเลย อยากทราบว่าความเห็นคุณเมย์จริง ๆ จำกัดความหนังสือ Romance ว่าอย่างไรคะ และฉากรักที่มีควรมีอยู่ขนาดไหน อันนี้สงสัยจริง ๆ เพราะอ่านอย่าง KC ก็ดูร้อนฮ็อตมาก ๆ แต่อย่างชุด Drakons ก็ไม่ค่อยมีอะไร แต่ก็จั่วหัวว่าเป็น Romance เหมือนกัน และอย่างหนังสือแปล เมืองไทย เวลาพูดถึงแนวนี้ก็เน้นจุดขายที่ฉากพวกนี้ชอบกล สงสัยมาสักพักแล้วค่ะ

    ยังไม่ได้อ่าน Darkness Calls เลยค่ะ เห็นในบล็อกเจ้าตัวบอกว่าจะเน้น Grant เป็นหลักใช่ไหมคะ เพราะไม่ได้อ่านก็เลยไม่รู้สึกถึงความเชื่อมโยงเท่าไหร่ แต่ในบล็อกทำให้เห็นมุมอีกด้านที่อยากอ่านเสียแล้ว ว่าแต่ คิดว่าชุดนี้จะยาวไหมคะ

    ReplyDelete
  3. ส่วนตัวแล้วคิดว่าโรแมนซ์คงไม่ได้ขึ้นอยู่กับความฮ็อตของฉากพวกนั้นนะคะ แต่โรแมนซ์มักถูกโยงมาหาฉากนั้นเสมอ คงเพราะเรื่องในที่ลับมักเป็นจุดขายที่ดีเสมอ อีกอย่างคงเป็นเพราะปกด้วยล่ะค่ะที่มันเปิดเผยเสียขนาดนั้น ใครล่ะจะไม่อดใจคิดถึงได้

    สำหรับเมย์แล้วโรแมนซ์คือเรื่องความสัมพันธ์เป็นหลักเลย ถ้าเรื่องไหนเน้นจุดตรงที่ความสัมพันธ์เมย์ก็จะมองว่ามันคือโรแมนซ์ แต่ต้องเป็นความสัมพันธ์ที่ลงเอยกันด้วยดีด้วยนะคะ ถ้าจบไม่ได้มันก็ไม่เข้าหลักแฮ็ปปี้เอ็นดิ้งซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของโรแมนซ์เขา

    ถ้าเทียบกะแนวอื่น ก็แน่นอนว่าเขาก็ต้องมีความสัมพันธ์เหมือนกัน เพียงแต่มันไม่ใช่โฟกัสของเรื่อง ตัวเอกมีหน้าที่อื่นที่สำคัญกว่า (เช่นการกู้โลก) ระยะหลังมานี่ ตั้งแต่โรแมนซ์เริ่มออกแนวพารานอมอลมากขึ้น ทำให้เมย์สังเกตเห็นว่า มันเริ่มมาปนกะแนว UF ซึ่งแต่ก่อน UF จะมีความชัดเจนมาก แต่เดี๋ยวนี้ชักจะเบลอ ๆ ไปเหมือนกัน อย่างชุด Night Huntress ของเจนีน ฟรอสต์ เมย์ยังรู้สึกว่าเป็น UF มาก แต่ดันถูกจัดให้เป็นโรแมนซ์ เพียงเพราะนางเอกมีพระเอกเป็นตัวเป็นตน

    สุดท้ายคงสรุปว่า ตัวเองก็มึนเหมือนกันกับการจัดประเภท ส่วนใหญ่ถ้าอยากอ่านก็ไม่สนใจหรอกค่ะว่าเป็นแนวไหน

    ReplyDelete
  4. ขอบคุณคุณเมย์ที่มาช่วยไขความกระจ่างค่ะ พอใช้ประเด็นหลักคือ “ความสัมพันธ์” คราวนี้ล่ะ เข้าใจชัดเลย เห็นได้ชัดที่สุดที่ 2 แนวปนกันมากขึ้นเพราะอย่างในเว็บอเมซอน ตอนนี้ลิสต์รอหนังสือของคนอ่าน ทั้ง UR ทั้ง PR อยู่ด้วยกันไปแล้วนะคะ ถ้ามีทั้งกุ๊ก ๆ กิ๊ก ๆ นิด ๆ หน่อย ๆ มีทั้งเรื่องเหนือธรรมชาติก็แล้วแต่จะจัดประเภทจริง ๆ เหมือนถามว่าสีเขียวมาจากน้ำเงินหรือเหลืองนะคะ (เกี่ยวไม่เกี่ยวไม่รู้ รู้แต่ยกมาแล้ว)

    ReplyDelete
  5. ทำไม คอมเมนต์ไม่ขึ้น??

    ming-ki has left a new comment on your post "Dayhunter by Jocelynn Drake (th)":

    ขอบคุณคุณเมย์ที่มาช่วยไขความกระจ่างค่ะ พอใช้ประเด็นหลักคือ “ความสัมพันธ์” คราวนี้ล่ะ เข้าใจชัดเลย เห็นได้ชัดที่สุดที่ 2 แนวปนกันมากขึ้นเพราะอย่างในเว็บอเมซอน ตอนนี้ลิสต์รอหนังสือของคนอ่าน ทั้ง UR ทั้ง PR อยู่ด้วยกันไปแล้วนะคะ ถ้ามีทั้งกุ๊ก ๆ กิ๊ก ๆ นิด ๆ หน่อย ๆ มีทั้งเรื่องเหนือธรรมชาติก็แล้วแต่จะจัดประเภทจริง ๆ เหมือนถามว่าสีเขียวมาจากน้ำเงินหรือเหลืองนะคะ (เกี่ยวไม่เกี่ยวไม่รู้ รู้แต่ยกมาแล้ว)



    Posted by ming-ki to ..and i'm reading at 20 June 2009 12:53

    ReplyDelete
  6. มีฉากนางเอกมี sex กับคนอื่นด้วยเหรอ ง่า - -" ที่บอกว่าไม่ใช่ romance มันเปนงี้นี่เอง เหอะๆ

    ตามมาจากเวบคุณเมย์ค่ะ อ่านรีวิวแล้วน่าอ่านมากเลยค่ะเล่มนี้ แต่ถ้ามันไม่ใช่ romance ขนาดนั้น ก็มะค่อยแนวเหมือนกัน - -"

    ReplyDelete
  7. ถ้าวัดจากมาตราฐาน Urban Fantasy ถือว่าหวานแล้ว
    แ่ต่ถ้าจากมาตราฐาน romance คงไม่ใช่แน่ ๆ ค่ะ
    คิดว่าเป็น slow build โหมโรงก็แล้วกันนะคะ

    แตุ่่ถ้าจะเปลี่ยนบรรยากาศ ชุดนี้ก็เป็นตัวเลือกที่ดีตัวนึงเลย

    ReplyDelete