เห็นมานานมาก ตั้งแต่มีแปลเป็นภาษาอังกฤษแล้ว แต่ตอนแรกไม่คิดว่าจะอ่านเพราะไม่ค่อยอินกับแนวปัจจุบัน เท่าไหร่ แต่พออ่านจริงแล้วกลายเป็นเรื่องแนวนี้ชอบที่สุดไปเลย ถึงกับเสียใจที่อ่านเรื่องนี้ช้าไปด้วยซ้ำ
จุดเด่นของเรื่องอยู่ที่ความลงตัวเข้ากันได้ระหว่างพระเอกกับนางเอก เนื่องจากทั้งสองคนรู้จักกันผ่านบริบทการเป็นเพื่อน หลังจาก “หลันซาน” นางเอกของเรื่องย้ายมาอยู่ห้องติดกับ “เฉียวเฟิง” ผู้เป็นพ่อบ้านพ่อเรือน และยัดเยียดฝากท้องตัวเองด้วยการมากินข้าวที่ฝ่ายชายทำอย่างสม่ำเสมอ
ซึ่งถ้าจะเล่าเรื่องย่อก็เป็นแค่นี้ เพราะความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น เกิดผ่านการกินข้าวซึ่งทำให้ลามไปถึงการรู้จักตัวตนที่แท้จริงของกันและกัน โดยไม่ผ่านการเสแสร้งใดๆ และดังนั้น คนสองคนก็รักกันได้ เพราะได้ใช้เวลาร่วมกัน และรู้จักอีกฝ่ายอย่างที่เป็นจริง ยิ่งความสัมพันธ์นี้เกิดจากการไม่คาดหวัง ก็เลยทำให้อยู่ด้วยกันแล้วสบายใจสุขใจขึ้นไปอีก บุคลิกของตัวละครหลักค่อนข้างสลับต่างจากนิยายเรื่องอื่น เพราะแทนที่จะมีบุคลิกอัลฟ่าเป็นแนว CEO ก้าวร้าวเอาแต่ใจเงียบขรึม คุณพี่เฉียวเฟิงกลับค่อนไปทางเบต้านิ่งเย็น และนุ่มลึก และถึงแม้จะเอาแต่ใจมีความเป็นส่วนตัวสูง เมื่อเปิดรับยายถังข้าวกินจุที่เข้ามาก็ใส่ใจ สนใจ และดูแลหลันซานอย่างดี นุ่มละมุนขนาดที่การจีบคือการทำอาหารกลางวันให้หลันซานไปทำงานโดยซ่อนเหล่าแฮมจิ๋วรูปหัวใจอยู่ในข้าว และลงทุนไปซื้อของที่หลันซานชอบมาทำอาหารเย็นให้ ... ความน่ารักอยู่ที่ไม่รู้จักใจตัวเองและไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองชัด แต่พอมั่นใจแล้วก็ยึดมั่นและเชื่อมั่นเต็มที่ จุดที่ชอบคือตอนที่แฟนเก่า/ นางอิจฉาจะมาขอกอดเพื่อจากลา ดูทั้งใสซื่อ แต่ก็มั่นคงในขณะเดียวกัน
.... "คุณช่วยกอดฉันหน่อยได้ไหม"
เขาคิดๆ ดู ถ้ากอดแค่ทีเดียวแล้วสามารถตัดความยุ่งยากที่อาจจมาทีหลังได้ละก็ ถือว่าคุ้มค่าอยู่เหมือนกัน ดังนั้นจึงตอบไปว่า "ผมต้องถามหลันซานก่อน"
"ทำไมล่ะ"
"ก็เขาเป็นแฟนผม ถ้าต้องกอดกับผู้หญิงคนอื่นนอกเหนือจากคนในครอบครัวอย่างสนิทสนม ผมต้องบอกให้เขารับรู้ก่อน"
"ทำไมคุณต้องฟังเขาขนาดนั้นด้วย"
เฉียงเฟิงมองเธอแปลกๆ "ก็เขาเป็นแฟนผมนี่ ผมไม่ฟังเขาจะให้ฟังใครล่ะ" (เล่ม 2 หน้า 206-7) .... อย่างไรก็ตามถ้าจะมองว่าเฉียวเฟิงนุ่มนิ่มเกินไป ก็มีช่วงเวลาที่หนุ่มเรียบร้อยกลายร่างเป็นคนใช้กำลังและเอาแต่ใจเหมือนกัน ซึ่งพอมี ‘บุคลิกที่สอง’ เช่นนี้ออกมา ก็ยิ่งสร้างความลุ่มลึกให้กับตัวเฉียวเฟิงมากยิ่งขึ้น
ขณะที่หลันซานค่อนข้างหุนหันพลันแล่น เสียงดัง และไม่กลัวใคร ชอบที่คนเขียนสร้างให้บุคลิกเป็นอย่างนี้ เพราะต่างจากแนวปัจจุบันส่วนใหญ่ (ที่ไม่ใช่แนวแก้แค้นหรือมีโอกาสแก้ตัว) ที่จะเจอนางเอกว่าง่าย ไม่ก็ขี้เกรงใจ เมื่อได้เห็นความกล้าได้กล้าเสีย และเชื่อมั่นในตัวเองของหลันซาน ยิ่งประกอบกับหน้าตาสะสวยของเจ้าตัวก็ยิ่งทำให้บุคลิกและตัวละครของหลันซานมีเอกลักษณ์ค่อนข้างมาก และสนุกที่จะได้เห็นหลันซานกล้าคิดและกล้าทำในสิ่งที่ตัวเองยังไม่แน่ใจโดยไม่คิดมาก ส่วนที่อธิบายความเป็นหลันซานได้ดีที่สุดคือ ตอนที่เฉียวเฟิงมีเรื่องวิวาทกับ "ซ่งจื่อเจิง" พระรองในเรื่องแล้วเธอพยายามจับตัวซ่งจื่อเจิงไว้แทน
.... เฉียวเฟิงทนอยู่สักพักก็ทนไม่ไหว ในที่สุดก็ทำหน้าบึ้งใส่เธอ "ทำไมเมื่อกี้คุณไม่เข้ามาจับผม แต่เข้าไปจับแทน?"
"โง่หรือเปล่า ฉันจับใครไว้คนนนั้นก็โดนต่อยน่ะสิ เลยจับเขาให้คุณต่อยง่ายๆ ไง"
เฉียวเฟิงชะงัก นึกไม่ถึงว่าเธอจะคิดแบบนี้ (เล่ม 2 หน้า 185) ....
เมื่อเฉียวเฟิงมีบุคลิกที่สอง หลันซานก็มีตัวตนเปราะบางข้างในที่ซ่อนอยู่เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะเมื่อมองว่าเป็นเด็กสาวที่เข้ามาเรียนและทำงานคนเดียวในเมืองใหญ่ ยิ่งมีหน้าที่การงานที่ต้องระวังก็ทำให้ต้องสร้างเกราะเข้มแข็งมาป้องกันตัวเอง ซึ่งพอมาเจอเฉียวเฟิงก็ทำให้หลันซานระวังตัวน้อยลงและกลับมาเข้าใจตัวเองได้
ทั้งนี้ องค์ประกอบของเฉียวเฟิงลงตัวมาก ยิ่งเมื่อประกอบกับเคมีที่มีกับหลันซาน ก็มากจนทำให้พระรองซึ่งตามมาตรฐานแล้วก็มีคุณสมบัติดีงามชนะเลิศทั้งรูปร่างหน้าตา ฐานะ หรือแม้แต่ความสามารถ กลายเป็นแค่ตัวประกอบ หรือเกือบจะเป็นกึ่งๆ ตัวร้ายไป
ซึ่งจริงๆ แล้ว ก็เป็นเพราะเงื่อนไขและแรงจูงใจในการเข้าหาหลันซานของคนทั้งคู่ด้วยก็ได้ จุดนี้ทำให้เห็นข้อเปรียบเทียบระหว่างทั้งคู่ชัดเจน และเข้าใจได้ว่าทำไมเฉียวเฟิงจึงเป็นคนที่ชนะใจหลันซานได้ในที่สุด
.... ซ่งจื่อเจิงเองก็ไม่อยากพูดกับเฉียวเฟิง แต่เขามีคำถามข้อหนึ่งที่ต้องถามให้หายคาใจ "ฉันสงสัยมาตลอด นายทำยังไงถึงได้กำราบเขาได้ นายใช้อะไร"
เฉียงเฟิงส่ายหน้า "คิดผิดแล้ว สิ่งที่หลันซานต้องการไม่ใช่การกำราบ แต่เป็นการปกป้อง" (เล่ม 2 หน้า 289) .... ส่วนตัวมีชอบตรรกะแปลกประหลาดตามหลักสภาวะธรรมชาติที่เฉียวเฟิงมี เช่น มองว่าการออกไปหาอาหารเย็นให้หลันซานคือความไปเป็นทางธรรมชาติที่ตัวผู้ต้องไปหาอาหารให้ตัวเมีย และภูมิใจกับการทำหน้าที่นั้น หรือเมื่อคิดหาของขวัญให้หลันซานแล้วพบว่าเคยเป็นของพระรองมา พี่ชายของเฉียวเฟิงก็ให้คิดว่า ตัวผู้ที่ชนะย่อมจะได้ทั้งตัวเมีย และอาณาเขตเดิม
โดยรวม เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อ่านแล้ว feel good ได้ง่ายๆ โดยเฉพาะเมื่อพระนางใช้เวลาง่ายๆ สบายๆ และรู้ใจตัวเองเร็ว ช่วงที่เข้าใจกันมีน้อยมาก และเป็นเพื่อให้รู้ใจตัวเองชัดมากกว่าจะเน้นอารมณ์ซึมเศร้าให้นักอ่านหดหู่แต่อย่างใด – ทำให้เห็นว่า สิ่งที่ดีที่สุดก็คือการได้เจอใครสักคน และใช้เวลาร่วมกันจนรู้จักคนคนนั้นจริงๆ และความรักก็เกิดขึ้นเพราะเรารู้จักกัน และอยู่ด้วยกันแล้วสบายใจ เป็นสมการความรักที่ฟังดูง่าย แต่ทำได้ยากในสังคมที่ไปเร็วอย่างปัจจุบัน ก็อ่านซ้ำได้เรื่อยๆ เรื่องหนึ่ง ความรักของเฉียงเฟิง คิดถึงเพลง Better Together ของ Jack Johnson ที่บอกว่าอยู่ด้วยกันแล้วดีกว่า เหมือนตอนที่อยู่คนเดียวได้มาตลอด แต่พอวันนึงคุ้นเคยกับการมีอีกคนก็ทำให้การอยู่คนเดียวที่เคยชิน เหงาขึ้นมาได้ (ฉากที่เรียกหลันซานมากินข้าวที่ห้องตอนดึก/ ความรู้สึกที่อยู่คนเดียวตอนทะเลาะกัน) // อารมณ์เพลงก็นุ่มละมุนเหมือนนิสัยเจ้าตัวเหมือนกัน
There is no combination of words I could put on the back of a postcard No song that I could sing, but I can try for your heart Our dreams, and they are made out of real things Like a, shoe box of photographs With sepia-toned loving Love is the answer, at least for most of the questions in my heart Like why are we here? And where do we go? I'll tell you one thing, it's always better when we're together It's always better when we're together Yeah, we'll look at the stars when we're together And all of these moments Just might find their way into my dreams tonight But I know that they'll be gone When the morning light sings And brings new things For tomorrow night you see That they'll be gone too Too many things I have to do But if all of these dreams might find their way Into my day to day scene I'd be under the impression I was somewhere in between With only two Just me and you Not so many things we got to do Or places we got to be We'll sit beneath the mango tree now I believe in memories They look so, so pretty when I sleep Hey now, and when I wake up, You look so pretty sleeping next to me But there is not enough time, And there is no, no song I could sing And there is no combination of words I could say But I will still tell you one thing We're better together ส่วนของหลันซาน ฝ่ายนี้โผงผางหน่อย แต่ว่าก็ยังแข็งนอกอ่อนในอยู่ดี เป็นเพลง I Like Me Better ของ Lauv นะ // เป็นตัวของตัวเองได้จนกระทั่งอยู่กับอีกฝ่าย To be young and in love in New York City (New York City) To not know who I am but still know that I'm good long as you're here with me To be drunk and in love in New York City Midnight into morning coffee Burning through the hours talking Damn, I like me better when I'm with you I like me better when I'm with you I knew from the first time, I'd stay for a long time 'cause I like me better when I like me better when I'm with you I don't know what it is but I got that feeling (got that feeling) Waking up in this bed next to you swear the room Yeah, it got no ceiling If we lay, let the day just pass us by I might get to too much talking I might have to tell you something Damn, I like me better when I'm with you I like me better when I'm with you ปล. สองเพลงมีคำว่า better เหมือนกัน / พูดถึงตื่นขึ้นมาเจอกันทั้งคู่เลย ก็ให้อารมณ์ห้องติดกันมากินข้าวด้วยกันนะ
จุดเด่นของเรื่องอยู่ที่ความลงตัวเข้ากันได้ระหว่างพระเอกกับนางเอก เนื่องจากทั้งสองคนรู้จักกันผ่านบริบทการเป็นเพื่อน หลังจาก “หลันซาน” นางเอกของเรื่องย้ายมาอยู่ห้องติดกับ “เฉียวเฟิง” ผู้เป็นพ่อบ้านพ่อเรือน และยัดเยียดฝากท้องตัวเองด้วยการมากินข้าวที่ฝ่ายชายทำอย่างสม่ำเสมอ
ซึ่งถ้าจะเล่าเรื่องย่อก็เป็นแค่นี้ เพราะความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้น เกิดผ่านการกินข้าวซึ่งทำให้ลามไปถึงการรู้จักตัวตนที่แท้จริงของกันและกัน โดยไม่ผ่านการเสแสร้งใดๆ และดังนั้น คนสองคนก็รักกันได้ เพราะได้ใช้เวลาร่วมกัน และรู้จักอีกฝ่ายอย่างที่เป็นจริง ยิ่งความสัมพันธ์นี้เกิดจากการไม่คาดหวัง ก็เลยทำให้อยู่ด้วยกันแล้วสบายใจสุขใจขึ้นไปอีก บุคลิกของตัวละครหลักค่อนข้างสลับต่างจากนิยายเรื่องอื่น เพราะแทนที่จะมีบุคลิกอัลฟ่าเป็นแนว CEO ก้าวร้าวเอาแต่ใจเงียบขรึม คุณพี่เฉียวเฟิงกลับค่อนไปทางเบต้านิ่งเย็น และนุ่มลึก และถึงแม้จะเอาแต่ใจมีความเป็นส่วนตัวสูง เมื่อเปิดรับยายถังข้าวกินจุที่เข้ามาก็ใส่ใจ สนใจ และดูแลหลันซานอย่างดี นุ่มละมุนขนาดที่การจีบคือการทำอาหารกลางวันให้หลันซานไปทำงานโดยซ่อนเหล่าแฮมจิ๋วรูปหัวใจอยู่ในข้าว และลงทุนไปซื้อของที่หลันซานชอบมาทำอาหารเย็นให้ ... ความน่ารักอยู่ที่ไม่รู้จักใจตัวเองและไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองชัด แต่พอมั่นใจแล้วก็ยึดมั่นและเชื่อมั่นเต็มที่ จุดที่ชอบคือตอนที่แฟนเก่า/ นางอิจฉาจะมาขอกอดเพื่อจากลา ดูทั้งใสซื่อ แต่ก็มั่นคงในขณะเดียวกัน
.... "คุณช่วยกอดฉันหน่อยได้ไหม"
เขาคิดๆ ดู ถ้ากอดแค่ทีเดียวแล้วสามารถตัดความยุ่งยากที่อาจจมาทีหลังได้ละก็ ถือว่าคุ้มค่าอยู่เหมือนกัน ดังนั้นจึงตอบไปว่า "ผมต้องถามหลันซานก่อน"
"ทำไมล่ะ"
"ก็เขาเป็นแฟนผม ถ้าต้องกอดกับผู้หญิงคนอื่นนอกเหนือจากคนในครอบครัวอย่างสนิทสนม ผมต้องบอกให้เขารับรู้ก่อน"
"ทำไมคุณต้องฟังเขาขนาดนั้นด้วย"
เฉียงเฟิงมองเธอแปลกๆ "ก็เขาเป็นแฟนผมนี่ ผมไม่ฟังเขาจะให้ฟังใครล่ะ" (เล่ม 2 หน้า 206-7) .... อย่างไรก็ตามถ้าจะมองว่าเฉียวเฟิงนุ่มนิ่มเกินไป ก็มีช่วงเวลาที่หนุ่มเรียบร้อยกลายร่างเป็นคนใช้กำลังและเอาแต่ใจเหมือนกัน ซึ่งพอมี ‘บุคลิกที่สอง’ เช่นนี้ออกมา ก็ยิ่งสร้างความลุ่มลึกให้กับตัวเฉียวเฟิงมากยิ่งขึ้น
ขณะที่หลันซานค่อนข้างหุนหันพลันแล่น เสียงดัง และไม่กลัวใคร ชอบที่คนเขียนสร้างให้บุคลิกเป็นอย่างนี้ เพราะต่างจากแนวปัจจุบันส่วนใหญ่ (ที่ไม่ใช่แนวแก้แค้นหรือมีโอกาสแก้ตัว) ที่จะเจอนางเอกว่าง่าย ไม่ก็ขี้เกรงใจ เมื่อได้เห็นความกล้าได้กล้าเสีย และเชื่อมั่นในตัวเองของหลันซาน ยิ่งประกอบกับหน้าตาสะสวยของเจ้าตัวก็ยิ่งทำให้บุคลิกและตัวละครของหลันซานมีเอกลักษณ์ค่อนข้างมาก และสนุกที่จะได้เห็นหลันซานกล้าคิดและกล้าทำในสิ่งที่ตัวเองยังไม่แน่ใจโดยไม่คิดมาก ส่วนที่อธิบายความเป็นหลันซานได้ดีที่สุดคือ ตอนที่เฉียวเฟิงมีเรื่องวิวาทกับ "ซ่งจื่อเจิง" พระรองในเรื่องแล้วเธอพยายามจับตัวซ่งจื่อเจิงไว้แทน
.... เฉียวเฟิงทนอยู่สักพักก็ทนไม่ไหว ในที่สุดก็ทำหน้าบึ้งใส่เธอ "ทำไมเมื่อกี้คุณไม่เข้ามาจับผม แต่เข้าไปจับแทน?"
"โง่หรือเปล่า ฉันจับใครไว้คนนนั้นก็โดนต่อยน่ะสิ เลยจับเขาให้คุณต่อยง่ายๆ ไง"
เฉียวเฟิงชะงัก นึกไม่ถึงว่าเธอจะคิดแบบนี้ (เล่ม 2 หน้า 185) ....
เมื่อเฉียวเฟิงมีบุคลิกที่สอง หลันซานก็มีตัวตนเปราะบางข้างในที่ซ่อนอยู่เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะเมื่อมองว่าเป็นเด็กสาวที่เข้ามาเรียนและทำงานคนเดียวในเมืองใหญ่ ยิ่งมีหน้าที่การงานที่ต้องระวังก็ทำให้ต้องสร้างเกราะเข้มแข็งมาป้องกันตัวเอง ซึ่งพอมาเจอเฉียวเฟิงก็ทำให้หลันซานระวังตัวน้อยลงและกลับมาเข้าใจตัวเองได้
ทั้งนี้ องค์ประกอบของเฉียวเฟิงลงตัวมาก ยิ่งเมื่อประกอบกับเคมีที่มีกับหลันซาน ก็มากจนทำให้พระรองซึ่งตามมาตรฐานแล้วก็มีคุณสมบัติดีงามชนะเลิศทั้งรูปร่างหน้าตา ฐานะ หรือแม้แต่ความสามารถ กลายเป็นแค่ตัวประกอบ หรือเกือบจะเป็นกึ่งๆ ตัวร้ายไป
ซึ่งจริงๆ แล้ว ก็เป็นเพราะเงื่อนไขและแรงจูงใจในการเข้าหาหลันซานของคนทั้งคู่ด้วยก็ได้ จุดนี้ทำให้เห็นข้อเปรียบเทียบระหว่างทั้งคู่ชัดเจน และเข้าใจได้ว่าทำไมเฉียวเฟิงจึงเป็นคนที่ชนะใจหลันซานได้ในที่สุด
.... ซ่งจื่อเจิงเองก็ไม่อยากพูดกับเฉียวเฟิง แต่เขามีคำถามข้อหนึ่งที่ต้องถามให้หายคาใจ "ฉันสงสัยมาตลอด นายทำยังไงถึงได้กำราบเขาได้ นายใช้อะไร"
เฉียงเฟิงส่ายหน้า "คิดผิดแล้ว สิ่งที่หลันซานต้องการไม่ใช่การกำราบ แต่เป็นการปกป้อง" (เล่ม 2 หน้า 289) .... ส่วนตัวมีชอบตรรกะแปลกประหลาดตามหลักสภาวะธรรมชาติที่เฉียวเฟิงมี เช่น มองว่าการออกไปหาอาหารเย็นให้หลันซานคือความไปเป็นทางธรรมชาติที่ตัวผู้ต้องไปหาอาหารให้ตัวเมีย และภูมิใจกับการทำหน้าที่นั้น หรือเมื่อคิดหาของขวัญให้หลันซานแล้วพบว่าเคยเป็นของพระรองมา พี่ชายของเฉียวเฟิงก็ให้คิดว่า ตัวผู้ที่ชนะย่อมจะได้ทั้งตัวเมีย และอาณาเขตเดิม
โดยรวม เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อ่านแล้ว feel good ได้ง่ายๆ โดยเฉพาะเมื่อพระนางใช้เวลาง่ายๆ สบายๆ และรู้ใจตัวเองเร็ว ช่วงที่เข้าใจกันมีน้อยมาก และเป็นเพื่อให้รู้ใจตัวเองชัดมากกว่าจะเน้นอารมณ์ซึมเศร้าให้นักอ่านหดหู่แต่อย่างใด – ทำให้เห็นว่า สิ่งที่ดีที่สุดก็คือการได้เจอใครสักคน และใช้เวลาร่วมกันจนรู้จักคนคนนั้นจริงๆ และความรักก็เกิดขึ้นเพราะเรารู้จักกัน และอยู่ด้วยกันแล้วสบายใจ เป็นสมการความรักที่ฟังดูง่าย แต่ทำได้ยากในสังคมที่ไปเร็วอย่างปัจจุบัน ก็อ่านซ้ำได้เรื่อยๆ เรื่องหนึ่ง ความรักของเฉียงเฟิง คิดถึงเพลง Better Together ของ Jack Johnson ที่บอกว่าอยู่ด้วยกันแล้วดีกว่า เหมือนตอนที่อยู่คนเดียวได้มาตลอด แต่พอวันนึงคุ้นเคยกับการมีอีกคนก็ทำให้การอยู่คนเดียวที่เคยชิน เหงาขึ้นมาได้ (ฉากที่เรียกหลันซานมากินข้าวที่ห้องตอนดึก/ ความรู้สึกที่อยู่คนเดียวตอนทะเลาะกัน) // อารมณ์เพลงก็นุ่มละมุนเหมือนนิสัยเจ้าตัวเหมือนกัน
There is no combination of words I could put on the back of a postcard No song that I could sing, but I can try for your heart Our dreams, and they are made out of real things Like a, shoe box of photographs With sepia-toned loving Love is the answer, at least for most of the questions in my heart Like why are we here? And where do we go? I'll tell you one thing, it's always better when we're together It's always better when we're together Yeah, we'll look at the stars when we're together And all of these moments Just might find their way into my dreams tonight But I know that they'll be gone When the morning light sings And brings new things For tomorrow night you see That they'll be gone too Too many things I have to do But if all of these dreams might find their way Into my day to day scene I'd be under the impression I was somewhere in between With only two Just me and you Not so many things we got to do Or places we got to be We'll sit beneath the mango tree now I believe in memories They look so, so pretty when I sleep Hey now, and when I wake up, You look so pretty sleeping next to me But there is not enough time, And there is no, no song I could sing And there is no combination of words I could say But I will still tell you one thing We're better together ส่วนของหลันซาน ฝ่ายนี้โผงผางหน่อย แต่ว่าก็ยังแข็งนอกอ่อนในอยู่ดี เป็นเพลง I Like Me Better ของ Lauv นะ // เป็นตัวของตัวเองได้จนกระทั่งอยู่กับอีกฝ่าย To be young and in love in New York City (New York City) To not know who I am but still know that I'm good long as you're here with me To be drunk and in love in New York City Midnight into morning coffee Burning through the hours talking Damn, I like me better when I'm with you I like me better when I'm with you I knew from the first time, I'd stay for a long time 'cause I like me better when I like me better when I'm with you I don't know what it is but I got that feeling (got that feeling) Waking up in this bed next to you swear the room Yeah, it got no ceiling If we lay, let the day just pass us by I might get to too much talking I might have to tell you something Damn, I like me better when I'm with you I like me better when I'm with you ปล. สองเพลงมีคำว่า better เหมือนกัน / พูดถึงตื่นขึ้นมาเจอกันทั้งคู่เลย ก็ให้อารมณ์ห้องติดกันมากินข้าวด้วยกันนะ
No comments:
Post a Comment