Wednesday 18 February 2009

The Iron Hunt by Marjorie M. Liu (n)

ไม่แน่ใจว่าแรกเห็นเล่มนี้ที่ไหน ที่ชั้นหรือในเวบ หรืออย่างไร แต่อย่างไรก็ตาม โทรไปสั่งโดยที่ไม่ได้คิดมากความ และพอรู้ว่ามีหนังสือที่ร้านก็ให้เก็บไว้ให้ โดยที่ไม่ได้พิจารณาดูมาก เหมือนจะซื้อหวย แต่ก็คิดว่าถูกใจ และชอบพอดู ขอบคุณ ขอบคุณ!




ชนิด : Urban Fantasy/ Huntress/ Demon
ชุด : Hunter Kiss, Book 1
สำนักพิมพ์ : Ace (June 24, 2008)
จำนวนหน้า : 320หน้า


Maxine อาจดูไม่เหมือนผู้หญิงปกติที่เราพบทั่วไป รอยสักรอบตัวของเธอมาจากสัตว์ร้ายที่นอนนิ่งสงบที่ตัวเธอ หากจะแปรเปลี่ยนเป็นผู้ล่าในตอนกลางคืน และเธอก็เป็นผู้ล่าคนสุดท้ายในตระกูล Kiss ที่ไล่ล่าปีศาจจากรุ่นสู่รุ่นมาเป็นระยะเวลานาน

การออกล่าปีศาจเป็นเรื่องปกติ หากแต่เรื่องราวเริ่มพลิกพันเมื่อมีนักสืบเอกชนถูกฆาตกรรมโดยทิ้งชื่อของเธอไว้ในที่เกิดเหตุ และเมื่อเธอพยายามสืบหาสาเหตุ Maxine กลับพบว่าเรื่องราวนั้นซับซ้อนเกี่ยวพันกับเธอและคนในตระกูลมากกว่าที่เธอคาดคิด

ความวุ่นวายก็เพิ่มขึ้นเมื่อสัญญาณบางอย่างเริ่มเตือนว่าที่คุมขังปีศาจไว้เริ่มอ่อนแรงลง และปีศาจที่ถูกขังไว้ภายในก็ทรงพลังกว่าทั้งหมดที่เธอเคยเผชิญหน้ามา

พล็อตย่อ ๆ เป็นแบบนี้ และถ้าจะสรุปง่าย ๆ ก็คงได้แบบนี้ แต่ถ้าจะเจาะลึกลงไปจริง ๆ มีความซับซ้อนอยู่ในเรื่อง Iron Hunt มากกว่าที่คิดมาก เพราะเมื่อ Maxine เริ่มค้นพบความลับของตระกูล ผ่านตัวละครอื่น ทุกอย่างเป็นปริศนาหมด และก็ขอเน้นว่าทุกอย่างจริง ๆ รวมไปถึงความเป็นมาและสิ่งที่เป็นของตัวละครเหล่านี้ด้วย (ไม่ใช่แค่ว่าพวกนี้เป็น”ใคร” แต่รวมไปถึงพวกนี้เป็น”อะไร” ซึ่งแม้จะอ่านจบ คนอ่านก็ได้แต่แนวคิดหลวม ๆ ในหัว แต่ก็ยังไม่เข้าใจมากอยู่ดี ได้แต่หวังว่าเล่มหน้าจะรู้มากขึ้น - อ่านจบแล้วบอกตัวเองเลยว่ามีต่อเล่มหน้าแน่)

ตามปกติแล้วผู้หญิงในตระกูลนี้จะไม่รักใคร ไม่ผูกพันกับใคร นอกเหนือจากหาพ่อให้ลูกที่จะเกิดมาเพื่อเป็นผู้ล่าต่อไป แต่สำหรับเธอ เธอกลับผูกพันและอยู่ร่วมกับ Grant ผู้ชายที่ดูทั้งมีและไม่มีความลับในตัวเอง เขาเป็นชายหนุ่มขาพิการที่เคยเป็นบาทหลวงและเชื่อในความดีงามของมนุษย์ แต่ขณะเดียวกันก็มีพลังประหลาดที่กล่อมเกลาจิตใจของคนผ่านทางเสียงดนตรีได้ ซึ่งจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ของทั้งคู่ถูกพูดถึงใน “Hunter Kiss“, Wild Thing: anthology ที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่อง (ซึ่งก็ทำให้หงุดหงิดกว่า เริ่มแบบนี้อีกแล้ว เป็นคนผิดของคนอ่านไหมเนี่ย ที่ไม่รู้และไม่ได้เอาอ่านก่อน) ทำให้การมาอ่าน Iron Hunt ไม่รู้สึกร่วมถึงความผูกพันของคนทั้งคู่ แต่กลับรู้สึกชอบและผูกพันกับตัวละครรองบางตัวมากกว่า

การใช้ภาษาช่วงแรกค่อนข้างวิบัติ เจอประโยคสั้น ๆ อย่าง Bitterness filed me. I hated this. I hated this all. Monster, me. Scaring little girls, little broken girls. All of us, lost little girls. (หน้า 34 – เปิดสุ่ม ๆ แต่ก็ตรงกับใจ Bitterness filed me. I hated this. I hated this all. จริงๆ ) เยอะมาก ซึ่งถือเป็นจุดด้อยของหนังสือที่เห็นได้ชัดมาก อ่านแล้วรู้สึกสะดุดแกมขัดใจอยู่เกือบครึ่งเล่ม อย่างไรก็ตาม พัฒนาการตรงนี้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ช่วงหลัง ๆ โดยเฉพาะช่วง abyss ประโยคเริ่มลึกขึ้น และอธิบายความได้สละสลวยมากกว่าเดิมเป็นอันมาก

จุดด้อยอีกอย่างอย่างที่ได้บอกไปแล้วก็คือ ความซับซ้อนของเรื่อง คิดว่าตัวคนเขียนวางประเด็นไว้มากจนเกินไป และเมื่อเขียนจริงก็ดึงประเด็นทั้งหมดมาใส่ไว้ด้วย ทำให้พัฒนาแนวคิดในแต่ละเรื่องไม่ได้หมด เกิดความสับสนซับซ้อนสำหรับผู้อ่านในการตีความให้กระจ่างและทำความเข้าใจมาก แต่ถ้าคิดว่าอ่านไปไม่ต้องรู้ทั้งหมดก็ได้ ก็จะไม่รำคาญใจมานัก (ตอนอ่านบอกตัวเองไว้ว่าอ่านไปก็คงเข้าใจไปเองในที่สุด) เพราะขณะเดียวกัน ในส่วนตัวแล้วคิดว่า ในบางครั้ง ความซับซ้อนของเรื่องก็ทำให้เกิดความลุ่มลึกด้วย ความรู้สึกลึกลับ คลุมเครือ ทำให้เรารู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ ความเป็นไปได้ และสิ่งที่จะตามมา ซึ่งตรงนี้ก็เป็นจริงในกรณีของ Iron Hunt - ความเป็นจุดด้อย หรือจุดเด่นอยู่ที่คนที่อ่านจะมามอง

ทั้งนี้ จุดที่ชอบที่สุดเป็นความรู้สึกโหยหาอดีต ตัวละครในเรื่องบอกว่า Maxine เป็นคนที่เหมือนกับผู้ล่าคนแรกที่สุด และรู้สึกได้ถึงตัวตนของผู้ล่าคนแรกที่แฝงอยู่ในตัวเธอ โดยเฉพาะเมื่อตัวเธอเองเริ่มค้นพบความลับในตระกูลก็ทำให้เธอรู้สึกถึงสิ่งที่เคยเป็นของผู้ล่าคนเก่าในครั้งก่อน ทั้งความรู้สึก déjà ju และ nostalgia เหมือนจะรู้แต่ยังไม่รู้ เหมือนจะเข้าใจ แต่ไม่เข้าใจ ทั้งกับเหตุการณ์และตัวละคร เป็นเสน่ห์ของหนังสือเล่มนี้ที่แตกต่างจากเรื่อง Urban Fantasy อื่น ๆ

ให้คะแนนที่ B+

ปล. ติดใจกับตัวละครปีศาจสองตัว Blader กับ Tracker โดยเฉพาะตัวหลังที่อารมณ์ขัดแย้งต่อสู้กับอยู่ตลอดเวลา ทั้งรักและชิงชังที่มาจาการถูกทรยศ หวังว่าเล่มหน้าจะกลับมามีบทบาทเพิ่มกว่าเดิม รอ Darkness Calls อีกครึ่งปีพี่น้อง!

นอกเรื่อง
Marjorie M. Liu เป็นคนที่ให้ excerpt ได้แย่มาก ๆ คือ 2 ย่อหน้า จริง ๆ ภาษิตจีนที่ว่าเสียข้าวสารไปกำมือ แล้วได้ไก่มาเนี่ยสำคัญนะคะ ให้ลองอ่านบทสองบทไปเลย ไม่เป็นไรหรอก นอกจากคนอ่านจะได้ลองอ่านแล้ว โอกาสติดแล้วไปหามาอ่านมันจะสูงกว่ามากนะคะ

4 comments:

  1. อ่านสลับกันอีกแล้วนะคะ เมย์อ่าน Hunter Kiss ที่เป็นฉบับเรื่องสั้น (ดูแล้วคิดว่าน่าจะคล้ายกับชุด Alpha and Omega ที่เรื่องสั้นกะเรื่องเต็มต่อเนื่องกันทันที) แต่ยังไม่ได้ฤกษ์อ่านเรื่องนี้ เพราะรู้แน่อยู่แล้วว่ายังไงก็ต้องมีเล่มสอง (ประเด็นคือ ยังมีงานแนวพาราฯ โรแมนซ์ของคนเขียนคนนี้ค้างอีกหลายเล่ม) ก็เลยยังไม่ได้หยิบมาอ่าน

    เท่าที่อ่านเรื่องสั้น คิดว่าชุดนี้น่าสนใจ โดยเฉพาะความเป็นพารานอมอลที่แตกต่างออกมาอย่างชุดอื่นอย่างชัดเจน คอนเซ็ปต์เรื่องน่าสนใจดีค่ะ

    ไม่รู้ว่าคุณมิ้งรู้สึกไหมว่า บางครั้งภาษาของมาร์เจอรี่ก็อ่านยากมาก ไม่ใช่ว่ายากในแง่ของการใช้คำศัพท์นะคะ แต่เป็นการเรียงกันของรูปประโยค แต่ก็ไม่ได้เป็นไปยังงี้ตลอดทั้งเรื่องนะคะ เป็นบางช่วงเท่านั้น ทำให้เวลาอ่านอารมณ์มันสะดุดเป็นระยะ

    แต่เราค่อนข้างชอบอารมณ์ในเรื่องของเธอ (อันนี้พูดรวมไปถึงแนวพาราฯ โรแมนซ์ด้วย เพราะเราอ่านส่วนนั้นมากกว่า) ที่บางครั้งดูเหมือนไม่มีอะไรมาก แต่อ่านไปแล้วเกิดอาการซึ้งกระทันหันได้เหมือนกัน

    เดยมีโอกาสได้เจอมาร์เจอรี่ ไม่ได้จะอวดอะไรหรอกนะคะ แต่เมย์มักบอกกับทุกคนว่า เธอเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดที่เราเคยพบเลยล่ะ

    ReplyDelete
  2. ว่าแล้วเชียวว่าคุณเมย์ต้องอ่าน wild thing ไปแล้ว :D

    คิดว่าเหมือนกันตรงเป็นการนำเสนอเรื่องกึ่ง ๆ prologue ค่ะ แต่ cry wolf พูดถึงเป็นระยะ ๆ ให้เข้าใจมากกว่า คนที่ยังไม่เคยอ่าน Alpha and Omega ก็น่าจะเข้าใจได้ง่ายกว่า (ยิ่งถ้าดูใน cry wolf ที่ครึ่งเล่มแรกแทบจะเป็นการอธิบายและสร้างความสัมพันธ์ของตัวละครทั้งสองด้วย) แต่ Iron Hunt จะไม่พูดถึงความเป็นมาของความสัมพันธ์ระหว่าง Maxine กับ Grant แต่เป็นการต่อยอดไปเลย ซึ่งจริง ๆ การอ่านโดยไม่มี Hunter Kiss ก็ไม่มีปัญหาอะไรในการตาม หรือทำความเข้าใจกับเรื่อง นอกจากเพื่อเข้าใจว่า bond ของคนสองคนนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร และทำไมเธอซึ่งเป็น loner ถึงมาอยู่กับ Grant ได้มังคะ แล้วมันก็มีข้อเสียหน่อย ๆ สำหรับตัวเอง คือไม่เข้าใจความผูกพัน แล้วก็ไม่ชอบ Grant เท่าตัวละคนอื่น ๆ (เวรกรรม)

    เห็นด้วยค่ะ เรื่องภาษา (แต่ก็จากเล่มนี้นะคะ ไม่ได้อ่านงานเธอเล่มอื่น) ไม่ชอบที่เป็นประโยคสั้น ๆ แตก ๆ เต็มไปด้วยฟูลสต๊อปเลย เคยอ่านว่ามีคนบ่น Anne Bishop ในแน่ใจว่าเล่มไหน ชุด Fae หรือ DMF ว่าเธอเขียนหนังสือดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมานั่งเน้นสร้างอารมณ์ด้วยการใช้ฟูลสต๊อปย่อยประโยคก็ได้ ไม่ค่อยเกี่ยวกัน แต่รู้สึกตอนนั้นไม่เคยรู้สึกกับงานของ AB จนกระทั่งมาเจองานของ Marjorie นี่แหละค่ะ ไม่แน่ใจว่าสาเหตุคืออะไร อยากเน้นหรืออะไร แต่คนอ่านรู้สึกต่อไม่ติดจริง ๆ

    สารภาพว่าจริง ๆ สนใจ Marjorie เพราะไปอ่านบล็อกของคุณเมย์แล้วบอกว่าเจอเธอมาล่ะค่ะ ก็เลยสนใจอ่านหนังสือของเธอเพราะอยากรู้ว่าเธอเป็นยังไง :D :D ไม่ค่อยเจอคนเขียนหนังสือแนวนี้ที่เป็นเอเชี่ยนมากนัก ก็เลยสงสัยว่าประเด็นนี้จะมีผลอะไรต่องานของเธอไหม (อย่างไรก็ตาม แอบขำที่เธอชอบหุ่นยนต์ค่ะ ฮ่าๆๆ)

    ปล. โอ้ เล่มที่พูดมา มีเล่มสองกลางปีทั้งคู่เลย :D :D :D

    ReplyDelete
  3. (โพสตฺ์ลงหน้า To Bed a Beauty // Nicole Jordan ไม่ได้ค่ะ แล้วก็โพสต์ไม่ได้เลยไม่ว่าหน้าใด)

    จริง ๆ ตอนแรกที่อ่านวิจารณ์เหมือนว่าหนังสือเล่มนี้น่าสนใจนะคะ เพราะถ้าเกิดเราคุยเปิดใจกับใครได้ อย่างที่โรสลินทำได้กับดรูว อย่างน้อยที่สุดมันก็มีพื้นฐานความไว้วางใจ ความเป็นเพื่อนเป็นเกณฑ์ นอกเหนือจากความพึงใจทางร่างกาย (physical attraction) ที่เกิดมี จริง ๆ พอบอกว่าจะช่วย แล้วพอถึงเวลาเกิดหึงเอง ฟังดูน่าสนุกเหมือนกัน เสียดายที่กลายเป็นว่าน่าเบื่อไป จริง ๆ นะเนี่ย

    แอบถามต่อได้ไหมคะว่า ถ้าทำตัวเป็นพระเอ๊กพระเอกด้วยการยกเธอให้ผู้ชายที่คิดว่าเธอรัก แล้วทั้งคู่กลับมาอยู่ด้วยได้อย่างไรคะ นางเอกเกิดรู้ตัวเองขึ้นมาหรืออย่างไร สงสัยๆๆ แล้วก็จริง ๆ นอกจากแบ่งหนังสือตามแนวต่าง ๆ ยังแบ่งตามพล็อตได้อีกนะคะ รักกันก่อน เป็นเพื่อนกัน เป็นศัตรู ฯลฯ สนุกดี

    ปล. แอบสงสัยว่าเดือนนึงคุณแม็กซ์หมดค่าหนังสือส่วนนี้เท่าไหร่ค่ะ ฮ่าๆๆ

    ReplyDelete
  4. เมย์ว่ามาร์เจอรี่ค่อนข้างสื่อความเป็นเอเชียออกมาได้ตรงกับความเป็นจริงนะคะ ซึ่งหาได้ค่อนข้างยาก เพราะหนังสือส่วนใหญ่ที่มีตัวละครเป็นเอเชียนมักจะมีลักษณะเป็น submissive มาก คิดว่านั่นคงเป็นภาพที่คนตะวันตกมองเอเชียเราเป็นยังนั้น

    เรื่อง To Bed a Beauty พล็อตน่าสนใจค่ะ (แม้จะค่อนข้างสแตนดาร์ดมากในนิยายโรแมนซ์) ปัญหาก็อย่างที่เขียนในรีวิวนั่นล่ะค่ะ คือตัวละครไม่เด็ดพอ ไม่มีความน่าสนใจที่จะดันให้พล็อตดำเนินไปได้

    ที่บอกว่าชอบตอนท้ายที่พระเอกยกนางเอกให้คนอื่น ไม่ใช่เพราะยกให้หรอกนะคะ แต่เป็นเพราะหลังจากสร่างเมา (เมาแล้วเลยออกอาการสุภาพบุรุษยกให้ไป) ก็รีบวิ่งไปหานางเอกเพื่อตัดหน้าพบนางเอกก่อนผู้ชายอีกคน เพราะสรุปว่าไม่ยกให้แล้วล่ะ

    การแบ่งแนวหนังสือโรแมนซ์แบ่งตามพล็อตก็ได้ค่ะ แต่บางทีมันเป็นการผสมกันของหลายพล็อตมากเกินไปหน่อย (โดยเฉพาะนักเขียนที่สติเฟื่องหลากไอเดีย) เลยนิยมแบ่งกันตามยุคสมัยของเรื่องมากกว่า

    เรื่องค่าหนังสือนี่ถือว่าเป็นคำถามที่สะเทือนใจค่ะ (เพราะเพิ่งได้ใบแจ้งหนี้ค่าบัตรเครดิต)

    ReplyDelete