Thursday 12 March 2009

Tangled Webs by Anne Bishop (n)

Anne Bishop. Black Jewels. แค่นี้ก็บอกได้แล้วว่าทำไมถึงซื้อ ถึงจะรอปกอ่อนก็เถอะ (และถึงจะติด Dream Thief จนอ่านเล่มนี้ทีหลัง โอ)



ชนิด : Fantasy / Dark
ชุด : Black Jewels, Book 6
สำนักพิมพ์ : Roc (March 3, 2009)
จำนวนหน้า : 368 หน้า


เล่มนี้ Jaenelle ได้ความคิดจากเด็ก ๆ Landen (พวกไม่มีเวทย์มนต์) เกี่ยวกับความเชื่อผิด ๆ ที่มีต่อชาว Blood (พวกที่มีเวทย์มนต์ และมีอำนาจตามอัญมณีที่ตัวเองครอบครอง ยิ่งสีเข้มมากก็จะยิ่งมีอำนาจมาก) จึงคิดสนุกที่จะสร้างบ้านผีสิงที่ล้อเลียนความเชื่อนี้ขึ้นมา

บัตรเชิญถูกส่งไปถึง Surreal ซึ่งต้องตอบรับคำเชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เธอและ Rainier ก้าวเท้าสู่บ้านผีสิงแห่งนี้โดยมีเด็ก Landen อีก 7 คนร่วมขบวนไปด้วย โดยได้รับคำใบ้ว่า มีทางออกอยู่จำนวนหนึ่งซึ่งจะปิดตัวลงไปทุกครั้งที่ใช้เวทย์มนต์ และหากทางออกถูกปิดจนหมด คนที่อยู่ในบ้านก็จะถูกขังอยู่ตลอดไป

หากแต่ Jaenelle ไม่ได้ส่งคำเชิญใด ๆ มา และบ้านหลังนี้ก็ไม่ใช่บ้านผีสิงที่เธอสร้างแต่อย่างใด ... เจตนาของผู้ที่สร้างบ้านนี้ เป็นเพราะต้องการที่จะแก้แค้นและต่อกรกับตระกูล SaDiablo โดยไม่ได้ต้องการให้คนที่อยู่ข้างในรอดชีวิตออกไปได้ และระหว่างที่ Surreal และ Rainier พยายามรอดชีวิต และหาทางออกมาให้ได้นั้น Jaenelle Daemon และ Lucivar ที่อยู่ข้างนอกก็กำลังช่วยพวก Surreal เช่นเดียวกัน

ขออนุญาตถอนหายใจ เพราะไม่สามารถเขียนเรื่องย่อเกี่ยวกับตัวละครส่วนที่ไม่ใช่เนื้อเรื่องได้ เรื่อง Tangled Webs เป็นเล่มที่ 6 ในชุด Black Jewels (และถึงแม้จะตัด Invisible Ring ออกไปทำให้เหลือเป็นเล่มที่ 5 ก็ตาม) ก็ยังเป็นจำนวนสูงอยู่ดี และถึงขั้นนี้ก็ย่อให้เข้าใจที่ไม่ใช่เข้าใจเองลำบากมาก ทั้งความเป็นมาตัวละคร ทั้งโลก และทั้งชนชั้นของตัวละคร แต่ก็คิดว่าบล็อกนี้คนมาอ่านไม่ค่อยมี (ไม่มี อันที่จริง) ดังนั้นจะถือโอกาสข้ามไป

ระหว่างที่ 3 เล่มแรกพูดเกี่ยวกับการพยายามอยู่รอด และเอาชนะความบิดเบี้ยวของโลกรอบตัว เล่มที่ 5 พูดถึงเรื่องการปรับสู่สภาพปกติของตัวละครหลังการต่อสู้ครั้งใหญ่นั้น ซึ่งการที่เป็นเรื่องสั้นทำให้พูดค้างไว้และเป็น transition มาต่อในเล่มนี้อันเป็นเรื่องของการใช้ชีวิตตามปกติ คือใช้ชีวิตอย่างที่ควรเป็น มีโอกาสที่จะมีความสุขกับชีวิต และไม่ทุกข์ทรมาน ซึ่งในบางแง่จะเรียกว่าชีวิต happily-ever-after ได้ในระดับหนึ่ง (ไม่รู้จะพูดอย่างไรเหมือนกัน ฟังดูเหมือนเขียนเกินจริง แต่ถ้าอ่านเล่มต้น ๆ มาก่อนจะรู้ว่ามันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ คืออย่างน้อยก็หลับได้โดยที่รู้ว่าพรุ่งนี้ยังตื่นอยู่ และ/ หรือไม่ถูกฆ่าในระหว่างวัน)

อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่ชีวิตอยู่ในอันตรายมาตลอด การมีความสุขและมีชีวิตเรียบง่ายอาจไม่ใช่เรื่องง่าย เช่นตัว Daemon ที่หวาดกลัวอยู่ในส่วนลึกในจิตใจเกี่ยวกับชีวิตที่ตัวเองกำลังมี และตั้งคำถามกับ Saetan ผู้เป็นพ่อถ้าหากเขาจะเปลี่ยนไปเพราะสิ่งเหล่านี้จนไม่สามารถปกป้องสิ่งที่รักได้หากมีเหตุการณ์ใด ๆ เกิดขึ้น

“But sometimes I wonder if I’ll lose the edge that makes me who and what I am. Sometimes I wonder, when the day comes for me to stand as defender, If I’ll have become too soft, too tame, to protect what matters most. Is that the price I’ll have to pay for a pleasant life?” (หน้า 43)

ซึ่งจุดนี้ถือเป็นประเด็นที่ใช้ดำเนินเรื่อง เพื่อให้เห็นว่า ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อมีอันตรายเข้ามา ตัว Daemon เองจะได้รู้และเข้าใจว่าสิ่งที่เขาเป็นจะไม่มีวันจางหายไป และเขาก็สามารถดูแลและคุ้มครองคนในครอบครัวได้ และผู้ที่เข้ามาท้าทายและทำอันตรายต่อคนในครอบครัว (Surreal และ Rainier ในกรณีนี้) ก็ได้บทเรียนที่แลกด้วยชีวิตอย่างสาสมในตอนท้าย
และการสู้กับศัตรูที่สร้างบ้านผีสิงนี่เองก็เป็นบททดสอบให้ Daemon เข้าใจ แล้วดังนั้น แม้จะให้น้ำหนักความสำคัญกับการหาทางออกมาจากบ้านผีสิงของ Surreal และ Rainier แต่น้ำหนักจริง และประเด็นเรื่องอยู่ที่ตัว Daemon ดังที่กล่าวไป จึงน่าเสียดายที่บทบาทของ Surreal และ Rainier ในเรื่องด้อยลงไปกว่าที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงตัว Surreal ที่เติบโตมาโดยลำพัง และต้องสู้ด้วยตัวเองมาตลอด และใช้ชีวิตด้านหนึ่งในฐานะมือสังหาร เธอน่าจะเตรียมพร้อมและตั้งรับได้ดีกว่านี้ในการรับมือกับอันตรายที่มองไม่เห็นในบ้าน การแสดงออกในบ้านของ Surreal ตั้งรับมากเกินไป และมีน้อยเกินไป และอีกจุดหนึ่งก็คือ ในการแก้แค้นตัวร้าย Surreal น่าจะมีส่วนร่วมด้วย และเป็นจบทุกอย่างด้วยตัวเองมากกว่าจะเป็น Daemon แต่เพียงลำพัง (ซึ่ง Surreal กับ Daemon เป็นตัวละครที่ชอบที่สุดในเรื่องแท้ ๆ)

ก็เลยไม่แน่ใจว่าทำให้เห็นจุดด้อยอื่นตามมาด้วยหรือไม่ โดยเฉพาะตรรกะของ Daemon ที่พอรู้ว่าเกิดเรื่องก็สั่งให้ Lucivar อยู่ในบ้าน ทั้งนี้ ถ้ามาอยู่ด้วยกันก็อาจจะคิดหาทางออกได้มากกว่า และก็น่าจะใช้การสื่อสารทางจิตเป็นหลักให้รู้เรื่องมากกว่าแค่ออกคำสั่งใส่กระดาษ (ถ้าอ้างว่ามีปัญหาเรื่องระยะทาง เล่ม 1-2 สองคนนี้ก็ทำ ทั้งที่ห่างกันคนละเมือง) หรือเมื่อ Lucivar เข้าไปในบ้านได้ ก็น่าจะสื่อสารกันให้รู้เรื่อง (หรือมิฉะนั้น ตัว Surreal ก็น่าจะหาทางติดต่อและไปรวมกับ Lucivar แทนที่จะสติแตกว่า Lucivar เข้ามาในบ้านและเตลิดหนีไปอีกทาง) และบุคลิกของ Surreal เองก็ด้อยอ่อนกว่าเล่มอื่น ๆ ที่เคยไป โดยเฉพาะเมื่อเธอหวาดหวั่นกับท่าทีของญาติ ๆ ฝ่ายชายทั้งหลายที่ปกป้องเกินเหตุของเธอ ซึ่งทั้งที่ในเล่มสาม (Queen of the Darkness) ตัว Surreal ไม่พอใจและขั้นอาละวาดเกี่ยวกับพฤติกรรมเช่นนี้แท้ ๆ

ในเล่มนี้ ตัวละครแต่ละตัวก็เติบโต ก้าวถึงศักยภาพของตัวเองอย่างที่ควรเป็น และก็ใช้ความสามารถของตัวเองให้เกิดประโยชน์ได้ และมีหน้าที่ความรับผิดชอบชัดเจน ซึ่งการให้น้ำหนักหน้าที่ความรับผิดชอบต่อพื้นที่ที่ปกครอง และดังนั้น ให้ความสำคัญและเห็นค่าคนในพื้นที่นั้น ๆ ในฐานะผู้ใต้ปกครองเป็นสิ่งที่ไม่ชัดมากมาก่อนในเล่มแรก ๆ ยิ่งในฐานะต่อปัจเจกบุคคลดังที่ Lucivar สงสารเด็กที่ถูกฆ่าตายและกลายเป็นปีศาจอยู่ในบ้าน และหาทางช่วยออกมา หรือ Jaenelle กับ Daemon รับเด็กกำพร้าที่เจอหน้าบ้านผีสิงนั้นมาอยู่ในความอนุเคราะห์ แม้แสดงให้เห็นว่าตัวละครเติบโตจนให้ความสำคัญกับคนอื่นเป็น แต่ส่วนตัวเองรู้สึกว่าเป็นมิติที่นุ่มนวลขึ้นสำหรับตัว Anne Bishop เอง ดังที่ในเล่มสาม ตัวละครรอบตัวก็ไม่ได้ให้เวลาหรือความช่วยเหลือในการปรับตัวของ Daemon มาสู่ Kaeleer แต่อย่างใด แต่กลับรำคาญกึ่งไม่พอใจที่เขายังคุ้นเคยกับชีวิตใหม่ และในเรื่อง Belladonna ก็เป็นเช่นเดียวกัน

และอีกจุดหนึ่งก็คือเล่มนี้เป็นเล่มแรก ๆ ที่อ่านเจอเกี่ยวกับ Territorial males ซึ่งแม้จะกลายเป็นเรื่องปกติสำหรับหนังสือ paranormal โดยเฉพาะเล่มที่มีมนุษย์หมาป่าแล้วก็ตาม แต่ในเรื่องนี้ก็เด่นที่ปกป้องและดูแลคนในครอบครัว ที่มากไปกว่าแค่คนรักและคู่ครองอย่างที่หลาย ๆ เล่มเป็น อย่างตอนที่ Saetan เสียใจว่าลูกชายสองคนไม่ยอมให้เขาออกจากบ้านตอนเกิดเรื่อง และคิดว่าเป็นเพราะตัวเองแก่ แต่ Draca ตัวละครอีกตัวแย้งว่าเป็นเพราะ Lucivar ไว้ใจให้ Saetan เป็นคนดูแลคนในครอบครัว และเพราะ Daeton ปกป้องใจตัวเองไว้ – และส่วนตัวเอง จุดนี้เป็นจุดที่น่ารักที่สุดในเล่ม

“Lucivar brought his wife and son here because you are here. He depends on you to protect what he holds dear.”
“And Daemon?” Saetan asked. “What is he protecting?”
“More than Lucivar, Daemon needs a father who understands him. By keeping you here, he is protecting his own heart.” (หน้า 238-9)

อีกประเด็นหนึ่งที่รู้สึกว่าน่ารักในเล่มนี้ คือ การกระดากอายของ Lucivar ที่มีต่อการอ่านหนังสือ ซึ่งเจ้าตัวรู้สึกว่าเป็นจุดอ่อนและปมด้อยของตัวเองมาตลอด แต่ท้ายที่สุดแล้ว คนที่ช่วยพวกที่ติดอยู่ในบ้านออกมาได้ก็เป็นตัว Lucivar และด้วยวิธีเฉพาะของเจ้าตัวเอง ทำให้เห็นว่าเรามีความเชี่ยวชาญต่างกัน และความเชี่ยวชาญเหล่านี้ก็มีประโยชน์กันต่างวาระต่างเวลา หรือการที่เจ้าตัวรู้สึกว่าตัวเองหยาบกระด้าง แต่เขาก็สามารถใช้เวลาเป็นวัน ๆ นั่งฟัง Tresa เล่าเรื่องและเข้าใจสิ่งที่เธอพูดได้ และก็ได้รับการตอบแทนเป็นความรู้ที่ Tresa แทรกผ่านการเล่าเรื่อง

เมื่อได้อ่านหนังสือมากขึ้น และได้รู้จักโลกแฟนตาซีมากขึ้น ทำให้คิดว่าการอ่านงานของ Anne Bishop จะไม่เหมือนเดิม เพราะต้องการความลุ่มลึก และรายละเอียดเกี่ยวกับตัวละครที่มากขึ้นกว่าเดิม และคิดว่า งานของ Anne Bishop ขาดสิ่งเหล่านี้ หากแต่เมื่อเริ่มอ่าน Tangled Webs กลับเข้าใจอย่างยิ่งว่า งานของเธอดิบก็จริง แต่การเขียนเรื่องให้ดิบ แต่ยังคงเสน่ห์ความน่าอ่านได้เป็นสิ่งที่ไม่ง่ายเลย และดังนั้นก็หลงรักงานของเธอเหมือนเดิม หรืออาจจะยิ่งกว่าเดิมก็ได้ ยิ่งเจอะเจอตัวละครที่คุ้นเคยและผูกพันมานานก็เป็นความรู้สึกเหมือนได้เจอเพื่อนเก่า ระหว่างที่อ่านถึง 60 หน้าแรก รู้เลยว่าอ่านไปนั่งยิ้มอารมณ์ดีอยู่คนเดียวที่เจอตัวละครที่คุ้นเคย และได้เห็นบุคลิกและความเป็นไปเกี่ยวกับตัวละครเดิม ๆ อีกครั้ง (และคิดว่า Anne Bishop ก็น่าจะรู้สึกเช่นเดียวกันตอนเขียน เพราะว่าเกือบจะเป็นเรื่องยากที่จะอ่านงานของเธอไปเกือบ 100 หน้า เห็นตัวละครเด่น ๆ ทั้งหมดออกมีบทบาทแล้วไม่มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นเลย – ทั้งคนเขียนก็สนุกกับการเขียน และคนอ่านก็มีความสุขกับการอ่านตัวละครที่คุ้นเคย และการกระทำที่คาดเดาและคาดหวังได้) ก็ขอสรุปว่า that same old expresso!

ให้คะแนน B และบอกในบล็อกอีกครั้งว่าคะแนนเหล่านี้เชื่อถือไม่ได้แม้แต่น้อย และก็รอ The Shadow Queen ปกอ่อนปีหน้า

ปล. ก็เช่นเดิม Hell’s fire, Mother Night, and may the Darkness be merciful.

ชอบตรงที่ Lucivar ถาม Daemon ว่าใครอยู่ในบ้าน เพราะถ้าไม่มีใครอยู่ Daemon คงพังบ้านไปนานแล้ว

Black Jewels Series.
Daughter of the Blood (1998)
Heir to the Shadows (1999)
Queen of the Darkness (2000)
The Invisible Ring (2000) * เรื่องเล่าก่อนเรื่องหลัก และมีตัวละครแยกจากกัน
Dreams Made Flesh (2005)
The Shadow Queen (2009)

No comments:

Post a Comment