Sunday 1 March 2009

The Pearls and The Crown Duology by Deborah Chester (n)

ความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ที่เกินให้อภัย เพราะว่าไปเจอวันที่มีหนังสือลดด้วยก็เลยไม่มีเวลาดูหนังสือที่หยิบมากอง ๆ ไว้มาก จนไม่ได้กรองให้ดี แล้วแทนที่จะลองเอามาทีละเล่มก็เกิดกลัวว่าถ้าจะสนุกก็จะต้องดิ้นรนกลับไปเอา ก็เลยตายสองต่อ ... แล้วเรื่องอื่นที่สนุกกว่าก็ไม่ได้เอาเล่มต่อมา เฮ้อ ฉัน!!!



ชนิด : Fantasy
ชุด : The Pearls and the Crown
สำนักพิมพ์ : Ace (November 27, 2007)/ (November 25, 2008)
จำนวนหน้า : 304 หน้า


The Pearls
Shadrael ตอบรับพลังด้านมืดที่ทำให้เขาแข็งแกร่ง แต่เมื่อยุคสมัยของจักรพรรดิองค์ใหม่ที่บูชาแสงสว่างมาถึงก็ทำให้เขาถูกปลดจากตำแหน่ง ต้องกลายเป็นทหารรับจ้าง และหัวหน้าโจร ผู้อยู่ด้วยความเกลียดชังตัวเอง พร้อม ๆ กับความหวาดกลัวว่าวันหนึ่งเขาจะถูกความว่างเปล่าที่เกิดจากพลังที่หายไปของเทพเจ้าด้านมืดกลืนกิน อย่างไรก็ตาม วันหนึ่ง Vordachai (ลงท้ายด้วย –chai ทำให้คิดถึงชื่ออย่างวรชัย อะไรเทือกนี้เสียจริง) พี่ชายที่เป็น warlord เสนอให้เขาจับตัว Lady Lea น้องสาวของจักรพรรดิที่อยู่ระหว่างเดินทางไป เพื่อจะสร้างเรื่องให้ตัว Lord Vordachai เป็นผู้ช่วยเหลือเธอ อันจะนำไปสู่การเป็นอิสระของแคว้นที่เขาได้รับสืบทอดมา

ระหว่างการเดินทาง Lady Lea มีแผนการที่จะหลีกหนีไปจากชีวิตในวังอยู่พอดี เพราะเธอเบื่อหน่ายกับชีวิตในวัง และความวุ่นวายทั้งหลายที่เกิดขึ้น เธอแค่หวังว่าจะกลับไปหาและเป็นส่วนหนึ่งของเหล่า higher being ที่เธอจากมา (จำคำเรียกไม่ได้ แต่ก็คอนเซ็ปต์ประมาณนี้แหละ) และแม้จะมีความสามารถในการทำนายเหตุการณ์และใช้พลังจากธรรมชาติ Lady Lea ก็ไม่ได้คาดคิดไว้เลยว่าเธอจะถูก Shadrael จับตัวไปได้

The Crown
พลังด้านสว่างของ Lady Lea ทำให้ Shadrael ให้พลังที่เขามีไม่ได้เต็มที่ และก็ทำให้มีหลักฐานที่อาจสืบสาวถึงตัวพี่ชายผู้ครองแคว้นเขาได้ และดังนั้นชายหนุ่มจึงเปลี่ยนแปลงแผนการโดยที่มอบ Lea ให้กับนักบวชมืดที่ต้องการพลังของเธอไปเพื่อฟื้นคืนชีพหัวหน้านักบวช และนำเทพเจ้าแห่งความมืดกลับมา

อย่างไรก็ตาม Shadrael เริ่มรู้สึกผิดที่มอบ Lea ให้เหล่านักบวช หลังจากนั้น เขาจึงกลับไปเพื่อช่วย Lea ออกมา แต่ทว่าเรื่องราวไม่เป็นอย่างที่คิด เมื่อเหล่านักบวชป้ายความผิดในการลักพาตัวไปให้ Vordachai และก็ทำให้จักรพรรดิตัดสินใจทำสงครามกับ Vordachai และเหล่านักบวช ซึ่ง Shadrael ก็ต้องลงมาร่วมในสงครามด้วย เพราะเป็นเงื่อนไขเดียวที่เขาจะแลกเปลี่ยนช่วย Lea จากนักบวชได้ และเขาก็ไม่ต้องการให้พี่ชายต้องทำสงครามแต่เพียงผู้เดียว แต่นอกจาก Shadrael แล้วก็ไม่มีใครรู้เลยว่าพวกนักบวชมีแผนจะฆ่าทุกคนด้วยกองทัพโครงกระดูก

เป็นไงล่ะ ย่อออกมาแล้วยังรู้สึกเรื่อยเจื้อยไร้ทิศทาง และก็โกรธตัวเองที่ซื้อมาไม่พอ ยังจะอ่านต่อไปอีก แต่ซื้อหนังสือห่วยมานี่แย่กว่าสั่งอาหารมาอย่างที่ไม่ควรสั่งอีกนะ เพราะก็ยังอ่านต่อไปด้วยความหวังว่ามันจะดีขึ้น มันจะดีขึ้น ก็ไม่รู้ว่าเป็นความหวังหรือการสะจิตตัวเอง

คิดว่าการอ่านหนังสือย้อนยุค พวกยุโรปตอนกลาง (ไม่ว่าจะเป็นแฟนตาซี มีเวทย์มนต์หรือไม่ก็ตาม) แล้วสรุปได้ว่า ความผิดของตัวละครผู้ชาย (ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม) ก็คือ arrogance เชื่อตัวเอง ถือดี และคิดว่าตัวเองรู้แล้ว naivety สำหรับตัวละครผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นเพราะ unknowing หรือ innocent ซึ่งสุดท้ายแล้วนำหายนะมาให้ (แต่ไม่ได้ว่านางเอก ว่าพวก lady in waiting ที่ในที่สุดก็ตายหมด ตอนถูกโจมตี) และ ignorance สำหรับตัวละครทั่วไป ละเลยไม่ใส่ใจเพราะเชื่อในความคิดของตน จนไม่เปิดรับสิ่งอื่น

บุคลิกของ Shadrael เหมือนจะน่าติดตาม เขาดูจะเป็นผู้ชายที่มีความหลัง แต่กลายเป็นว่า หลังจากถูกปลดประจำการ ชายหนุ่มจมอยู่กับความสิ้นหวัง ขมขื่น และเกลียดตัวเอง โดยเฉพาะเมื่อรวมข้อเท็จจริงที่เขาเล่นท้าทายความมืด และได้แลกวิญญาณของตัวเองไปกับพลังเมื่อวัยเยาว์ ทำให้ความหวาดกลัวการสูญเสียพลังและสูญเสียตัวเองหลังการจากไปของเทพแห่งความมืด ทำลายทุกอย่างที่เขามี และบุคลิกเช่นนี้ก็ติดตัว Shadrael อยู่ทั้งเล่มแรก และพอเล่มสอง หลังการขาย Lea ไปให้กับนักบวชมืด ชายหนุ่มก็เต็มไปด้วยความเกลียดชังตัวเอง และความรู้สึกผิด จนหันไปยึดเหล้าเป็นทางให้ลืมปัญหาอีก (เหมือนเล่มแรกที่เปิดมาก็ดื่มเหล้าอยู่ในมุมมืด) เป็นตัวละครที่น่ารำคาญอย่างยิ่ง คนเขียนอธิบายให้เราฟังว่า เพราะได้เจอ Lea ทำให้เขาอยากได้วิญญาณกลับมาอีกครั้ง แต่ว่านะคะ .. ถ้าเอาเธอไปให้นักบวชแลกกับการมีวิญญาณ แล้วมันจะเป็นอย่างไรคะ เอาอะไรคิด ไม่เข้าใจ นอกเหนือไปจากการสูบพลังชีวิต Lea ในแต่ละวัน นักบวชก็คิดวางแผนจับ Lea มาบูชายัญอยู่แล้ว ถ้าตายไปแล้ว ได้วิญญาณกลับมาจะเอามาทำไม ไม่คิดถึงหลักการและเหตุผลเอาเสียเลย (ชาตินี้คงเขียน Business Plan ใด ๆ ไม่ได้) แล้วก็ชอบบอกว่าพี่ชายตัวเองโง่ ไม่คิดอะไร ตัวเองโง่กว่าล้านเท่าแล้วก็คิดว่าตัวเองฉลาดอยู่ได้ ฉลาดได้โล่จริง ๆ ๆ (ไม่ฉลาดและไม่คิด/ ไม่รู้ว่าตนเองไม่ฉลาดผสมกันแล้วยิ่งอันตราย)

ในทางกลับกัน สิ่งที่ทำให้ยังทนอ่านต่อไปนี้ก็คือบุคลิกของ Lea เธอถูกวางว่าฉลาด จิตใจดี เป็นด้านสว่าง และคนเขียนก็พยายามเขียนว่าเธอฉลาด และมีสติดี เพราะเธอมักจะตั้งคำถามถามคนที่จับตัวเธอไป (ไม่ว่าจะเป็น Shadrael หรือเหล่านักบวช บทบาทเธอสองเล่มนี้มีถูกจับตัวเป็นหลักจริง ๆ ) คนเขียนคงมองว่าการที่นางเอกตั้งคำถามถามพระเอกเป็นชุด ๆ เป็นการแสดงภูมิปัญญาและความฉลาดของนางเอก แต่พออ่านแล้วรู้สึกว่าเป็นความพยายามที่ชัดไป และไม่แนบเนียนเป็นที่สุด อย่างไรก็ตาม ส่วนตัว ความเก่ง (อยากเรียกว่ากึ๋นเสียจริง) ของนางเอกพิสูจน์ให้เห็น ตรงความสามารถในการปรับตัว และประเมินสถานการณ์ตรงหน้าต่างหาก เพราะเธอไม่ทำกลัวแกร่งกร้าวหาทางหนี (รู้ไปว่าหนีไม่ก็หนีไม่รอด) หรือคร่ำครวญตีโพยตีพาย แต่อยู่พอดีที่ตรงกลาง ตรงนี้ทำให้รู้สึกว่าเธอน่ารัก และแกร่งจริง อย่างตอนที่อยู่กับพวกนักบวช เธอก็พยายามจนผูกมิตรกับผู้คุมของเธอ และพยายามร้องเพลงเพื่อปลุกปลอบใจตัวเองในคุกใต้เหมืองหินที่ไม่เห็นแสงสว่าง


ตัวละครอีกตัวที่น่ารักก็คือผู้คุ้มครองของ Lea ตัว Tribe เป็นชายแก่ที่ดูเหมือนจะขี้โมโห อารมณ์เสีย เข้าอารมณ์ แต่ก็ทำหน้าที่ของตนอย่างดี (การที่เธอถูกลักพาตัวไปเป็นความผิดของนายกองที่เขาไม่มีอำนาจไปสั่งการ) เมื่อ Lea ถูกลักพาตัวไป ก็มี Tribe ที่ใช้สมองแก้ปัญหา และพยายามตามเธอกลับมา โดยไม่สนใจตัวเอง และไม่ย่อท้อ ทหารในกองกล่าวร้ายว่าเขารัก Lea ซึ่งเขาก็ไม่เคยแก้ข้อกล่าวหานั้นว่า เขารักเธอก็จริง แต่รักเหมือนลูกสาวที่เขาไม่เคยมี

เล่มแรกตอนใกล้จบมีโอกาสที่ Lea จะหนีออกมาได้ แต่ก็ไม่ได้หนีออกมา เพราะเธอเห็นในนิมิตของเธอก่อนหน้าถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอและ Shadrael และก็ทำให้เธอสละโอกาสที่จะหนีเพื่ออยู่ร่วมกับ Shadrael ซึ่งก็ไม่เข้าใจว่า เธอเชื่อในนิมิตของเธอมากเกินไป หรือว่าเธอเป็นพวกคิดบวกมากเกินไป ไม่เข้าใจว่าทำไม Lea ถึงหลงรัก Shadraelได้ เพราะเจ้าตัวไม่น่าให้โอกาสใด ๆ เลย นอกจากเต็มไปด้วยความขมขื่น เกลียดชัง แล้ว ยังโหดร้ายไร้สติอีก มีช่วงกลาง ตานี่เอาผ้าห่มตัวเองให้ Lea ไป แล้วก็บอกว่าทนหนาวได้ ไม่อยากไปแย่งผ้าห่มซึ่งเป็นความสบายเพียงเล็กน้อยจากลูกน้อง ฟังดูดีมีคุณธรรมจริง แต่หลังจากนั้น ก็ฆ่าตัดคอคนที่ไม่เชื่อฟัง เอามีดเสียบ higher being ที่ Lea เจอระหว่างทาง ทั้งที่ไม่มีเหตุที่ต้องฆ่า และอื่น ๆ อีกมากมาย คิดว่านักเขียนมีปัญหาในสร้างบุคลิกตัว Shadrael และไม่สามารถอธิบายความเป็นตัวเขาออกมาได้ดีพอ

ตอบจบสุขสันต์และลงตัวอย่างเหลือเปรียบ Shadrael ไม่มีอะไรไม่เป็นไร Lord Vordachai ตายจากการปกป้องน้องชายแล้ว เขาก็กลายเป็นลอร์ดครองที่ดินคนต่อไป และก็ไม่มีความผิดใด ๆ เสียด้วย เพราะจักรพรรดิองค์ใหม่รักน้องสาวมาก นอกจากได้ครองที่ดินไปแล้ว ก็ได้แต่งงานกับ Lea อีก วิญญาณก็ได้คืนมา เพราะ Lea ยอมสละพลังในตัวให้ และก็ไล่พลังมืดออกไปให้

ทั้งนี้ เข้าใจว่า จริง ๆ ตัวจักรพรรรดินี่เป็นตัวละครหลักใน Ruby Throne Trilogy และ Lea เป็นตัวละครที่มีคนอยากให้เขียนต่อ ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าชุดนั้นจะสนุกกว่านี้ไหม เพราะบุคลิก Caelan ดูรับได้มากกว่า (คงไม่มีใครเลวร้ายไปมากกว่า Shadrael แล้ว) แต่ที่คิดว่าเป็นข้อบกพร่องอย่างหนึ่งของหนังสือก็คือ มีศัพท์เฉพาะ (ตามวิสัยหนังสือแฟนตาซี) เยอะ และถ้าเป็นเล่มต่อมาก็ควรจะมีรวมอธิบายศัพท์ไว้ด้วย เพราะถึงแม้จะตีความเข้าใจได้ที่สุด แต่ก็มีผลต่ออรรถรสการอ่านอย่างยิ่งเหมือนกัน

อย่างไรก็ตาม มีจุดที่ชอบอยู่จุดหนึ่งในเรื่องที่ขอเรียกว่า ก่อปัญหาเพื่อแก้ปัญหา เพราะจักรพรรดิเดินทางไปปราบกบฏก็เลยทำให้ได้เห็นแคว้นที่เป็นปัญหาจริง ๆ และก็ได้รู้ว่าที่พยายามขอลดภาษีมาตลอดเป็นเพราะไม่มีให้จริง มากว่าจะเป็นการบ่ายเบี่ยงไม่จ่ายภาษี และก็เลยทำให้ได้คุยกับคนในพื้นที่เป็นครั้งแรก และเพราะบ้านเดิมของจักรพรรดิถูกกองทัพมังกรทำลายก่อนที่เขาจะถูกจับมาเป็นทาส ทำให้เขาเกลียดมังกรและชิงชังแคว้นนี้ แต่การที่อยากตามหาน้องสาวทำให้ต้องขอความช่วยเหลือจากแคว้นที่ตัวเองกลั่นแกล้งมาตลอด ซึ่งกลายเป็นว่าเหล่านักรบมังกรมองว่าเป็นเกียรติและความภูมิใจอย่างยิ่ง จนกลับมาเข้าใจกันได้ ... กลายเป็นกุศโลบายเล็ก ๆ ที่น่ารักอย่างยิ่ง

กับจุดหนึ่งที่ดูชัดมากว่าเป็นเรื่องของวัย ก็คือ เกมแห่งความตายที่ Shadrael เล่น เพราะถ้าชนะ ก็จะได้พลังอำนาจมาเป็นของตอบแทน (แต่ทั้งนี้ก็แลกกับการไม่มีวิญญาณด้วย คนเหล่านี้จะไม่มีเงา แม้ในแดดจัดยามกลางวัน) และเจ้าตัวเองก็เสียใจเสมอที่อยากเอาชนะคำท้าของเพื่อนทหารจนยอมเล่นเกม การที่เด็กหนุ่ม ๆ มองว่าเป็นเรื่องมีเกียรติและเก่งกล้า หากแต่ผู้ใหญ่กลับมองว่าเป็นเรื่องบ้าบิ่น และเสี่ยงสูง ก็เป็นเรื่องของวัยและวุฒิภาวะด้วย (ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาย older, wiser it seems?)

คิดไปเองว่าจริง ๆ เรื่องนี้มันเหมือนกำลังภายในยุคก่อนโกวเล้งชอบกล หรือเป็นยุคโกวเล้งในเรื่อง ดาบมรกต หรือ กระบี่เย้ยยุทธจักรของกิมย้ง ก็ได้ เพราะกลายเป็นว่าตอนจบทุกอย่างคลี่คลายเพราะนางเอกที่ออกมาแก้ตัวให้พระเอก แล้วทุกคนก็มีความสุข โดยที่มีพระเอกที่ยังงุนงง จับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่คนเดียว แต่จะว่าไป มันก็เหมือนพล็อตกำลังภายในชอบกล ขอให้เปลี่ยน จักรพรรดิเป็นประมุขพรรรคอะไรสักอย่างที่เป็นเจ้ายุทธจักร และ Lord Vordachai กับนักบวชเป็นประมุขพรรคอื่นที่อยากครองบู้ลิ้มคนเดียวก็ได้แล้ว

อีกอย่างที่รู้สึกชัดก็คือ ความคิดขาว-ดำที่เห็นได้ชัด และแบ่งชัดเจนในหนังสือเล่มนี้ ทั้งที่จริง มันไม่มีอะไรเลยที่สุดโต่งไปข้างหนึ่ง จะให้สมดุลมันต้องมีทั้งสองข้าง (จุดนี้ Anne Bishop ทำได้ดีในชุด Ephemera ว่าแล้วก็อยากกลับไปอ่าน) การทำลายเทพเจ้าแห่งความมืด และบูชาเทพเจ้าแห่งแสงสว่างดูจะไม่ใช่คำตอบของทุกอย่าง

จบแล้ว ได้คะแนน D (ที่มาจาก Damn!)

8 comments:

  1. อ่านรีวิวเรื่องนี้แล้ว รู้สึกเหมือน Shadrael เป็นคาแร็คเตอร์อย่างที่เมย์ชอบ (แนว Shades of gray) แต่พออ่านไปดูท่าทางเฮียแกจะไปไม่ถึงดวงดาว

    ReplyDelete
  2. คือจริง ๆ ตอนที่ซื้อก็เพราะบุคลิก Shades of gray นี่ล่ะค่ะ พระเอกดีไปไม่ชอบ ชอบแบบนี้ แต่พออ่านหน้าสองก็เริ่มรู้สึกแปลก ๆ ว่าบุคลิกเกือบ แต่ยังไม่ใช่ ไปไม่ถึงดวงดาวจริง ๆ
    (จริง ๆ ถ้าวันนั้นได้อ่านสักนิด แอบที่จะคว้า ๆ มาเลยก็คงไม่เอามา – ปกติไม่ค่อยซื้อหนังสือกระหน่ำแต่จะเป็นแบบขออ่านก่อนสักนิด ก็เลยไม่ค่อยได้เกรดนี้ (D) มาเท่าไหร่ เป็นบทเรียนจริง ๆ)

    ReplyDelete
  3. เวลาเจอของลดราคาก็มักเป็นแบบนี้ทุกคนค่ะ เมย์เองตอนคิโนะลด ก็คว้าอะไรไร้สาระมาเยอะเหมือนกัน

    ตอนนี้ก็ได้แต่นั่งมองแล้วคิดว่า "กูจะอ่านไหมเนี่ย"

    ReplyDelete
  4. ถ้ามันลดก็คงไม่โกรธขนาดนี้ค่ะ
    เพราะว่าหยิบมาทั้งหนังสือธรรมดามาสุม ๆ ก่อนก่อนจะเห้นว่ามีหนังสือลด
    มันก็เลยมัวแต่ไปมุงหนังสือลด แล้วก็ไม่ได้กรองหนังสือพล็อตแรก

    จริง ๆ การพุ่งตัวไปหาหนังสอลดนี่ถือเป็น original sin ที่สุดอย่างหนึ่งเลยนะคะ
    ไม่ได้อบากได้ แต่พอลลด ก็สติหลุดซื้อมาทุกที
    วันนี้ไป B2S เจอหนังสือลด ยังต้องพยายามดึงตัวเองกลับมาเลย
    "กูจะอ่านไหมเนี่ย" ประโยคนี้จริง ๆ ค่ะ

    ReplyDelete
  5. เกิดอาการ "กูจะอ่านไหมเนี่ย" บ่อยมากค่ะ

    เก็ตเรื่องเซ็งแล้วล่ะค่ะ ถ้าซื้อลดราคาก็ไปอย่างนะคะ (สังเกตตัวเองแล้วล่ะค่ะ ถ้าจ่ายเงินน้อยหน่อย ความอดทนที่มีต่อหนังสือก็มากขึ้น อย่างบางเรื่องได้มาฟรี จะเขียนรีวิวสักทียังเกรงใจคนแต่งเลยค่ะ)

    ReplyDelete
  6. จริง ๆ แล้วที่เซ็งที่สุดเป็นเพราะเสี่ยงเอาสองเล่มชุดนี้มา แต่ไม่ได้ทำกับ dream thief ค่ะ
    ทำให้เกิดอาการลงแดงอยากอ่านอยู่เป็นนาน เพิ่งไปได้หนังสือมาวันนี้เอง
    จะรีบไปอ่านแล้วมาบอกนะคะ :D

    ReplyDelete
  7. จะรอค่ะว่า DT จะสมความคาดหวังไหมค่ะ (เราก็เลยเหมือนลุ้นไปด้วยเลย)

    น่าแปลกมาที่ Word verification เป็นคำว่า mingki

    ReplyDelete
  8. ขอบอกว่ายิ่งมีคนให้คุย ยิ่งอยากอ่าน และยิ่งเพิ่มคะแนนความคาดหวังค่ะ
    อ่านจบแล้ว และก็ถูกใจมากพอสมควรล่ะค่ะ :D
    เล่มสามก็เอามาแล้ว สงสัยมีลุ้นผูกปิ่นโตกับ Shana Abe ต่อไปแน่เลย

    ถ้าคุณเมย์ sign in ในบล็อกแล้ว ยังต้อง vertify อีกเหรอคะ แปลกจัง
    แต่บางทีคำให้ vertify ก็เป็นคำขำ ๆ แปลก ๆ ที่เกี่ยวข้องกับตัวเรานะคะ เจอมาสองสามครั้งแล้วเหมือนกัน :D :D

    ReplyDelete