Sunday 8 March 2009

The Dream Thief by Shana Abe (n)

ทฤษฎีที่ว่าสิ่งหนึ่งนำไปสู่อีกสิ่งหนึ่งก็ยังเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นประจำในบล็อกนี้ การที่อ่านเล่มสองต่อนั้นเป็นทั้งเพราะชอบตัวละครเอกเล่มนี้จากที่ได้อ่านเล่มที่แล้ว และได้อ่าน excerpt หลังเล่มแรก อย่างไรก็ตาม พลาดมากที่ไม่ได้เอาเล่มสองมาพร้อมกัน ทำให้ลงแดงทุรนทุรายยิ่งนัก แล้วก็บอกตัวเองว่ายังมีหนังสืออื่นอยู่ ทำให้กว่าจะกลับไปเอาอีกก็เกือบ 2 อาทิตย์ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเป็นไปได้ โอ แต่ว่า worth the wait เป็นอย่างยิ่ง!!



ชนิด : Fantasy / Historical Romance / weredragons
ชุด : The Drakon, Book 2
สำนักพิมพ์ : Bantam (August 28, 2007)
จำนวนหน้า : 288 หน้า


ในเล่มนี้ Zane เด็กข้างถนนที่อยู่ในการดูแลของ Rue เติบโตขึ้นและกลายเป็นจอมโจรที่มีอิทธิพลอยู่ในเงามืดของลอนดอน หากความเป็นจริงที่ว่าเขาล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของมนุษย์มังกรทำให้ชายหนุ่มต้องตกอยู่ใต้อำนาจบังคับของเผ่า และกลายเป็นเครื่องมือในการติดต่อกับโลกภายนอก เรื่องเริ่มต้นเมื่อ Zane ถูกจ้างกึ่งบังคับจาก Rue และ Christoff ให้ออกเดินทางไปยังโรมาเนีย เพื่อตามหา Draumr เพชรที่สูญหายไปของชาวมนุษย์มังกรกลับคืนมา

หากระหว่างทาง Zane ได้พบกับ Lia ลูกสาวคนเล็กของ Rue และ Christoff ที่แอบวางแผนมาสมทบกับเขา และไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากให้เธอเดินทางไปด้วย แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือหญิงสาวมีพลังที่ทำให้เธอได้ยินเสียงเรียกจาก Draumr มาตั้งแต่เด็ก และเธอมีมองเห็นอนาคตผ่านความฝันซึ่งกลายเป็นจริงเสมอมา

ในบรรดาความฝันทั้งหมดของ Lia สิ่งที่ชัดเจนที่สุดก็คือ ชายหนุ่มใช้อำนาจของ Draumr เพื่อตัวเอง เขาควบคุมเหล่ามนุษย์มังกรได้ และเธอซึ่งเป็นคนรักข้างกายเขาก็กลายเป็นเครื่องมือทำลายครอบครัวและเผ่าพันธุ์ของเธอด้วยพลังมองเห็นอนาคตที่มี

ความขัดแย้งภายในของตัวละครเป็นสิ่งที่ช่วยดำเนินเรื่องได้อย่างดี สำหรับ Zane เอง ความพึงใจทางร่างกายที่มีต่อเธอดูจะเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง (ตามวิสัยหนังสือแนวนี้?) หากแต่ชายหนุ่มรู้ดีว่า บทลงโทษที่มีต่อการไปเกี่ยวข้องกับผู้หญิงจากเผ่ามนุษย์มังกรเป็นเช่นใด ความสัมพันธ์ระหว่างกันที่เป็นไปไม่ได้ทำให้เขาบังคับตัวเองให้หยุดยั้งทุกอย่างไว้ หากแต่ความรู้สึกที่มากขึ้นก็ทำให้เขาหลีกหนีจากเหตุผลของตัวเองและเลือกที่จะครอบครองเธอในที่สุด ซึ่งพฤติกรรมของ Zane แสดงออกชัดถึงทัศนคติในการใช้ชีวิตของเขาที่การครอบครองและการเป็นเจ้าของคือทุกอย่าง และเมื่อเขารักเธอ ชายหนุ่มก็มองว่าหมายถึงการครอบครองเธอด้วย โดยเฉพาะหลังจากเขารู้ถึงอำนาจที่ Draumr มี เขามองเห็นความหวังที่จะได้ตัว Lia ไว้ตลอดไป แม้รู้ว่าจะทำให้เธอตกอยู่ใต้อำนาจเขาก็ตามที และยิ่งเมื่อรับรู้ความรู้สึกของเธอที่มี ก็ยิ่งทำให้เขามุ่งมั่นที่จะได้ครอบครองเพชรมากกว่าเดิม

อย่างไรก็ดี ภูมิหลังของ Zane เป็นสิ่งที่น่าพิจารณาอย่างหนึ่งด้วย เมื่อเติบโตขึ้นมาจากข้างถนน และต่อสู้จนเป็นได้อย่างปัจจุบัน ทำให้สิ่งที่เขาต้องการก็คืออำนาจ และความมั่งคั่ง และหวาดกลัวที่จะตกเป็นเบี้ยล่าง เป็นฝ่ายถูกกระทำ ซึ่งการที่ตกอยู่ในอำนาจของเหล่ามนุษย์มังกร โดยเฉพาะตัว Christoff ที่เป็นคนแย่งชิง Rue ไปจากเขา และการได้ Draumr มาก็ช่วยให้เขาเป็นอิสระ นอกเหนือไปจากการได้ตัว Lia มาอีกประการหนึ่ง

และในแง่นี้ ความผูกพันที่เกิดขึ้นระหว่างทางก็น่าจะอธิบายการตกหลุมรักของ Zane ได้ดีเยี่ยม อย่างที่เล่าว่าเขาเติบโตมาอย่างยากลำบาก ทำให้จอมโจรไม่ไว้ใจใคร พึ่งพาตัวเอง และไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้เขาเกินความจำเป็น หากแต่การเดินทางร่วมกันก็สร้างเงื่อนไขให้เขาต้องอยู่ร่วมและผูกพันกับคนข้างตัว ยิ่งในสถานะที่ลำบากและอันตรายก็ยิ่งทวีความเชื่อมโยงของทั้งคู่มากขึ้นไปอีก และแม้ว่าความหลงใหลคลั่งไคล้ในวัยเด็กที่ครั้งหนึ่ง Zane จะมีต่อ Rue แล้ว แต่นอกเหนือจากความเป็นไปไม่ได้ทั้งปวง ผู้หญิงอย่าง Rue ก็ไม่เหมาะสมกับเขาเช่นเดียวกัน เพราะเธอก็มีเกราะป้องกันตัวของเธอจากคนรอบข้างไม่ต่างอะไรจากเขา ขณะที่ความเรียบง่ายและความจริงใจของ Lia กลับละลายความเย็นชากึ่งการมองโลกในแง่ร้ายของ Zane ลง (และก็ทำให้สนุกที่จะดู Zame หลุดจากกรอบที่เขาสร้างไว้และเปลี่ยนแปลง (สปอยล์) [โดยเฉพาะตอนที่ Lia ตกอยู่ใต้มนต์สะกดของ Draumr และถูกออกคำสั่งให้ทำร้ายเขา เฉพาะที่ชายหนุ่มไม่เชื่อว่าเธอจะทำได้ จนกระทั่งขาหักไปข้างนึงแล้ว])

ความรู้สึกที่ Lia มีต่อชายหนุ่มก็อยู่ในวังวนความสิ้นหวังไม่ต่างกัน หญิงสาวเริ่มฝันเกี่ยวกับคนรักในอนาคตของเธอตั้งแต่อายุสิบสี่ปี ในความฝัน เธอรู้ว่าเขาครองครอง Draumr ไว้ ซึ่งทำให้เขาเป็นเจ้าของเธอ และใช้อนาคตที่เธอเห็นเป็นเครื่องมือสู้กับมนุษย์มังกรที่มาแย่งชิงเพชรและตัวเธอกลับไป แต่เธอไม่เคยบอกใครเกี่ยวกับความฝันเหล่านี้เลย เพราะเธอรู้ว่า ถ้าเธอหลุดปากเรื่องนี้ออกไป เขาจะถูกฆ่าในทันที และดังนั้น แผนการของเธอก็คือออกเดินทางไปพร้อมชายหนุ่มเพื่อชิงเพชรมาจากเขา เพื่อปกป้องครอบครัวของเธอ โดยที่กล้าที่จะยอมเสี่ยงกับบทลงโทษของเผ่า และดังนั้น Lia จึงมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัวที่ไร้ทางออกมาตลอด และความรู้สึกนี้ก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อทั้งคู่เข้าใกล้ Draumr ไปทุกขณะ

Shana Abe เล่าเรื่องการเดินทางของทั้งคู่ โดยมีความฝันของ Lia ที่เกี่ยวกับ Zane ให้ผู้อ่านได้เห็นเป็นระยะ ๆ แต่ในความฝันแต่ละครั้ง เธอก็จะบอกถึงวิธีที่หญิงสาวบอกคนรักของเธอเกี่ยวกับการสู้และเอาชนะมนุษย์มังกรจากเผ่าของเธอ ความฝันเหล่านั้นดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเนื้อเรื่องหลัก นอกจากทำให้คนอ่านคาดหวังถึงสิ่งที่จะเป็นต่อไปในอนาคต ซึ่งเมื่อย้อนมองกลับไปก็จะเห็นว่า บทสนทนาระหว่างทั้งสองนั้นมีแต่การออกคำสั่งของเขาที่มีต่อเธอ และหญิงสาวไม่เคยขัดขืนหรือปฏิเสธใด ๆ เลย ซึ่งกลายเป็นว่าจุดนี้เป็นสิ่งที่คนเขียนทำได้ดีมาก เพราะในที่สุดแล้ว ความฝันที่เกิดขึ้นเป็นเพียงสิ่งที่สร้างความคาดหวังและเบี่ยงเบนความเชื่อที่คนอ่านมีต่อเรื่องในตอนจบ ซึ่งแตกต่างกับความเป็นจริงภายหลังอย่างสิ้นเชิง (ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงตัวเองของ Zane) พาลให้คิดถึงเรื่อง Princess at Sea ของ Dawn Cook ที่บอกว่า “You can’t partake of the future properly with only the memories of today.” เพราะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ และก็กลายเป็นว่า Zane ในการมองเห็นของเธอและในความเป็นจริงแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยที่ Zane คนหลังเลือกที่จะรักและถูกรักตอบในสถานะที่เท่าเทียมกัน และกล้าที่จะขอเธอแต่งงาน ขณะที่จอมโจรที่เธอเห็นในฝันพอใจกับการได้ตัวเธอที่เป็นที่มาของความมั่งคั่งและความสำราญของเขาเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม หากมองว่าเธอยึดถือและเชื่อมั่นกับสิ่งที่จะเกิดโดยไม่ยอมที่จะยืนหยัดและเปลี่ยนแปลงใด ๆ ก็เป็นความคิดที่ผิด เพราะเมื่อ Lia มองเห็นสิ่งที่จะเกิด เธอก็เริ่มต้นวางแผน และคิดหาทางออกมาตลอด และเตรียมการถึงขั้นที่เมื่อความฝันบอกเธอว่า จะต้องมีการเดินทางไปถึงโรมาเนีย เธอก็เกลี้ยกล่อมและหลอกล่อให้อาจารย์ในโรงเรียนประจำของเธอหาคนมาสอนภาษาโรมาเนียนให้เธอจนได้ และถึงขั้นเป็นจอมวางแผนที่ปลอมจดหมายจากที่บ้านไปยังโรงเรียน และจากโรงเรียนไปถึงบ้านเพื่อสร้างคำอธิบายในการหายไปสู่โรมาเนียของเธอ หลายอย่างทำให้ Lia เป็นตัวละครที่ดูช่างคิด มุ่งมั่น และจริงจังในแบบของเธอ และทำให้คนอ่านรักเธอและ Zane ไปพร้อมกัน

ในตำนานของชาวมนุษย์มังกรเอง มีเรื่องเล่าในอดีตถึงไพร่ที่ตกหลุมรักเจ้าหญิงของเผ่ามนุษย์มังกร และใช้ Draumr เพื่อจะที่จะพาเธอหนีไป ทำให้เธอเป็นทาสเขา และมีครอบครัวอยู่ด้วยกัน ก่อนที่จะเธอจะฆ่าเขาในดึกคืนหนึ่ง และฉวยเพชรหนีไป อันที่จริง ฐานะระหว่าง Zane กับ Lia รวมไปถึงสิ่งที่จอมโจรคิดจะทำก็ไม่แตกต่างจากไพร่ในเรื่องเท่าไหร่นัก ดังที่มีบทเล่าเรื่องซึ่งมีคั่นเป็นระยะ ว่า “Little is known of what actually happened between the dragon-princess and the peasant who stole her from the bosom of her kind, all those centuries past. We know he was wily enough to thieve the diamond as well, to ensure he wound have Draumr to bind her by his side. We know he was hungry enough for her to risk his own life to keep her, and ruthless enough to destroy her family when they attempted to rescue her from him.“ (หน้า 186) เห็นได้ว่าแม้จะต่างวาระ ต่างเวลา แต่เรื่องราวก็ยังเป็นเช่นเดิม (... และในแง่หนึ่ง ย่อหน้านี้ก็สรุปเล่าเรื่องเกือบทั้งหมดในเล่มได้เช่นกัน)

ความรักและความต้องการที่ Zane มีต่อ Lia ถูกอธิบายไว้อย่างชัดเจนในความฝันคืนหนึ่ง เมื่อเขากำลังจะออกไปเสี่ยงชีวิตกับคนในครอบครัวของเธอ - ซึ่งทำให้เห็นว่าบางครั้ง ความรู้สึกเหล่านี้ก็เป็นตัวผลักดันให้เกิดความรู้สึกด้านมืดอย่างที่เขาเรียกว่า black hopes and a darker heart. (หน้า 277)

“Wait here. Do not follow me. Do not leave this chamber, no matter what do you hear.”
………..
But he didn’t leave. A single, rough finger stroked fire along her cheek.
“Tell me you love me,” he whispered.
(หน้า 101 - ส่วนคัดลอกเพิ่ม 08/100309 ตามลำดับ)

หากในตอนท้าย (สปอยลฺ์) [แม้ชายหนุ่มจะเห็นอำนาจของเพชรในการควบคุมมนุษย์มังกรในกรณีของ Lia แล้ว เขาก็ยังเลือกที่เป็นเจ้าของเพชรนั้นไว้ จนกระทั่งเขาเห็นแผลที่ตัวเองได้รับจาก Lia ขณะที่ตกอยู่ในมนต์สะกดทำร้ายเขา และเข้าใจถึงความเจ็บปวดจากการถูกควบคุม/ ครอบงำ ทำให้เขาตัดสินใจที่จะทำลายเพชรเพื่อให้ Lia เป็นอิสระ] ซึ่งตอนนี้แสดงให้เห็นถึงการเข้าใจและเรียนรู้ความหมายของการรักของ Zane ได้ดี และช่วยให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของเขาด้วย อันต่างจากจุดจบที่นำไปสู่การทำลายและความตายในตำนาน ทั้งนี้ หาก Zane เลือกที่จะใช้เพชรเพื่อผูกมัดหญิงชาวมนุษย์มังกรไว้กับเขาจริง ผลลัพธ์ที่ได้ตอนท้ายอาจจะไม่แตกต่างกันก็ได้ เพราะสุดท้ายแล้ว ความรักที่เธอมีต่อเขาก็จะหายไป

มีตอนหนึ่งที่แสดงถึงความสัมพันธ์ที่เปราะบางระหว่างทั้งคู่ได้ดี และเป็นตอนที่ชอบมากที่สุดในเล่มแห่งหนึ่ง ช่วงหน้า 280-281
“ …, and when she spoke again her voice was broken, more hushed than a whisper. “I love you so much.”

She pressed her face to his neck.

He hovered above her, dazed and delirious. Too late – she’d spoken and he’d already stolen her words, lifting her face and holding his lips to hers so she could not amend them or take them back. They belonged to him now.

She loved him.”

กับอีกจุดหนึ่งแสดงความช่างประชดประชันของ Zane ได้ดี
“You are dripping blood upon my floor,” observed the prince.

My apologies. It is the unfortunate consequence of being shot.” (หน้า 306)

เมื่อสิ่งที่คิดไว้น่าจะเขียนถึงหมดแล้วก็น่าจะจบได้ตรงนี้แล้ว สำหรับการให้คะแนนอยู่ที่ A เพราะหลังจบเล่มแล้วยังไม่อยากให้จบ และอ่านมาได้ใหม่ได้ รวมไปถึง ทิ้งเรื่องให้คิดตามต่ออยู่ในหัวเสียอีก และสำหรับการสรุปที่ไม่ใช่ตัวเลข ก็คือ The expected quite unexpected, yet as expected – a beast with human’s love, and human with beast’s love. ยิ่งเขียนก็ยิ่งเข้าใจคนเดียว โอ

คงจะเริ่มอ่านเล่มสาม - the Queen of Dragons - ต่อในเร็วไว และหวังว่าจะได้รู้เกี่ยวกับ Lia และ Zane หลังจากนั้นมากขึ้น เพราะรู้แต่เพียงว่าทั้งคู่หนีหายไปด้วยกันเพื่อให้พ้นจากเหล่ามนุษย์มังกรเท่านั้น

เพ้อเจ้อและคลุ้มคลั่ง (100309)

ก็ไม่รู้ว่าชีวิตของ Zane กับ Lia จะเป็นอย่างไรต่อจากนั้นใน Dream Thief เพราะสำหรับคู่นี้ ดูเหมือนว่า Happily-ever-after จะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากที่สุด การที่หนีไปด้วยกันหมายถึงว่า ยอมรับและรับรู้ว่าจะต้องกลายเป็น outcasts (แต่อย่างน้อยช่วงเวลาที่อยู่ที่ทรานซิสวาเนียอาจเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดก็ได้?) เลยเกิดสงสัยและเกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า ถ้าเป็นเช่นนี้ การเสี่ยงและเสียสละทุกอย่างเพื่อความรักเป็นเรื่องที่คุ้มไหม ซึ่งสำหรับทั้งสองคน สิ่งนี้อาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุด และถ้าย้อนเวลากลับไปก็จะเลือกเช่นเดิมก็ได้ แล้วก็นะคะ อยากอ่านช่วงสองคนนี้ตกหลุมรักกันอย่างจริงจังมาก กรี๊ด ทำอย่างไรดี ?!!!!

อย่างไรก็ตาม ถ้าเล่มสี่ให้ Zane ตายหรือเป็นอะไรไป จะโกรธมาก แล้วจะคอยสาปแช่ง Shana Abe จริง ๆ นะ

ข้อสังเกตบางประการ
อ่านงานของ Shana Abe มาสามเล่มเจอรูปแบบดังนี้

1. พระเอกอายุมากกว่า และนางเอกจะแอบหลงรักพระเอกมาตั้งแต่เด็ก และก็เป็นการรักแต่ไกล โดยที่พระเอกไม่รู้ตัวเลย แม้เมื่อมาเจอกันอีกครั้ง ก็จะยังไม่รู้จนกระทั่งใกล้ ๆ จบ และพระเอกเป็นฝ่ายบอกรักก่อน .. ก่อนที่ผู้หญิงจะเปิดเผยความจริงให้รู้

2. ตอนที่เจอกัน (ถ้าเจอกัน) นางเอกในวัยเด็กจะดูจืดชืดทั้งด้านรูปหน้าหน้าตาและบุคลิก และทั้งคู่ก็จะขาดการติดต่อหายกันไปเป็นนานปี ก่อนที่จะมาเจอกันอีกครั้ง และพระเอกจะต้องตะลึงทั้งกับรูปร่างภายนอก และบุคลิกภายในของนางเอกซึ่งเปลี่ยนไปหน้ามืดเป็นหลังมือ (คิดถึงสี pastel pink กับ shocking pink – that effect!)

3. (จำไม่ได้กับ Secret Swan) แต่ชุดนี้ พระเอกชอบเอาชื่อนางเอกมาต่อท้ายตามใจชอบเป็น endearment แบบแปลก ๆ เช่น Rue-flower และ Lie-heart (นอกจาก mouse และ snapdragom ตามลำดับ)

4. นี่เป็นเล่มแรกที่พระเอกไม่ได้เป็น aristocrat (ขอบคุณคนเขียนเป็นอย่างสูง) ซึ่งเป็นมาตลอด และ Drakon เล่ม 3-4 ก็กลับมาเป็นอีกแล้ว ไม่เบื่อบ้างเหรอคะ

5 comments:

  1. ขอไม่อ่านรีวิวนะคะ กลัวสปอยล์ แต่ได้ความรู้สึกว่าถูกใจคุณมิ้งอย่างยิ่ง

    สังเกตนิดนึงว่า คุณมิ้งเป็นคนที่ละเอียดอ่อนมานะคะ ดูจากตอนเขียนรีวิว รู้สึกว่า "เข้าถึง" เรื่องราวมาก ๆ เมย์เองจะเป็นเฉพาะกับเล่มที่โดนจริง ๆ แต่หลายครั้งที่พอโดนแล้ว กลับเกิดอาการพูดไม่รู้เรื่อง เพราะมันมีหลายอย่างที่อยากเล่า แต่เรียบเรียงไม่ถูก

    ReplyDelete
  2. จริงค่ะ อ่านรีวิวเรื่องนี้แล้วไม่เหลือให้อ่านอะไรแน่ ๆ เลย .. เมื่อก่อนตอนเขียนรีวิวใหม่ ๆ นะคะ เป็นเพราะชอบหนังสือเล่มนั้นมาก แล้วก็อยากให้คนอ่านถึงขั้นเขียนรีวิวไปลงในกระทู้ค่ะ ให้คนที่มาอ่านเอาเป็นอ่านต่อเป็นกึ่ง ๆ เชิญชวน จนเป็นไม่กล้าเล่าเรื่องเพราะกลัวสปอยล์

    แต่หลัง ๆ พอมาอ่านที่เขียนไป รู้สึกว่าเขียนคลุมเครือมาก อ่านเองทีหลังก็ยังงง ทีนี้ เขียนไปเขียนมา สปอยล์ตลอดเวลาไปแล้ว

    (ว่าแต่ว่าพอคุณเมย์บอกว่าไม่กล้าอ่าน เลยแอบลุ้นว่าคุณเมย์จะอ่าน DT เลย)

    ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าเข้าถึงหรือว่าช่างจับผิดดีกว่ากันค่ะ เป็นพวกชอบอ่านแล้วตีความเกินเหตุมังคะ

    ReplyDelete
  3. อย่างที่เขียนไว้ในรีวิวของเมย์เองนะคะ ชอบเรื่องนี้ และหลังจากที่อ่านรีวิวของคุณ ก็คิดว่า น่าจะด้วยเหตุผลที่ใกล้เคียงกัน

    แต่ไม่รู้ยังไง อารมณ์ตอนนี้มันเกลียดพวกมนุษย์มังกรอย่างรุนแรงมาก เกลียดจนมีความรู้สึกว่าไม่อยากรู้เรื่องของพวก (บ้า ๆ) นี้อีกต่อไปเลย แถมยังนิสัยเสียอีก แอบไปเปิดช่วงตอนท้ายเรื่อง QoD อ่านเรียบร้อยแล้ว ด้วยอารามอยากรู้เรื่องราวของเซนมาก ทำให้ไม่สามารถอ่าน QoD ได้รอดเลย

    แต่อารมณ์อยากรู้เรื่องใน The Treasure Keeper กลับเกิดขึ้นเยอะมาก คิดว่าคงเพราะอยากรู้ว่าเซนจะเป็นยังไงต่อไป

    ReplyDelete
  4. ลืมพูดไปว่า คุณมิ้งช่างสังเกตมากเรื่องชื่อเล่นที่พระเอกใช้เรียกนางเอก ตัวเมย์เองบอกตามตรงเลยว่าไม่ได้สะกิดใจเลยสักนิดเดียว

    ReplyDelete
  5. จริงค่ะ อยากอ่านเล่มสี่ เพราะอยากรู้เรื่องของเซนเช่นเดียวกัน เหมือนว่าหนีไปด้วยกัน แต่ชีวิตก็เหนื่อยยากเหมือนเดิม โดยเฉพาะสิ่งที่กำลังคิดจะทำนะคะ
    แล้วก็เล่มสามเหมือนเขียนไม่จบดีด้วย เพราะประเด็นหลายอย่างพูดถึงไว้ หรือไม่ก็เปิดทิ้งไว้เยอะมาก (อย่างที่รู้สึกว่าไม่เป็นเรื่องที่สุด คือถ้าพ่อกับแม่รู้เรื่องนักล่าที่จะมา และถึงขั้นส่งจดหมายมาบอกคิม ถ้าไม่ติดอะไรก็น่าจะกลับมาดูแลเผ่าเอง ยกเว้นว่ากำลังสืบอะไรเองอยู่ การบอกว่าออกไปตามหาลูกสาวคนเดียว แลกกับทั้งเผ่ามันไร้สาระไป)
    ไม่ได้เกลียดสังคมมนุษย์มังกรมาก แต่แอบรำคาญความคิดอนุรักษ์นิยมค่ะ ยิ่งเล่มสามยิ่งอยากกรี๊ด

    ReplyDelete