Friday, 17 April 2009

Spiral Hunt by Margaret Ronald (n)

หยิบมาดูเพราะชอบปก (โทนสีปกเขียวกับส้ม) พลิกดูเรื่องก็เหมือนจะใช้ได้ หน้าแรกที่อ่านไปก็เหมือนจะดู ก็เลยตัดสินใจเอากลับมาด้วย แล้วก็พบว่าสัญชาตญาณทำงานได้ดีมาก เป็น UF ที่ผูกเรื่องดีที่สุดที่เคยอ่าน และก็ดีใจที่เจอ



ชนิด : Urban Fantasy / Magic/ Folklore/ Suspense
ชุด : Evie Scelan Novels, Book 1
สำนักพิมพ์ : Eos (January 27, 2009)
จำนวนหน้า : 320 หน้า


Evie ถูกเรียกว่า Hound เพราะประสาทการรับรู้กลิ่นที่โดดเด่นของเธอช่วยให้เธอค้นหาสิ่งของ และคนที่ไกลออกไป หรือแม้แต่สูญหายจนเจอ และแม้มีอำนาจพิเศษที่ทำให้เธอเข้าใจถึงโลกอีกด้านของบอสตันที่การใช้อำนาจพิเศษและเวทย์มนต์เป็นเรื่องปกติ (โลกที่ในเรื่องเรียกว่า Undercurrent) เธอก็วางตัวเองในฐานะคนธรรมดา จนกระทั่ง Frank แฟนเก่าที่สาบสูญไปนานโทรหาเธอในกลางดึกคืนหนึ่งที่ความปกติของเธอจบสิ้นลง

เธอพบ Brendan ชายที่อ้างตัวว่าเป็นเพื่อนของ Frank ผู้ต้องการตามหาเขาให้เจอ และช่วยเขาหนีออกจากเมือง (โดยเฉพาะหมายถึงหนีออกจากกลุ่มคนที่กักขังตัว Frank มานาน) ระหว่างเดียวกัน Rena เพื่อนของ Evie ก็ขอให้เธอช่วยไขคดีการฆาตกรรมแปลกประหลาดที่ดูจะเกี่ยวข้องกับเวทย์มนต์ ซึ่งกลายเป็นว่าเชื่อมโยงกับ Frank อย่างไม่คาดฝัน

หากเมื่อสืบสาวลึกไปมีเงื่อนงำและปริศนาลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อย ๆ และอันตรายรอบตัวเธอก็ทวีขึ้นทุกขณะ โดยเมื่อกลุ่มคนที่เคยได้ตัว Frank ไป มุ่งมั่นที่จะได้ตัว Evie ไปอีกคน และเธอไม่อาจรู้ได้เลยว่าเธอจะไว้ใจใครได้!

จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้ก็คือโครงเรื่องที่ผูกไว้ลึกซึ้งมาก แม้จะเป็นหนังสือแนว Urban Fantasy แต่ก็ถือว่าระดับการเป็น Suspense ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย ตั้งแต่เปิดเรื่องมาที่การรับโทรศัพท์เป็นการเริ่มต้นปริศนาที่ลึกซึ้งให้ต้องหาคำตอบ ตั้งแต่เมื่อคนรักเก่าของเธอบอกว่าจะหนีออกจากเมือง และมีอีกเสียงที่บอกให้เธอระวังตัวว่าการล่าจะเริ่มต้นขึ้น ซึ่งส่งผลให้ตัวเอก คือ Evie จะต้องหาคำตอบให้ได้ว่า Frank อยู่ที่ไหน และ ‘ใคร’อีกเจ้าของอีกเสียงขึ้น และการตามล่าคืออะไร

ระหว่างเดียวกัน เหตุการณ์รอบตัวที่เหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับเธอก็มีผลต่อเธอไปพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นการที่ต้องออกไปช่วยเพื่อนตำรวจสืบสวนหาสาเหตุของการฆาตกรรม และการที่เพื่อนของเธออีกคนหนึ่งขอให้เธอช่วยตามหาของบางอย่างให้ แม้ว่าดูเหมือนเป็นคนละเรื่อง แต่เหตุการณ์ทั้งหมดก็ถูกเชื่อมโยงและถักทอไว้ด้วยกันอย่างชาญฉลาด ถือได้ว่าคนเขียนวางโครงเรื่องไว้ดี และก็ดำเนินเรื่องตามกรอบที่ตัวเองตั้งไว้ได้โดยที่ไม่หลุดออกไปแม้แต่น้อย

ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ Spiral Hunt เป็นหนังสือที่ต้องอ่านอย่างพินิจพิเคราะห์ เพราะเมื่อวางโครงเรื่องใหญ่ไว้และดำเนินเรื่องตามนั้นไว้แล้วก็หมายความว่าเงื่อนงำต่าง ๆ ถูกซ่อนไว้ในเนื้อเรื่องอยู่เป็นระยะ การอ่านหนังสือเล่มนี้เหมือนการต่อรูปปริศนาที่ตัวต่อแต่ละชิ้นจากเงื่อนงำที่คนอ่านได้รับระหว่างอ่านเรื่อง อันหมายถึงว่าเมื่อจบเล่มก็จะได้รูปปริศนาที่มีคำตอบสมบูรณ์

ทั้งนี้ นอกเหนือจากการวางโครงเรื่องที่แหลมคมแล้ว สิ่งที่ไม่ด้อยไปกว่ากันเลยก็คือ จินตนาการที่ใส่ไว้ในเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นจินตนาการทางความคิดที่สร้างเรื่องราวต่าง ๆ ขึ้นมา หรือแม้กระทั่งจินตนาการทางการเรียบเรียงใช้ถ้อยคำ อย่างที่การใช้ประสาทสัมผัสของเธอถูกบรรยายไว้ว่าอยู่ในรูปเส้นสายที่โยงใยอยู่ด้วยกัน ทำให้ผู้อ่านเห็นภาพและรู้สึกตามไปได้ชัดเจนในใจ หรือจุดที่เด่นที่สุดอีกจุดหนึ่งก็คือการใช้ตำนานพื้นบ้านไอร์แลนด์มาสร้างเป็นสิ่งใหม่ในเรื่อง โดยเฉพาะในส่วนตัวของ Evie เอง ที่การถูกเรียกว่า Hound ไม่ใช่เหตุบังเอิญ และความสามารถในการดมกลิ่นของเธอก็มีที่มาที่ไปที่ชัดเจน ชอบที่การใช้ประโยชน์จากการเล่นเสียงนามสกุลของเธอ (Scelan) ซึ่งกลายเป็นคำอธิบายปริศนาที่ใหญ่มากที่สุดอันหนึ่งในเรื่อง

สิ่งที่ไม่คิดฝัน และจุดพลิกผันก็ถือเป็นความยอดเยี่ยมอีกเช่นกัน สิ่งที่ไม่คิดฝัน และจุดพลิกผันก็ถือเป็นความยอดเยี่ยมอีกเช่นกัน (สปอยล์) [โดยเฉพาะเมื่อคิดว่าการตามหา Frank เป็นจุดประสงค์หลักของเรื่อง การตายของเขาเป็นจุดหักมุมที่ยอดเยี่ยมที่สุดจุดหนึ่ง เพราะกลายเป็นว่า Rena พบศพเขาอยู่ในสภาพแปลกประหลาด และจากที่ตามหาตัวคนรักเก่า ก็กลายเป็นตามหาคนที่ฆ่าเขา และสาเหตุ รวมไปถึงความจริงที่ว่าเธอเข้าไปใกล้เหล่าร้ายมากขึ้นอีก] ปกติแล้ว หากตัวละครถูกทรยศ หรือถูกช่วยจากตัวละครอื่นแล้ว สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นในครั้งเดียว แต่ในเรื่องไม่ใช่เลย ตัว Evie เองได้รับการช่วยเหลือจากตัวละครบางตัวนับไม่ถ้วน ก่อนที่จะถูกหักหลังจากตัวละครตัวเดิม และได้รับความช่วยเหลืออีกครั้ง ขณะที่ตัวละครอีกตัว ได้รับความไว้วางใจจากเธอ ก่อนจะหักหลังเธอและช่วยเหลือเธอในที่สุด ทำให้การอ่านไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าตัวร้ายที่แท้จริง และมิตรแท้ของเธอคือใคร และแต่ละคนมีจุดประสงค์อะไรในใจ (สปอยล์) [อย่างตัว Brendan เองที่หักหลังเธอด้วยการสวมรอยมาช่วยเธอตั้งแต่เริ่มต้น และก็มีเป้าหมายของตัวเองในใจ จนทำให้เชื่อมากว่า แม้เขาจะทรยศ Evie แต่ก็มีเป้าประสงค์มากกว่านั้น และแม้จะเป็นศัตรูที่แฝงตัวมาเป็นมิตร แต่ก็ยังคงความเป็นมิตรอยู่ บทบาทไม่ชัดเจนหรือแน่นอนแต่อย่างใด จนกระทั่งตอนใกล้จบที่ช่วยเธอไว้อีกครั้ง แต่ในที่สุด ก็เป็นศัตรูจริง ๆ และลงเอยด้วยความตาย – นึกว่าจะมีโอกาสแก้ตัวแท้ ๆ] แม้ว่าเราจะเห็นตัวละครอื่น ๆ ทำสิ่งที่น่าสงสัย และไม่น่าเชื่อใจเป็นระยะ ๆ ก็ตาม (สปอยล์) [ยกเว้นแต่ตัว Connor ที่ปรากฏตัวออกมาก็รู้แน่ชัดว่าเป็นตัวร้ายแน่ ๆ และก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย]

Evie เป็นตัวละครที่ต่างจาก Urban Fantasy ทั้งหลายที่ความอ่อนโยน และการคิดถึงคนอื่น ซึ่งส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการรับรู้อารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปจากลิ่นของคนรอบตัวก็ได้ แต่ถึงกระนั้น ก็ทำให้เธอแกร่งแต่ไม่กร้าวกระด้าง อย่างที่เธอแสดงออกกับ Katie น้องสาวของเพื่อนที่ถูกลักพาตัวไปเพราะเหล่าคนร้ายต้องการล่อให้เธอออกมา และจับเธอให้ได้ เมื่อทั้งคู่หนีออกมาได้ เธอให้เด็กหญิงขี่หลัง และพยายามเล่าเรื่องให้ฟัง เพื่อให้ผ่อนคลายความกลัว ก็เป็นฉากที่ชัดเจนที่สุดฉากหนึ่ง

แต่ทั้งนี้ หากจะมองว่าเรื่องลักษณะ Urban Fantasy ต้องดำเนินเรื่องอย่างฉับไว ในลักษณะตาต่อตาฟันต่อฟันแล้ว ก็ถือว่า Spiral Hunt ก็สอบผ่านอีกเช่นกัน ฉากที่เธอสู้กับตัวร้าย และฆ่าตัวร้ายเป็นฉากที่สะใจมากที่สุดฉากหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงสิ่งที่ตัวละครนั้นทำมาตลอด แม้จะโหดไปบ้างก็ตาม
"With one hand I kept my grip on his windpipe, crushing it bit by bit. The other I drove up into his stomach, my fingers pointed together into a single claw, striking, pushing, rending –
The Morrigan’s power screamed through me, and Boru’s pupils dilated as I dug into his flash. What had been the doughly solidity of his stomach below the sternum gave way to something soft and warm, and I reached in, reached further - " (หน้า 283-4)

คำคมในเรื่องที่ชอบก็คือ “No geis is harder than the ones we lay upon ourselves.” (หน้า 295) เพราะในเรื่องเธอหวาดระแวงมาตลอดว่าจะมีมนต์บางอย่างเข้ามาครอบงำเธอ และทำให้เธอต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของผู้ร้าย หรือแม้แต่เป็นเครื่องมือให้ใช้งาน แต่ในตอบจบ Morrigan เทพีไอริชได้พูดประโยคนี้กับเธอ และก็ทำให้เธอได้คิด (และทำให้ตัวคนอ่านอย่างอีฉันได้คิด) ในเรื่องก็พูดถึงตัวละครหลายตัวที่ตกอยู่ภายใต้ความเชื่อที่ตัวเองสร้างขึ้น และถูกครอบงำจากความเชื่อและความคิดจากบทบาทเช่นนั้นจนสูญเสียความเป็นอิสระหรือแม้กระทั่งตัวของตัวเองไปในระดับหนึ่ง (ซึ่งตอนที่พิมพ์ก็คิดต่อ .... ว่าบทบาทของเราเป็นตัวจำกัดอิสรภาพของเราจริงหรือ และถ้าเราไม่มีบทบาทหรือความเชื่อนั้น เราจะเป็นอย่างไร เพราะตัวเราไม่มีทางอยู่โดยปราศจากความเชื่อหรือบทบาทเช่นนั้นได้ ก็เป็นปัญหาที่ตอบยาก และมีเส้นแบ่งข้อจำกัดและโอกาสที่เกิดขึ้นจากบทบาทความเชื่อเหล่านั้นที่แสนจะไม่ชัดเจนอย่างยิ่ง)

สรุปว่าพระเอกตัวจริงในเรื่อง (สปอยล์) [Nate เพื่อนของ Evie ตั้งแต่สมัยเรียน และพี่ชายของ Katie] ก็เป็นพระเอกที่คนอ่านอย่างอีฉันกึ่งลุ้นมาตั้งแต่ตอนเริ่มต้น และก็จบลงอย่างชื่นมื่น ... อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง เพราะเห็นตัวจริง/ ความสามารถที่แท้จริงของตัวเอกแล้วไม่หวาดกลัวจนหนีหายไป (เปรียบเทียบ Hunter/ Clayton/ Daemon เป็นต้น) แต่กลับกลายเป็นว่าการรู้จักตัวจริงทำให้ตัดสินใจเดินหน้าต่อเพราะได้รู้จักกันมากขึ้น (หรืออย่างน้อยก็ผ่านอันตรายมาด้วยกันแล้ว) แต่ก็ทำให้เกิดคำถามว่า ถ้าพระเอกอ่อนแอกว่าจะมีทางออกที่สมบูรณ์ให้กับทั้งคู่แน่หรือ .... ถ้าเขาจะกลายมาเป็นจุดอ่อนของเธอ ทั้งนี้ ก็ต้องติดตามกันต่อไป เพราะเหมือนว่าพระเอกอาจจะมีความสามารถบางอย่างอยู่ในตัวก็ได้

จากการตามล่าหาเกี่ยวกับ Margaret Ronald เธอมีเล่มที่สองในชุด คือ Wild Hunt ซึ่งไม่รู้ว่าจะออกเมื่อไหร่ หรือว่าจะเป็นเกี่ยวกับอะไรชัดเจน (นอกเหนือจากความสามารถที่ถูกปลุกให้ตื่นแล้วของ Evie ในเล่มแรก) ซึ่งตอนนี้อีฉันก็อยากอ่านมาก ... และก็ต้องขอบอกว่าเป็นหนังสือที่ลงตัวที่สุดเล่มหนึ่งตั้งแต่อ่าน UF มา ในฐานะนักเขียนหน้าใหม่ คิดว่าเธอทำได้ดีมาก ๆ (เพราะถึงจะเขียนมาก่อนแล้ว การวางโครงและตามโครงเรื่องอย่างนี้ก็ยากแล้ว) ถึงขั้นอ่านไปกลางเล่มก็คิดว่า A ได้ A แน่ ๆ (เพียงแต่กลัวพลิกผันตอนจบว่าจะทำให้คะแนนน้อยลง) และดังนั้น เมื่อดำเนินไปได้อย่างที่คาดหวังเอาไว้ ก็ให้คะแนนที่ A+ อย่างไม่ต้องสงสัย ชอบมาก มาก และมาก สรุปว่า A perfect combination of clever and imaginative enigma and everything … just right combination!

คิดว่าอาจจะต้องอ่านซ้ำอีกครั้ง เพื่อเก็บรายละเอียดในการตีความ คิดว่าอาจจะต้องอ่านซ้ำอีกครั้ง เพื่อเก็บรายละเอียดในการตีความ เหมือนเป็นหนังสือเกม Whodunit ที่คนอ่านต้องเก็บเบาะแสในระหว่งอ่าน และก็คิดว่าจะไปเขียนรีวิวใน Amazon ให้ด้วยซ้ำ!!!

อีกประการหนึ่งก็คือ คิดว่าเข้าใจ Celtic myth/ folklore แต่สงสัยจะน้อยเกินไป หลังจากนี้จะไปหาอ่านเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ความชัดเจนเกี่ยวกับความเชื่อเหล่านี้มากขึ้น

ปล. มีจุดที่ยังไม่เข้าใจอยู่อีกจุดคือ ความรู้สึกจริง ๆ ของ Brendan ที่มีต่อ Evie ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับจุดยืนของเขา หลายครั้งที่เขาดูจะมีความรู้สึกต่อเธอ สงสัยจะชัดขึ้นหลังอ่านซ้ำ

Monday, 13 April 2009

Son of the Shadows by Juliet Marillier (n)

หลังจากอ่านเล่มหนึ่งจบ ก็ไม่กล้าอ่านเล่มสองต่อ เพราะยังอินอยู่มาก และกลัวว่าถ้าอ่านเห็นใครตายคงจะสติหลุดไป และดังนั้นก็เลยเป็นการไปอ่านเรื่องย่อจาก wiki ด้วยตัดสินว่าฉันคงไม่อ่านต่อเร็ว ๆ นี้ และพอจะอ่านต่อก็คงลืมไปแล้ว แต่เอาเข้าจริง พอเห็นอยู่ที่ชั้นก็อดไม่ได้ที่จะพลิกดูครั้งแรก แครั้งที่สอง จนกระทั่งไปพารากอน แล้วต้องไปเอาหนังสือที่เอ็มโพเรียมจากโทษของการไม่ได้สั่งจองไว้ทำให้ต้องขึ้นรถไฟฟ้าไปกลับเพื่อหนังสือหนึ่งเล่ม ก็เลยหิ้ว Son of the Shadows มาอีกเล่ม (และสี่เล่มในตอบจบ) – เป็น shadow เงามืดมาก เพราะพอได้หนังสือมาก็เป็นช่วงปั่นงานยุ่งเหยิง จนกลางอาทิตย์ทนไม่ได้ ต้องหนีไปอ่าน และพออ่านจบก็ไม่ได้ฤกษ์เขียนรีวิวเสียอีก จนกระทั่งวันนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะว่าอย่างไร ล่าไปทั้งการอ่านและการรีวิว โอ ลา!


ชนิด : folklore/ Celtic/ historical
ชุด : Sevenwaters, book 2
สำนักพิมพ์ : Tor Fantasy (June 17, 2002)
จำนวนหน้า : 608 หน้า


รางวัล : 2001 Aurealis Awards for Fantasy Novel

หลังจากเล่มแรกลงเอยด้วยการที่ Red ละทิ้งที่ดินของตัวเพื่อมาอยู่กับ Sorcha แล้ว เล่มนี้พูดผ่านมุมมองของ Liadan ลูกสาวคนสุดท้องของทั้งคู่

Liadan เป็นเด็กเรียบร้อย ขยันขันแข็ง และว่านอนสอนง่าย เธอเหมือน Sorcha ทั้งรูปร่างหน้าตา และความรู้เรื่องสมุนไพรและการรักษาโรค ความสุขของเธอคือการได้อยู่กับครอบครัวที่รัก และทำสวนสมุนไพร หากทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อ Niamh พี่สาวคนโตผู้รักสนุก ทำอะไรตามใจตัวเอง ไปรักกับนักบวชฝึกหัดลูกศิษย์ของ Conar น้าชายที่ปัจจุบันกลายเป็นหัวหน้านักบวช และถูกบังคับให้แต่งงานเพื่อสร้างฐานพันธมิตรเป็นการตัดปัญหา

นั่นก็เพราะระหว่างกลับจากเดินทางไปส่งพี่สาวที่แต่งงานออกไป Liadan ถูกกลุ่มโจร/ทหารรับจ้างนอกกฎหมายลักพาตัวไปเพื่อช่วยรักษาช่างเหล็กของกลุ่ม ความสามารถในการรักษาประกอบกับความกล้าและมุ่งมั่นของเธอทำให้เด็กสาวได้ความเคารพจากกลุ่ม และระหว่างนั้น เธอและ Bran (หรือ Painted Man ตามชื่อที่คนอื่นเรียก) หัวหน้าพวกนอกกฎหมายก็ตกหลุมรักกันและกัน แต่ทว่า Bran ตัดสินใจส่ง Liadan กลับบ้าน เมื่อเขารู้ตัวตนที่แท้จริงของเธอ

อย่างไรก็ตาม Liadan ตั้งท้องกับเขา และด้วยความรักที่มีต่อ Bran ทำให้เธอยิ่งตัดสินใจที่จะเลี้ยงลูกด้วยตัวเองอยู่ที่ Sevenwaters โดยที่ไม่ยอมแต่งงานเพื่อสร้างพันธมิตรใด ๆ จนเมื่อ Bran ถูก เจ้าของที่ดินที่มีความแค้นกับเขาอยู่จับตัวไปทรมานเพราะความแค้นที่เจ้าตัวมีต่อกลุ่มนอกกฎหมาย และต่อตัว Bran ที่ได้หัวใจของ Liadan ไป และ Liadan หาทางช่วยเขาออกมาที่ความรักของทั้งคู่เห็นทางออกในที่สุด

เทียบกับเล่มที่แล้ว การดำเนินเรื่องเล่มนี้ว่องไวกว่ามาก และเน้นหนักที่การเล่า/ บรรยายเรื่องแทนที่จะเป็นพรรณนาแบบเดิม ซึ่งก็หมายถึงว่าเกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ เยอะมาก และตลอดเวลา อย่างที่การเล่าเรื่องย่อข้างต้นก็ย่นและย่อจนเหลือแต่โครงหลักอย่างที่สุดมา เมื่อแรกอ่านคิดไว้ว่าจะเหมือนกันงานชิ้นอื่นที่ได้อ่านของ JM (Daughter/ Wildwood/ Cybele’s) ซึ่งทั้งสามเล่มมีความคล้ายคลึงและรูปแบบบางอย่างอยู่ และดังนั้น เมื่อมาอ่านเล่มนี้ก็แปลกใจที่การดำเนินเรื่องแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง และส่วนตัวเองก็มองว่าเหมือนเป็นเรื่องรักมากกว่าจะเป็นแฟนตาซี ทั้งที่ก็มีมิติของเวทย์มนต์มาเกี่ยวข้องเป็นระยะ ๆ โดยเฉพาะเมื่อตัว Liadan มีพลังเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และใช้ความรู้นั้นให้เป็นประโยชน์กับตัวเองและคนรอบข้างได้หลายครั้ง รวมไปถึงความสามารถในเยียวยาจิตใจ ซึ่งช่วยพี่สาวและคนรักของตัวเองมาได้

อย่างที่บอกว่าความโดดเด่นอย่างหนึ่งในงานของ JM ก็คือ “ความรักที่ละเมียดละไม” เป็นความรักที่ผ่านการกลั่นกรองและใช้เวลาจนรู้ใจและเข้าใจตัวเอง หากในเรื่องนี้ในแว่บแรก แทบจะไม่เป็นเช่นนั้นเลย เรียกได้ว่า “โลดโผน” กว่านั้นมาก เพราะตัว Liadan และ Bran เจอกันในช่วงที่ลูกน้องของเขาลักพาตัวเธอมา ในช่วงระยะเวลานั้นจนถึงเมื่อเขาส่งตัวหญิงสาวกลับไปไม่น่าจะเกินสิบวันเป็นอย่างมาก แต่ทั้งคู่ตกหลุมรักกันอย่างลึกซึ้งและจริงจังเสียแล้ว หลังจากนั้น ทั้งคู่พบกันอีกเพียงสามครั้ง ที่แต่ละครั้งก็เป็นแค่ช่วงระยะเวลาสั้น ๆ นอกเหนือไปจากการพบกันผ่านทางการเห็นของ Liadan อีกไม่กี่ครั้ง แต่ความรักของทั้งสองก็ยังคงอยู่ และก็คงจะเรียกได้ว่าละเมียดละไมในรูปแบบของตัวหนังสือเล่มนี้เอง เพราะแม้จะผ่านมาเป็นเดือนเป็นปีแต่ความคิดคำนึงที่อีกฝ่ายมีต่อกันไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย และการที่ไม่ได้เจอกันก็ยังเพิ่มพูนความรู้สึกในใจอีกฝ่ายได้เสียด้วยซ้ำ และที่สำคัญ ทั้งสองคนคิดแทนอีกฝ่าย และพยายามช่วยเหลือกันมาตลอด อย่างที่เธอส่งพลังใจไปให้เขาในทุกครั้งที่เป็นคืนเดือนมืดเป็นปี ๆ (สปอยล์) [เพราะในวัยเด็ก Bran ถูกคนที่เกลียดชังพ่อและ Red จับไป และถูกขังไว้ในห้องใต้ดินอยู่เสมอ] และ Bran ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาพร้อมที่จะเข้ามาสู่ดินแดนของศัตรู และเสี่ยงตัวเองเพียงเพราะรู้ว่า Liadan เดือดร้อนและกำลังต้องการเขา

หลังอ่านจบมีความรู้สึกว่าเป็นเรื่องรักในลักษณะ The Lady and the Outlaw ที่อ่านไปก็ลุ้นไปว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะเป็นอย่างไรต่อไป เพราะช่วงที่ตามอ่านไม่เห็นทางออกเลย แม้ตัว Liadan อาจจะออกจากครอบครัวไปอยู่กับ Bran ได้ แต่ที่อยู่ของ Bran ก็ไม่ใช่ที่อยู่ของเธอ และฝ่ายชายก็ไม่มีวันยอมให้ Liadan ต้องมาใช้ชีวิตที่ต้องระวังหลังตลอดไปอีกด้วย อย่างที่ในเรื่อง เจ้าตัวสร้างความแค้นไว้กับหลายคน และก็เป็นเรื่องยากที่จะแม้แต่เป็นที่ต้อนรับ และตัว Bran เองก็ไม่สามารถอยู่ที่ Sevenwaters เหมือนอย่าง Red ได้ (อย่างที่มี Finbar บอก Liadan ไว้ว่า “You captured a wild creature when you had no place you could keep him.” (หน้า 241))

ชอบที่แต่ละคนเปลี่ยนชีวิตของอีกฝ่ายได้ และความสัมพันธ์ระหว่างกันก็พัฒนาตัวเองให้เปลี่ยนไปจากเดิม ซึ่งในแง่นี้ก็ไม่แน่ใจว่าใครเปลี่ยนแปลงอีกฝ่ายมากกว่ากัน อย่างตัว Liadan เอง ก่อนมาเจอกับ Bran เธอเป็นเด็กที่เงียบ เรียบร้อย เชื่อฟังคำสั่ง และมีความสุขกับการทำงานบ้าน แต่พอพบ Bran แล้ว ความรู้สึกที่เธอมีต่อเขาทำให้เธอเข้มแข็งขึ้น กล้าขึ้น และมุ่งมั่นขึ้น จนอาจถึงขั้นรั้น อย่างที่กล้าเลี้ยงลูกตามลำพังโดยที่ไม่แต่งงาน (โดยไม่ยอมบอกว่าใครเป็นพ่อของเด็ก) และก็ไม่ยอมปล่อยมือจาก Bran แม้ทั้ง Fair Folk หรือ Conar จะบอกว่า Bran มีประโยชน์แค่เป็นพ่อของลูกที่เกิดตามคำทำนายของ Sevenwaters เช่นนั้นก็ตาม เธอแกร่งพอที่จะเลือก Bran ซึ่งเธอรู้ว่าโลกหรือแม้แต่ครอบครัวเธอจะไม่เห็นด้วย เธอแกร่งพอที่จะไม่ยอมปล่อยมือ และขณะเดียวกันก็แกร่งพอที่จะเปลี่ยนแปลง Bran โดยเฉพาะการช่วยเขาในคืนเดือนมืดและอย่างยิ่งในตอนจบ ทัศนคติและความเข้มแข็งของเธอชัดมาก ดังเช่นตอนนี้ “… I do not seek to make these wounds vanished as if they had never been. I know he will always bear the scar. I can not make his path grow broad and straight. It will always twist and turn and offer new difficulties. But I can take his hand and walk by his side.” (หน้า 550)

สำหรับ Bran เอง มิตินี้อาจจะไม่ชัดมากนัก เพราะเราอ่านเรื่องผ่านมุมมองของ Liadan แต่อย่างน้อยที่สุด ก็ทำให้เขากล้าคิดต่างไปจากเดิม อย่างที่ความเกลียดชังบางอย่างที่เขามีต่อคนใน Sevenwaters ลดน้อยลงไปเพราะความรู้สึกที่มีต่อ Liadan จนเขาเลือกที่จะรับข้อตกลงที่ Sean พี่ชายฝาแฝดของเธอเสนอ สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ Liadan มีให้ฝ่ายชายอาจจะเป็นความหวัง – ความหวังทำให้กล้าเปลี่ยนแปลงตัวเอง เป็นในสิ่งที่ดีขึ้น โดยเฉพาะเพื่อให้คู่ควรกับเธอ จากที่เขามีชีวิตอยู่อย่างเกรี้ยวกราด ขมขื่นเพราะเชื่อมาตลอดว่า เขาไม่มีค่าอะไร และความกล้าที่จะมีความหวัง ทั้งนี้ จากพื้นฐานของตัว Bran เองก็ส่งผลให้ความกล้าเช่นนี้เกิดขึ้นและหายไปเป็นระยะ ๆ ซึ่งก็ในเรื่อง ทำให้เจ้าตัวเป็นคนที่ hypocrite ปากอย่างใจอย่างที่สุดคนหนึ่ง เพราะ Bran เอง เป็นคนบอกให้ Liadan ตัดใจจากเขาทุกครั้งที่เจอกัน (รวมไปถึงที่แยกจากกันในครั้งแรก) แต่ก็ไม่ยอมให้เธอไปมีใครอื่นแต่อย่างใด

Then his hands came around my waist, and he lifted me into the saddle; but one hand still lay against my thigh as if he could not quite let go.
“Liadan,” he said, staring intently at the ground.
“Yes,” I whispered.
“Don’t wed that man Eamonn. Tell him, if he takes you, he’s a dead man.” His tone was intense. It was a vow. (หน้า 201)

“…. You must move on without me, Liadan.”
There was a terrible ache in my heart, but I kept my tone light. “Then you think I should have married Eamonn when he asked me?”
………..
”What?” He sprang to his feet in outrage. “That man would have taken my woman and my child for his own?” (หน้า 439)

ซึ่งจริง ๆ ในแง่หนึ่งคนที่ปล่อยมือจากอีกฝ่ายไม่ได้มากที่สุดอาจจะเป็นตัวชายหนุ่มมากกว่า Liadan ก็ได้ ตอนที่อธิบายความรู้สึกของเขาได้ดีที่สุดมาจากคำพูดของ Snake รองหัวหน้าในกลุ่ม
“… He wants you. You want him. But he’d never agree to keep you here with us; no life for a lady, not for a little lad. He’d never risk you that way. And he’ll never give up. It’s all he knows; the only way he can justify going on….He won’t let you stay. Pack you off home and then go and get himself killed as soon as he can.” (หน้า 525-6)

ซึ่งทั้งนี้ก็ถูกใจมากกับทางออกที่ลงตัวในตอนจบ ที่ Bran บอกว่า “And yet I long to return and make things right again. I long to prove what seemed impossible: that I can be my father’s son.” (หน้า 563)

เมื่อพูดถึงกลุ่มของ Painted Man ก็ต้องบอกว่าเป็นกลุ่มที่ชอบที่สุดในเล่ม เริ่มแรกเปิดตัวมามีการบรรยายถึงการฆ่าของคนกลุ่มนี้ทำให้รู้สึกว่าเหี้ยมโหด เลือดเย็น และป่าเถื่อน แต่ความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เลย คนกลุ่มนี้ถูก Bran รวมรวบมาจากที่ต่าง ๆ และก็เป็นคนที่สิ้นหวังกับชีวิตที่ผ่านมา ไม่มีที่ให้กลับไป (ไม่ว่าจะเป็นถูกจับเป็นทาส และครอบครัวถูกฆ่าต่อหน้าอย่าง Gull/ บ้านถูกเผากลายเป็นเถ้าในกองเพลิงและเหลือรอดมาได้ตัวคนเดียวอย่าง Rat ฯลฯ) จนกระทั่ง Bran พามาอยู่ด้วยกัน และให้ความหวัง และเป้าหมายในการมีชีวิตอยู่ต่อ เป็นกลุ่มที่ถูกสังคมทำร้าย และพยายามลืมสิ่งที่เกิดโดยละทิ้งอดีตของตัวเองด้วยการเรียกชื่อตัวเองเป็นสัตว์ประเภทต่าง ๆ และสัก/ ทำเครื่องหมายตัวเองไว้เหมือนสัตว์ชนิดนั้น พอสัมผัสจริง คนกลุ่มนี้เป็นคนที่น่ารัก จริงใจ และซื่อสัตย์อย่างมาก และเป็นกลุ่มที่ถูกทำให้เชื่องจากความกล้าของ Liadan และไร้เดียงสาอย่างไม่น่าเชื่อที่ถูกใจกับนิทานของ Liadan อย่างมหาศาล (ซึ่งต่างจาก Beauty and the band of beasts อย่างที่คิดว่าจะเป็นในหนังสือรักมาก) จนกลายเป็นตายแทนได้ (ตลกที่ Red บ่นให้ Liadan ฟังว่าฟังพวกนี้พูดถึงลูกสาวแล้วนึกว่าเป็น half queen half goddess creature)

จากเล่มเก่าที่เอาใจช่วย Sorcha จนรู้สึกผูกพันกับตัวละครและพี่ชายทั้งหกคนของเธอ พอมาถึงเล่มนี้กลายเป็นว่าเหลือเพียง Finbar พี่ชายที่หายไปในป่าคนเดียวเท่านั้นที่ยังชอบอยู่ ชอบวิธีคิดและความเฉลียวฉลาดของเจ้าตัวมาก ยิ่งเมื่อเขาเข้าใจโลกอย่างที่ควรจะเป็น ทั้งนี้ Liam และ Conar ต่างยึดกับหลักการของตัวเองมากไปจนลืมความเป็นไปได้หลายอย่างไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัว Conar ที่เชื่อในความคิดของตัวเองมากไปจนทำลายชีวิตหลานสาวตัวเอง ในรุ่นนี้เรื่องราวของพี่ชายที่เหลืออยู่มีบทบาทลงไปมาก นอกเหนือจากสองคนที่ตายไปแล้ว ตัว Padriac เองก็มีวิธีชีวิตของตัวเองด้วยการเป็นนักเดินทางและปรากฏตัวในเล่มนี้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น (และเท่าที่รู้ก็เป็นครั้งสุดท้ายด้วย - ซึ่งทั้งนี้กลายเป็นว่าในบรรดาทั้งหกคน Padriac เป็นคนที่ได้รับผลกระทบจากการกลายเป็นหงส์น้อยที่สุด และดังนั้น มีความสุขกับชีวิตหลังจากนั้นได้มากที่สุด) ซึ่งขณะเดียวกันตัวละครที่รู้สึกว่าน่ารักไม่เปลี่ยน ก็คือ Red ที่รับฟังด้วยใจประกอบพร้อมไปกับเหตุผลเสมอมา (แม้ว่าจะลดน้อยลงไปอย่างมาก เมื่อเกี่ยวกับลูกสาวในตอบจบ ขณะเผชิญหน้ากับ Bran และสมาชิกในกลุ่มก็ตามที)

ทั้งนี้เปรียบเทียบกัน ตัว Liadan ได้เปรียบกว่าแม่มาก เพราะฐานครอบครัวที่เข้มแข็งและแข็งแกร่งกว่า และการมีคนคอยสนับสนุนช่วยเหลืออยู่ข้างหลังทำให้เธอทำอะไรตามใจตัวเองได้เยอะ ซึ่งก็เพราะไม่ต้องมีเงื่อนไขที่คอยเหนี่ยวรั้งความเป็นไปได้และความต้องการของตัวเองด้วย ในแง่นี้ตัว Liadan อาจจะเป็น Sorcha ที่ไม่มีเงื่อนไขและความเลวร้ายของชีวิตใด ๆ เข้ามาเป็นอุปสรรคของตัวเองก็ได้ ... ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็แสดงให้เห็นในทัศนคติที่เธอมีต่อคนรักของเธอ เมื่อเธอมาจากครอบครัวที่อบอุ่นมากพอจนสามารถที่จะเป็นคนให้ และอย่างยิ่งคนไล่ตามความฝันของทั้งคู่ได้ ขณะที่ Bran เลือกที่จะถอยห่างไป และก็กลัวที่ Liadan จะไม่ยอมรับเขาแม้ในตอนจบเรื่อง

อ่านชุดนี้แล้ว คิดว่าชีวิตสมัยก่อนคงเป็นอย่างที่ Hobbes บอกจริง ๆ ว่า ใน "solitary, poor, nasty, brutish and short" (ถึงจะไม่ใช่ในสภาพธรรมชาติที่ก่อให้เกิดสัญญาประชาคมก็ตามที) เพราะคนสมัยก่อนอายุสั้นมาก อย่าง Sorcha เล่มนี้เธอก็ตายเสียแล้ว ด้วยอายุไม่น่าเกิน 36 ปี ซึ่งถือว่าสั้นมาก และถ้าไม่ตายด้วยความเจ็บป่วยก็คงเป็นแบบ Diarmid กับ Cormack พี่ชายทั้งสองคนที่ตายในสนามรบ (จะพูดไป การกลายเป็นหงส์อาจทำให้ตายช้าลงกว่าที่จะเป็นจริง ๆ ก็ได้)

สำหรับเล่มนี้ เรื่องความรักระหว่างชาวประมงกับนางเงือกที่ Red เคยเล่าให้ Sorcha ฟังก็กลับมาอีกครั้ง ในฉากที่ Sorcha กำลังจะตาย และเธอขอให้เขาเล่านิทานเรื่องนี้ให้ฟังอีกครั้ง ซึ่งเป็นฉากที่เศร้ามากฉากหนึ่ง ด้วยความสงสารความสูญเสียที่กำลังจะเกิดขึ้นกับ Red อย่างไรก็ตาม นิทานที่ถูกเล่าในเรื่องมีนัยซ่อนอยู่ทั้งสิ้น อย่างระหว่างที่ Liadan เล่านิทานให้กลุ่มของ Painted Man ฟัง เรื่องเหล่านี้ก็กลับมามีความหมาย และเป็นตัวบ่งบอกอนาคตของเธอเอง ยิ่งเฉพาะเรื่องของหญิงสาวที่ทำทุกอย่างที่จะได้คนรักของเธอกลับคืนมาจากอีกโลกหนึ่ง

จุดหนึ่งที่ต่างไปจากเล่มอื่นอย่างมากก็คือ ตัวละครในเรื่องอื่นเชื่อฟังคำสั่งของโลกอื่นอย่างเคร่งครัด และไม่กล้าทำตามสิ่งที่ขัดไปจากคำสั่งนั้น แต่ Liadan ไม่ใช่เลย เธอเป็นตัวของตัวเองอย่างมาก จนกล้าและเชื่อที่จะทำตามสิ่งที่ตัวเองเห็นว่าถูกต้องและสมควร เธอทุ่มเถียงและโต้แย้งกับคนเหล่านั้นหลายต่อหลายครั้ง จนฉากที่พระราชาและพระราชินีของเหล่า Fair Folk ปรากฏตัวทำให้คิดว่าเป็นตัวร้ายไป ทั้งที่ในเล่มที่แล้ว ตัวละครสองตัวนี้เป็นคนช่วยแม่ของ Liadan ด้วยซ้ำไป และเล่มนี้ ก็มี Old Ones ซึ่งเป็น higher being อื่นเข้ามาอีก และก็กลายเป็นว่า Old Ones ซึ่งเก่าแก่กว่า Fair Folk มาก มีเพียง Liadan ที่ได้ยิน (Old Ones benign กว่า??)

ครั้งแรกที่อ่านจบให้แค่ B เพราะไปยึดติดกับรูปแบบในเล่มแรกมาก มากจนเล่มนี้ผิดจากทิศทางที่คาดหวังไว้ว่าจะเป็นอย่างมหาศาล อย่างไรก็ดี หลังจากนั้นมีเวลามาพลิกดูใหม่ คิดว่าเล่มนี้ก็มีเสน่ห์ของตัวเอง (และกลายเป็นได้รับคำชมที่เปลี่ยนรูปแบบจากเดิมได้) และที่สำคัญคืออ่านสบายกว่าเล่มแรกมาก ไม่รู้สึกว่าเครียดหรือกดดันมากเท่าไหร่ แต่จะชอบมากกว่านี้ ถ้าพูดถึงอนาคตที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้นให้ชัดเจนแน่นอน เพราะมีแผนการวางไว้แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป โดยเฉพาะจากบริบทสถานการณ์ในเรื่อง การจบแบบให้ต่อยอดเอาเองเช่นนี้ทำให้ผู้อ่านช่างลุ้นอดค้างคาใจไม่ได้เป็นที่ยิ่ง และดังนั้นสำหรับแฟนตาซีให้ B และฐานะเรื่องรักให้ B+/A (ถ้าให้สมาชิกในกลุ่มออกมามากกว่านี้ก็คงได้ A ไป) The book got me beaming - feel like smiling, laughing, grinning!

วิจารณ์ที่ชอบจาก Trine D. Paulsen

ปลีกย่อย
1. สารภาพว่าไม่ชอบคำเรียกว่า Dear heart เลย เห็นมาตั้งแต่เล่มแรกก็ยังพอรับได้ว่าเข้ากับบุคลิกตัวละครดี แต่พอเล่มนี้ Liadan เรียก Bran เช่นนั้นในตอนจบรู้สึกไม่ถูกใจอย่างที่สุด รู้สึกว่ามันแสนจะเชย ถ้ายุคนั้นเรียกว่า My love หรืออะไรแบบนี้ไม่ได้หรือไร อีฉันชอบกว่ากันเยอะ

2. ไม่เข้าใจอย่างมาก ว่าทำไม Dog สมาชิกในกลุ่มถึงได้แยกตัวออกไป ระหว่างปฏิบัติภารกิจและถูกทหารของ Eamonn รุมทำร้ายได้ จากบริบทสถานการณ์ในเรื่องไม่น่าที่จะอยู่ตรงนั้นจนเกิดเรื่องได้ เหมือนมีเพื่อจุดประสงค์สองอย่าง คือ ตัดคนที่อาจเป็นปัญหาเรื่องความรักระหว่าง Liadan และ Bran ออกไป (เมื่อ Dog หลงรัก Liadan จนกล้าขอเธอแต่งงาน) และที่สำคัญ ให้เห็นความกล้าของ Liadan ที่ใช้มีดลงมือฆ่า Dog ด้วยตัวเองเพื่อให้เขาหายทรมาน หลังจากที่รู้ว่าไม่มีทางรอด

3. จริง ๆ ไม่มีความแตกต่างระหว่าง Niamh และ Liadan ที่จะเลือกคนรักของตัวเอง แต่อะไรที่ทำให้สองพี่น้องต่างกันในเรื่อง? เพราะ Liadan ลงมือทำไปแล้ว หาทางออกให้กับการกระทำของตัวเองมากกว่า Niamh ที่ต้องให้คนอื่นหาทางแก้ให้? คิดว่าในจุดนี้เธอแกร่งกว่าพี่สาวมาก เพราะเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองเลือก และไม่มีวันเสียใจ .... ซึ่งถึงความรักของเธอจะอยู่ในสถานการณ์เดียวกับพี่สาว เธอก็หาทางออกให้ตัวเองได้อย่างแน่นอน

4. จบเล่มแรก คิดว่า anti-climax อยู่ที่เมื่อกลายเป็นคนอีกครั้ง พี่ชายทั้งหกรีบกลับมาที่ Sevenwaters เพื่อล้างแค้นแม่เลี้ยง แต่ตัวแม่เลี้ยงกลับหนีออกไปจาก Sevenwaters แล้ว – ซึ่ง anti-climax ทั้งในแง่ที่ทำร้ายทำลายคนอื่นเพื่อให้ได้อำนาจมา แต่ไม่อยู่ครอบครอง และในแง่ที่ตัวร้ายลอยนวลหายไป แต่จากเล่มนี้แสดงให้เห็นว่าการต่อสู้ระหว่างกันยังคงดำเนินอยู่ ซึ่งจากเรื่องย่อใน wiki เล่มสามจะชัดเจนยิ่งขึ้น

5. พล็อต The Lady and the Outlaw ทำให้คิดถึงสองเรื่อง คือ (1) The Pearls and The Crown Duology ตรงที่นางเอกถูกลักพาตัวไป และรักกับพระเอก (แม้เล่มนี้จะเป็นลูกน้องเป็นคนตัดสินใจลงมือก็ตาม) แต่ต่างกันอย่างมากที่เล่มนี้ก่อร่างความพึงใจ และการชอบพอระหว่างทั้งสองคนขึ้นมาได้อย่างที่คนอ่านเชื่อได้ ต่างจากชุดนั้นอย่างสิ้นเชิง แล้วก็รวมไปถึงการสร้างตัว outlaws ที่รวมพระเอกให้ดูมีมิติขึ้นมาได้ด้วย (2) The Dream Thief ชอบที่ความรู้สึกรักและชอบพอใครสักคนเปลี่ยนแปลงให้เราแตกต่างออกไปจากเดิม และกลายเป็นคนที่ดีขึ้น ... คิดว่าเหมือนผสมสีที่น้ำเงินผสมแดงเป็นม่วง อะไรอย่างนี้ เพราะสิ่งที่เป็นตอนอยู่คนเดียว แตกต่างจากสิ่งที่เป็นได้ขณะอยู่ด้วยกันสองคนมากในทั้งสองเรื่อง

6. จริง ๆ ก็ไม่แน่ใจว่าตระกูล Sevenwaters สองรุ่นหลังเลี้ยงลูกสาวตามใจมากไปหรือเปล่า เพราะถ้าเป็นอย่างบ้านอื่น ไม่มี own will/ free spirit ชีวิตก็อาจจะเป็นเรื่องง่ายกว่าเดิม (ซึ่งอาจไม่สุขเท่าเดิมก็ได้) อย่างที่ Aisling น้องสาวของ Eamonn รักกับ Sean และก็มีชีวิตตามแบบหญิงสาวสูงศักดิ์ที่ควรจะเป็น ไม่ได้ออกนอกลู่นอกทาง ซึ่งแปลว่าทำตามความต้องการของตัวเองแต่อย่างใด

7. แปลกที่กลายเป็นว่า เสีย Red ให้ไอริช และเสีย Liadan ให้ไบรตัน เพราะท้ายเรื่องแล้ว หลังจากที่รู้ว่า Bran เป็นใคร Red เสนอให้เขากลับไปที่ Harrowfield เพื่อช่วย Simon ปกครองที่ดิน – และก็เป็นการผลของการกระทำที่ผ่านมาของ Sorcha และ Red ที่ทั้งคู่ต้องกลับไปเปลี่ยนแปลงด้วย ที่มาของ Son of the Shadows ก็คือตัว Bran เองที่อยู่ในเงามืดจากผลของการกระทำนั้นในแง่หนึ่ง (ซึ่ง Liadan ในฐานะเด็กที่อยู่นอกวงก็ดึงเขากลับมาได้)

8. รอเล่มสามที่สั่งเข้ามา และรอเล่มสี่ที่จะเป็นปกอ่อนเดือน พ.ย. – อย่างไรก็ดี อยากจะกรีดมากว่าปก US ซึ่งเป็นปกที่มี เป็นปกที่ห่วยที่สุด ออกแบบได้ทึมซึมเศร้าเป็นที่สุด ออกแบบปกออกมาแบบนี้จะขายได้ไหม เห็นปกก็สลดแล้วนะคะ เลือกคนออกแบบปกดี ๆ หน่อย!

9. ทำไมหลัง ๆ เขียนรีวิวต้องมีเพลงที่นึกได้ประกอบด้วยคะ? ความรู้สึกของ Liadan ต่อ Bran ชัดมากที่ 3D ของ TLC
I know I've always been down
No matter who else was around
Those crazy things we've been through
Will always make me love you


I'll never let you forget me
You know I'm the best girl you've ever seen
Just when you think you'll never see me
I can bring it to you in 3D

และสำหรับ Bran ต่อ Liadan นึกถึง Love Is A Place I Dream Of ของ Luka Bloom – สำหรับตัวตนของ Bran ความรักและความอ่อนโยนอาจจะเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีอยู่จริงจนระทั่งเจอ Liadan ก็ได้
Love is a place I dream of
A face that never leaves my mind
Sorrow is over my shoulder
But it's over

Someday I will cross the world for you
No matter how far
Just to be there
Someday I will hold you in my arms
So special you are
Wait and see my love, set you free (ยกเว้นท่อนนี้ที่น่าจะเป็น set ME free มากกว่า!)

Love is a place I dream of
I hear you cry so far away
There is a bridge I'm building
Take me to the one I love someday

Tuesday, 7 April 2009

Bitten by Kelley Armstrong (n)

ไม่เคยอ่านงานของ Kelley Armstrong สักที จนกระทั่งได้ฟังจากคุณเมย์แห่ง Mostly Romance บอกว่าเป็นชุด Urban Fantasy ที่ดี/ ชอบที่สุด และดังนั้น ก็ถึงเวลาอ่านกัน



ชนิด : Urban Fantasy/ Werewolves
ชุด : Women of the Otherworld, Book 1
สำนักพิมพ์ : Plume/ Mass Market Paperback (September 7, 2004)
จำนวนหน้า :448 หน้า


หลังจากต้องกลายเป็นมนุษย์หมาป่า Elena พยายามใช้ชีวิตปกติอยู่เมือง – เธอตัดขาดจากฝูง ดำเนินชีวิตอย่างมนุษย์ธรรมดาในฐานะนักหนังสือพิมพ์ และอยู่กับแฟนหนุ่มนักสถาปนิก – หากวันหนึ่ง โทรศัพท์จาก Jeremy หัวหน้าฝูงขอให้เธอกลับไปด้วยเหตุเร่งด่วน เนื่องจากเกิดการฆาตกรรมจากฝีมือของมนุษย์หมาป่านอกฝูง (ในหนังสือเรียกว่า ‘mutt’) แม้ตำรวจและหนังสือพิมพ์จะสรุปว่าเป็นฝีมือหมาป่า แต่แนวโน้มอันตรายที่อาจจะต่อเนื่องมาถึงฝูงก็ทำให้ต้องออกตามหาคนร้ายให้ได้ก่อนที่เรื่องราวจะลุกลามออกไป

อย่างไรก็ตาม สิ่งรอบตัวซับซ้อนกว่านั้นสำหรับเธอ การกลับไปหาฝูงหมายความว่าเธอต้องเจอ Clayton คนรักเก่า ที่เป็นคนเปลี่ยนให้เธอเป็นมนุษย์หมาป่าเพื่อให้เธออยู่กับเขาตลอดไป และความรู้สึกในใจเธอก็สับสนไม่ยิ่งหย่อนกว่าเหตุการณ์ตรงหน้าเลย

เมื่อเริ่มอ่าน ชอบการบรรยายและอธิบายธรรมชาติของมนุษย์หมาป่าในเรื่องมาก อย่างที่อ่านในหลายเรื่องพูดถึงการเป็นมนุษย์หมาป่าไว้ก็จริง แต่ก็ได้แค่มุมมองความรุนแรงและความเลือดร้อนเป็นหลัก โดยไม่ได้อธิบายอะไรต่อจริงจัง แต่เล่มนี้ทำให้เห็นวิธีคิด ทัศนคติ และสัญชาตญาณ รวมไปถึงพฤติกรรมที่แตกต่างจากเล่มอื่น และแตกต่างจากความเป็นมนุษย์และวิธีคิดอย่างมนุษย์อย่างสิ้นเชิง อย่างที่เปิดมาให้เห็นการออกวิ่งของตัวเอกในยามค่ำคืนที่ล้อเล่นกับเหยื่อ และการวิ่งหนีให้ต้องไล่ล่าเป็นการกระตุ้นเร่งเร้าสัญชาตญาณดิบให้ฆ่า หรือแม้แต่ฉากตามล่ากวางที่อธิบายพฤติกรรมฝูงในการล่าเหยื่อก็ไม่แตกต่างกัน “ความดิบเถื่อน”จากสัญชาตญาณและความเป็นสัตว์ป่าที่เต็มไปด้วยรายละเอียดทำให้เกิดความสมจริงและน่าติดตาม

การที่ผู้เขียนเรียนมาทางด้านจิตวิทยา และแทรกประเด็นเรื่องนี้ไว้ในการขัดแย้งในใจของ Elena ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ และส่วนตัวเองทำให้ Bitten เน้นที่พัฒนาการของตัวละครในการหาคำตอบให้กับตนเองมากกว่าจะเน้นที่เนื้อเรื่อง (เพราะแม้ว่าจะมีเนื้อเรื่อง แต่น้ำหนักที่รู้สึกก็คืออย่างแรก) ถึงแม้ว่าส่วนหนึ่งในใจของ Elena จะรัก Clayton ไม่เคยเปลี่ยน แต่การที่เธอยังเจ็บแค้นกับตัว Clayton ที่เปลี่ยนเธอให้เป็นมนุษย์หมาป่า ทำให้เธออยู่ร่วมกับเขาไม่ได้ และไม่ยอมให้ทุกอย่างกลับเป็นเหมือนเดิม ซึ่งก็เพราะการที่มาจากครอบครัวที่ขาด (พ่อแม่ของ Elena ตายในอุบัติเหตุรถคว่ำ โดยที่เธอรอดชีวิตมาได้ แต่ฝันร้ายนั้นก็อยู่ติดตัวเธอมาจนทำให้ครอบครัวที่รับเธอไปเลี้ยงทนเธอไม่ได้ และต้องเปลี่ยนครอบครัวที่รับเลี้ยงครั้งแล้วครั้งเล่า และเมื่อโตขึ้นเธอก็เป็นเหยื่อพ่อเลี้ยงทั้งหลายอีก) ทำให้ Elena คาดหวังว่าจะโตขึ้น และสร้างครอบครัวที่ปกติสมบูรณ์ได้ แต่การกลายเป็นมนุษย์หมาป่าทำให้ความฝันสูงสุดของเธอพังทลายลง และทำให้เธอให้เธอให้อภัย Clayton ไม่ได้ แม้ว่าจะผ่านมาเป็นสิบปีแล้วก็ตาม

นอกเหนือจากการปฎิเสธ Clay แล้ว เธอก็ยังปฎิเสธความเป็นมนุษย์หมาป่าในตัวด้วยเช่นกัน Elena พยายามอย่างมาก จนมากเกินไปที่จะเป็นปกติในสังคมมนุษย์ เธอพยายามที่เป็นคนธรรมดาตามบรรทัดฐานที่เธอมองว่าใช่ แม้ว่าจะฝืนความต้องการของตัวเธอเอง และทำให้เธอไม่มีความสุข ตั้งแต่การขึ้นรถใต้ดินไปทำงานทั้งที่เกลียดการอยู่ร่วมกับคนแปลกหน้า ทนให้ตัวเองหิวเพราะไม่กล้าให้คนอื่นรู้ว่าเธอกินมากอย่างธรรมชาติร่างกายมนุษย์หมาป่า และอื่น ๆ อีกมาก ทั้งที่ส่วนหนึ่งเธอก็แปลกแยกจากสังคมตามความสมัครใจของเธอเอง เธอหนีออกจากฝูงที่เป็นครอบครัวเพราะมองว่าการเป็นมนุษย์หมาป่าไม่ใช่เรื่องปกติ และดังนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเป็น หรือสิ่งที่เธอควรจะเป็น อย่างที่ Clayton พูดใส่หน้าเธอไว้ว่า “… Do you know what magical spell ‘that place’ [A pack’s home] has you under? It makes you happy. But you won’t admit that because, to you, the only acceptable happiness comes in the ‘normal’ world, with ‘normal’ friends and a ‘normal’ man. You’re bound and determined to make yourself happy with that kind of life, even if it kills you.” (หน้า 323)

ความมุ่งมั่นที่จะเป็นปกติ และมีชีวิตปกติบดบังเธอไม่ให้เห็นสิ่งที่เธอมี และก็กลายเป็นตรวนที่รั้งเธอไว้จากความสุขที่แท้จริงเช่นกัน เธอต้องการคนรักที่สมบูรณ์แบบและรักเธอ ซึ่งในแง่หนึ่ง Clayton ก็เป็นเช่นนั้นให้เธอได้ เธอต้องการครอบครัว เธอก็มี Jeremy และฝูง และบ้านของเธอก็คือที่ฝูง ตอนแรกที่อ่านคิดว่าฝูงปฏิบัติต่อเธอไม่ดี แต่ไม่ใช่เลย เธอหนีมาเพราะตัวเธอเอง เพราะใจของเธอเอง โดยเฉพาะประเด็นที่เธอเคียดแค้นว่า Clayton ทำให้เธอเป็นมนุษย์หมาป่า และหมดโอกาสใช้ชีวิตอย่างปกติ ทั้งที่เธอรักและเชื่อใจเขา Elena มองว่าชายหนุ่มเห็นแก่ตัว และคิดถึงแต่ตัวเอง แต่เมื่ออ่านกลับมองว่าคนที่เป็นเช่นนั้นจริงคือ Elena เอง ความเคียดแค้นทำให้เธอขมขื่นและก้าวร้าวใส่คนอื่นอยู่เนือง (โดยเฉพาะ Clay) แต่เธอไม่เคยมองตัวเองเลย หรือถ้าจะมองก็กล่าวโทษให้เป็นความผิดของ Clay

ซึ่งทำให้ในทางกลับกัน เห็นความรักที่ Clay มีต่อ Elena ได้อย่างชัดเจนและลึกซึ้งอย่างที่สุด เขารักหญิงสาวอย่างที่เธอเป็น มองเห็นเธอได้อย่างถ่องแท้ และเข้าใจเธอยิ่งกว่าที่เธอจะเคยเข้าใจตัวเอง นอกเหนือจากการกัดให้ Elena กลายเป็นมนุษย์หมาป่าเช่นเดียวกับเขาแล้ว ความรักของ Clayton ไม่เคยมีเงื่อนไขใด ๆ เลย ช่วงเกือบปีครึ่งหลังจากที่ Clay กัด Elena และถูก Jeremy ไล่ออกไปจากบ้าน เขาขอร้องให้ Jeremy จัดงานคริสมาสต์ในฝูง เพราะรู้ว่าสำคัญกับ Elena ขนาดไหน แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ด้วย เขายอมเป็นที่รองรับอารมณ์ของเธอ แม้ว่าเธอจะโมโหร้าย และเกรี้ยวกราดใส่เขา พยายามที่จะเข้าใจและอดทน รอให้ Elena กลับมารักเขาได้เหมือนเดิม แม้ว่าจะใช้เวลาเป็นปี โดยที่ไม่เคยหมดใจหรือถอดใจ (รวมไปถึงการกล้าให้ตัวเธอเป็นเหยื่อล่อหรือแม้แต่สู้กับคนร้าย ที่เกิดขึ้นเพราะเขาเชื่อในตัวของ Elena และความสามารถ/ พลังของเธอ ซึ่งประเด็นนี้หายากมาก (และชอบมาก) ที่พระเอกจะปล่อยนางเอกไปรบราฆ่าฟันกับใคร แต่กรณีเกิดขึ้นเพราะ Clay รู้จักเธออย่างแท้จริง และเข้าใจเธอ) อย่างที่ Elena บอกว่าเธอรัก Clay แต่เธอไม่เคยเข้าใจเขาเลย และเมื่อหลังเกิดเหตุ ความพยายามเข้าใจหรือแม้แต่รับฟังของเธอก็ยิ่งหมดไป ถ้ามองว่าเธอรักเขาจริงก็น่าจะเปิดกว้างแล้วเปิดใจได้มากกว่านี้ ประเด็นความฝันในใจก็เป็นสิ่งหนึ่ง แต่ความเป็นจริงก็เป็นอีกสิ่งหนึ่ง เพราะไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างที่เราต้องการ และสิ่งเดียวที่จะทำให้ก็คือสร้างให้สิ่งตรงหน้าดีที่สุดกับเรา

อย่างที่อ่านก็คือ เข้าใจความรู้สึกของ Elena ในเรื่อง แต่ขณะเดียวกันก็รำคาญเธออย่างมากเช่นเดียวกัน และไม่เคยรู้สึกว่า Clay เป็นฝ่ายผิดหรือผิดปกติในเรื่องเลย แต่เป็นคนที่น่าสงสารที่สุด มีตอนที่อธิบายความรู้สึกน้อยใจของ Clay และรู้สึกว่าอธิบายได้ดีก็คือ ตอนที่ Elena ให้ Clay ไปซ่อนเพื่อที่ตัวเองจะออกไปล่อคนร้าย และเขาตอบว่า “Uh-uh. We’ve played this game before. I hide. You never seek. I am a bit slow on the uptake, but I’m beginning to sense a pattern.”(หน้า 175) และโดยเฉพาะตอนที่เธอกลับไปหาแฟน และ Clay ต้องกลับไปคุ้มครองเธอด้วย เป็นช่วงที่รู้สึกว่าเธอเลือดเย็นมาก และใจร้ายมากที่กล้าทำร้ายจิตใจของ Clay และรู้สึกสะใจไปพร้อมกัน .... อย่างไรก็ดี ก็เป็นตอนที่เปรียบเทียบให้เห็นชัดว่า เธออยู่กับใครได้อย่างเป็นธรรมชาติและเป็นปกติในแบบของเธอได้มากกว่า ยิ่งเมื่อเธอและ Clay เป็นคนประเภทเดียวกันอย่างที่เธอไม่เคยรู้ ทั้งลักษณะนิสัยวิธีคิด หรือแม้กระทั่งพื้นฐานชีวิตหลายอย่าง โดยเฉพาะการพยายามที่จะ “เข้าที่เข้าทาง” ในสมัยเด็ก(แปล fix in ว่าอะไรดี?)

และดังนั้น เรื่องที่เกิดในเล่มก็คือ การทำความเข้าใจกับตัวเอง และความต้องการของตัวเอง ซึ่งก็เกิดจากการถูกกระตุ้นด้วยเหตุการณ์มนุษย์หมาป่านอกฝูง เพราะถ้าไม่มีสิ่งนี้ก็จะไม่ทำให้ Elena ทบทวนความสำคัญของ Clay และกับฝูงที่มีต่อตัวเธอเลย

อย่างไรก็ตาม ไม่ชอบโครงเรื่องบางส่วนอย่างหนักเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อ Jeremy ออกคำสั่งให้ Elena กลับไปที่เมืองพร้อมกับมี Clay ตามไปคุ้มครอง เพราะมองว่าอันตรายที่เกิดขึ้นมีตัวเธอเป็นเป้าหมายหลัก ซึ่งความจริง อันตรายที่เกิดขึ้นเกิดจากตัวบุคคลไม่ใช่สถานที่ การเปลี่ยนที่อยู่ไม่ใช่ทางแก้ปัญหาที่ถูกต้องเลย การแบ่งกำลังเป็นสองฝ่ายทำให้การรับมือ และตกเป็นฝ่ายตั้งรับทำได้ยากขึ้น การคุ้มครองตัว Elena ด้วยกำลัง Clay เพียงคนเดียวทำได้ยากกว่าเมื่ออยู่ในวงล้อมของฝูงมาก และในทางกลับกัน การแยก Clay ออกมาก็ทำให้ฝูงมีกำลังเหลือน้อยลง ยิ่งเมื่อพิจารณาว่าเขาเป็นกำลังหลักในการต่อสู้และกำจัดมนุษย์หมาป่านอกฝูงมาตลอด

ยุทธวิธีต่อสู้ของ Jeremy ค่อนข้างตั้งรับมากเกินไป ซึ่งก็ทำให้ฝูงเสียเปรียบในการต่อสู้ โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงว่า การที่มีฆาตกร/ นักฆ่ามารวมอยู่กับมนุษย์หมาป่านอกฝูงก็ยิ่งทำให้ฝูงค่อนข้างเสียเปรียบเมื่อยังคงวิธีคิดแบบเดิมที่ใช้ตรรกะแบบมนุษย์หมาป่าเป็นตัวนำอยู่ จุดนี้ทำให้อดคิดไปถึง Marrok/ Bran ในชุด Mercy ไม่ได้ เพราะหลายอย่างค่อนข้างคล้ายคลึงกัน และเพราะตัว Bran มียุทธศาสตร์ที่รุก และก้าวหน้ากว่ากันมาก ... และจุดหนึ่งที่คิดว่าฝูง ยโสและเย็นชา ก็คือ การที่ไม่ยอมรับฟังเสียงของมนุษย์หมาป่าที่บอกว่าต้องการมีพื้นที่ของตัวเอง ไม่ผิดปกติถ้ามนุษย์หมาป่านั้นจะร่วมมือกับคนอื่นเพื่อให้ได้พื้นที่ของตัวเองขึ้นมา และก็ถึงกับรู้สึกว่าฝูงสมควรได้รับบทเรียนเช่นนี้บ้าง (และก็ต้องบอกว่าอ่านจบเล่มแล้วชอบตัว Marsten ด้วยซ้ำไป)

ตอนใกล้จบของเรื่องถือเป็นการหักมุมอยู่ที่หัวหน้ามนุษย์หมาป่านอกฝูงที่คิดร้ายกับฝูงถูกฆาตกรต่อเนื่องที่ตัวเองสร้างให้เป็นมนุษย์หมาป่าฆ่าตาย แต่ก็ถือว่าอธิบายวิธีคิดของคนแต่ละประเภทได้ดี ซึ่งก็เป็นสิ่งที่หนังสือเล่มนี้ทำมาตลอด (ซึ่งคนอ่านจะชอบไม่ชอบก็อีกเรื่องหนึ่ง – อย่างที่ส่วนตัวเองไม่ชอบ Elena ในบางช่วง) และก็ค่อนข้างชอบแนวคิดการเอาฆาตกรต่อเนื่องมาเป็นมนุษย์หมาป่า เป็นภาพของนักล่าที่กลายมาเป็นผู้ล่าอีกประเภทที่ไม่มีทางเป็นมนุษย์หมาป่าทั้งทางวิธิคิดและพฤติกรรมได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่กลายเป็นนักล่าอย่างเดิมที่มีพละกำลังมากขึ้น – จริง ๆ ถ้าพัฒนาปมตัวนี้มากขึ้นก็น่าจะสนุกมากขึ้นอีกเยอะ (แต่คงกลายเป็นกึ่ง ๆ Hannibal Letter ไป??)

ทั้งนี้ ต้องบอกว่า ความรู้สึกส่วนตัวมองว่า Bitten เป็นเรื่องรักที่ใช้การดำเนินเรื่องแบบ Urban Fantasy เป็นหลัก ให้คะแนนที่ B/B-

อื่น ๆ
1. ยังคิดว่าจะอ่านเล่มสอง (Stolen) ต่อดีไหม เพราะว่าพลาดมากที่ไม่ได้ซื้อเอาไว้ตอนสั่ง Bitten ตอนนี้ในชุดเหลือแค่ Personal Demon กับ Men of the Otherworld ถ้าสั่งก็ต้องรอเดือนนึง แต่นั้นแหละ ก็คิดว่าสั่ง แต่ละสั่งทั้งชุด หรือจะทยอยสั่งทีละ 2-3 เล่มกันพลาดดีคะ? กรี๊ด on hold มาก ๆ

2. ไปดู Fast and Furious 4 แล้ว อดคิดถึงบุคลิกของ Clay กับ Dom (Vin Diesel) เหมือนกันมาก คือ ก้าวร้าว รุนแรง ดิบ และสามารถ แต่ขณะเดียวกัน กับคนที่รักรอบตัวก็ ใส่ใจ เข้าใจ และกล้าให้เสี่ยงอันตราย เพราะรู้ว่าทำได้ (ในหนังพี่แกให้คนรักกระโดดจากรถขึ้นไปบนรถน้ำมันที่กำลังแล่นอยู่ทั้งสองคันเนี่ยนะ โอ น่ากลัวมาก) อย่างที่ Dom บอกในเรื่องว่ารักผู้หญิงที่ 20 % เป็นนางฟ้า 80 % เป็นนางมารนี่ก็ใช่อีก .. Elena ไม่ได้ก้าวร้าวเพราะความเป็นมนุษย์หมาป่า แต่การเป็นมนุษย์หมาป่าทำให้เธอหาทางที่จะใช้ความก้าวร้าว รุนแรงที่เธอซ่อนเอาไว้มาตลอดได้ (เธอรู้ว่าโลกอยากเห็นเด็กที่หัวอ่อนว่าง่าย อารมณ์คงที่ หรืออย่างน้อยครอบครัวที่รับเธอไปเลี้ยงก็ต้องการเช่นนั้น และเธอก็สร้างภาพตัวเองเช่นนั้นขึ้นมา และ Clay ก็เป็นคนเห็นตัวตนที่แท้จริงของเธอก่อนที่เธอจะรู้หรือเข้าใจตัวเองด้วยซ้ำไป)

3. แล้วก็ขอทวงเพลง Please Don’t Leave me ของ Pink คืนจาก Joanna ใน Sign of Sodiac มาให้ Elena แทน ถึงเธอจะไม่สนใจ ทำร้ายจิตใจ Clay ตลอด take Clay for granted เพราะรู้ว่า Clay รักเธอ และไม่มีวันทิ้งเธอ แต่พอเขาห่างไป หรือผิดจากที่เธอคิดไว้ เธอก็กลัวเอง ถึงขั้นใจสั่น ตัวเย็น สติหลุดไป เพลงนี้เหมาะมาก!
I don't know if I can yell any louder,
How many times have I kicked you out of here?
Or said something insulting?

I can be so mean when I wanna be,
I am capable of really anything,
I could cut you into pieces,
But my heart is, broken.

Please don't leave me
I always say how I don't need you
But it's always gonna come right back to this
Please don't leave me

I forgot to say out loud,
How beautiful you really are to me,
I can't be without,
You're my perfect little punching bag,
And I need you, I'm sorry.