เหมือนเดิม เขียนไว้คิดเอง
The question of how: perspectives and lives
1.
ดู Point Break งวดนี้ ไม่ได้มีแค่โต้คลื่นสนุกสนานต่อไป แต่เป็นการไล่ล่าเล่นกีฬา extreme แบบสุดโต่งเพื่อไล่ตามและรับรู้ความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ กลุ่มคนที่เห็นความเป็นไปไม่ได้ให้กลายเป็นความเป็นไปได้กลุ่มนี้ทำให้คิดถึง บทความที่เคยอ่านบทหนึ่ง คนเขียนแบ่งธรรมชาติเป็น 2 กลุ่ม คือ beautiful กับ sublime อันแรกเป็นแค่ สวย แค่ก็สวย นิ่ง เพราะว่า มนุษย์ควบคุมได้ ขณะที่ ธรรมชาติแบบ sublime นั้น มนุษย์ควบคุมไม่ได้ แต่นั่นก็เป็นจุดที่ทำให้มนุษย์ชื่มชมและหลงใหลธรรมชาติแบบนี้เช่นกัน มนุษย์สร้างสรรค์และประดิษฐ์สิ่งประดิษฐ์หลายหลาก แต่มนุษย์ก็ไม่ใช่นายของทุกอย่าง จริงไหม?
2.
พระเอกจับทาง กลุ่ม “โจร” ได้ เพราะคิดแบบที่โจรคิด ด้วยตรรกะนักกีฬา extreme เก่า เคยมีคนที่อยากจำแค่สิ่งที่ต้องจำ เพราะว่าสิ่งที่เหลือรกสมอง แต่ใครเป็นคนกำหนดว่า อะไรมีค่าชวนจำ และอะไรมีค่าควรลืม สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์อาจเป็นประโยชน์ก็ได้ ทุกอย่างมีที่และเวลาของมัน ซึ่งถ้าไม่มีความเชี่ยวชาญ ชำนาญแบบพระเอก คงตามไปที่กลุ่มโจรไม่ได้
3.
ทุกคนมีแนวคิดของตัวเอง ใครเป็นคนกำหนดว่าอะไรผิด อะไรถูก และดังนั้น การคิดเรื่องคนอื่นก็ควรจะมองด้วยมุมมองที่เป็นธรรม ซึ่งก็คือ ผ่านมุมมองเรา มุมมองเขา และมุมมองต่อไปหลาย ๆ คน ดูให้ครบ จึงจะดี
4.
แอบคิดไปว่า พฤติกรรมปล้นมาแจกคนจนแบบโรบิน ฮู้ด ในเรื่อง มันช่างฉาบฉวย ดูตอบแทนสังคม แต่จะได้ประโยชน์ไหม? การแจกเพชรแจกทองด้วยการโปรยลงมาจากท้องฟ้านี่ ขอตั้งคำถามว่า 1. ชาวบ้านจะเก็บได้หมด หรือตกหล่นไปไหม 2. ได้เงินเปล่า ๆ มา คงใช้แบบถลุงภายในวันเดียว เอาไปตั้งศูนย์อาชีไ สร้างบ่อน้ำ ทำถนนจะดีกว่าไหม? แต่เป็นนามธรรมเกินไป ไม่เหมาะกับธรรมชาติหนังแอคชั่นเนอะ
5.
เล่นกีฬา extreme แบบ extreme ชีวิตมีค่าน้อยไปไหม? ตายง่ายกันเหลือเกิน มีความเชื่อในหนังเกี่ยวกับ Ozaki Ordeal ซึ่งสรุปแบบไม่ไหว้หน้า คือ เล่นท้าทายเสี่ยงตายมันให้ได้ 8 ที่ 8 อย่าง ครบแล้วจะบรรลุ ซึ่งในแง่หนึ่ง ถ้าพยายามทำในสิ่งที่ยากจะทำได้นี่ อย่างน้อยจิตใจก็จะเข้มแข็ง แข็งแกร่งขึ้น และหลังจากนั้น เมื่อจิตใจนิ่งแล้ว จะทำอะไรก็ทำได้ใช่ไหม? แต่ถ้าเราไล่ตามสิ่งที่เราไขว่คว้าอยู่จนได้ ชีวิตหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไร หรือเราจะเกิดเป้าหมายใหม่ขึ้นมา
6.
เราตอบแทนสังคมได้ ด้วยการทำสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ปลูกต้นไม้ สร้างบ้านให้คนที่ไม่มีบ้าน ไม่ต้องประกาศรักชาติ แต่ทำหน้าที่ให้ดีที่สุดน่าจะดีกว่านะ
7.
ยึดเป้าหมายมากไป วิธีการอาจหลุด เช่น หลงไปปล้นแบงค์เองจริง ๆ
8.
Steve Aoki โผล่มาเป็นดีเจ 3 วินาที cameo ของ cameo
9.
พระเอกอาจจะเป็นตัวซวย ใครอยู่กับฮีตายหมด
10.
ชื่อ Bodhi นี่ ต้นโพธิ์ใช่ไหม?
Saturday, 12 December 2015
Sunday, 29 November 2015
Movie: Lobster
(จริง ๆ เขียน เพราะบ่นกับตัวเองอยู่)
1.
ในโลกอนาคต สังคม dystopia แห่งนี้ บังคับให้ทุกคนต้องมีคู่ และถ้าไม่มี คนโสดเหล่านี้ต้องเข้าร่วมโครงการจัดหาคู่ใน The Hotel สถานที่ ที่รัฐกำหนด โดยที่ ถ้าหาคู่ไม่ได้ภายใน 45 วัน ก็ต้องกลายเป็นสัตว์ที่ตัวเองเลือก และถูกส่งเข้าป่าไป ซึ่งความรักออกแบบไม่ได้ และยิ่งภายในสภาวะกดดัน การเลือกคู่ และพิจารณาหาคนที่ใช่ยิ่งลำบาก และจอมปลอม หลายคนเลือกที่จะมีคู่ส่งเดช เพื่อให้ไม่ต้องเป็นคนโสด และ –โดยนัย-ตาย
ในโลกอนาคต สังคม dystopia แห่งนี้ บังคับให้ทุกคนต้องมีคู่ และถ้าไม่มี คนโสดเหล่านี้ต้องเข้าร่วมโครงการจัดหาคู่ใน The Hotel สถานที่ ที่รัฐกำหนด โดยที่ ถ้าหาคู่ไม่ได้ภายใน 45 วัน ก็ต้องกลายเป็นสัตว์ที่ตัวเองเลือก และถูกส่งเข้าป่าไป ซึ่งความรักออกแบบไม่ได้ และยิ่งภายในสภาวะกดดัน การเลือกคู่ และพิจารณาหาคนที่ใช่ยิ่งลำบาก และจอมปลอม หลายคนเลือกที่จะมีคู่ส่งเดช เพื่อให้ไม่ต้องเป็นคนโสด และ –โดยนัย-ตาย
การดำรงชีพในสังคม ก็เป็นไปด้วยกฎเกณฑ์แบบเดียวกัน การเดินอยู่คนเดียวตามท้องถนน เสี่ยงต่อการถูกจับกุมในข้อหาคนโสด และอาจถูกปฎิบัติไม่ต่างกับการเป็นผู้ก่อการร้ายในสมัยนี้
และหลังจากที่การมีคู่จอมปลอมไม่ได้ผล David ตัวเอกในเรื่อง ก็เลือกทางเลือกใหม่ให้ตัวเอง คือ หนีเข้าป่าไปเสียเลย แต่ในสังคมใหม่ที่เจอ บังคับให้ทุกคนเป็นโสด และการมีคู่จะถูกลงโทษหนัก หนีเสือปะจระเข้เป็นเช่นนี้เอง
2.
ทำไมชีวิตนี้ไม่มีความพอดี ไม่มีทางเลือกที่สามให้เราแล้วหรืออย่างไร? อยู่เป็นโสดก็ถูกจับส่งเข้า The Hotel จะอยู่ในป่าก็มีความรักไม่ได้เสียอีก แต่ก็นั่นแหละ? มนุษย์เป็นสัตว์ที่หาความยุ่งยาก (หรือพูดในแง่ดีก็คือ หาทางออก) ให้ตัวเองได้เสมอ เพราะในที่ ๆ ความรักเป็นสิ่งต้องห้าม ไม่ได้ถูกส่งเสริม ตัวเอกของเราก็มีความรักเข้าจนได้
ทำไมชีวิตนี้ไม่มีความพอดี ไม่มีทางเลือกที่สามให้เราแล้วหรืออย่างไร? อยู่เป็นโสดก็ถูกจับส่งเข้า The Hotel จะอยู่ในป่าก็มีความรักไม่ได้เสียอีก แต่ก็นั่นแหละ? มนุษย์เป็นสัตว์ที่หาความยุ่งยาก (หรือพูดในแง่ดีก็คือ หาทางออก) ให้ตัวเองได้เสมอ เพราะในที่ ๆ ความรักเป็นสิ่งต้องห้าม ไม่ได้ถูกส่งเสริม ตัวเอกของเราก็มีความรักเข้าจนได้
ชอบที่ไม่ต้องพูดว่ารัก แต่ผ่านการกระทำโดยนัย เมื่อตัวเอกบอกว่า อย่าไปรับกระต่าย (อาหาร) จากคนอื่น เพราะจะเป็นหาให้เอง กลับไปเป็นสังคมดั้งเดิมที่ผู้ชายต้องล่าหาอาหารให้ผู้หญิงดีนะ
3.
หนังไม่ได้อธิบายกฏเกณฑ์ใด ๆ เอาไว้ แล้วก็เลยเปิดโอกาสให้ตั้งคำถามต่อ ถ้ามีความรัก จะหนีด้วยกันจากป่าไปเข้า The Hotel อีกครั้ง แล้วกลับไปอยู่เป็นด้วยกันในฐานะสามีภรรยาได้ไหม? แล้วถ้าทุกเมืองเป็นแบบนี้ สถานทิ่อย่าง The Hotel ก็ต้องมีทุกเมืองเลยหรือ? แล้วถ้าคนที่เป็นคู่กับเรา ไม่ได้อยู่ที่ The Hotel A แต่เป็นที่ The Hotel B ล่ะ? เรามักพูดว่าเนื้อคู่ก็ต้องหากันจนเจอ แต่อันนี้อาจจะไม่มีหวัง
4.
การจับคู่ในหนัง เลือกด้วยเกณฑ์ความเหมือนกันบางอย่าง (แล้วก็เป็นบางอย่างที่แปลก เช่น เลือดกำเดาไหล ขากระเผลก สายตาสั้น ฯลฯ) ซึ่งจริง ๆ มันใช้ได้จริงหรือ? ก็รู้ว่าตั้งให้เห็นความเพี้ยนของสังคม แต่ถ้าตาบอดไม่ต้องทำให้ตาบอดเหมือนกันก็ได้ไหม? แล้วจะป้องกันตัวกันอย่างไร เหลือไว้คนนึงดีไหม? ก็เลยขัดใจกับตอบจบพอตัว
การจับคู่ในหนัง เลือกด้วยเกณฑ์ความเหมือนกันบางอย่าง (แล้วก็เป็นบางอย่างที่แปลก เช่น เลือดกำเดาไหล ขากระเผลก สายตาสั้น ฯลฯ) ซึ่งจริง ๆ มันใช้ได้จริงหรือ? ก็รู้ว่าตั้งให้เห็นความเพี้ยนของสังคม แต่ถ้าตาบอดไม่ต้องทำให้ตาบอดเหมือนกันก็ได้ไหม? แล้วจะป้องกันตัวกันอย่างไร เหลือไว้คนนึงดีไหม? ก็เลยขัดใจกับตอบจบพอตัว
อย่างไรก็ตาม ถ้าเจอกันใน The Hotel สภาพแวดล้อมที่ปิดเช่นนี้ ความรักที่เกิดจะเป็นความรักได้หรือ? หรือจะเป็นแค่ความรู้สึกว่ารัก ต้องรัก
5.
ไม่รู้คิดไปเองไหม หนังอเมริกันมักสื่อถึงฉากบนเตียงด้วยการจูบ และมีหรืออาจไม่มี การล้มตัวบนเตียงนอน แต่หนังฝรั่งเศส มักเป็นการเขย่านะ
ไม่รู้คิดไปเองไหม หนังอเมริกันมักสื่อถึงฉากบนเตียงด้วยการจูบ และมีหรืออาจไม่มี การล้มตัวบนเตียงนอน แต่หนังฝรั่งเศส มักเป็นการเขย่านะ
6.
บทสนทนาในเรื่องแล้งมาก แต่ก็จงใจให้เห็นสภาพแห้งแล้งทางจิตใจของผู้คนใช่ไหม? แต่อาจจะซื้อมาเก็บ เพราะง่าย ๆ โง่ ๆ เอาไว้ฝึกภาษาน่าจะดี
บทสนทนาในเรื่องแล้งมาก แต่ก็จงใจให้เห็นสภาพแห้งแล้งทางจิตใจของผู้คนใช่ไหม? แต่อาจจะซื้อมาเก็บ เพราะง่าย ๆ โง่ ๆ เอาไว้ฝึกภาษาน่าจะดี
7.
คนที่หมดเวลาใน The Hotel เลือกเป็นสัตว์ โดยไม่สนใจสภาพแวดล้อม ในป่าเขตหนาว เราเห็นอูฐ นกยูง และสัตว์เมืองร้อนอีกมาก
คนที่หมดเวลาใน The Hotel เลือกเป็นสัตว์ โดยไม่สนใจสภาพแวดล้อม ในป่าเขตหนาว เราเห็นอูฐ นกยูง และสัตว์เมืองร้อนอีกมาก
David ตัวเอกในเรื่อง คิดไว้ว่าจะเป็น กุ้งล็อบสเตอร์ ด้วยความที่กุ้งอายุยืนยาว และเจริญพันธุ์ได้ตลอด (ไม่นับว่าเจ้าตัวชอบกีฤาทางน้ำ) ถ้าเป็นเรา เราจะเลือกเป็นสัตว์อะไร? และด้วยเหตุผลอะไร?
Movie: The 33
1.
"Men know wealth when they understand their mind."
ไม่ค่อยเกี่ยวกัน แต่พอไปดู the 33 สภาพการแบ่งทูน่าหนึ่งกระป๋องให้ผู้ชายตัวโตๆ 30 กว่าคนกิน โดยที่ละลายกับน้ำคนละช้อนนี่ สามารถทำให้การคิดจะเปิดกระป๋องปลาทูน่าแล้วตักกินเล่นๆ นี่ เป็นความฟุ่มเฟือยโดยทันที
"เงินทองคือมายา ข้าวปลาสิของจริง" หลอนเข้ามาในหัวเลย และที่สำคัญ ไม่ต้องเป็นอาหารหรูหรา ไม่ต้องราคาแพง แต่ให้อิ่มท้อง ท้องไม่หิว และต่อชีวิตให้ดำเนินกิจกรรมต่างๆ ในแต่ละวันได้ก็ดีแล้ว
2.
ทั้งข้าวของฟุ่มเฟือย สุดท้ายในสภาวะเช่นนั้น มันต่างก็ไม่มีประโยชน์กับการต่อชีวิตเราใช่ไหม? เห็นแล้วทำให้สะท้อนคิดถึงสังคมปัจจุบันที่บริโภคนิยม วัตถุนิยมไม่มีที่สิ้นสุด ทรัพยากรจะไม่พอเลี้ยงมนุษย์ก็เพราะเหตุนี้
ทั้งข้าวของฟุ่มเฟือย สุดท้ายในสภาวะเช่นนั้น มันต่างก็ไม่มีประโยชน์กับการต่อชีวิตเราใช่ไหม? เห็นแล้วทำให้สะท้อนคิดถึงสังคมปัจจุบันที่บริโภคนิยม วัตถุนิยมไม่มีที่สิ้นสุด ทรัพยากรจะไม่พอเลี้ยงมนุษย์ก็เพราะเหตุนี้
3.
หนังเปิดไว้หลายประเด็น แต่แปลกที่ติดใจประเด็นบนมากสุด กับอีกอย่างที่คิดคือ โลกเราขาดคนดีที่ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่นะ ชอบทั้งรัฐมนตรีในเรื่องแล้วก็ทั้ง Mario คนงานอีกคน ที่ไม่ยอมถอดใจ (พอๆ กับทนายใน Bridges of Spies ที่ไม่ยอมแพ้) เราจะเลือกเดินทางที่ง่ายแต่ผิด หรือยากแต่ถูกกันนะ?
หนังเปิดไว้หลายประเด็น แต่แปลกที่ติดใจประเด็นบนมากสุด กับอีกอย่างที่คิดคือ โลกเราขาดคนดีที่ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่นะ ชอบทั้งรัฐมนตรีในเรื่องแล้วก็ทั้ง Mario คนงานอีกคน ที่ไม่ยอมถอดใจ (พอๆ กับทนายใน Bridges of Spies ที่ไม่ยอมแพ้) เราจะเลือกเดินทางที่ง่ายแต่ผิด หรือยากแต่ถูกกันนะ?
4.
คิดว่าหนังจะหนักกว่านี้ แต่เน้นการกู้ภัยช่วยเหลือแบบไม่ค่อยกดดัน ใส่ข้อมูลอีกนิดก็เกือบเป็นสารคดีได้แล้ว
คิดว่าหนังจะหนักกว่านี้ แต่เน้นการกู้ภัยช่วยเหลือแบบไม่ค่อยกดดัน ใส่ข้อมูลอีกนิดก็เกือบเป็นสารคดีได้แล้ว
5.
เห็นทุนนิยม นายทุนกดขี่เอาเปรียบคนงานเหมือง แต่ทำไมไม่เคยได้ค่าชดเชยใดๆ?
เห็นทุนนิยม นายทุนกดขี่เอาเปรียบคนงานเหมือง แต่ทำไมไม่เคยได้ค่าชดเชยใดๆ?
6.
ถ้าสังคมไม่นำรัฐ คนงานเหมืองคงตายจริงๆ
ถ้าสังคมไม่นำรัฐ คนงานเหมืองคงตายจริงๆ
7.
เหมืองถล่มกำลังจะตายยังแบ่งเขาแบ่งเรา การดูถูกคนอื่นทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นจริงหรือ?
เหมืองถล่มกำลังจะตายยังแบ่งเขาแบ่งเรา การดูถูกคนอื่นทำให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นจริงหรือ?
Monday, 9 November 2015
Bridges of Spies
“Bridges of Spies = a good story of a good man in a bad time
of bad attitude.”
ดีใจที่หนังจบออกมาบวกกว่าที่คิด และก็ทำให้คิดถึงสงครามเย็นในฐานะสภาพสังคมและกรอบความคิดที่เป็นมากกว่าเนื้อหาที่ได้เรียนในหนังสือเรียน
เรารู้ว่าเกิดการแบ่งแยกทางอุดมการณ์ของขั้วมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา
และสหภาพโซเวียต และความตึงเครียดนั้นก็ส่งผลถึงโลกทั้งโลก และถึงแม้จะเรียนเจาะลึกตอนมหาวิทยาลัย
แต่เราเด็กเกินไปที่จะเห็นผลลัพธ์ของมันจริง ๆ
หนังสะท้อนความตึงเครียดนั้นออกมาชัดเจน
และก็ทำให้ได้ข้อคิดหลายอย่าง ได้เห็นคนดีที่ทำตามหน้าที่ และทำเพราะต้องการทำสิ่งที่ถูกต้อง
กับทำให้ตั้งคำถามว่า ถ้าในสมัยนี้ที่สังคมมีบทบาทนำรัฐ
การช่วยเหลือเด็กนักศึกษาในเรื่องที่อยู่ผิดที่ผิดเวลาจะกลายเป็นเรื่องเร่งด่วนมากกว่าปล่อยตายไหม?
บางทีคำตอบเรื่องนี้ออกจะชัดใน The 33
นะ (ถ้าปล่อยให้ตาย ขณะที่เป็นประเด็นที่ทั้งโลกจับตามองคงจะถูกประนาม)
ปล. สงครามเย็นคงไม่มีผลอะไรกับสังคมสมัยนี้ที่เศรษฐกิจและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมาแทนที่อุดมการณ์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุดมการณ์ทางการเมือง
Good movies
always make me think long and hard long after watching them. And yes, Bridges
of Spies is definitely one of them. (Along with Terminator Genisys for this
year actually) It has reshaped my thoughts to see the Cold War period as
reality of life, not just facts read in textbooks. What can I say? We are
somewhat too young to live in and get affected by the era.
I see a good man who is determined to do his job not just
readily but perfectly. And when read that he helped President Kennedy negotiate
with President Castro after the
invasion of Bay of Pigs, I wondered about another scenario that President
Kennedy lived and ‘theoretically’ arranged grander and more peaceful, and much earlier
peace negotiation with the USSR.
During the time State led Society, it would be easier to
ignore a boy or two, but then? In this era, I bet Society will take a matter in
its hand .. as we will see it in the 33.
Monday, 26 October 2015
The Burning Sky by Sherry Thomas
The book seems promising in the beginning, but then it falls
apart with its slow pace and rather unconvincing plot (disguising a girl as a
boy in the all-boy school with only short hair and boy dress? And speaking of
hiding from enemy’s eyes? I don’t think so!)
The book is told from two different POV’s: that of the mage
girl and of the prince boy. However, what makes it difficult to read is there
is no clear separation when the view switches from one character to another,
and so I feel I need to set back and refocus every time the view changes.
The attraction between the two leading characters is rather annoying.
I feel it’s too much too soon. Maybe as a historical romance author, the writer
feels it natural to add the element at the beginning of the story, but then it
feels forceful, if not fake.
DNF – after the disguise.
Saturday, 24 October 2015
ชายาสะท้านแผ่นดิน ภาคพิเศษ by อี๋ซื่อเฟิงหลิว
เล่มพิเศษ เพราะเป็นภาคลูก ที่ไปก่อวีรกรรมที่ขอเรียกว่าเด็กเปรตทั่วทุกที่ ถ้าอ่านเอาไม่คิดอะไร และไม่สนใจตรรกะ เล่มนี้ตลกไร้สาระได้สุดโต่งมาก ส่วนหนังสือแบ่งเป็น 3 ภาค (ขอนับเองเป็นแค่ 3) คือโม่เหยียน / โม่เฟิง+อวิ๋นฉง และหมิงชิงเยี่ย ซึ่ง
1. ส่วนโม่เหยียนเป็นการจับคู่ที่ดูจบง่ายและไร้เหตุผลไปหน่อย (โดยเฉพาะการตัดสินใจของโม่เหยียนตอบจบ – เพราะน้ำหนักไปลงที่เด็ก 2 คนมากไป)
2. โม่เฟิง+อวิ๋นฉง – คู่นี้แอบคิดอยู่ในใจตั้งแต่เห็นปฎิกิริยาที่เจอกันครั้งแรก แล้วก็เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ แม้จะต้องรอนาน แล้วก็รอจนจบเป็นภาคพิเศษเช่นนี้ รวม ๆ เป็นส่วนที่ดีที่สุด แล้วก็เขียนได้รู้เรื่องที่สุด
3. หมิงชิงเยี่ย – ภาคนี้อาจเป็นภาคที่อ่านแล้วก็ขำว่าบ้าบอที่สุด แล้วก็ไม่ได้เรื่องที่สุดเช่นกัน เพราะไม่เกิดอะไรขึ้นเท่าไหร่
ส่วนตัวอาจให้เขียนภาคพิเศษ โดยเน้นบทจบเสริมให้กับตัวละครรอง ๆ ให้เห็นความคิด-ความสัมพันธ์ของตัวละครเหล่านี้มากกว่า แต่อย่างที่บอกว่า น้ำหนักไปลงกับเด็กสองคนมากเกินไป ซึ่งก็เหมือนเอาลั่วอวี่/หมิงชิงเยี่ย/ซื่อเทียนที่ไม่มีความยับยั่งชั่งใจ ขาดวุฒิภาวะ และไร้ซึ่งการคิดถึงผลลัพธ์มาผสมกัน สนุก แต่รวม ๆ แล้ว คิดถึงตรรกะแบบเดิมมากกว่า
ไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ดีถึงขนาดกรี๊ดดด
ให้ C+/B ก็แล้วกัน
1. ส่วนโม่เหยียนเป็นการจับคู่ที่ดูจบง่ายและไร้เหตุผลไปหน่อย (โดยเฉพาะการตัดสินใจของโม่เหยียนตอบจบ – เพราะน้ำหนักไปลงที่เด็ก 2 คนมากไป)
2. โม่เฟิง+อวิ๋นฉง – คู่นี้แอบคิดอยู่ในใจตั้งแต่เห็นปฎิกิริยาที่เจอกันครั้งแรก แล้วก็เป็นอย่างที่คิดจริง ๆ แม้จะต้องรอนาน แล้วก็รอจนจบเป็นภาคพิเศษเช่นนี้ รวม ๆ เป็นส่วนที่ดีที่สุด แล้วก็เขียนได้รู้เรื่องที่สุด
3. หมิงชิงเยี่ย – ภาคนี้อาจเป็นภาคที่อ่านแล้วก็ขำว่าบ้าบอที่สุด แล้วก็ไม่ได้เรื่องที่สุดเช่นกัน เพราะไม่เกิดอะไรขึ้นเท่าไหร่
ส่วนตัวอาจให้เขียนภาคพิเศษ โดยเน้นบทจบเสริมให้กับตัวละครรอง ๆ ให้เห็นความคิด-ความสัมพันธ์ของตัวละครเหล่านี้มากกว่า แต่อย่างที่บอกว่า น้ำหนักไปลงกับเด็กสองคนมากเกินไป ซึ่งก็เหมือนเอาลั่วอวี่/หมิงชิงเยี่ย/ซื่อเทียนที่ไม่มีความยับยั่งชั่งใจ ขาดวุฒิภาวะ และไร้ซึ่งการคิดถึงผลลัพธ์มาผสมกัน สนุก แต่รวม ๆ แล้ว คิดถึงตรรกะแบบเดิมมากกว่า
ไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ดีถึงขนาดกรี๊ดดด
ให้ C+/B ก็แล้วกัน
Sunday, 18 October 2015
A Discovery of Witches by Deborah Harkness
“Just another love sick YA book”
Despite itsmany potentials, the book became very much just
another adolescent supernatural story of star-crossed lovers, and it reminded
me of twilight and Premonition series in terms of a powerful and aged hero
trying to protect the inexperienced and
relatively weak/ fragile heroine.
It was fun to read how magic was negated with scientific
explanations in the beginning, and not to mention how knowledgeable the mentions
of all those historical events/books are. However, the book loses its appeal once
Diana got nervous breakdown, which unfortunately put Matthew into red-alert
lunaticallly protective mode. As instead of finding out about the dormant
ability inside the witch, all Diana and Matthew do is playing love sick for
each other, very much the way hormone-filled teenagers do.
And I can’t feel falling out of the book. DNF I declared. I
fear.
Monday, 12 October 2015
A Thousand Nights by E.K. Johnston
“A retelling with beautiful and philosophical flows”
The book very much reminds me of Patricia A. McKillip’s story-telling
style, that of no real beginning, no ending, and yet the story itself is going,
and going smoothly. I really enjoyed follow’s the girl’s thoughts and decisions
throughout the story: how she gained her strength because of love for her
sister and family, and how she regained her confidence and started to
understand her power.
Her perspectives throughout the story are simply enlightening.
Many ideas in the book, such as the power of believing in persons (or to be
more specific, small gods, in the book) and the sacrifice of women in a
male-dominated world, are thought-provoking. Still, these notions are added in
a subtle way without overwhelming the main plot.
There has been mostly a perspective of the girl, and we have
seen how her activities and life go. Still, somewhat I also want to know about
her sister. The girl fears that she re-routes her sister’s life ever since she
starts telling the demon how her sister’s life will be: finding a man and
getting married. Yet, I feel her sister’s life has been altered permanently the
day the girl decides to take her sister’s place and become a sacrifice bride.
Instead of marrying the man of power and wealth the loveliest like
her can find, the sister has been devoting herself to not only making the girl’s
a small god but also making others praying for the girl, which in turn give the
girl’s incredible power to stay alive and in the end defeat the demon.
My only complaint is the exorcist of the demon inside Lo-Melkhiin.
As a somewhat romanticizing reader, I feel the potential between the demon and
the girl more. This is especially true that the person interacting with the
girl throughout the whole book is the demon himself, and if he has a capability
to start caring for the girl (even if he doesn’t know it yet), he, too, has a capacity
to love. On the other hand, although Lo-Melkhiin has known the girl from inside
the demon, they are in a way strangers to each other. Therefore, for me, their
attachment towards each other seems unreal. But then, they may care for each
other through the sense of sharing the same experience, and so automatically
feel connected to each other.
Give 4.5.
Sunday, 20 September 2015
ชายาสะท้านแผ่นดิน 10
เทียบกับเล่มที่แล้ว เล่มนี้สนุกขึ้นเยอะ หรือ ถ้าให้พูดอีกอย่าง
ก็คือสนุกกลับมาเหมือนจะเป็นอย่างเดิมที่เคยเป็นมาในเล่มแรก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ถ้าไม่คิดมาก และพร้อมจะลบตรรกะในหัวออกไป แล้วอ่านอย่างเดียว
ชอบวิธีการแก้ปัญหาของลั่วอวี่กับอวิ๋นซื่อเทียน ชอบที่คิดถึงตัวเองเป็นที่ตั้ง
ถึงแม้มุมหนึ่งหลายคนอาจมาองว่าเห็นแก่ตัว แต่ถ้ามองอีกมุม ก็สุดโต่งดี
ฉีกมุมนางเอกพระเอกที่เสียสละตลอดเวลาน่ารำคาญได้ (ซึ่งก็เป็นจุดสะใจที่ทำให้อ่านเรื่องนี้มาตลอดนั่นแหละ)
เล่มนี้ก็เอาตัวละครเก่า อย่างลั่วหลี กลับมา
และกลับมาแบบอัพเกรด ซึ่งกลายเป็นว่าเมื่อมาเทียบกันมาทำให้ตัวละครเดิมที่ควรจะเก่ง
ทำอะไรไม่ได้เลย ส่วนตัว รำคาญขนเงิน ตั้งแต่ออกมาใหม่ ๆ แล้ว และเล่มนี้ก็น่ารำคาญยิ่งกว่าเดิม
เพราะถ้าจะมองว่าโกรธ เพราะปัญหาลามใหญ่โตจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของคนอื่น
ก็บอกปัญหาให้คนอื่นรู้และช่วยแก้จะดีไหม แทนที่จะมาอาละวาดโวยวาย ส่วนโม่เหยียน
สุดท้ายสภาพกึ่งพระรองกึ่งตัวร้าย (สำหรับคนที่ไม่ชอบหน้า) ก็หมดไป
เหลือแต่สภาพกึ่งเพื่อนกึ่งพี่กับทั้งลั่วอวี่กับอวิ๋นซื่อเทียน (แม้คนหลังจะต้องบวกสภาพกึ่งคู่กัดเข้าไปด้วย)
ในเล่มเขียนดีระดับหนึ่ง ชอบเวลาอ่านการร่วมแรงร่วมใจ
ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ของกองกำลังเจ็ดกลุ่มที่พยายามต้านทานศัตรูรอลั่วอวี่กับอวิ๋นซื่อเทียนฝึกวิชาเสร็จ
และชาวบ้านที่มาช่วยรบด้วยอาวุธใกล้มือคว้า อย่างมีดหั่นหมู ม้านั่งไปช่วยสู้
และตอนที่พยายามส่งพลังชีวิตไปเพื่อปิดผนึกค่ายกล แต่ติดใจที่เอาตัวละครรีไซเคิลที่ดูเหมือนจะลึกลับสำหรับตัวละคร
แต่ไม่แนบเนียนแม้แต่น้อยสำหรับคนอ่านมาใช้ใหม่นี่แหละ
อย่างไรก็ตาม
หงุดหงิดที่เล่มนี้เป็นเล่มจบแล้วสำนักพิมพ์ไม่บอกให้รู้นะ เพราะเข้าใจว่ามี 11 เล่มมาตลอด
และเวลาอ่านโดยคาดหวังว่า 10 เล่มกับ 11 เล่ม ความรู้สึกและอารมณ์มันจะต่างกัน
ถ้าจะมี 10 เล่ม แล้วอีกเล่มหนึ่งเป็นเล่มพิเศษก็ควรบอกให้รู้ชัดไปเลย ไม่ใช่กลายเป็น
อ่านเล่ม 9 ด้วยความเข้าใจว่ามี เล่ม 10 และ 11 และอ่านเล่ม10 พอเหลืออีกบทสุดท้ายค่อยรู้ตัวว่าหนังสือจะจบแล้ว
อารมณ์มันถูกตัดหายไปเฉย ๆ เลย
ทำให้ต้องพูดถึงตอนจบ กลายเป็นเฝืออีกแล้วที่จบด้วยการแต่งงานแบบคริสต์ระหว่างเจ้าเงินและเจ้าแดงน้อย
อยากให้จบดีกว่านี้นะ
ก็คงเหงา อ่านมาทุก 2 เดือน (พูดแบบไม่สนใจเล่มพิเศษ
– เพราะกลัวจะไม่ได้ดั่งใจ สาธุ!)
Monday, 18 May 2015
End of Days by Susan Ee
I feel as the book has been cut short to trilogy, it is also
forced to complex and un-complex the plots and characters more erratically than
it had been planned.
Somewhat I also feel it affected the richness of the
before stories – the ongoing bond between Raffe and Penryn becomes rush and
unnatural. Hmm, the first two books have been so good, so good that we had
expected much more than one single book (instead of more!) could deliver?
Still, I feel rather dissatisfied with how the book ends … the central roles from
the new players have been too dominant as they shadow our dear characters.
I feel strange towards the decision of Raffe in the end – as
he has always insisted on salvaging his race. And now? But then, with the trade
he deals with the pit lord (rather predictable eh?), there is no much choice
for him to go on. And even with Raffe’s final decision, how could the love between
a mortal girl and an angel (let alone archangel) lasts? Sooner or later, a
mortal has to leave the world … I only thought there would be different way
where the mortal is not that mortal in the end.
I feel most sorry for one villain and the story behind his ‘ugliness’.
For some reason, it has the most impact in my mind after reading, and I found I
keep wondering and wishing situations could have been kinder for him.
Give it b-.
ชายาสะท้านแผ่นดิน 8
เล่มนี้สนุกกว่าเล่มที่แล้ว แต่ส่วนตัวก็ยังคิดว่าสนุกเท่าเล่มแรก ๆ ไม่ได้
เพราะคนเขียนเขียนเรื่องแนวเดียว พอเริ่มจับทิศทางได้เลย
ไม่รู้สึกว่ามีอะไรแปลกใหม่ และยิ่งกว่านั้น ก็คือเกือบ ๆ จะถึงขั้นคาดเดาได้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ข้อดีอย่างหนึ่งก็คือสภาพ รักสามเส้า (ถึงจะไม่ได้สามเส้าจริงจัง
เพราะนางเอกรู้ตัวและรู้ใจตัวเอง) คลายตัวลง และความเป็นคู่ชัดเจนขึ้น
และเท่าเทียมกันมากขึ้น ส่วนที่สนุกที่สุดในเล่ม ก็คือตอนที่พระเอกหาทางเอาตัวรอด
จากพลังพัวพันได้ กับตอนที่หาทางไปช่วยพระรองหมายเลขหนึ่ง
(ที่สุดท้ายแล้วกลับกลายเป็นเพื่อนพระเอก) เหลืออีก 3 เล่ม ก็จะซื้อต่อไป
และอ่านต่อไป
แต่ที่สงสัยก็คือ จะมีดินแดนลึกลับซ้อนดินแดนลึกลับอยู่อีกกี่ที่
เปิดตัวจั่วใหม่ตลอดเวลา และก็มีผู้เล่นใหม่ที่อัพเลเวลอยู่ตลอดเวลา (แต่ในทางกลับกัน
ก็เป็นวิธีเพิ่มวิชาให้เหล่าตัวเอกเช่นกัน) กับที่สำคัญก็คือ นางอิจฉาที่ไม่ตาย
และอาฆาตสูง จะกลับมาร้ายขนาดไหน (อืมม ตอบต่อเอง ว่าดูจากสภาพความเป็นไปได้ในเรื่องแล้วคงน้อย
เพราะขนาดพระรองสอง (ที่ปรากฏตัวก่อนพระรองหนึ่ง) ถึงอัพเกรดแล้วก็ยังไม่สามารถเทียบเท่าเหล่าพระเอกนางเอกได้
ทั้งในด้านพลังฝีมือ และความหลักแหลม – ที่ค่อนไปทางแกมโกง และดังนั้น
ก็ขอแสดงความยินดีกับพระนางที่มาเจอกัน ตามหากันจนเจอ
เพราะถ้าต้องไปอยู่กับคนอื่นก็คงไม่ได้รู้สึกเท่าเทียมและรู้ใจกับเท่านั้นแน่)
ก็เป็นรีวิวแปลก ๆ อีกเช่นเคย ให้ไป 4-4.5
Tuesday, 17 March 2015
Dead Heat by Patricia Briggs
I was quite surprised to learn that the timeline in the book
has passed so much and that the couple has been together for 3 and a half years
already. Hmm, this book is less cold than the other books, in the sense that I don’t
really see good people being beaten up and killed as much. And for me, it is
heart-lifting to read. This is because in book 3 I don’t really like at all the
result of the situation, and it makes me angry to read about bad guys abducting
and torturing innocent people. I haven’t read much from PB in the last couple
of years, yet it surprises me to remember how distinct her style is. And I plan
to re-read the previous books, including the first novella, very soon.
Labels:
english,
fae,
fantasy,
shapeshifter,
urban fantasy,
werewolves
ชายาสะท้านแผ่นดิน 7
สองคนกลับมาเจอกัน และคืนดีกันแล้วก็จริง แต่รู้สึกว่าเรื่องนี้ตัวละครและความซับซ้อนเริ่มมากเกินไปแล้ว
จะมีคนที่เก่งขั้นกว่าออกมาเรื่อย ๆ และตัวละครก็ต้องเพิ่มพลังและฝีมือไปเรื่อย ๆ
ซึ่งในแง่หนึ่งก็เหมือนนิยายจีนแนวปาฏิหารย์สมัยก่อนนะ
ทั้งที่เล่มนี้เหตุการณ์เยอะ แต่เพราะเยอะเลยทำให้ลงรายละเอียดไม่ได้มากเหมือนเล่มก่อน
ๆ เวลาที่นางเอกจะร้ายและลุยแหลกก็เลยทำให้ขาดสีสันไป และที่สำคัญ แผนการและเหตุการณ์หลายอย่างเริ่มซ้ำจนเป็นแบบแผนให้จับทางได้เสียด้วย
ตั้งแต่อ่านมา เสียใจที่จะบอกว่าเล่มนี้สนุกน้อยสุด แต่ถึงกระนั้นก็อยู่ในขั้นที่รับได้อยู่ดี
ให้ B-
Saturday, 7 March 2015
Vision in Silver by Anne Bishop
Hmm, not so sure whether I tried to devour the book despite
my exhaustion … in the late hour, or whether the circumstance in the book is a
bit dire, I found I didn’t enjoy the third book as much as I did the first two.
Since ViS tries to show the situations around in different points of views of different
characters, it became rather tiring to switch my mind from Mag to Simon, to Monty,
to Vlad and to others. Anne Bishop did like this before in The House of Gaian
in Tir Alainn Trilogy, and yet I still feel the same: wide views yet a bit
confused reader. This is also due to 3 main plots – finding right balance for
all the blood prophets, solving the reason for Lizzy’s being haunted and
dealing with the increasing human protests. And maybe, with dire situations, I
find fewer heart-warming and hilarious scenes than before, and those fewer
scenes somewhat also feel a bit forced. Nevertheless, it also must be said that
AB just did wonderfully, actually marvelously, with the plots and how they
entangled and untangled together.
Strange that in the book I became most excited to read about
‘the scarred girl’ and how she would eventually overcome her fear and live more
fully. With her unique way of giving prophecy, the book 4 should have more of
her, and yes, I can’t wait to see.
Still, Anne Bishop is Anne Bishop, and I did – as I always
do – enjoy reading about her dark fantasy books. A.K.A. fantasy books with dark
sides of humans!
My rate? Well, 3.5.
Labels:
dark,
English review,
factions,
fantasy,
grim,
paranormal,
shapeshifter,
suspense,
urban fantasy,
vampires,
werewolves
Subscribe to:
Posts (Atom)