Tuesday, 8 June 2010

Cheat the Grave by Vicki Pettersson (th)

ได้หนังสือมาด้วยความกรุณาของคุณเมย์แห่ง Mostly Romance และดังนั้น คำขอบคุณและความซาบซึ้งใด ๆ ที่มียกให้คุณเมย์ Vicki Pettersson และงาน RT นะคะ (พูดเหมือนเล่มที่แล้วตอนปีที่แล้วเลยเชียว)


ชนิด : Urban Fantasy / Epic/ Superheroes
ชุด : Sign of the Zodiac, Book 5
สำนักพิมพ์ : Eos (May 25, 2010)
จำนวนหน้า : 368 หน้า


จากท้ายเล่มที่แล้ว (City Of Souls) ตัว Joanna เสียสละพลังของซุปเปอร์ฮีโร่ที่เธอมีไปเพื่อช่วยเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งหมายความว่าทำให้เธอหมดพลังพิเศษต่าง ๆ ไปและกลายเป็นแค่คนธรรมดา ดังนั้น Warren หัวหน้าของฝ่าย Light จึงขับไล่เธอออกมาจากกลุ่ม และออกคำสั่งไม่ให้ซุปเปอร์ฮีโร่ช่วยเหลือ หรือแม้แต่ติดต่อใด ๆ กับ Joanna เลย

Joanna อาจจะอยู่เป็นปกติสุขหลังจากนั้นได้ แต่บัดนี้เธอเป็นคนธรรมดาที่รู้จักโลกเหนือมนุษย์แล้ว และก็เป็นเป้าหมายของฝ่าย Shadow ไม่ต่างไปจากเดิม ซึ่งทำให้นอกเหนือจากความผิดหวังและการสูญเสียคนที่เคยเป็นเพื่อน หลังจากสูญเสียพลังไปแล้ว เธอก็ต้องหวาดระแวงกับการถูกจ้องเอาชีวิตตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่อ Sleepy Mack นักฆ่าอันตรายจากโลก Midheaven ถูกส่งมากำจัดเธอ

เพื่อรักษาชีวิตให้รอด เธอก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับความช่วยเหลือจากกลุ่มคนที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ และเลือกหนทางที่ไม่น่าจะมีอยู่

เมื่ออ่านเล่มนี้จบ สิ่งแรกที่คิดก็คือตัวคนเขียน เป็นคนที่วางโครงเรื่องได้ซับซ้อน และสละสลวยมากที่สุดคนหนึ่ง เหตุการณ์ที่ดำเนินมาจนถึงเล่มนี้ แสดงให้เห็นชัดว่า เธอวางและผูกโครงเรื่องที่มีอย่างละเอียด พลิกแพลงหลายชั้น และที่ใส่คำว่า “สละสลวย” ลงไปด้วยก็เพราะทุกอย่างสอดคล้อง และมีเหตุผลประกอบการกระทำทำให้ทุกอย่างที่เกิดมีที่มาที่ไปอยู่ทั้งหมด

และนั่นก็หมายความว่า สิ่งเหนือความคาดหมายหลาย ๆ อย่างถูกพูดถึง และเฉลยในเล่มนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งที่เกี่ยวกับ Zoe แม่ของเธอ (สปอยล์) [Jo รู้สึกขมขื่นและน้อยใจมาตลอดที่ถูกแม่ทิ้งไปเมื่อเกิดเรื่องกับเธอในวัยเด็ก แต่ที่จริงแล้ว Zoe ไม่ได้จากลูกสาวไปไหนเลย แต่กลับมาเป็น Suzanne แม่เลี้ยงของ Cher ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของ Olivia ซึ่งเมื่อเธอกลายเป็น Olivia ก็หมายความว่า Jo ก็ได้ใกล้ชิดและสนิทสนมกับ Suzanne ไปด้วย] ซึ่งส่วนตัว คิดว่าเป็นการหักมุมที่เก่งในสองด้าน นั่นก็คือ สร้างความไม่น่าจะเป็นให้เกิดขึ้น เพราะบุคลิกของคนทั้งคู่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และก็ทำให้ไม่มีใครคาดคิดถึงความเป็นได้เช่นนี้มาก่อน และสิ่งที่สองก็คือ อธิบายและแก้ไขความแตกร้าวที่เกิดขึ้นระหว่าง Jo และแม่ได้ เพราะแม้สิ่งที่แม่ของเธอทำไปเป็นเพื่อปกป้องตัวเธอก็ตาม แต่การทิ้งลูกสาวในยามที่ต้องการแม่ที่สุดไป ก็ไม่น่าจะให้อภัย หรือสมานความสัมพันธ์ที่กลายเป็นร้าวฉานได้ หากแต่การหักมุมที่เกิดขึ้นก็ทำให้ทุกอย่างคลี่คลายได้ลงตัว

หรือสิ่งที่สองที่เกิดก็คือ ความจริงเกี่ยวกับ Hunter (สปอยล์) [เพราะท้ายที่สุดแล้ว Hunter ไม่ได้ทรยศเธออย่างที่ Jo คิด เขาก็ถูกภริยาของเขา และ Warren หลอกใช้เช่นกัน (เพราะ Warren ยอมไม่ได้ที่ สิ่งอื่นหรือคนอื่นจะมีความสำคัญกับ Jo นอกเหนือจากการทำหน้าที่เป็น Kairos ให้กับ Warren) และคนที่เขารักที่สุดก็คือ Jo] ซึ่งแม้สิ่งที่เกิดจะดูเรียบง่าย และธรรมดา แต่ถ้าตามเนื้อเรื่องมาตั้งแต่ช่วงเล่มสาม และเล่มสี่ก็จะทำให้เราเห็นความฉลาดของคนเขียนในการป้อนข้อมูล ระหว่างเนื้อเรื่องเพื่อบ่มเพาะความคาดหมายของเรา หากก็เป็นข้อมูลด้านเดียวที่ทำให้เราสร้างสมมติฐานและความเชื่อที่มาหลอกเราในภายหลังด้วย โดยเฉพาะเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นแต่อย่างใด

และก็เป็นความสำเร็จของผู้เขียนที่เปลี่ยนสภาพของ Hunter (สปอยล์) [จากคนทรยศในเล่มที่แล้ว มาเป็นเหยื่อได้ เพราะเมื่ออ่านเล่มนี้จบ ผู้อ่านจะไม่หลงเหลือการกระทำหรือภาพไม่ดีของเขาในเล่มที่แล้วอยู่แล้ว แต่กลับเป็นในทางตรงกันข้าม ที่รอให้เล่มหกมาถึงโดยไว และรอเหตุการณ์ที่ Jo จะเข้าไปช่วยเหลือ Hunter กลับออกมาสู่โลกปกติอีกครั้ง]

การคิดนอกกรอบเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้หนังสือเล่มนี้สนุกและน่าติดตาม เพราะหากเป็นอย่างปกติธรรมดาแล้ว เมื่อความดีกับความชั่วมาอยู่ด้วยกัน เราก็มักจะให้ข้างความดีเป็นฝ่ายถูกเสมอ แต่บางครั้งกรอบและเส้นแบ่งความดีความชั่วก็ไม่ชัดเจน และนั่นก็หมายถึงว่า เราไม่สามารถให้น้ำหนักฝ่าย Light เหนือกว่า หรือมีชัยชนะเหนือฝ่าย Shadow ได้ เพราะทุกอย่างควรจะมีอยู่อย่างเท่าเทียมกัน เพื่อความสมดุลซึ่งในเล่มนี้ ก็เกิดการสร้างสมดุลเช่นนี้ขึ้น (สปอยล์) [โดยการเกิดขึ้นของกลุ่ม Grays ซึ่งเป็นการรวมตัวของฝ่าย Shadow และ Light บางส่วนที่เห็นความเป็นไปได้ของการเกิดพื้นที่ตรงกลาง] ซึ่งก็ตรงกับสัญญาณอย่างที่ห้าด้วย (สปอยล์) [The Shadow binding with the Light] และการดำเนินเรื่องเช่นนี้ก็สนุกกว่าการอยู่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจงมาก

โดยเฉพาะเมื่อคนที่มาช่วยเหลือเธอมาจากคนที่เป็นศัตรูของเธอมาก่อน (สปอยล์) [เล่มนี้คนที่ช่วยให้เธอรอดชีวิตมาจาก Sleepy Mac ก็คือเหล่าบรรดา Shadow ที่กลายมาเป็น Grays และโดยเฉพาะ Harlan Tripp อดีต Shadow ที่เธอเจอใน Midheaven และสละชีวิตของตัวเองปกป้อง Jo ในตอนท้ายเรื่อง] ซึ่งในขณะเดียวกัน คนที่เคยเป็นพวกเดียวกับเธอก็กลายมาเป็นศัตรูด้วย

ซึ่งก็หมายถึงการนำเสนอด้านมืดของฝ่าย Light ด้วย เพราะกลายเป็นว่าแม้ทุกอย่างที่ฝ่ายนี้ทำไปด้วยเหตุผลที่จะปกป้องความดี แต่ก็กลายเป็นไม่เลือกวิธีการ และมองสิ่งรอบตัวด้วยมุมมองด้านเดียวจนมีจิตใจที่คับแคบเสียด้วย ดังเช่น แม้จะบอกว่าเปิดโอกาสให้ทุกคน แต่ในความจริง ฝ่ายนี้ก็เผด็จการด้วยการครอบงำของ Warren กับ Tekla และก็ไม่สามารถยอมรับและให้เกียรติคนที่ไม่ใช่ฝ่ายเดียวกับตนได้ เช่น แม้จะปกป้องมนุษย์ แต่ก็มองว่า เหล่ามนุษย์ธรรมดาอยู่ต่ำ และมีคุณค่าน้อยกว่าพวกตน และแม้การปกป้องนี้จะเป็นไปตามหน้าที่ แต่ก็ไม่ได้ออกมาจากความต้องการที่จะช่วยเหลือคนอื่นแต่อย่างใด

อย่างสำหรับกับตัว Jo เอง การที่เธอมาจากสังคมข้างนอก และมีฝ่าย Shadow อยู่ครึ่งหนึ่งในตัว ก็ทำให้พวกนี้ไม่เคยจะยอมรับเธอจริง ๆ ไม่ว่าเธอจะทำดีหรือสร้างประโยชน์ให้อย่างใด ซึ่งสิ่งที่สะท้อนความเลวร้ายของฝ่าย Light ที่สุด นอกเหนือจากการที่ทิ้งขว้าง Jo เมื่อเธอหมดประโยชน์แล้ว ก็คือ (สปอยล์) [แม้ว่าจะรู้ว่าเธอจะต้องใช้พลังชีวิตแลกเพื่อผ่านเข้าออก Midheaven ตัว Warren กับ Tekla ก็ไม่คิดบอกเธอ เพราะมองว่า เธอไม่ใช่ฝ่าย Light ที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งในขณะนั้นยังเป็นช่วงที่ Jo ยังมีประโยชน์ และคุณค่าใช้สอยเต็มที่กับฝ่าย Light ด้วยซ้ำ]

แม้ตัวร้ายตัวจริงจะเป็น Tulpa และหนังสือจะสร้างให้ตัว Tulpa มีอำนาจเหลือล้นก็ตาม แต่สองเล่มหลังไม่รู้สึกไปเช่นนั้น โดยเฉพาะเล่มนี้ที่เห็นข้อจำกัดหลายอย่างของเจ้าตัว แต่ก็อาจจะเป็นข้อดีข้อหนึ่งของหนังสือชุดนี้ ที่ไม่มีอะไรเด็ดขาด และสมบูรณ์แบบในตัวเองก็ได้ ทุกอย่างที่มีจุดบกพร่อง น่าสนใจและมีเสน่ห์กว่าเสมอ .... แต่ในแง่หนึ่งก็ทำให้รู้สึกว่าตัวร้ายที่แท้จริง น่าจะเป็นตัว Warren มากกว่า โดยเฉพาะเมื่อ ให้ทุกคนรอบข้างเป็นหมากในมือ เพื่อจุดประสงค์ของตัวเอง และก็พร้อมที่จะทิ้งคนเหล่านนี้โดยไม่รีรอ หากหมดประโยชน์กับตน ่ในฐานะที่ชอบ Machiavelli พยายามมองให้ Warren อยู่ในสภาพนั้น แต่ก็ยังทำใจให้ไม่เกลียด Warren ไม่ได้ (และไม่คิดจะทำด้วย) ซึ่งก็ทำให้สะใจแกมสมน้ำหน้า Warren เมื่อฝ่าย Light (หรือที่ออกเสียงได้ว่า ฝ่าย-ร้ายย) มาเผชิญหน้ากับ Jo และได้ยิน Jo เปิดโปงพฤติกรรมของของ Warren แล้วก็ทำให้ความเชื่อมั่นในตัว Warren สั่นคลอน ซึ่งแม้ตอนนี้จะไม่ใช่ระดับสำคัญอะไร แต่ก็น่าจะมีผลกับฐานะของเขา (หรือ “มัน”) ในกลุ่มในเวลาต่อไป

ซึ่งหากปราศจาก Warren ที่มองทุกอย่างเป็นขาวดำชัดเจน ก็คงจะทำให้การรวมเป็นหนึ่งของ Light และ Shadow ในอนาคตมีความเป็นไปได้ชัดเจนขึ้น

อย่างไรก็ตาม การแยกตัวมาจากกลุ่ม และมาใช้ชีวิตของตัวเอง (รวมไปถึงการสร้างตัวตนใหม่ในภายหลัง) ก็ช่วยให้หนังสือมีรูปแบบใหม่ได้ เพราะมิฉะนั้นก็จะกลายเป็นแบบแผนว่า Jo ทำตามสัญชาตญาณของตัวเองในระหว่างที่ได้รับมอบหมายงาน และก็ก่อเรื่องวุ่นวาย จนกลุ่มโกรธเคืองและหวาดระแวงเธอ แต่ความดีความชอบที่เธอทำ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเผชิญหน้ากับ Tulpa) ก็ทำให้กลุ่มกลับยอมรับเธอใหม่ในภายหลัง ซึ่งหากหนังสือจะเป็นรูปแบบเช่นนี้ต่อไป และเน้นตัวเธอในฐานะ Kairos ก็คงจะเริ่มเป็นรูปแบบที่ทำให้คนอ่านคาดเดาได้ และเบื่อหน่ายในท้ายที่สุดตามมา (หากอย่างไรก็ตาม ปรากฎการณ์ศัตรูคู่อาฆาตเล่มละตัว -ที่จะมีตัวหนึ่งที่คอยตามล่าตามอาฆาตตัว Joanna จะเปิดฉากสู้จริงจังในตอนจบ- ก็ยังมีอยู่)

สิ่งหนึ่งที่มีแนวโน้มที่ดีก็การเปลี่ยนแปลงตัวเอกอีกครั้งหนึ่งของ Jo เพราะหลังจากที่ถูกสร้างชีวิตใหม่ในฐานะ Kairos และนักสู้ของกลุ่มแล้ว เธอก็อยู่และมีชีวิตด้วยความคาดหมายเช่นนั้น และเมื่อทุกอย่างหายสิ้นไป ตัวตนและเหตุผลการมีชีวิตอยู่ของเธอก็หายไปด้วย ซึ่งการที่เธอค้นหาตัวตนและเหตุผลการมีชีวิตของเธอได้นั้น ก็ทำให้เกิดพัฒนาการที่สำคัญที่เธอได้เห็นคุณค่าและความหมายของชีวิตด้วยการตีความของตัวเองนอกเหนือไปจากที่คนอื่น (โดยเฉพาะที่ Warren สร้างขึ้นมาและยัดเยียดให้เธอ) ด้วย ซึ่งการเห็นคุณค่าและให้ค่าตัวเองก็ทำให้เธอเห็นความสามารถของตัวเองที่แม้ตอนนี้จะเป็นแค่คนธรรมดาก็สร้างความเปลี่ยนแปลงได้ (ซึ่งอันที่จริง แม้ Jo จะกลายเป็นคนธรรมดา แต่เธอก็ยังทำในสิ่งที่ไม่น่าเชื่อทั้งหลายได้เหมือนเคย ดังเช่น การใช้ conduit ของคนอื่น)

และก็ทำให้เธอลุกขึ้นมาเป็นฝ่ายรุกและสร้างโอกาสให้กับชีวิตของเธอเอง อย่างที่เคยได้พูดไปในรีวิวเล่มก่อนว่า พัฒนาการของตัว Jo ก็เป็นลำดับ และเปลี่ยนแปลงขึ้นมาในทางที่ดีเรื่อย ๆ จากเล่มแรกด้วย และแง่นี้ก็ทำให้เห็นความโดดเด่นที่สุดอีกอย่างหนึ่งของหนังสือชุดนี้ ส่วนตัวเองคิดว่า Sign of the Zodiac เป็นชุดที่เกิดตัวละครขึ้นมา และสร้างทิศทางพัฒนาการของตัวละครหลักได้ที่ดีสุด แม้ตัวละครหลักของเธอเจอความเป็นจริงในด้านร้ายกาจจนบต้องหลงทาง หรือหลุดไปอยู่เสมอก็ตาม เพราะอุปสรรค และความลำบากเหล่านี้ก็คือ สิ่งที่ทำให้เรื่องสมจริง และมีชัยชนะจากการไม่ยอมแพ้ ต่างจากความสุขสำเร็จรูปที่มาง่าย และฉาบฉวย

อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนจุดใหญ่ของ Jo ที่คือ การไม่สนใจ (ignorance) ก็ยังอยู่ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้เธอจมอยู่ในความสงสารตัวเอง และไม่สนใจสิ่งรอบข้างเลย แง่นี้เธออาจหมายถึงเธอเป็นคนที่รักและสนใจตัวเองเป็นใหญ่ แต่ก็ทำให้เธอขาดความสนใจกับสิ่งรอบข้างด้วย ซึ่งจากเล่มแรก หากเธอมองให้กว้างก็จะฉกฉวยโอกาสและสร้างสถานการณ์ด้านบวกให้ตัวเองได้มากกว่านี้

หรืออย่างที่เธอบอกว่าบุคลิก “สวยไร้สมอง” ที่เธอรับมาจาก Olivia จะเป็นเพื่อตบตาหลอกคนอื่น แต่หลายครั้ง เธอก็ทำให้ไปตามบุคลิกเช่นนั้นเช่นเดียวกัน อย่างที่รู้ว่า พรุ่งนี้จะมีประชุมคณะกรรมการที่เธอจะต้องไปเข้าร่วมในฐานะประธานกรรมการเป็นครั้งแรก แต่เธอก็ไปร่วมปาร์ตี้ของ Suzanne จนเกือบเช้า จนหลับระหว่างประชุม และก็โกรธที่คนอื่นในที่ประชุมมาดูถูกเธอ ซึ่งเธอก็บอกตัวเองว่าเธอดูเอกสารประชุมแล้ว แต่ไม่รู้เรื่อง ทั้งที่เธอก็สามารถหาคนมาช่วยอธิบายรายละเอียดต่าง ๆ ให้ได้

เล่มที่แล้ว มีการพูดถึงโลก Midheaven ไว้ และด้วยการสลับซับซ้อนของโลกที่สร้างขึ้น และการที่เธอทิ้งพลังส่วนหนึ่งของเธอไว้ที่นั่นก็ทำให้คาดหมายว่า เธอน่าจะได้กลับไปอีก ซึ่งก็เป็นจริงเช่นนั้น และดูเหมือนว่า ความสำคัญของโลก Midheaven ในฐานะตัวแปรที่มีผลกับพลังของเธอ ทั้งส่วนตัวในฐานะซุปเปอร์ฮีโร่ และส่วนกลุ่มในฐานะกำลังเสริมน่าจะมีมากขึ้น ซึ่งโดยเฉพาะ (สปอยล์) [การกลับไปเพื่อช่วย Hunter] ก็น่าจะทำให้เห็นโลก Midheaven ในเล่มที่หกต่อไป

เมื่ออ่านเล่มก่อน ๆ ในชุด จะพบว่าตัวเอกเจอแต่ความเป็นจริงของชีวิตที่เป็นด้านมืด และด้านที่โหดร้ายมาโดยตลอด และดังนั้นก็ทำให้ทำใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตเธอในหนังสือเล่มต่อมาได้ว่า ไม่มีอะไรที่ได้มาง่าย ๆ และได้มาโดยไม่มีราคาแน่ โดยเฉพาะเมื่อ ตอนที่ได้รับหนังสือเล่มนี้มา ได้รับคำเตือนว่า ถ้าคิดว่าเล่มที่แล้วตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ก็ขอให้ทำใจว่า Cheat the Grave น่าตกใจกว่าเล่มที่แล้วมาก หากแต่เมื่ออ่านไปจนจบ เล่มนี้เป็นเล่มเดียวที่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ และไม่รู้สึกว่าเธอเจอเรื่องร้ายอะไรมากนัก (นอกเหนือจากเรื่องที่เกิดกับแมว Luna ซึ่งเป็นช่วงที่อ่านลำบากที่สุดในเล่ม และในชุด เป็นการส่วนตัว) ขอสรุปว่า สรุปว่า สรุปว่า ...... สรุปว่าอะไรก็ยังคิดไม่ได้ และสำหรับการให้คะแนน จริง แล้วควรจะให้ A เพราะเป็นเล่มที่เขียนได้ดี ทั้งในเรื่องการให้ภาษาและคำ และการวางโครงเรื่อง แต่หงุดหงิดกับตัว Jo ในช่วงแรกอยู่บ้าง ทั้งที่ไม่ควรหงุดหงิด เพราะจากสิ่งที่เกิดขึ้น เธอไม่น่าจะกลับมาเป็นปกติได้เร็วได้ง่ายแน่ และหนังสือก็ควรมีการถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้ออกมา ให้เห็นความรู้สึกของเธอ และการลุกกลับขึ้นมาสู้ของเธอ และดังนั้น ในแง่ความสมจริง ให้ A แต่ในด้านคนที่ลุ้นกับชีวิตของเธอให้ B+/A

และสรุปว่า “Cheat the Grave made me Cheat the Bed!”

ดีใจที่สุด ดีใจ และดีใจที่สุด (สปอยล์) [ขอต้อนรับการกลับมาของ Hunter ในเล่มหน้า ... คู่แล้วไม่แคล้วกัน เพราะว่าจากการอ่านหนังสือมานาน การที่ตัวละครแลกเปลี่ยนพลังชีวิต (หรือในแง่นี้ก็คือผ่านการแลก aureole) น่าจะสร้างการเชื่อมโยงของตัวละครได้ที่สุด และมักจะมีผลตลอดไป (ซึ่งก็เลยทำให้การทรยศของ Hunter เป็นสิ่งที่ทำใจยอมรับได้ยากที่สุด ในการอ่าน) และเล่มนี้ก็ได้อ่านความรู้สึกละเมียดของคนทั้งคู่ด้วย]

จะพยายามกลับมาเขียนภาษาอังกฤษโดยไว

2 comments:

  1. คุณมิ้งอ่านเร็วมาก (และเขียนรีวิวได้เร็วพอกัน)

    แอบอ่านสปอลย์ไปเรียบร้อย เพราะทนไม่ได้ (ความรู้สึกเหมือนได้อ่านเองมาก) รู้สึกเหมือนคนแต่จะขู่หลอกนะคะ ท่าทางจะเป็นเล่มที่ดูสดใสกว่าเล่มอื่น

    ทำให้เป็นครั้งแรกที่มีความรู้สึกว่า น่าจะอ่านได้แล้ว (คือก่อนหน้านั้นรู้สึกว่ามันชีวิตบัดซบเหลือเกิน)

    ReplyDelete
  2. จริงค่ะ รู้สึกเหมือนกันว่าคนเขียนต้องแกล้งขู่มาแน่ ๆ หรือไม่ก็ึเคยชินกับชีวิตรันทดจนอะไรก็ไม่รู้สึกสลดแล้ว ซึ่งจริง ๆ หลังจบเล่ม 4 คิดอยู่นานมากว่าอยากอ่านต่อไปไหม เพราะไม่อยากเห็นสภาพเหยื่อที่อาจจะเป็น .. แต่กลายเป็นว่าเล่มนี้ได้คะแนนดีสุดในชุดเชียว

    เล่มนี้มีฉากที่อ่านแล้วป่วยมาก ๆ ก็คือฉากที่สลีปปี้แม็คฆ่าแมวลูน่า ในฐานะคนรักแมวคิดสภาพตามไปแล้วป่วยใจตามไปมาก ๆ ถือว่าเป็นสิ่งที่อ่านแล้วป่วยที่สุดในชุดเลย

    จริง ๆ อ่านเร็ว เพราะอยากรู้มากค่ะ กลับมาก็ต้องอ่าน และก็ไม่สามารถค้างรีวิวได้ เพราะรู้สึกว่าต้องบอกคุณเมย์ให้รู้โดยไวว่าเป็นอย่างไร ได้อ่านจริงจัง คืนวันอาทิตย์ ตอนที่จบเกือบจะส่งข้อความไปหาว่า อ่านจบแล้ว และไม่เศร้าเชียวล่ะค่ะ

    กำลังพยายามปั่นรีวิวภาษาอังกฤษนะคะ

    ReplyDelete