Monday, 15 June 2009

Dayhunter by Jocelynn Drake (th)

เล่มนี้ก็ได้มาด้วยความกรุณาของคุณเมย์แห่ง Mostly Romance อีกเช่นเคย และนอกเหนือจากหนังสือแล้ว ที่น่าตื่นเต้นไปกว่านั้นก็คือ ในหนังสือมีลายเซ็นของ Jocelynn Drake พร้อมกับคำว่า Stay out of Venice (ซึ่งถ้าอยากรู้ว่าทำไม ก็ต้องอ่านดู แล้วจะรู้ว่า “ควรจะ” Stay out of Venice จริง ๆ (อย่างไรก็ตาม นอกจากนี้ คุณเมย์ยังใจดีให้แผ่น teaser (ไม่แน่ใจว่าควรเรียกว่าอะไรดี??) แจกที่มีลายเซ็นต์ของ Jocelynn Drake เขียนชื่ออีฉันอีกต่างหาก) ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะกรี๊ดกร๊าดขนาดไหน

ขอบคุณคุณเมย์ และขอบคุณ Jocelynn Drake อย่างสูงค่ะ รวมไปถึงงาน RT ที่ให้โอกาสคนอ่านได้เจอคนเขียนด้วยนะคะ


ชนิด : Urban Fantasy/ vampires/ bad elves
ชุด : Dark Days, Book Two
สำนักพิมพ์ : Eos (April 28, 2009)
จำนวนหน้า : 368หน้า


จากเล่มแรก เมื่อ Mira ผีดูดเลือด (ที่ในเรื่องเรียกตัวเองว่า Nightwalker) ล่วงรู้ถึงแผนการกลับมาของ Naturi เผ่าพันธุ์เอลฟ์อันตรายจากนักล่าผีดูดเลือด Danaus แล้ว ทั้งคู่ต้องละทิ้งความเป็นศัตรูต่อกัน และหันมาจับมือกันเพื่อยับยั้งเหล่า Naturi ที่จะกลับมายังโลก อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์บางอย่างช่วงท้ายเล่ม ทำให้ความเป็นพันธมิตรระหว่างกันมั่นคงและแน่นแฟ้นขึ้น โดยเฉพาะเมื่อกลายเป็นว่าเขาเป็นเพียงคนเดียวที่เธอพึ่งพาและไว้ใจได้

เปิดฉากมาเล่มนี้ Mira ต้องไปที่เวนิซเมืองหลวงของเหล่าผีดูดเลือด (ในฐานะที่ผู้นำของพวกผีดูดเลือด ทั้ง The Liege ผู้ปกครองสูงสุด และ Coven กลุ่มผู้นำที่เรียกว่า Elders อาศัยอยู่ที่นี่ - อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ) ตามคำสั่งของ Jabari ผีดูดเลือดทรงพลังซึ่งเป็นหนึ่งในสาม Elders และเธอก็ไม่มีทางเลือกนอกจากทำตามคำสั่งโดยพา Danaus และ Tristan ไปด้วย

หากแต่การอยู่ท่ามกลางวงล้อมของสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์เดียวกับเธอ ไม่ใช่สิ่งที่อันตรายน้อยไปกว่าการสู้รบกับเหล่า Naturi แต่อย่างใด เมื่อชื่อเสียงและความสัมพันธ์ของ Mira กับเหล่าผีดูดเลือดด้วยกันไม่ดีนัก ทั้งจากความสามารถในการใช้ไฟของเธอ และจากการไปตั้งรกรากในดินแดนใหม่อย่างอเมริกา ขณะที่ผีดูดเลือดส่วนใหญ่เลือกที่จะใช้ชีวิตในยุโรป และดังนั้นเธอก็ต้องเอาชีวิตรอดจากเงื้อมมือและเขี้ยวเล็บของพวกเดียวกัน ขณะที่ต้องอ่านความคิดและแผนการของเหล่า Elders ทั้งสามคนให้ทัน โดยเฉพาะเมื่อแต่ละคนดูเหมือนจะมีแผนการเฉพาะตัวเพื่อผลประโยชน์ของตน และการหักหลังครั้งยิ่งใหญ่หลายอย่างกำลังจะเกิดขึ้น โดยที่ขณะเดียวกัน แผนการกลับมายังโลกของพวก Naturi ก็ยังดำเนินอยู่ต่อไป

ขณะที่เล่มที่แล้ว เน้นไปที่ฉากสู้รบกับเหล่า Naturi ที่บุกมาโจมตีเป็นระยะ ๆ เล่มนี้กล่าวถึงการเผชิญหน้าของ Mira กับบรรดาผีดูดเลือดในเวนิซเป็นหลัก เปลี่ยนจากการสู้กับศัตรูต่างเผ่าพันธุ์มาสู้กับพวกเดียวกันเอง และสถานการณ์ก็เปลี่ยนจากการต่อสู้ใช้กำลังซึ่งหน้าด้วยอาวุธมาเป็นสู้ด้วยสติปัญญาและความเท่าทันใน Coven แทน เพราะว่าสังคมผีดูดเลือดตัดสินกันด้วยอำนาจในรูปแบบของความแข็งแกร่งเป็นหลัก และการเมืองของสังคมคอร์ทใน Coven ก็เข้มข้นที่สุด

ความสัมพันธ์ระหว่าง Mira กับ Danaus ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่พัฒนาไปในเล่มนี้ จะเห็นได้ว่าเล่มที่แล้ว ทั้งคู่ต้องจับมือเป็นพันธมิตรกันเพื่อยับยั้งเหล่า Naturi แต่เล่มนี้เป็นการจับมือกันเพื่อเอาชีวิตให้รอดจากวงล้อมของเหล่าผีดูดเลือดใน Coven และดังนั้น ก็ทำให้ทั้งสองคนต้องร่วมมือกันมากกว่าที่เคย พร้อมพัฒนาความเชื่อใจกัน และต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันไปมากกว่าเดิม (จนถึงขนาดที่ผีดูดเลือดจำนวนหนึ่งมองว่าเธอหักหลังเผ่าพันธุ์ตัวเองไปร่วมมือกับนักล่า และ/หรือ เชื่อว่าเธอแข็งแกร่งถึงขนาดที่สามารถควบคุมนักล่าได้) ซึ่งสำหรับตัว Mira เอง ในฐานะที่หนังสือชุดนี้มองจากมุมมองของเธอเป็นหลักก็ทำให้เราเห็นชัดว่าความไว้วางใจและเชื่อมั่นนี้ก็ถึงขั้นที่เธอเชื่อใจเขามากกว่าผีดูดเลือดด้วยกันเองอย่างที่เธอคิดว่า

“He had hovered close on so many occasions while I slept that I now hated the idea of him not being there when the sun broke above the horizon. Danaus was my only sense of security in this world that was changing too fast. He threatened to destroy everything that I protected. But as the same time, he seemed to be the only one left trying to protect me.” (p. 329)

และเกือบจะถึงขึ้นที่เธอลืมความเป็นศัตรูต่อกันไป ซึ่งเมื่อมีฉากความผิดพลาด (สปอยล์) [ที่ Danaus ลงมือฆ่าผีดูดเลือดอีกตัวต่อหน้าเธอ เพราะเชื่อว่าผีดูดเลือดตัวนั้นจะฆ่ามนุษย์เพื่อช่วยผีดูดเลือดอีกตัว โดยไม่ได้มองบทบาทหรือท่าทีของเธอต่อเรื่องนี้] ก็ทำให้ความรู้สึกผิดหวังและถูกทรยศของเธอรุนแรงมาก

อย่างน้อยในเล่มนี้ เราก็ได้รู้ว่า Danaus นักล่าของเรา “เป็นอะไร” (ไม่ใช่ “เป็นใคร”) และความรู้ที่ได้มาก็ไม่ต่างจากที่คาดไว้ (สปอยล์) [เขาเป็นพวก Bori เผ่าพันธุ์ที่เทียบได้กับเทวดาและปีศาจ และแม่ของ Danaus ก็ทำสัญญาเพื่อให้ได้พลังจากปีศาจ โดยมีเจ้าตัวเป็นผลลัพธ์ ในแง่นี้ก็ทำให้เขาเป็นลูกครึ่งมนุษย์-ปีศาจ หรือมนุษย์- Bori] และก็เพราะสิ่งที่เขาเป็นก็ทำให้เขายึดเหนี่ยวความเชื่อทางศาสนาเป็นหลักในการดำเนินชีวิตในเรื่อง เขาเชื่อในเรื่องความถูกผิด ความดีและความชั่วที่แบ่งแยกกันอย่างชัดเจนจนกระทั่งได้รู้จัก Mira ซึ่งในแง่หนึ่ง ถ้ามองว่าชีวิตของเธอต้องเปลี่ยนแปลงกลับหัวกลับหางไปเมื่อเจอ Danaus ชีวิตของ Danaus ก็เปลี่ยนแปลงไปไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน และในระดับหนึ่ง อาจหนักหนายิ่งกว่า เมื่อสิ่งที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงเขาเป็นเรื่องของความเชื่อและมุมมองของชีวิต

อย่างไรก็ตาม ความไม่เชื่อใจของ Danaus ที่มีในช่วงท้ายเรื่อง (สปอยล์) [ซึ่งอันที่จริงก็เป็นการไม่เชื่อใจผีดูดเลือดตัวอื่น ไม่ใช่การไม่เชื่อใจ Mira แต่อย่างใด] อาจจะทำให้เราสับสนถึงความไว้วางใจและความผูกพันที่ทั้งคู่มีต่อกัน แต่เมื่อมองลงไปให้ลึก สิ่งนี้เป็นตัวอธิบายความเชื่อมโยงที่มากขึ้นซึ่งทั้งคู่มีต่อกันได้ดี การอ่านหนังสือจากมุมมองของ Mira อาจทำให้ไม่เห็นความรู้สึกนึกคิดของ Danaus ชัดเจนนัก แต่ในเรื่องก็มีฉากหลายฉากที่เจ้าตัวเป็นห่วงสวัสดิภาพและความปลอดภัยของเธออย่างมาก ซึ่งอาจจะมากกว่าในฐานะคนคอยระวังหลังให้กันและกันได้ จากเล่มหนึ่งสิ่งหนึ่งที่เหมือนจะเกิดขึ้นก็คือ นักล่าของเราตามหาเธอมาตลอดเป็นเวลานาน และความมุ่งมั่นนั้นก็เหมือนจะสร้างความรู้สึกที่อย่างน้อยที่สุดก็เรียกได้ว่าความผูกพันกับเธอด้วย – แต่สิ่งนี้ก็ไม่ชัดเจนนอกเหนือไปจากการตีความของผู้อ่านอย่างอีฉันแต่อย่างใด

ทั้งนี้ส่วนตัวมองว่าความขัดแย้งตอนใกล้จบนี้ ไม่ใช่เพื่อสร้างความแปลกแยกแตกแยกระหว่างตัวละครทั้งสองตัวแต่อย่างใด จุดเปลี่ยนผันเล็กน้อยนี้มีให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและความเป็นหนึ่งเดียวที่มีมาในตลอดในลักษณะ You and me against the world ในเล่ม (สปอยล์) [เพราะนอกจากฝ่ายที่ถูกทรยศรู้สึกผิดหวังและเจ็บปวดมากแล้ว ฝ่ายที่ก่อเรื่องก็รู้สึกผิดจนถึงขั้นที่กล้ามาหาเธอโดยปราศจากอาวุธเพื่อขอโทษด้วย ซึ่งหาก Danaus ไม่เชื่อใจเธอแล้วก็ไม่น่าจะเดินมาหา Mira โดยที่ไม่มีอาวุธใด ๆ ติดตัว (แม้ว่าเขาจะมีความสามารถฆ่าผีดูดเลือดจากระยะไกลอย่างที่เรารู้ก็ตาม) และการขอโทษนั้นก็ไม่ใช่จากความรู้สึกผิดในการฆ่า แต่เป็นเพราะรู้ว่าทำให้เธอเสียใจ] ซึ่งเห็นชัดมากว่าแม้ทั้งสองจะคอยปกป้องกันและกันโดยบอกว่า เพื่อให้ตัวเองเป็นคนฆ่าอีกฝ่ายในภายหลังเมื่อจบเรื่อง แต่ก็ชัดว่าหลังจากนี้ ทั้งสองคนคงไม่สามารถฆ่ากันได้จริง ๆ

การทรยศ Mira ของ Jabari ในเล่มแรกดูเหมือนจะเป็นเรื่องร้ายแรง และไม่สามารถให้อภัยได้ โดยเฉพาะเมื่อเจ้าตัวใช้เธอในฐานะเครื่องมือมาตลอด อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่รู้สึกก็คือดูเหมือนเจ้าตัวจะมองเป้าหมายเป็นหลักโดยไม่เลือกวิธีการมากกว่าจะมองเรื่องการหลอกใช้หรือใช้ประโยชน์จากใครเป็นเรื่องเสียหาย และถึงแม้เขาจะมีท่าทีนิ่งเฉยและเย็นชาใส่ Mira มาเกือบทั้งเล่ม แต่ลึก ๆ ลงไปเห็นความเชื่อมั่นและไว้ใจที่เธอมีต่อ Jabari ในระดับสมควร แม้ว่าจะเป็นเพราะเธอเป็นคนที่เจ้าตัวรู้ว่าจะทำให้เหตุการณ์ดำเนินไปตามทิศทางที่เขาต้องการและกำหนดอยากให้เป็นได้ โดยเฉพาะเมื่อ Jabari เป็นจอมบงการที่อ่านเกมล่วงหน้าได้เป็นอย่างดี และรู้จักนิสัยใจคอของ Mira อย่างทะลุปรุโปร่ง

ผิดคาดนิดหน่อยที่บทบาทของ Tristan ในเล่มนี้มีน้อยกว่าที่คิด และไม่สลักสำคัญมากเท่าไหร่ แต่อาจจะสำคัญก็ได้ เพราะเขาเป็นตัวกระตุ้นให้ Mira สำแดงพลังของเธอให้เหล่าผีดูดเลือดที่อยู่ล้อมรอบ Coven เห็นเพื่อเป็นการประกาศอำนาจที่เธอมี และที่สำคัญ ความต้องการปกป้องที่เธอมีต่อผีดูดเลือดที่เปรียบเสมือนน้องชายของเธอ (ในฐานะที่ทั้งสองมี “ผู้สร้าง” คนเดียวกัน) ก็ทำให้เธอรับเขาเข้ามาเป็น “ครอบครัว” ซึ่งหมายถึงเข้ามาอยู่ใต้การคุ้มครองของเธอ (อ่านเพิ่มเกี่ยวกับความหมายของ “ครอบครัว” ) ทั้งที่ผ่านมา Mira หลีกเลี่ยงสิ่งนี้มาตลอด และสิ่งนี้ก็ทำให้เธอต้องเผชิญหน้ากึ่งต่อสู้กับผู้สร้างของทั้งสองคน ที่จบลงด้วยการที่ Sadira บาดเจ็บหนักจากไฟของ Mira – ทั้งนี้ ยังติดใจกับ Tristan อยู่ในแง่ที่สงสัยถึงบทบาทและความสำคัญในเวลาต่อไป แม้ว่า Tristan จะถูกสร้างมาเพื่อเป็นตัวสร้างความสำราญ ให้ความบันเทิง มากกว่าจะถูกสร้างให้แข็งแกร่งอย่าง Mira ก็ตามที

จากตัวละคร มาพูดถึงการดำเนินเรื่อง รู้สึกว่าตัวเธอไม่แตกต่างจากตัวละครใน conventional fantasy ที่ต้องสู้กับความชั่วร้ายที่ปกป้องโลก ปกป้องมวลมนุษย์ แต่สิ่งที่ยังคงเหมือน urban fantasy ก็คือสถานการณ์ที่เกินควบคุม/ คาดคิด และสิ่งหนึ่งนำไปสิ่งอื่นเรื่อย ๆ เพราะจะเห็นได้ว่า จากเล่มแรก เธอตั้งเป้าหมายตอนต้นไว้ที่การเจอ Elders ซึ่งก็คือ Jabari เพื่อแจ้งเหตุเกี่ยวกับ Naturi และจบสิ้นหน้าที่ของเธอไว้เพียงแค่นั้น แต่กลายเป็นว่าเธอมีค่าในฐานะเป็น “ผนึก” กัก Naturi เอาไว้จากโลก ซึ่งถึงแม้ในตอนต้นและกลางเล่มเธอจะไม่รู้เรื่องนี้ แต่เธอก็ได้รับมอบหมายให้ตามหาผู้ที่มีส่วนในการสร้างผนึกอยู่ดี และในเล่มที่สอง เธอคิดว่าเธอมาที่เวนิซเพื่อรายงานตัว และรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นให้บรรดา Elders ใน Coven ฟัง แต่ท้ายที่สุด เธอถูกสั่งให้มาเพราะการเป็นหมากตัวสำคัญที่สามารถกำหนดผลต่อการเมืองใน Coven

ทั้งนี้ การเมืองใน Coven ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เล่มนี้สนุก เพราะตัวละครที่ออกมาทั้งหมด แต่ละคนก็มีเป้าหมายและจุดประสงค์ในใจของตัวเองอย่างชัดเจน แม้กระทั่งใน Coven เองก็เห็นได้ว่ามีเป้าหมายของตัวเองที่แตกต่างกันไป และเพื่อจะเอาชีวิตให้รอด Mira ก็ต้องอ่านเกมให้ทัน โดยคาดเดาความต้องการและแผนการของตัวละครอื่นให้ได้ โดยเฉพาะเมื่อมีการหักหลังยิ่งใหญ่จำนวนมากอยู่ (สปอยล์หนัก) [ โดยเฉพาะเมื่อเหล่า Elders ตัดสินใจร่วมมือกับ Naturi บางส่วนที่ไม่ต้องการให้พวกที่เหลือกลับมา โดยให้ Naturi ฆ่า The Liege เป็นการตอบแทน ทั้งนี้ก็เพราะ The Liege ตัดสินใจเลื่อนวันเปิดตัวการมีอยู่ของเหล่าผีดูดเลือดต่อมนุษย์เข้ามา อันจะเลื่อนกำหนดการที่มนุษย์จะรับรู้ถึงการมีอยู่ของเผ่าพันธุ์อื่นเข้ามาด้วย (ในหนังสือเรียกวันที่มนุษย์จะรู้เรื่องนี้ว่า Great Awakening) ซึ่งการเลื่อนกำหนดเข้ามาก็จะทำให้เกิดความขัดแย้งกับเผ่าอื่น ๆ อย่างมนุษย์หมาป่า แม่มด และนำไปสู่สงครามกับผีดูดเลือด เหล่า Elders จึงคิดฆ่า The Liege เพื่อตัดปัญหา] และดังนั้น ก็ทำให้เสียงของ Coven เอง แบ่งเป็นหลายกระแส เห็นได้ชัดที่สุดจาก Macaire และ Jabari

เนื่องเพราะสำหรับฝ่ายแรก (สปอยล์) [Macaire สนับสนุนการร่วมมือกับ Naturi เต็มที่ และหวังว่าการฆ่า The Liege จะทำลายความสมดุลเดิม และทำให้เขามีอำนาจมากที่สุดในหมู่ Elders หรือแม้แต่กับเหล่าผีดูดเลือดได้] แต่สำหรับฝ่ายหลัง (สปอยล์) [Jabari ไม่ต้องการให้เกิดการร่วมมือกับ Naturi และยิ่งไม่ต้องการให้สถานภาพปัจจุบันเปลี่ยนแปลง เพราะจากที่ผ่านมาถึงปัจจุบัน ตัวเขาแข็งแกร่งและมีอำนาจมากที่สุดในบรรดา Elders ที่มีอยู่สามคน อย่างไรก็ตาม เขาต้องการให้ Mira รับตำแหน่ง Elders ที่ว่างอยู่ เพราะการที่เขามีอำนาจเหนือเธอก็หมายถึงเขาจะกำหนดทิศทางเสียงของเธอและคุมเสียงใน Coven ต่อไปได้]

และแม้เจ้าตัวจะไม่คิดมีตำแหน่งใด ๆ ใน Coven (เก้าอี้ของเหล่า Elders มีอยู่สี่ที่ และปัจจุบันก็ว่างอยู่ที่หนึ่ง) แต่เพราะความสามารถและความแข็งแกร่งของ Mira และการเป็นอิสระจาก Elders ในยุโรป รวมไปถึงไปมีเขตอิทธิพลของเธอเองในอเมริกา ก็ทำให้ผีดูดเลือดทั้งหลายเชื่อว่า เธอปรารถนาตำแหน่งนั้น โดยที่เธอไม่เคยคิดถึงตำแหน่ง หรือความเป็นไปได้ในการมีตำแหน่งเลย (ทางกลับกัน เธอต้องการความเกี่ยวข้องที่น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้จาก Coven ด้วยซ้ำ) แต่ท้ายที่สุดแล้ว (สปอยล์) [ช่วงตอนจบ เพราะสถานการณ์ที่บีบบังคับ ก็ทำให้เธอต้องรับตำแหน่ง Elders เพื่อถ่วงดุลอำนาจอยู่ดี] ทั้งที่ปกติแล้ว การเป็น Elders จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อผีดูดเลือดตัวนั้นเป็น Ancient แข็งแกร่งจากการมีอายุเกินพันปีเท่านั้น (แต่กรณีของเธอ เธอถูกสร้างอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้พลังในการใช้ไฟของเธอหายไป และการมีผู้สร้างหลายคนที่ต่างเป็น Ancient ทั้งสิ้นก็มีผลอย่างสูงต่อความแข็งแกร่งเกินอายุของเธอด้วย)

เทียบ Dayhunter แล้ว ชอบมากกว่า Nightwalker ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรู้จักตัวละครและโลกของตัวละครจนคุ้นเคยมากขึ้น และที่สำคัญชอบการสู้ด้วยสมองและความรู้เท่าทันเช่นนี้มาก และการที่มีเหล่าผีดูดเลือดอื่น ๆ เข้ามาก็ช่วยให้เห็นความเป็นไปในโลกนี้ได้ดี (เล่มแรก มีผีดูดเลือดเข้ามาน้อยมาก ทำให้ไม่เห็นถึงสภาพสังคมจริง ๆ แต่อย่างใด) และที่สำคัญ ทำให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของตัวเอกกับบรรดาผีดูดเลือดอื่น และท่าทีที่ต่างฝ่ายมีต่อกันอยู่ ซึ่งสภาพสังคมผีดูดเลือดที่เย็นชา เห็นแก่ตัว และกระหายอำนาจทำให้เห็นภาพของ Mira ดีขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเธอแตกต่างกับตัวอื่น ๆ ที่ทรนง และยึดถือเกียรติ และศักดิ์ศรีเป็นเรื่องสำคัญ (ขณะที่ตัวอื่นเน้น “อำนาจ”) ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ปฎิเสธไม่ได้ว่าทำให้เธอยังคงเป็นเช่นนี้ได้ก็คือ ความสามารถใช้การใช้ไฟ ขณะที่ผีดูดเลือดทั่วไปกลัวไฟ ส่งผลให้เธอแข็งแกร่งพอที่จะป้องกันตัวเอง ผนวกกับการอยู่ใต้อารักขาของ Jabari ก็ยิ่งทำให้เธอเป็นที่ครั่นคร้ามมากยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งการเป็นอิสระนี้ทำให้เธอยังคงมีความสุขและดำเนินชีวิตประจำวันไปได้เป็นปกติ โดยที่ไม่มีความขมขื่น หรือเกลียดชังเหมือนผีดูดเลือดตัวอื่น ๆ ด้วย และก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ชอบเธอ เพราะเธอพยายามใช้ชีวิต และพยายามที่จะมีความสุข

ขณะเดียวกัน เห็นได้ชัดว่า ตัว Mira ไม่ทำร้ายใครก่อน แต่ขณะเดียวกันก็จะไม่อยู่เฉย/ พร้อมจะตอบโต้กลับถ้าใครมาทำร้ายเธอ และโดยเฉพาะสิ่งที่เธอปกป้อง ซึ่งทำให้เธอพร้อมจะตอบกลับแรงกว่าเดิม (อยากจะเรียกเธอว่า Rose-type เสียจริง ปกป้องดูแลตัวเองได้ขนาดนี้!) ซึ่งฉากป้องกันตัว/ ปกป้องนี้ก็เห็นได้ชัดถึงทัศนคติ และความแกร่งของ Mira เมื่อเธอโต้กลับเหล่าผีดูดเลือดที่ทำร้าย Tristan ซึ่งมาอยู่ใต้การคุ้มครองของเธอ


“Who am I?” I snarled, tightening my grip. Her eyes stared at me, confused and terrified. ….. She too has fed on poor, chained Tristan – she deserved to die, consumed in the flames that surrounded her. And she knew it.


“You are the Fire Starter,” she whimpered in a strangled voice.


“Tell them what I have done,” I commanded in a low, grating whisper. “Tell them that if anyone touches what belong to me, I shall hunt them down and collect their hearts for display in my domain. Remind them of what I am …” (p.161)

เห็นในใบ teaser (หรือเรียกอะไรดี?) ว่า จุดขายอย่างหนึ่งที่สำนักพิมพ์โฆษณาก็คือชุดนี้เป็น paranormal romance ด้วย เพราะเกมไล่จับและความสัมพันธ์ระหว่าง Mira และ Danaus ซึ่งทั้งนี้ส่วนตัวเห็นว่าความน่าจะเป็นไปได้ระหว่าง Mira และ Danaus ทำให้หนังสือน่าติดตาม แต่จนถึงปัจจุบัน ความสัมพันธ์และความเชื่อมโยงระหว่างกันก็เป็นไปในลักษณะเพื่อน/คู่หูที่จับมือกันต่อสู้กับโลกมากกว่าจะมีความหวานชื่นใด ๆ เกิดขึ้น (ถึงแม้การเชื่อมโยงสำคัญอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือทั้งสองคนสามารถรับรู้ความรู้สึกของอีกฝ่าย และสื่อสารทางจิตกันได้ รวมถึงการที่ Danaus สามารถควบคุมเธอได้ก็ตาม) ซึ่งก็ทำให้เรื่องน่าติดตามอ่านมากกว่าการได้จะเห็นความสัมพันธ์ที่เร่าร้อนระหว่างกันด้วย (และก็ชอบแบบนี้มากกว่า)

อีกอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าคิดว่าการเป็น paranormal romance คือความสัมพันธ์ของตัวพระ-ตัวนางเพียงสองคน สิ่งเหล่านี้ก็ยังไม่เกิด เพราะเหมือนว่า Mira จะมีความหลังกับตัวละครหลายตัว อย่าง Jabari ในเล่มแรก (แต่ก็เป็นแค่ความรู้สึกที่ดีมากต่อกัน ไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่านั้น) และกับ Valerio ตัวละครอีกตัวที่ออกมาในเล่มสอง ซึ่งก็ไม่น่าเป็นสิ่งที่ผิดปกติอะไร เพราะเธออยู่มานาน การจะอยู่คนเดียวโดยที่ไม่มีความสัมพันธ์/ ปฎิสัมพันธ์กับใครคงเป็นเรื่องผิดปกติยิ่งกว่า และเล่มนี้ก็มีฉากที่เธอใช้เซ็กซ์เป็นทางระบายความเครียด โดยที่ไม่ใช่กับตัวเอกแต่อย่างใดด้วย

ให้คะแนนที่ B++ (สรุปว่าต่างจาก B+/A ไหมนะ?) รอ Dawnbreaker เดือนกันยา ด้วยใจระทึก เพราะบัดนี้ผนึกถูกทำลายแล้ว และเล่มสามก็คงจะยิ่งวุ่นวาย เพราะในหมู่ Naturi ก็มีการหักหลังใหญ่หลวงไม่แตกต่างกันเท่าใด เรื่องนี้กลายเป็นหนึ่งในบรรดาเรื่อง urban fantasy ที่ติดไปแล้ว และถ้านับว่าอยากอ่านอะไรที่สุดในฐานะเรื่องชุด ตอนนี้ ก็คือ Dark Days / Sign of Zodiac/ Outcast เป็น Top Three อยู่ (แม้ชอบ Spiral Hunt ในฐานะหนังสือมาก แต่ไม่แน่ใจในฐานะชุด) ส่วนบทสรุป ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมไม่เคยคิดออกเลย Politics and power struggle had never been this fun!

Tuesday, 2 June 2009

City of Souls by Vicki Pettersson (eng)

"Memories are just silent promises you once made to yourself. The moment is all that matters.”
-p.142-


Actually the release date of the book is around the end of June 2009; yet, knowing I have became attached to the series, May of Mostly Romance kindly did lend me the Advance Uncorrected Proof/ Not For Sale copy she got from RT. Mega, mega big thank you to her, and of course, to Vicki Pettersson and RT for such a happy, early reading!!


Genre : Urban Fantasy / Epic / Superheroes
Series : Sign of the Zodiac, Book 4
Publisher : Eos (June 30, 2009)
No of page : 368


Here comes the fourth in the Sign of the Zodiac series, City Of Souls. As from the former book, upon returning the borrowed aura back to her changeling, Joanna accidentally transferred that of her own as well. And such a seemingly small error made everything went all wrong. Scariest of all, the Light Manuals could not be recorded; their superheroes power became weak, where at the same time the Shadows grew stronger.

The Light power decreased at alarming rate when the safe zones were no longer safe zones and one member of the troops got seriously attacked. Everyone started either suggesting or forcing Jo to put her priority in fixing her broken changeling. Yet, no one knew how to do that and her only solution seemed to lie in a guy named Jaden Jacks, the only one said to also break and yet fix his changeling. This meant the next question came, no one, again, knew about the location of the guy. Since he was somewhat rumored to be in the mythical world of Midheaven. Jo had no choice but to enter that place, where she led a journey no less dangerous and life-risking than in the battle with the Shadows!

In my view, this book is rather different from the first three. Perhaps fewer pages (where the other three are all with 400-something pages.) made the story went more compact, more fast-pacing and more direct to the point than ever. This means the former in the series saw her unknowingly made mistakes and had to take time to remedy and correct her action, but in City Of Souls, Jo herself hardly acted wrong as often as she did in other books, which cut off all her diverted action and detour and therefore save her time. As for Finding a way to fix her changeling by getting a clue from entering Midheaven, her so-called mission was quite clear, thought not the means.

The best thing I love and makes me hold Vicki Pettersson (or VP from now) dear is her ability to create the great path of development for Joanna while she encountering countless series of situations. Although the aim of each book was to meet with the sign already foretold, the author never fails to emphasis the growing, maturing aspect of Joanne; which automatically makes the books themselves both situation driven and character driven. The first book, she learnt to accept herself as who she was, and stop internally hating herself and the world around. The second she understood being and working as a part of the team as well as trusting them, rather than just acting alone on her own as she had been doing for all her life. The third book came the lesson of letting go of the past and moving to the future (The sense came clearest when she let go of her ex-lover, Ben.), and an importance of sharing life with someone in the fourth. All of this proves how well-structured and well-written books VH has been doing for both main plot (s) and sub details. As for the latter in the fourth book, I truly like the bizarre world structure and crazy set of rules applied to Midheaven, which seems both familiar and mysterious at the same time. Such a detail makes me wonder whether there will be more on that world, especially after Jo left parts of hers there. (Spoiler) [She somewhat lost poker chips with her superpower in the game, and so lost her ability according to the chips.]

Another thing I felt for Joanna here is she seems to be a bit less bitter and gentler. This might came from the fact that she hated herself less and loved herself more. I like the part of the book when Felix, another troop member, talked to Jo about the significance of having someone to rely on and to go back to, which helped her to realize her feelings towards Hunter, and consequently make a move towards him. (Spoiler) [Even though the situation between them turned oh-so upside down in the end.]

I must confess my hatred for Warren is going stronger and stronger with each book. (Sorry for all his fans, if there is any! Although he’s the troop leader, he is the very reason I can not finish the novella in Holidays Are Hell. Can't read it when he's moving around in there!) Too much focusing on big picture, the man himself became rather so cold-blooded that he reached the word selfish. (If we consider selfish in terms of choosing side and do everything for the sake and interest of the side without caring enough about others.) He may be labeled as a Machiavellian man, yet he treated others too much as a pawn and a weapon, but not a person. The guy was also so possessed with 'owning' the Kairos that he tried to eliminate everything and everyone that ever became influential or important to Joanne. It is also strange that Warren's purpose for fighting with Shadows was for protecting the innocent. But then, he held no hesitation or reservation if he had to kill any of that obstructing in his way and his aims. And Jo? She made it clear in the early books that her sole purpose was to survive, a purpose for her very self, but then she hardly thought of killing or even harming anyone. Her notion on this was obviously shown in the last page of the book. “One person, I thought, as the neon blurred before me was an entire world.” Seeing people as a number through Warren's eyes was totally different from seeing people as a person through Joanne's eyes!

Though somewhat annoyed by her decision and action, I enjoy Joanne's characteristic from the very first book. As for being the Kairos, there was so much expectation placed upon her, for her to do the right thing, for her to do NO wrong. Still, our lady was no different from anyone. She could be right, she could be wrong. She could do right, she could do wrong. When she entered the world of Superpower and Superheroes she had no acquaintance with, it was natural for her to make a mistake, and therefore live and learn. This, when VP wrote her so, it greatly reflects Jo as an ordinary person who just happened to have a super power and super ability, which also makes a perfect sense for me.

As much as I have loved the books, the point I do not know whether I should praise VP or scream at her is her bold creativity in writing two major twists in City Of Souls. The first was (Spoiler) [Jo giving her power to her broken changeling in order to save the child's life, and in return becoming a mere mortal at the end of the book.], which went according to the Forth Sign (Spoiler) [which was stated, too, at the very end that‘The Kairos will sacrifice herself for a mere mortal. (p. 351)]. Also, the Second was (Spoiler) [Eventually, Jaden Jacks was Hunter!!! And everything he did was for returning to his wife in Midheaven. *screaming me*]. Actually, although the former got more effect on her, I can not (yes, can not, NOT could not) stop myself from being too speechless, stunned, and even shocked for the latter – I guess I have become too fond of a particular character, especially when I see the possibility in the early books and put my mind into that.

And so, as a reader who reads through VP's twisting storylines, City of Souls is graded as B+/A; but as a reader who follows the life of Joanna Archer, the grade is B+. My sum-up is“a hard reality, yet appealing life of Joanna Archer. One of my bestest, most favorite on-going UF series with details and attitude ... still!” Though I did believe I would finally see her happily-ever-after in this book, the cold/ugly reality aspect is still on. And I just wonder what will become of her in the fifth book, since what happened to her, and turned it back on her was what she had been struggling and fighting for, and she so deserved it all. (Well, the only best thing happened to her here was finally eliminating of Regan.)

Joanna and Hunter Actually, one of the reasons I keep reading the series is Hunter and his possibility with Jo. There seemed to be a possibility, but the couple never at all reached beyond that. Although, as a reader, I was somewhat grown tried of pushing them together, City of Souls made me enjoy the prolonged period. I found the importance of giving Joanna time to considering her life and going slowly on being attached to someone. (If she had found her way with Hunter in the very first books, that could have been too early, considering that she had too many things running in her mind and yet had to adjust to a new life before her.) I like the way she became so certain of her slowly-built feeling that she was bold enough to act and 'chase' Hunter in the middle of the book. And for that, it reminded me of the song In The End by Kat De Luna.

I'm the textbook definition of a rebel
I see the crowd movin' left and I gotta go right
I'm always in some trouble
To me life ain't fun unless you're in a good fight


So the more you're good to me
The more I try to get you to leave


All my life I've made excuses
Pushing you away, saying that you're not for me
All my life I've ran from you, babe
I tried everything
In the end it was you..

(Spoiler) [Still, as mentioned before that finally the most desired person for Hunter was NOT Joanna but his Shadow wife in Midheaven. For that, he had gone so far even to betray Joanna and the troop by conspiring with Shadow like Regan.] This, considered all the things in the first three and more than half of the fourth book, was more than an unexpected ending. Although I saw before the possibility of (Spoiler) [Hunter's betrayal], I only saw that with Jo for a reason. And I'm eventually sad and sorry for my over-confidence.
And, as usual and again, I found a song for this too! Here is I Don't Believe You by Pink, the sad and heart-breaking ballad is just right here!
I don't mind it
I don't mind at all
It's like you're the swing set and I'm the kid that falls
It's like the way we fight, the times I've cried, we come to blows
And every night the passion's there so it's gotta be right, right?

I don't mind it
I still don't mind at all
It's like one of those bad dreams when you can't wake up
Looks like you've given up, you've had enough
But I want more no I won't stop
'cause I just know you'll come around... right?

And here, already yearning for the coming book!!!
-------
Other related reviews (in Thai)
The Scent of Shadows
The Taste of Night
The Touch of Twilight

City of Souls by Vicki Pettersson (th)

"Memories are just silent promises you once made to yourself. The moment is all that matters.”
-p.142-


หนังสือออกจริงช่วงปลายเดือนมิถุนา 52 ก็จริง แต่คุณเมย์แห่ง Mostly Romance ก็กรุณาให้ยืมฉบับ Advance Uncorrected Proof/ Not For Sale มาให้ได้อ่านก่อน ดีใจเป็นที่สุด ขอบคุณทั้งคุณเมย์ ตัว Vicki Pettersson แล้วก็งาน RT เป็นที่สุด อ่านอย่างอารมณ์ดีมีความสุขจริง ๆ ค่ะ :D



ชนิด : Urban Fantasy / Epic / Superheroes
ชุด : Sign of the Zodiac, Book 4
สำนักพิมพ์ : Eos (June 30, 2009)
จำนวนหน้า : 368 หน้า


มาถึงเล่ม 4 ในชุดแล้ว City Of Souls สืบเนื่องมาจากเล่มที่แล้ว เพราะความผิดพลาดบางอย่างทำให้ระหว่างที่ Joanna คืนพลังที่เธอยืมมากลับไปให้ changeling (เด็กที่คอยช่วยเหลือซุปเปอร์ฮีโร่) เธอกลับใส่พลังของเธอลงไปด้วย และดังนั้น เมื่อ เด็ก changeling ดังกล่าวได้รับพลังของเธอไป ก็ทำให้ทุกอย่างรวนไปหมด เพราะว่า Manuals ไม่สามารถบันทึกเรื่องราวใด ๆ ของฝ่าย Light ได้ ทำให้ฝ่ายนี้อ่อนอำนาจลงไป ซึ่งขณะเดียวกันก็ทำให้อำนาจของฝ่าย Shadow เพิ่มมากขึ้น

สิ่งเดียวที่ดูเหมือนจะเป็นคำตอบให้ Jo ได้ ก็คือ ชายที่ชื่อ Jaden Jacks คน ๆ เดียวที่เคยแก้ความผิดพลาดอย่างเดียวกับที่เธอเผชิญอยู่ และเบาะแสเดียวที่เธอรู้ก็คือ ไปที่ Midheaven สถานที่ในตำนานซึ่งน่าจะให้เธอเจอคำตอบที่เธอต้องการได้ ซึ่งแน่นอนว่าการผจญภัยในมิติลึกลับเช่นนั้น ไม่ได้โลดโผนเสี่ยงตายน้อยไปกว่าการสู้กับเหล่า Shadow เลย

ในความเห็นส่วนตัว เล่มนี้แตกต่างจากสามเล่มที่ผ่านมาพอสมควร อาจจะเป็นเพราะจำนวนหน้าที่น้อยลงไปกว่าเดิม (สามเล่มก่อนอยู่ที่ประมาณ 400+ หน้าทั้งสิ้น) ทำให้การดำเนินเรื่องกระชับ ฉับไว และตรงประเด็นขึ้นกว่าเดิมมาก โดยเฉพาะในแง่ที่ตัวของ Jo ไม่ค่อยทำความผิดพลาดใด ๆ อย่างที่เคยทำมาในเล่มก่อน ซึ่งในเล่มเหล่านั้นจะต้องมีทั้งช่วงที่เธอทำสิ่งผิดพลาด และตามแก้ข้อผิดพลาดเหล่านั้น แต่เล่มนี้ เธอไม่อ้อม หรือหลงทางใด ๆ เลย เป้าหมายที่คือการรักษาตัวเด็ก changeling เพื่อให้ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ โดยการตามหาตัวคนคนเดียวที่รู้วิธี ด้วยเบาะแสใน Midheaven ถือว่าภารกิจในเล่มที่เธอได้ค่อนข้างชัด .. ถึงแม้ว่าวิธีการจะไม่ชัดเจนก็ตาม

สิ่งหนึ่งที่ชอบที่สุด และถือว่าคนเขียนทำได้ดีที่สุด ก็คือ การสร้างพัฒนาการการเติบโตของตัว Joanna เอง ระหว่างที่สร้างเหตุการณ์ต่าง ๆ ในแต่ละเล่มให้เธอเผชิญ ถึงแม้ว่าเป้าหมายของหนังสือแต่ละเล่มคือการได้พบกับเหตุการณ์เฉพาะ ๆ ที่เรียกว่า Sign ก็ตาม แต่คนเขียนก็ไม่ละเลยที่จะให้เรารู้สึกถึงการเติบโตของตัวละครไปด้วย ทั้งชุดเป็นทั้ง situation driven และ character driven ไปพร้อมกัน จากเล่มแรก เธอเรียนรู้ที่จะยอมรับตัวเองอย่างที่เป็น ไม่อยู่ด้วยความเกลียดชังโกรธแค้นตัวเองหรือโลกไว้ข้างใน เล่มที่สอง เธอได้รู้จักการอยู่ร่วมและทำงานเป็นกลุ่มกับเหล่าซุปเปอร์ฮีโร่คนอื่น ๆ และเริ่มเข้าใจถึงการไว้วางใจคนอื่นเป็น และเล่มที่สาม ก็เป็นการเรียนรู้ที่จะก้าวต่อไปข้าวหน้าโดยไม่ยึดติดกับอดีต (เห็นได้ชัดที่สุดจากการปล่อยมือจาก Ben คนรักเก่าของเธอ) ทั้งหมดนี้ทำให้รู้สึกว่าคนเขียนวางแผนมาดี และเขียนได้ดี ทั้งในโครงเรื่องหลัก และเนื้อเรื่องย่อย ๆ ในแต่ละส่วน ... อย่างที่ชอบกฏเกณฑ์และกติกาของโลก Midheaven ที่เธอสร้างขึ้น สิ่งต่าง ๆ ดูเหมือนจะทั้งคุ้นเคยและลึกลับในเวลาเดียวกัน และเพราะรายละเอียดปลีกย่อยที่มี ก็ทำให้สงสัยว่าจะมีพูดถึงเกี่ยวกับโลกแห่งนี้อีกไหม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ Jo ทิ้งส่วนหนึ่งของเธอไว้ที่นั่น (สปอยล์) [เพราะการเล่นพนันของเธอทำให้เธอสูญเสีย chip ที่มีพลังไว้ และก็ทำให้พลังของเธอหายไปกับชิปด้วย]

จุดต่างอีกอย่างหนึ่งจากเล่มก่อนก็คือ เธอมีความรู้สึกละเมียดละไมเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเป็นเพราะเธอเกลียดตัวเองน้อยลง และเรียนรู้ที่จะรักตัวเองมากขึ้น ชอบที่ Felix สมาชิกในกลุ่มคุยกับ Jo และทำให้เธอเข้าใจถึงความรู้สึกของการที่มีใครสักคนให้พึ่งพิง ใครสักคนให้กลับไปหา และเธอก็รู้สึกอย่างนั้นกับ Hunter จนกล้าที่จะบอกและกล้าที่จะเดินหน้าต่อไป (สปอยล์) [ซึ่งถึงแม้ในที่สุดแล้ว เหตุการณ์จะกลับเป็นตรงกันข้ามก็ตาม]

จากเล่มนี้สิ่งหนึ่งที่รุนแรงขึ้น (และขึ้นไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่เล่มแรก) ก็คือ ความเกลียด Warren หัวหน้ากลุ่มของเหล่า Superhero (ซึ่งส่วนหนึ่งอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่สามารถนั่งอ่านเรื่องสั้นใน Holidays Are Hell ให้จบเพราะ Warren มีบทบาทเยอะก็เป็นได้) เพราะการที่เขามององค์รวม และภาพใหญ่มากเกินไป ทำให้เขากลายเป็นคนเลือดเย็นจนไปถึงขั้นเห็นแก่ตัว (ถ้าเรานับว่าการเลือกข้างเลือกฝ่ายและทำทุกอย่างให้ฝั่งที่ตัวเองอยู่ให้ได้ผลประโยชน์โดยไม่สนใจคนอื่นหรือฝ่ายอื่น) เขามองทุกคนเป็นหมากในมือเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตัวเองต้องการ .... และขณะเดียวกับก็หมกมุ่นกับการมี Kairos อยู่กับตัว จนพยายามกำจัดทุกอย่าง และทุกคนที่มีอิทธิพลหรือแม้แต่มีความสำคัญกับเธอ แปลกที่การต่อสู้กับฝ่าย Shadows ของเขามีเพื่อปกป้องคนบริสุทธิ์ แต่เขาก็ไม่ลังเลที่จะฆ่าคนบริสุทธิ์ที่มาขวางทางหรือเป้าหมายของเขา ขณะที่ Jo เอง ดิ้นรนเพื่อตัวเองเป็นหลักในเล่มแรก ๆ แต่เธอก็ไม่เคยแม้แต่ละคิดถึงการกระทำเช่นนั้นเลย อย่างที่เธอคิดในหน้าสุดท้ายว่า One person, I thought, as the neon blurred before me was an entire world. การมองคนเป็นตัวเลขอย่างที่ Warren มอง และการมองเป็นบุคคลของ Joanna แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

มิติบุคลิกตัว Joanna เองก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ชอบมาตั้งแต่เล่มแรก (ถึงแม้จะรำคาญยิบย่อยบ้างในบางครั้ง) เพราะเธอถูกกำหนดให้เป็น Kairos และถูกคาดหวังไว้สูงมาก ซึ่งตามจริง แม้เธอจะเป็นคนตามคำทำนาย แต่เธอก็เป็นคนธรรมดา ซึ่งสามารถที่จะทำถูกได้ และขณะเดียวกันก็ทำผิดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อก้าวเท้ามาสู่สังคมยอดมนุษย์เหนือมนุษย์ที่เธอไม่รู้จักมาก่อน เหตุพลาดพลั้งที่อาจเกิดขึ้นด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเธอก็เป็นเรื่องปกติที่จะสามารถเกิดขึ้นได้ ดังนั้น การที่คนเขียนแต่งให้เธอผิดพลาดในหลายครั้งก็ช่วยสะท้อนความเป็นคนธรรมดาที่ ‘บังเอิญ’ มามีพลังและความสามารถพิเศษได้ดี .... เพราะสิ่งสำคัญไม่ใช่ทำทุกอย่างถูกต้องสมบูรณ์ หากแต่เป็นกระทำความผิดแล้วรู้ที่จะแก้ไขให้กลับเป็นดีต่างหาก

อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่ไม่รู้ว่าควรปรบมือให้กับตัว Vicki Pettersson หรือว่ากรีดร้องใส่ดี ก็คือ ความกล้าในการเขียนจุดหักมุมใหญ่ถึงสองอย่าง อย่างแรกก็คือ (สปอยล์) [การที่เธอละทิ้งพลังของเธอ และให้พลังนั้นกับ changeling เพื่อช่วยชีวิตเด็กแทน ซึ่งทำให้เธอกลายเป็นคนธรรมดาในตอนจบเล่มนี้] ซึ่งก็เป็นไปตามคำทำนายถึงสัญญาณอย่างที่สี่ด้วย (สปอยล์) [ตัว Kairos จะเสียสละตัวเองเพื่อคนธรรมดา] และอย่างที่สอง (สปอยล์) [การที่ในท้ายที่สุด ตัว Jacks Jaden ก็คือ Hunter และสิ่งที่เขาทำทุกอย่างก็คือเพื่อกลับไปหาคนรัก (หรือพูดให้ถูกจริง ๆ ก็คือ wife!!) ที่เป็น Shadow ของเขาใน Midheaven] ซึ่งแม้เหตุการณ์แรกน่าจะมีผลกระทบกับตัวเธอมากกว่า แต่อดไม่ได้จริง ๆ ที่จะอึ้ง ตะลึง ไปถึงขั้นเกือบช็อคจากเหตุการณ์อย่างที่สอง ในฐานะแม่ยกตัวละครนั้น โดยเฉพาะเมื่อความเป็นไปได้ระหว่างกันเกิดขึ้นตั้งแต่เล่มแรก ๆ และตัวเองก็ลุ้นเอาใจช่วยมาตลอด

และดังนั้น ในฐานะคนอ่านที่วิจารณ์เรื่องที่ Vicki Pettersson กล้าเขียนหักมุมเช่นนี้ ขอให้คะแนนที่ B+/A แต่ในฐานะคนอ่านที่ติดตามชีวิตของ Joanna Archer ให้ได้ที่ B+ และก็สรุปเรื่องว่า “a hard reality, yet appealing life of Joanna Archer. One of my bestest, most favorite on-going UF series with details and attitude ... still!” เพราะไม่รู้จะพูดอะไรดี ประเด็น Ugly/ Cold reality ของเธอก็ยังมีอยู่ และก็ทำให้อยากรู้ความต่อในเล่มห้ามาก เพราะสิ่งที่เกิดกับเธอ และหันหลังจากเธอในเล่มนี้ทั้งหมด เป็นสิ่งที่เธอต่อสู้และสมควรจะได้ทั้งหมด และได้ความสุขมาอยู่กับตัวแท้ ๆ แม้ว่าสิ่งที่ดีที่สุดอย่างเดียวสำหรับ Joanna ในเล่มนี้ก็คือ การกำจัด Regan ไปได้เสียที

ความสัมพันธ์ระหว่าง Joanna และ Hunter

อันที่จริง สิ่งหนึ่งที่ดึงดูดให้อ่านต่อมาเรื่อย ๆ ก็คือตัว Hunter และความสัมพันธ์ระหว่าง Jo กับ Hunter อย่างที่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เหมือนจะลงตัวแล้วก็ไม่ลงตัวมาสักที ซึ่งแม้จะทำให้คนอ่านหงุดหงิดรำคาญ แต่เมื่ออ่านมาถึงเล่มสี่จริง ๆ ก็กลับเป็นว่าชอบที่ความเป็นไปได้ที่น่าจะเกิดยืดเยื้อออกไป เพราะสำคัญที่สุดก็คือการให้เวลากับ Jo ได้ให้โอกาสตัวเองที่จะเริ่มผูกพันตัวเองกับใครสักคน (ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นในเล่มแรก ๆ ก็อาจเป็นสิ่งที่เร็วเกินไป และไม่ถึงเวลาที่ควรจะเกิด โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงว่าเธอมีประเด็นในใจอยู่มาก และต้องปรับตัวกับความเป็นไปที่เกิดขึ้นในสังคมใหม่ และทัศนคติแบบใหม่) และก็ชอบที่เธอแน่ใจกับความรู้สึกของตัวเองจนกล้าที่จะเป็นฝ่ายรุกและไล่ Hunter ในตอนกลางเรื่อง ซึ่งถ้าเฉพาะส่วนนี้ทำให้คิดถึงเพลง In The End ของ Kat De Luna มาก

I'm the textbook definition of a rebel
I see the crowd movin' left and I gotta go right
I'm always in some trouble
To me life ain't fun unless you're in a good fight

So the more you're good to me
The more I try to get you to leave

All my life I've made excuses
Pushing you away, saying that you're not for me
All my life I've ran from you, babe
I tried everything
In the end it was you

(สปอยล์) [อย่างไรก็ตาม อย่างที่ได้พูดไปแล้วว่าท้ายที่สุด คนที่ Hunter ต้องการและกลับไปหากลับไม่ใช่ Jo แต่เป็น Shadow ภรรยาของเขาที่อยู่ใน Midheaven โดยในแง่หนึ่ง เขาเลือกที่จะหักหลัง Jo และเหล่า superhero ด้วยการติดต่อกับ Reagan เพื่อที่จะกลับไปที่ Midheaven ได้] ซึ่งถ้าคิดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาในสามเล่มแรก และในช่วงค่อนเล่มของเล่มนี้ก็ไม่คิดเลยว่าจะลงเอยเช่นนี้ได้ จากเล่มสามและช่วงต้นเล่มสี่คิดถึงความเป็นไปได้เหมือนกันที่เขาจะเป็นคนทรยศอย่างที่มีนัยพูดถึงไว้ แต่ก็คิดว่าเป็นเพราะต้องการตัว Joanna มากกว่าจะด้วยเหตุผลอื่น และเมื่อคิดถึงความเชื่อมั่นที่ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่เล่มแรกก็ยิ่งทำให้อึ้งไป ... สงสาร Jo เสียจริง!!! แล้วก็กลายเป็นว่าคนที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างเธอมากที่สุด โดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ กลับเป็น Cher เพื่อนสนิทของ Olivia ที่กลายมาเป็นเพื่อนสนิทของเธอในฐานะ Olivia และ Susanne แม่ของ Cher ทั้งที่เธอเคยไม่ชอบทั้งสองคนมาก่อน

และดังนั้น ความรู้สึกตอนจบก็คงเป็นเพลงนี้เลย I Don't Believe You ของ Pink เศร้าและน่าสงสารเป็นที่สุด

I don't mind it
I don't mind at all
It's like you're the swing set and I'm the kid that falls
It's like the way we fight, the times I've cried, we come to blows
And every night the passion's there so it's gotta be right, right?

I don't mind it
I still don't mind at all
It's like one of those bad dreams when you can't wake up
Looks like you've given up, you've had enough
But I want more no I won't stop
'cause I just know you'll come around... right?