Monday, 20 December 2021
시한부 인생, 병약한 에스퍼가 되다 // End-of-life, Becoming A Sickly Esper
Tuesday, 30 November 2021
살아서 만납시다 // Let's Meet Alive
//กรีดมาก อวยมาก นี่เป็น AZ ที่ดีที่สุดที่อ่านมาแล้ว โหยหวนยาวมากนะคะ //
คนเขียน: 할로윈
แนว: ซอมบี้, วันสิ้นโลก, ตัวเอกเก่ง, พระเอกไทป์หมายักษ์, fluff
ความสัมพันธ์: นายจ้าง X บอดี้การ์ด / หมาจินโด X คนเลี้ยง
จำนวนตอน: 71 ตอน (ยังไม่จบ)
ก่อนเปิดเรื่อง มีการเล่าถึงเฮลิคอปเตอร์ทหารที่ติดต่อกับศูนย์เพื่อให้จัดเตรียมทีมแพทย์ไว้สำหรับคนในทีมที่กำจัดบาดเจ็บและไม่ได้สติ ขณะที่กำลังรายงานเหตุการณ์ ศูนย์ก็ได้ยินเสียงตะโกนจากเฮลิคอปเตอร์ว่าทหารที่บาดเจ็บไม่ได้สติ ลืมตาขึ้นมาแล้ว และก็กระโจน “กัด” นายทหารโดยรอบ ก่อนที่จะได้ยินเสียงปืนกราดยิง และเสียงร้องตะโกนแตกตื่นว่าทหารทำร้ายนักบิน ... ก่อนที่สัญญาณทุกอย่างจะขาดหายไป
เริ่มเรื่อง Lee Shinhoo ทหารจากหน่วยกองกำลังพิเศษที่เพิ่งลาออกมากำลังจะเริ่มงานในฐานะบอดี้การ์ด และระหว่างที่กำลังแต่งตัวและเตรียมออกจากบ้าน Shinhoo ที่เปิดช่องข่าวไว้ ก็ได้ยินการรายงานข่าวเรื่องเฮลิคอปเตอร์ทหารตกบนเขาจากการที่เครื่องขัดข้อง โดยเจ้าตัวเองก็คิดว่าแปลก เพราะว่าเฮลิคอปเตอร์ที่ได้รับการดูแลและตรวจเช็คอย่างสม่ำเสมอไม่น่าจะเกิดปัญหาถึงขั้นที่เครื่องตก และยิ่งกว่านั้น ภาพของเฮลิคอปเตอร์ในทีวีก็มีรอยกระสุนปืนยิงกราดอยู่ด้วย
งานใหม่ของ Shinhoo ก็คือเป็นบอดี้การ์ดให้ Han Taebaek ลูกชาย chaebol บริษัทขนาดใหญ่ตามคำสั่งของประธานบริษัท ซึ่งก็คือพ่อเลี้ยงของ Taebaek เพื่อให้จับตามองลูกเลี้ยงของตน มากกว่าจะเป็นเพื่อรักษาความปลอดภัยจริงๆ และขณะที่แม่ที่เสียไปของ Taebaek เป็นเจ้าของบริษัท แต่ตำแหน่งในองค์กรของลูกชายเจ้าของกลับเป็นหัวหน้าทีมเล็กๆ แม้ว่าจะมีที่ทำงานใหญ่โตหรูหราก็ตาม
ตอนแรก Shinhoo คิดว่า Taebaek จะเอาแต่ใจ วางท่าตามลักษณะลูกเศรษฐี แต่กลายเป็นผิดจากที่คาด เพราะนอกจากนิสัยชอบแหย่แล้ว ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น เจ้าตัวมีนิสัยเรียบง่าย และการดูแลและอยู่ร่วมกับ Taebaek ก็ราบรื่นกว่าที่คิด
แต่ละวันของ Shinhoo เริ่มต้นที่ไปหาอีกคนที่บ้านในตอนเช้า และก็นั่งรถหรูที่ Taebaek ขับไปที่บริษัทด้วย และระหว่างที่เจ้าตัวทำงาน ตัว Shinhoo ก็คอยระวังอยู่ด้วยแค่นั้น ก่อนที่ตอนเย็นจะนั่งรถกลับไปกับ Taebaek ที่บ้าน
จนกระทั่งครึ่งอาทิตย์ผ่านไป ในตอนเช้า ระหว่างทางที่นั่งไปที่บริษัท เจ้านายเก่าของ Shinhoo โทรมาหา และบอกว่าถ้าอยากรอดชีวิตก็ให้รีบเดินทางไปหาตัวเอง และ Shinhoo ที่ไม่สนใจอะไร โดยเฉพาะเมื่อทำหน้าที่อารักขา Taebaek อยู่ ก็บอกปัดไป และเมื่อมาถึงบริษัทตามปกติ น่าแปลกที่รถของพ่อเลี้ยง Taebaek ที่มาทำงานก่อนทุกวัน และไม่เคยขาดงานไม่ได้อยู่ในที่จอด ยิ่งเมื่อขึ้นไปที่ห้องทำงาน และระหว่างที่ Taebaek นั่งอ่านเอกสารอยู่ก็ได้ยินเสียงอุบัติเหตุดังขึ้นมาถึงห้องทำงานข้างบน เมื่อสองคนและเลขาเดินมาชะโงกดูที่หน้าต่างก็เห็นว่ารถบัสชนกันบนถนน และที่แปลกเกินกว่าจะเป็นแค่อุบัติเหตุจราจร ก็เพราะการทำร้ายร่างกายและนองเลือดต่อมา ขณะที่ Taebaek ที่เห็นเหตุการณ์กำลังจะกลับไปที่โต๊ะเหมือนเดิม ตัว Shinhoo ที่อาชีพและนิสัยทำให้การรับรู้อันตรายและโต้ตอบฉับไวก็ตีความไปถึงความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุดว่าเกิดการรัฐประหารขึ้นจากฝีมือของคนในรัฐบาล เมื่อทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ด แล้วเคยเป็นทหารมาก่อน พอสถานการณ์เริ่มผิดปกติ ความปลอดภัยของเจ้านายต้องมาเป็นอันดับแรก ก็บอก Taebaek ทันทีว่าให้กลับไปตั้งหลักที่บ้านก่อน ไม่นับที่บอกให้เลขาของ Taebaek สั่งให้เจ้าหน้าที่ในบริษัทปิดประตูทางเข้าออก เอา shutter ลงมาไม่ให้คนนอกเข้ามาได้อีกต่างหาก
ระหว่างทางเหมือนจะไม่มีอะไรปกติ แต่ทว่าก็มีคนที่ขับรถสวนทางมาจะชนรถของ Taebaek และเมื่อหักหลบ รถก็ชนเสาไฟฟ้าแทน ระหว่างที่คิดว่าจะลงไปช่วยดีหรือไม่ จ้องมองอยู่ก็เจอว่า "บางอย่าง" ที่เหมือนมนุษย์ แต่อ้าปากกว้าง มีฟันแหลมคมกระโดดมาจากท้ายรถ และกัดกินคนขับ โดยที่อ้าปากกว้างที ร่างกายส่วนหนึ่งก็หายไปที ซ้ำร้าย เมื่อเห็นทั้งสองคนก็กระโดดเกาะท้ายรถมาด้วย ขับสลัดอย่างไรก็ไม่หลุด แถมยังกัดเหล็กรถได้อีก
สุดท้าย "บางอย่าง" นั้นก็ตามสองคนมาถึงที่จอดรถ และด้วยความที่ไม่มีอาวุธเหมาะสมในมือ Shinhoo ก็บอกให้ Taebaek ถอยรถให้อัดชนกับกำแพงแล้ว Shinhoo ลงมาสู้ จนในที่สุด ก็จบลงที่ Taebaek ถอยรถให้อัดชนกับกำแพงอีกรอบ และ Shinhoo เอามีดแทงกระโหลกไป
เมื่อส่งเจ้านายถึงห้อง Shinhoo ก็บอกลาจะกลับไปที่บ้านตัวเอง โดยบอกอีกคนว่าการที่ Taebaek เป็นลูกหลาน chaebol ใหญ่ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ทั้งรัฐบาลและทหารไม่เข้ามาแตะต้องแน่นอน โดยเฉพาะเมื่อเขตที่พักอาศัยเป็นเขตคนมีฐานะ ถ้าเก็บตัวอยู่ในบ้าน อย่างไรก็ปลอดภัย และถ้า Shinhoo จะอยู่ด้วย Taebaek ก็ต้องปันส่วนอาหารและน้ำที่มีให้ Shinhoo จะทำให้อาหารส่วนของ Taebaek หมดไวขึ้น .... หากแต่ Taebaek ที่ไม่อยากอยู่คนเดียวกลับรั้ง Shinhoo ไว้ให้อยู่ด้วยกัน
และเมื่อยามเย็นมาถึง แปลกที่ไฟที่ควรจะส่องสว่างตามหน้าต่างบ้านรอบๆ กลับปิดมืดกว่าที่เคย ..... ตอนสามทุ่ม ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูจากป้าคนทำความสะอาดที่มาในสภาพบาดเจ็บเลือดโชก เพราะไม่กล้าหยุดงาน ถึงแม้จะเกิดเหตุผิดปกติที่คนทำร้ายกันทั่วโซล และระหว่างทางก็ถูกเด็กที่หลบอยู่ในพุ่มไม้กัด เมื่อทำแผลและให้แม่บ้านเข้าไปพักผ่อนในห้องแล้ว Shinhoo ก็เจอว่าหูของแม่บ้านแดงก่ำกว่าที่มนุษย์พึงเป็น และก็คิดถึงความเป็นไปได้ที่อีกฝ่ายจะเปลี่ยนเป็น “บางอย่าง” เหมือนที่ตัวเองกับ Taebaek เพิ่งเจอ และก็คิดถึงอันตรายขึ้นมากรณีที่จะมี “บางอย่าง” ในบ้านขึ้นมา โดยเฉพาะเมื่อห้องนอนล็อคได้แค่จากด้านในเท่านั้น กับเทียบกับตัวก่อนที่สู้ด้วย ตัวนี้อยู่ในสภาพสมบูรณ์กว่ามาก
แล้วในตอนกลางคืน ก็ได้ยินเสียงดังโครมครามมาจากด้านที่แม่บ้านพักอยู่จริงๆ Shinhoo ให้นายจ้างตัวเองหลบอยู่ในห้อง ขณะที่ตัวเองจะไปดูเอง แต่ Taebaek กลับขอไปด้วย ด้วยเหตุผลที่ว่า ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับ Shinhoo ตัวเองก็ไม่กล้าออกไปจากห้องอยู่ดี อาจจะตายอยู่ในห้องได้ ถ้ามีอะไรก็ตายด้วยกัน ... จนสุดท้ายก็เลยต้องให้ Taebaek ไปด้วย โดยให้อีกฝ่ายหาอาวุธติดมือไป และก็ได้ไม้กอล์ฟติดมือโดยถูก Shinhoo ย้ำใส่ว่าถ้ามีอะไรให้หวดที่หัวให้สุดแรง และเพราะกระโหลกหนา ให้คิดว่าทุบหินอยู่ ตอนแรก Shinhoo ออกไปสู้ก่อน แต่พอพลาดถูก “บางอย่าง” กระโดดคร่อมจะกัด ก็ได้ Taebaek เอาไม้กอล์ฟหวดจนดิ้นหลุดออกมาได้ และเพราะทำอย่างไรก็ไม่ยอมตาย ก็เลยต้องหวด หวด หวดใส่ไม่ยั้ง เลือดกระเซ็นลงทั้งหน้า ทั้งประตู ทั้งกำแพงแล้ว กระโหลกยุบก็แล้ว แต่ก็ยังไม่ตาย อ้าปากกินส่วนไม้กอล์ฟอีก จนสุดท้าย Shinhoo ก็ปิดฉากด้วยการเอามีดทำครัวปักสมอง ... แต่เพราะไม่แน่ใจว่าจะฟื้นขึ้นมาอีกไหม Shinhoo ที่สังเกตว่าตัวประหลาดนี้ใช้การมองเห็นเป็นหลัก ก็เลยควักเอาลูกตาออกมาเป็นมาตรการกันไว้ก่อน
สองคนนอนห้องเดียวกัน และตอนเช้าก็ตื่นมาโดยที่ Taebaek ขึ้นมานอนหลับอยู่บนตัว Shinhoo เพราะได้ยินเสียงหวีดเตือนภัยจากมือถือ สรุปว่ารัฐบาลประกาศแจ้งสภาวะฉุกเฉินจากการแพร่ระบาดของไวรัส โดยที่จำนวนผู้ติดเชื้อยังระบุไม่ได้ ให้งดการออกจากบ้าน ปิดประตูหน้าต่าง และหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ
และเมื่อเปิดทีวีฟังข่าวเพิ่มเติม ก็ได้ยินรายงานพิเศษแจ้งว่า ให้สังเกตลักษณะผู้ติดเชื้อ ที่เห็นชัดก็คือฟันที่แหลมคมเหมือนปลาฉลาม และหูที่แดงก่ำผิดปกติ ทั้งนี้ ผู้ติดเชื้อไวรัสนี้ไปจะตายทันที แต่ว่าสมองจะยังทำงาน โดยที่จะสั่งการให้มีความอยากอาหาร หรือเจาะจงก็คือเนื้อมนุษย์ จนถูกเรียกชื่อว่า Eaters
แต่ระหว่างฟังรายงาน ตัว Taebaek กลับไม่มีท่าทางเดือดร้อนเลย ตักอาหารเข้าปากดูผ่อนคลายด้วยซ้ำ และเมื่อ Shinhoo ถามก็ได้ความว่า จากประสบการณ์ที่ดูหนังแนวซอมบี้มาเยอะ การที่คนไม่อยู่บ้านแต่ไปเพ่นพ่านข้างนอกทำให้ปริมาณซอมบี้ยิ่งเยอะ อยู่บ้านเฉยๆ รอให้ตำรวจทหารจัดการซอมบี้ก่อนดีที่สุด การอยู่บ้านช่วยลดปริมาณซอมบี้ได้ ไม่งั้นทุกคนก็เป็นซอมบี้กันหมด
แต่ว่าไม่ใช่ทุกคนที่คิดอย่าง Taebaek เพราะมีทั้งพวกประท้วงต่อต้านรัฐบาลที่มาจับกลุ่มบอกให้รัฐบาลหยุดสร้างและเผยแพร่เรื่องไม่จริง พวกคลั่งศาสนาที่เชื่อว่าอีทเตอร์มาช่วยล้างโลก พวกอยากดังที่คิดจะจับและฆ่าอีทเตอร์ออกโซเชียลมีเดียต่างๆ ทำให้เกิดความวุ่นวายยิ่งขึ้นอีก
แต่เมื่อบ้านของ Taebaek กินพื้นที่ทั้งชั้นของตัวตึกที่มีการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดก็เป็นฐานที่มั่นที่ปลอดภัยให้ทั้งสองคนหลบภัยได้
จนกระทั่งหนึ่งเดือนผ่านไป ในวันที่ 30 กันยายน ก็ได้ยินประกาศที่เปลี่ยนไปของรัฐบาล ....เพราะว่าการกำจัดอีทเตอร์ไม่ได้ผล รัฐบาลที่สูญเสียกำลังทหารไปเปลี่ยนท่าทีโดยแจ้งประชากรว่าจะละทิ้งกรุงโซลไปตั้งเมืองใหม่ที่เกาะเชจู และประกาศทิ้งระเบิดถล่มกรุงโซลและคาบสมุทรเกาหลีทั้งหมดในวันที่ 30 ตุลาคม ตามคำแนะนำของ UN และ WHO ที่เห็นว่าไวรัสและอีทเตอร์ที่กำลังแพร่ระบาดคุกคามต่อความปลอดภัยของภูมิภาคอื่นในโลกด้วย โดยให้ประชาชนอพยพไปที่เมืองมกโพแล้วนั่งเรือไปที่เกาะเชจูต่อไป
ดังนั้น การทิ้งที่ปลอดภัย และเดินทางไปที่มกโพของสองคนก็เริ่มขึ้น
.
.
.
จบการเล่าเรื่องย่อแบบวิชาการจริงจัง (?) ต่อไปจะเป็นการโหยหวนกรีดร้องทุกอย่างแล้ว จากใจก็คือว่าอยากจะกรี๊ด กรี๊ด และกรี๊ดมาก นี่เป็นเรื่องแนว AZ วันสิ้นโลกกับซอมบี้ที่ดีที่สุดที่อ่านมาทั้งชีวิตเลย ฮืออ อยากจะกราบทุกสิ่งอันเริ่มตั้งแต่บุคลิกตัวละครสองคนแล้ว
เริ่มที่ตัว Shinhoo ปกติไม่ค่อยเจอตัวเอกสายทหารหรือการ์ดเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่สาย ability คนที่พื้นเพมาจากทางทหารหรือตำรวจจะเป็นพระเอกมากกว่า โดยเฉพาะสายจีน เปิดมาตัว Shinhoo มีความสามารถตามอาชีพตัวเองไม่พอ ยังมีความสุขุมรอบคอบอีก นิสัยนิ่งเย็นหาทางออกทำให้หนทางรอดของทั้งคู่เพิ่มสูงมากขึ้นและเป็นไปได้ทุกครั้ง โดยเฉพาะตั้งแต่วันแรกที่เดินไปสำนักงานของ Taebaek ก็จินตนาการภาพในหัวแล้วว่า ถ้าเกิดเหตุร้ายอะไรขึ้นมา จะรับมือและตั้งหลักอย่างไร ตั้งแต่จะเอาโต๊ะทำงานมาเป็นแนวกัน โดยเฉพาะเพื่อกำบังกระสุนแล้ว
ไม่นับความจริงจังรับผิดชอบต่อหน้าที่อีก เพราะตอนที่กลับมาบ้าน ตัว Taebaek บอก Shinhoo เองว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเหตุสุดวิสัยที่นอกเหนือจากที่ระบุในสัญญา ถ้าจะยกเลิกสัญญาและเลิกดูแลตัวเองก็ทำได้ แต่ว่า Shinhoo ก็พูดย้ำบอกมาชัดว่า ยังไงก็จะปกป้องต่อไป จะไม่ทิ้งกันไป และต้องเอาชีวิตให้รอดให้ได้ทั้งคู่
กับส่วน Taebaek เอง ที่เปิดมาเป็นพระเอกสาย chaebol เอาแต่ใจ ชอบขับรถเอง และมีงานอดิเรกชอบรถขับแข่ง แต่ว่าเป็นสายหมายักษ์ไปแล้วชอบกล เพราะว่าพอเกิดเรื่องขึ้นมาก็ดูติดตัวเอกไปเลย แถมยังอยากให้ตัวเอกชมตัวเอกทุกครั้งที่ทำอะไรถูก/ดีอีก เริ่มตั้งแต่ตอนที่บุกไปดูแม่บ้านในบ้านที่กลายเป็นอีทเตอร์ก็รีบเอาโทรศัพท์มาเปิดแอป CCTV ให้ Shinhoo ดู และก็รอคำชมอย่างใจจดใจจ่ออีก แต่สิ่งที่ดีที่สุดในตัว Taebaek ก็คือสภาพอีคิวที่สมบูรณ์และพร้อมที่จะมองโลกด้วยมุมมองที่ต่างออกไป การคิดบวก ไหวพริบสูงและการเรียนรู้ที่รวดเร็ว โดยเฉพาะเมื่ออยู่ร่วมกับ Shinhoo และคอยสังเกตพฤติกรรมและนิสัยของอีกคน และมาปรับใช้กับตัวเองก็ทำให้เจ้าตัวแข็งแกร่งและเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จากตอนแรก
ซึ่งในแง่หนึ่งสองคน นิสัยคนละแบบ แต่ก็มาเสริมกันอยู่ โดยเฉพาะเมื่อ Shinhoo จริงจังขาดความยืดหยุ่น ไร้จินตนาการ มองแค่เป้าหมายกับภาพรวม และ Taebaek ดูเรื่อยเปื่อยไม่จริงจัง แต่จินตนาการสูง และสนใจรายละเอียดปลีกย่อยระหว่างทาง และโดยเฉพาะเมื่อตัว Shinhoo สนใจแค่การทำหน้าที่ให้ลุล่วงก็ไม่ดูแลสนใจตัวเอง จนเมื่ออยู่กับ Taebaek ที่ทำให้อีกฝ่ายผ่อนคลายตัวเองได้ลง
แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ค่อยบ่อยที่เจอตัวเอกเป็นมหาเศรษฐีจริง ๆ และดังนั้นการห่วงไปก่อนว่าทำไมกลับถึงบ้านแล้ว Taebaek ถึงรีบโอนเงินออกไปนอกเกาหลี เคลียร์บัญชีทรัพย์สินที่มี ไม่ลงไปซุปเปอร์ หรือมินิมาร์ตแล้วตุนอาหาร น้ำดื่ม และสิ่งจำเป็นต่างๆ หรือแม้แต่รองน้ำในอ่างก็เป็นการห่วงของเหล่าคนอ่านทั้งมวลที่กรีดร้องโหยหวนเปล่าประโยชน์ เพราะว่าถึงแม้จะไม่ทำอะไรเลย แต่สภาพบ้านที่พร้อมสรรพของ Taebaek ก็มีทุกอย่างแล้ว นับตั้งแต่อาหาร ของแห้ง ขนมอย่างช็อกโกแลต คุกกี้ และลูกอมในห้องเก็บของ ไม่นับขวดน้ำดื่มที่สูงจรดเพดานอีกด้านอีก ยิ่ง Shinhoo เดินสำรวจบ้านก็ได้สิ่งของที่แม้แต่ Taebaek ก็ไม่คิดว่ามีอย่างแบตเตอรี่สำรองมาอีก ไม่นับว่าตัวบ้านกว้างขวางขนาดที่ตัว Shinhoo ใช้เวลาสำรวจบ้านอย่างคร่าวๆ อย่างเดียวก็กินเวลาไปร่วม 30 นาทีแล้ว
วันแรกที่กลับบ้านมาอาหารที่ Taebaek ทำก็คือสเต็กอย่างดี กับมะเขือเทศเชอร์รี่ตกแต่งสวยงาม ไม่นับไวน์แดงแกล้ม และมาการองปิดท้าย หรือเช้าต่อมาก็เป็นออมเล็ตหรูหรา ถึงจะไม่ได้ออกไปหาอาหารเพิ่มเติมแต่อาหารในบ้าน Taebaek ก็สามารถเลี้ยงผู้ชายสองคนได้ (ถึงจะเป็นการกินวันละสองมื้อเพื่อประหยัดอาหาร) มาร่วมแรมเดือน แม้ตอนหลังๆ จะเริ่มร่อยหรอกลายเป็นพาสต้ากับซอสต่างๆ ที่โชคดีว่าเจ้าตัวซื้อสะสมระหว่างเดินทางไปที่ต่างๆ ก็ตาม
และก็น่ารักว่าอาหารที่ Taebaek ทำอร่อยและถูกปาก Shinhoo อย่างยิ่ง ถึงขั้นที่แม้จะเป็นพาสต้ากับซอสสำเร็จแต่พอผ่านการปรุงเสริมใส่หอมใหญ่ กระเทียม โน่นนิด นี่หน่อย จากฝีมือ Taebaek ก็อร่อยมากไป จน Shinhoo กินอย่างเอร็ดอร่อยทุกครั้ง ทั้งที่ปกติเวลาอยู่คนเดียว ตัวเองที่มีนิสัยกินเพื่ออยู่ก็ถึงขนาดเอาโปรตีนมาเขย่ากับน้ำแทนอาหารด้วยซ้ำ และพอเอ่ยปากชม เจ้าตัวก็บอกว่าปกติไม่ทำอาหารเพราะขี้เกียจ แต่พอเห็นอีกคนกินอร่อยทุกครั้งก็เลยอยากทำ คิดว่านี่คือสาเหตุที่คนเลี้ยงหมากัน ... ทำเอา Shinhoo อยากจะลุกขึ้นมาชกหน้า
Shinhoo: I feel it every day, but you are really good at cooking.
.........
Taebaek: I don't even cook because I'm too lazy.
Shinhoo: Ah .....
Taebaek: But seeing Manager Lee eats well, I just want to do it.
Shinhoo: Yes?
Taebaek: I Guess that's why people raise dogs.
Shinhoo: ...
Taebaek: Oh, clench your fists again. Are you going to hit me?
กับคืนก่อนออกเดินทาง Shinhoo ก็กลุ้มใจว่าอาวุธที่มีในมือตอนนี้ก็เป็นแค่มีดทำครัวกับไม้กอล์ฟ อย่างน้อยถ้ามีปืนอย่างตอนที่อยู่ในกองกำลังพิเศษก็น่าจะเพิ่มโอกาสในการรอดให้สูงขึ้น และพอกำลังกลุ้มใจ Taebaek ก็โพล่งออกว่าตัวเองมีปืนอยู่ ... โดยที่ก่อนหน้ามีวันที่ Taebaek ตื่นสายให้ Shinhoo แล้วก็ให้เหตุผลว่าเมื่อคืนมัวแต่เล่นกับของเล่นอยู่ ซึ่งก็คือปืนพวกนี้
ซึ่งเพราะปืนอยู่ที่ตึกโรงยิมที่ Taebaek เป็นเจ้าของ พอคิดว่าจะต้องฝ่าฝูงอีทเตอร์มหาศาลเข้าตึกเอาปืนไหม ก็เป็นความกังวลที่สูญเปล่าอีกแล้ว ตั้งแต่ตอนที่ลงจากบันไดหนีไฟไปที่รถ ด้วยความที่เจ้าตัวรวยมาก อยู่ในตึกที่การรักษาความปลอดภัยสูง ความเป็นส่วนตัวสูง สภาพตึกก็เรียบร้อยปลอดภัยไม่มีร่องรอยอีทเตอร์เลย แม้ว่าช่วงที่ลงมาข้างล่างจะเจออีทเตอร์บ้าง แต่สภาพประตูก็แข็งแรงพอจะกันได้ ไม่นับชั้นจอดรถของ Taebaek ที่กินพื้นที่ส่วนตัวด้านหนึ่งอีก และการเข้าไปเอาปืนก็คือการขับรถเข้าไปในโกดังด้านหลังตึกที่เจอกับอีทเตอร์จำนวนทั้งหมด 1 ตัว (หนึ่งตัว!!!!) .... การกังวลช่างเป็นเรื่องเสียเวลา!
พอเห็นทั้งปืนที่สะสมอยู่ ตัว Shinhoo ก็ทั้งทึ่งกับราคาปืนธรรมดาแต่กลายเป็นราคามหาศาลที่ Taebaek ต้องจ่ายให้พ่อค้าอาวุธเพื่อนำเข้ามาให้ และความใจกล้าของตัว Taebaek ที่กล้าเก็บอาวุธปืนมากขนาดนี้ไว้ในกลางเมือง
แต่จากความรักปืนและบ้าสะสมปืน ก็เลยทำให้ประกอบปืนเร็วมาก ถึงขั้นที่เร็วกว่า Shinhoo ที่เป็นทหารหน่วยพิเศษมาก่อนอีก ขำที่พนันกัน แล้ว Taebaek เร็วกว่า Shinhoo ที่มั่นใจกับฝีมือตัวเองมากก็ช็อคค้างไปแล้ว แถมแพ้พนันยังต้องเรียกชื่ออีกฝ่ายอีก ตอนที่พยายามกลั้นใจเรียก Taebaek-ah ออกมาน่ารักดี กับต้องให้อีกฝ่ายเรียกพี่ ... จากที่เคยเป็นทางการว่าหัวหน้าทีมฮัน กับผู้จัดการลี
กับพอถามว่าถ้ายิงปืนไม่เป็น ไม่ได้ยิงปืนขนาดนั้น ทำไมมีกระสุนเยอะ Taebaek ก็บอกว่าเป็นบริการจากพ่อค้าอาวุธ
ตอนนี้ก็ได้เวลาขับรถหนีออกจากโซลแล้ว โดยตามแผนการทั้งสองคนเลี่ยงที่จะเดินทางช้ากว่าคนอื่นหนึ่งวัน เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ทุกคนจะรีบหนีออกจากเมืองพร้อมกัน และให้อีทเตอร์ตามกลุ่มคนกลุ่มแรกที่อพยพออกไป แต่เพราะกลัวว่าเส้นทางด่วนและทางหลวงที่จะไม่มีทางให้เลี่ยงหนีถ้าเกิดเหตุใดๆ ขึ้นมา ก็เลยยอมเลี่ยงไปใช้ถนนสายย่อยที่แม้จะต้องใช้เวลามากกว่า แต่ก็น่าจะปลอดภัยกว่า
ชอบเวลา Taebaek ขับรถ แล้ว Shinhoo คอยระวังและหาเส้นทาง เป็นแบ่งงานกันช่วยเหลือกันที่ลงตัว โดยเฉพาะเมื่อตัว Taebaek ก็รู้จักรถจนเอามาใช้ประโยชน์ได้ มีตอนที่รถข้างหน้าพลิกคว่ำอยู่จากฝีมือของอีทเตอร์ แล้ว Shinhoo ก็คิดว่า Taebaek จะขับแล่นผ่านไปเลย แต่ตัว Taebaek กลับรีบหยุดรถ เพราะเห็นประกายไฟจากถังน้ำมันว่าจะระเบิด แต่ว่าหลังจากนั้นก็เป็นว่าที่กั้นถนนถูกแรงระเบิดทำลายและฝูงอีทเตอร์ก็ทะลักออกมาจากตรงที่กั้น โดยที่เมื่อยิ่งออออกมา ที่กั้นยิ่งพัง และจำนวนอีทเตอร์ก็ไหลออกมาเยอะขึ้นเรื่อยๆ
ถึงขั้นขอบคุณที่ Taebaek ขับรถแข่งมาก่อน เพราะกดคันเร่งหนีเร็วเนียนมาก ไม่งั้นสถานการณ์ที่พวกอีทเตอร์ตามเสียงระเบิดมานี่ ... ตายสถานเดียวจริง แถมมารอบด้านอีก จนสองคนหนีเข้าไปในร้านยาง พระเอกฉันเริ่มยิงปืนได้แล้ว แต่ว่าที่กั้นเหล็กกลับหยุดค้างอยู่ตอนลงมา ทำให้พวกอีทเตอร์กรูเข้ามาได้ จนสองคนต้องทิ้งรถ แล้วหนีไปที่ชั้นสอง จนไปจบที่ดาดฟ้า ดีที่ซอมบี้เรื่องนี้อาศัยการมองเห็นมากกว่ากลิ่นนะ หนีง่ายขึ้นเยอะเลย เพราะพอไม่เห็นตัว การพังประตูดาดฟ้ามาก็หมดไป จะเป็นปัญหาก็แต่พวกที่ล้อมร้านอยู่
และระหว่างที่ Shinhoo กำลังเคร่งเครียดหาทางถึงขั้นที่คิดว่าจะเสียสละตัวเองอย่างไรให้อีกคนรอด Taebaek กลับใจเย็นกว่านั้นมาก ตอนที่บอก Shinhoo ว่า อย่างน้อยตอนนี้อากาศไม่หนาวแล้วก็ไม่ร้อน ทำให้การติดอยู่ที่ดาดฟ้าไม่ทรมานจนเกินไป และชวนให้คนข้างๆ นั่งดูท้องฟ้าก้อนเมฆสบายใจ
และพอนั่งไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรทำ ตัว Taebaek ก็เริ่มอธิษฐานเรื่อยเปื่อย ถึงช่วงแรกขอพระเจ้า พระพุทธเจ้าก็ปกติดี แล้วก็ไปถึงซุส และอโฟรไดท์
ตั้งแต่ให้โลกล่มสลายแล้วทุกคนตายไปด้วยกัน
ให้มีไวรัสสายพันธุ์อื่นที่ออกมาฆ่าพวกอีทเตอร์
..... ไปจนถึง ให้เกิดภูเขาไฟระเบิด
ฟังคนข้างตัวอธิษฐานมาจนถึงตอนนี้ ตัว Shinhoo ก็เริ่มอดสงสัยจนเอ่ยปากถามไม่ได้ว่าทำไมต้องเป็นภูเขาไฟระเบิด แล้วอีกคนก็อธิบายว่าถ้าเกิดภูเขาไฟระเบิดแล้ว พวกอีทเตอร์ที่ชอบแสงไฟและเสียงดังก็จะกรูไปที่ภูเขาไฟระเบิด และสองคนก็จะหนีรอดไปได้
จากความคิดแผลงๆ ไร้สาระกลายเป็นการจุดประกายให้ Shinhoo ด้วยการคิดจะระเบิดร้านข้างๆ เนื่องจากเหล่าอีทเตอร์จะหายกันออกไป ตามสัญชาตญาณที่มักรี่เข้าหาแสงไฟและไม่รู้จักเจ็บปวดก็จะกรูเข้าไปในกองไฟเหมือนแมลงเม่าที่ทำลายตัวเองและทำลายตัวที่อยู่รอบข้างไปพร้อมกัน สองคนก็เลยเอาโครงเหล็กจากชั้นดาดฟ้าวางพาดไปที่ร้านข้างๆ แล้วปีนไปปล่อยก๊าซเพื่อจุดไฟ แต่เมื่อ Shinhoo ที่ปีนไปก่อนควรจะส่งสัญญาณให้ Taebaek หายเงียบ คนที่รอจนร้อนใจก็ตัดสินไปปีนตามไปทันที ... และ Shinhoo ก็แปลกใจและรู้สึกอบอุ่นในใจที่มีคนห่วงตัวเองอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน
แผนสำเร็จตามคาดหมาย และก็โชคดีที่รถไม่เสียหายแม้แต่น้อย เมื่อขับรถออกมา และตระเวนหาอาหารและที่หยุดพัก ตัว Taebaek ที่หิวโซก็เริ่มจินตนาการบรรเจิดคิดถึงสิ่งที่ตัวเองอยากกิน แล้วพรรณนาออกมาให้คนที่นั่งข้างฟัง สุดท้ายก็ไปจบที่ซุปกิมจิใส่หมูชิ้นโตๆ และเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองพูดไม่หยุดก็ขอโทษ Shinhoo ที่นั่งฟังเงียบๆ อยู่ พร้อมกับบอกว่า อย่างไรก็ชอบตัว Shinhoo มากกว่าซุปกิมจินะ .... น่ารักและใสซื่อผิดภาพลักษณ์สาย chaebol ตอนแรกจริงๆ เหมือนตอนที่ครั้งแรก Shinhoo เห็นสีผมของ Taebaek ที่เป็นสีทองจากสีดำที่เห็นในรูปประวัติ และเห็นนิสัยที่ผิดกับขนาดตัวก็เผลอคิดไปว่าตัว Taebaek เหมือนหมาจินโดได้
จนเข้ามาถนนเส้นเล็ก ก็เจอเนอสเซอรี่อยู่ และก็โชคดีที่ถึงแม้อาหารสดจะเสียแล้ว แต่ที่นี่ก็ยังถือว่าเป็นสวรรค์ที่มีของในตู้ครบครัน ตัว Taebaek ก็ได้ทำซุปกิมจิสมใจ ไหนจะไก่นักเก็ตทอด และไส้กรอกย่าง กลายเป็นอาหารเต็มโต๊ะคู่กับข้าวสวยที่เพิ่งหุง น่ารักที่ Shinhoo ที่ปกติไม่มีความอยากอาหาร แต่เพราะอดกันมานาน ยิ่งเป็นอาหารที่ Taebaek ก็แทบจะทนรอให้ข้าวหุงสุกไม่ได้ ชอบอาหารที่ Taebaek ทำมาก ตั้งใจรอและตั้งใจตักเข้าปากจริงจัง จากที่กินให้อยู่ พออยู่ด้วยกัน ไม่เคยรู้ว่าตัวเองมี pleasure of taste มาก่อนเลย แต่ตอนนี้การกินอาหารที่อีกฝ่ายทำกลายเป็นความสุขไปแล้ว
หลังอาหาร ตัว Taebaek ก็ยังมีไอศกรีมวานิลลาโรยหน้าด้วยบลูเบอร์รี่ และราสพ์เบอร์รี่ที่ไปคุ้ยมาจากฟรีซเซอร์ได้อีก สมเป็นคนชอบขนมจริงๆ และก็ขอบคุณเนอสเซอรี่ที่มีอาหารให้นะคะ
เมื่อได้เวลาพักผ่อน ตัว Shinhoo ที่คิดว่าจะไม่นอนเพื่อเฝ้ายามดูแลความปลอดภัยให้ Taebaek ก็รื้อนิทานเด็กที่เล่าเกี่ยวกับเพนกวินสองตัวที่เดินทางหาบ้านมาอ่าน และอีกคนที่คิดว่าจะหลับเงียบๆ ก็ชวนคุย พอถามว่าตัว Shinhoo คิดอะไรอยู่ และคำตอบที่ได้ว่าโล่งใจที่ตอนเข้าเนอสเซอรี่มาไม่เจอเด็กที่กลายเป็นอีทเตอร์ และหวังให้เด็กๆ ในเนอสเซอรี่ทุกคนปลอดภัย และเดินทางไปถึงมกโพได้อย่างราบรื่น ก็ทำให้ Taebaek หลากใจที่คนที่ดูภายนอกเย็นชา ไม่สนใจใครเป็นห่วงเด็กๆ ที่ไม่เคยแม้กระทั่งเห็นหน้ากันมาก่อน และความรู้สึกที่มีต่อ Shinhoo ก็ท่วมท้นขึ้นมาจนเอ่ยปากถามอีกคนว่า “อยากจูบตัวเองไหม” “มาจูบกันเถอะ”
การเปลี่ยนทิศทางกระทันหันทำให้ Shinhoo ตามไม่ทัน จนสมองประมวลผลได้ว่าเป็นเพราะถูกอีกคนล้อเล่น และก็ตอบกลับว่ารู้ไหมว่าสามารถฆ่า Taebaek ด้วยมือเปล่าได้นะ ไม่ต้อง 5 นาทีหรอก 2 นาทีก็เพียงพอแล้ว ... แต่ Taebaek ที่รู้ทันนิสัย Shinhoo แล้วก็ยุให้ Shinhoo ลองทำในสิ่งที่ไม่เคยลองทำดู ซึ่ง Shinhoo ก็ตกหลุมจริงๆ การจูบที่เกิดขึ้นเพราะความอยากรู้ของ Shinhoo ก็เริ่มขึ้น
โดยที่หมาจินโดกลายเป็นหมาป่าไปแล้ว เพราะคิดว่าถ้าอย่างไรก็จะถูก Shinhoo ฆ่าอยู่ดี ถ้าเป็นไปได้ ก็ขอตายตอนที่ทั้งจูบ Shinhoo ให้หนำใจปลเวก่อนเถอะ If this kiss ends in a mess, I'll die at Shinhoo's hands anyway. If possible, I wanted to die after biting and sucking Shinhoo's lips to my heart's content. ส่วนอีกคนเป็นอารมณ์เด็กถูกจับไปฉีดยาที่โรงพยาบาลที่รู้ว่าต้องทำแต่ก็กล้าๆ กลัวๆ แต่น่ารักที่พอจูบอย่างตั้งใจ แล้ว Taebaek เทใส่ความรู้สึกตัวเองลงไปเต็มที่ คนถูกจูบก็รับรู้ได้ ไม่นับว่าการที่ถูกกอดและสัมผัสอุณหภูมิอบอุ่นจากร่างกายคนอื่นเป็นสิ่งที่ตัว Shinhoo ไม่เคยทำ .... ตามจริงแล้วตัว Shinhoo ขาดความรักมาตลอดนะเนี่ย
เหมือนตอนที่อยู่บนดาดฟ้า และ Taebaek ลูบตา Shinhoo .... เพราะครั้งแรกและครั้งเดียวที่มีคนมาสัมผัสตัว Shinhoo อย่างใส่ใจก็คือตอนที่ผู้อำนวยการสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตบบ่า Shinhoo เพื่อบอกลาตอนเจ้าตัวจะไปเป็นทหาร
สรุปว่าหมาจินโดก็ยังกลายพันธุ์ต่อไป และการสัมผัสตัว Shinhoo ก็ทำให้ตัวเองภูมิใจว่าเป็นคนแรกที่ถูกตัว Shinhoo นอกจากหมอที่เคยทำแผลให้ Shinhoo เสียด้วย Except for the doctor who treated these wounds, I'll be the first to touch it. A sense of uniqueness and superiority enveloped Taebaek.
และ Shinhoo ที่มีคนกอดและสัมผัสอย่างอ่อนโยนก็ผ่อนคลาย จนถึงขั้นที่หลับไปไม่รู้ตัว .... ทั้งที่ตั้งใจว่าจะเฝ้าดูแลอีกคนแท้ๆ แต่พอหลับป๊อกไปแล้วตื่นขึ้นมาพบว่า Taebaek หายไป โดยที่ในห้องน้ำก็ไม่มี ตกใจถึงขั้นคิดความเป็นไปได้ต่างๆ นานาที่รวมถึงการที่ Taebaek ผู้ชอบของหวานเจอช็อกโกแลตแล้วตามกลิ่นช็อกโกแลตไปแล้ว ก็เลยคว้าปืนออกตามหารอยเลือด คิดแง่ร้ายและลบมากจนไปเจอ Taebaek อยู่ในครัว โดยกำลังต้มซุปสาหร่ายในหม้ออยู่
เจ้าตัวที่คิดว่าจะเปิดฝา แล้วหยิบช้อนไปชิมซุปสาหร่ายถูก Taebaek พุ่งเข้ามาจูบออโต้ เหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองคนจะเปลี่ยนรูปไปนิดหน่อย แต่ Shinhoo ก็ยังตกใจกับการประชิดตัวและถึงตัวกระทันหันอยู่ดี ถึงขั้นคิดว่าเกิดอะไรขึ้น การจูบควรจะเป็นเรื่องที่ทั้งสองคนตกลงกันไม่ใช่เหรอ ทำไมตัว Taebaek บุกเข้ามาอย่างนั้น แล้วถ้าจะทำอย่างนี้ต่อไปในอนาคตอีกล่ะ What the hell is this, suddenly, why, what, kissing shouldn't be mutually agreed upon? What do you do if you make a sudden attack like this? Are you going to do this in the future?
และเมื่อ Taebaek งอแงจะจูบต่อไป Shinhoo ก็ตอบกลับไปว่าตัว Taebaek เคยถูกซุปสาหร่ายราดใส่หน้าไหม จนหมาจินโดกลายพันธุ์หงอแล้วรามือไป .... ซึ่งเอาจริง ก็อยากจะตีความให้ว่าโกรธที่ขัดขวางการชิมซุป เพราะติดใจอาหาร Taebaek และคาดหวังถึงรสชาติในหัวไปแล้ว
ถึงเวลาออกเดินทางต่อไป ทุกอย่างราบรื่นจนมาถึงเมือง Yongin ที่พอเข้ามาขับต่อไปไม่ได้ เพราะถนนรอบๆ ถูกปิดตาย ไม่ว่าจะขับเลี่ยงไปสายไหนก็เจอทั้งมีบังเกอร์มากัน มีการเอารถบัสที่เอาเครื่องยนต์ออกไปแล้วมาขวางถนน หรือแม้แต่การระเบิดตึกเพื่อกั้นทาง ..... ซ้ำร้าย ตัว Shinhoo ก็นึกออกว่าบัตรประชาชนที่ตกมาจากอีทเตอร์ตัวแรกที่สู้กันที่ที่จอดรถก็มาจากเมืองนี้ ยิ่งประกอบกับข่าวเฮลิคอปเตอร์ตกที่เข้ามาในหัวก็คิดถึงความเป็นไปได้ที่อีทเตอร์จะเริ่มต้นที่เมือง Yongin ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น ข่าวหมีออกมาอาละวาดทำร้ายชาวบ้านก็น่าจะเป็นการปิดข่าวการอาละวาดของอีทเตอร์มากว่า
หาทางออกต่อไปไม่ได้จนสองคนคิดว่าจะหยุดรถ และพักหาหาทางกันต่อ ตอนหยุดพัก พระเอกหันไปกุกกักๆ อยู่ท้ายรถแล้วก็เอากล่องทัปเปอร์แวร์ใส่ข้าวปั้นใส่แฮม ทูน่า สาหร่ายที่ทำจากเนอสเซอรี่มา นี่คือขับรถหนี หรือออกมาปิกนิกกันคะ? เอาทิชชู่เปียกเช็ดโต๊ะแล้วตั้งสำรับเนี่ยย
แล้วพอขับรถมาถึงสะพานก็กลายเป็นเจอศพคนเป็นร้อยที่ถูกฆ่าแล้วแขวนเรียงไว้ที่สะพาน มีการฉีดพ่นสีบอกว่าซอมบี้เป็นตัวแทนพระเจ้าที่มาล้างบาปให้โลก กับเอาคนให้ซอมบี้กิน ไม่ไหวแล้ว เวลาเจอพวกคลั่งศาสนาแบบนี้ หลอนกว่าเจอซอมบี้จ้องเขมือบอีก ดีที่ทางจีนไม่ค่อยเล่นอุดมการณ์แบบนี้นะคะ น่ากลัวมาก
แต่ว่าระหว่างที่ลงจากรถมาสืบหาข่าวตัว Shinhoo ก็ถูกรถพุ่งชน และ Taebaek ก็ถูกกลุ่มคนในรถรุมทำร้ายก่อนที่สองคนจะสลบไปเพราะปืนยาสลบ
แล้วเมื่อตื่นมา Shinhoo อยู่คนเดียวในห้องที่เหมือนจะย้อนเวลากลับไปในประวัติศาสตร์ ซึ่งก็กลายเป็นว่าอยู่จับมาทิ้งไว้ในหมู่บ้านเมืองเก่าที่เป็นจุดท่องเที่ยว แม้ว่าจะระบมไปทั้งตัวเพราะถูกรถชน และมีอาการชาขยับไม่ได้จากฤทธิ์ยาสลบ แต่ความร้อนใจเกี่ยวกับความปลอดภัยของ Taebaek ทำให้เจ้าตัวฝืนลุกออกมาจากห้องเพื่อตามหาอีกคน โดยที่เอาเชิงเทียนที่มีในห้องมาเป็นอาวุธ โดยพันติดมือไว้กับเนคไทเพราะมือยังไม่มีแรง วิ่งไปจนทั่วก็ยังไม่เจออีกคน และความเป็นไปได้ด้านร้ายทั้งหลายก็ถาโถมเข้ามาเรื่อยๆ
จนในที่สุดก็เจออีกฝ่ายจริงๆ เป็น Taebaek ที่ยังเป็นมนุษย์ และยังครบสามสิบสองดีอยู่ ... และดูจากสภาพอีกคน ก็ร้อนใจไม่ต่างกันและออกวิ่งตามหา Shinhoo มาตลอดเหมือนกัน ความรู้สึกของ Shinhoo ก็เป็นทั้งภูมิใจที่คนขี้กลัวอย่าง Taebaek ไม่ได้หลบอย่างหวาดกลัวอยู่ในห้อง และก็ทั้งเต็มตื้นที่ Taebaek ก็ห่วงตัวเองเช่นเดียวกัน
กลายเป็นความสัมพันธ์ของทั้งคู่เปลี่ยนรูปไปจริงๆ เพราะคราวนี้ การแยกจากกันโดยที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอย่างไรทำให้สองคนเปิดใจให้กันมากขึ้น โดยเฉพาะตัว Shinhoo และก็ส่งผลให้ความกังวลที่จะต้องแยกจากกันเป็นในตัว Shinhoo เช่นเดียวกัน แทนที่จะเป็นแค่กับ Taebaek อย่างที่เป็นมา ..... ซึ่งก็อยากจะสรุปว่าเปลี่ยนความสัมพันธ์มาเป็นหมาจินโดที่อ้อนนายกับคนเลี้ยงที่ตามใจโอ๋หมาตัวเองเต็มรูปแบบแล้ว large dog tag ของพระเอกเปิดทำงาน 100% แล้วด้วย ฮือ จับใจ
คืนนั้นเมื่อสองคนคุยกัน และ Taebaek เล่าว่าตัวเองออกจากห้องอย่างไร และทำอะไรบ้าง Shinhoo ที่ได้ฟังก็ปลื้มใจว่าอีกฝ่ายโตขึ้นมาก และเรียนรู้จากการสังเกตและเรียนรู้แม้ว่าจะไม่ถูกสอน Taebaek grows rapidly. You learn by watching and learning without being taught. ซึ่งอ่านไปก็คิดได้แต่ว่ามันคือการเลี้ยงและพูดชมหมาตัวเองแล้วนะคะ Shinhoo
ส่วนจินโดเอ๋ย อ่านดูก็รู้ว่าอินเลิฟ ถ้าจะบอกว่า Shinhoo หัวเราะยาก แต่พอยิ้มขึ้นมาแล้วโลกสว่างสดใสเนี่ยยย Laughter is expensive, but when you smile sometimes, the whole world becomes brighter.
แต่น่ารักที่เวลา Shinhoo อยู่กับจินโดตัวเองแล้วหลับสนิทชนิดที่หลับแล้วหายไปเลย ทั้งๆ ที่ปกติหลับยากและหลับตื้นมาก
และตอนนี้ก็เป็นการรวบรวมคนที่ถูกพวกคลั่งศาสนาจับมาหนีออกไป และหาทางออกจากเมือง กลายเป็นช่วง Arc Yongin + Fanatics อยู่
อ่านเรื่องแนวซอมบี้ทีละตอนแบบนี้ทรมานมาก แต่ก็ยังดีที่มาจันทร์ถึงศุกร์นะคะ
...................................................
เอาจริงเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เอาเล็งเอาไว้ก่อนเริ่มลงตอนจริงแล้ว แต่ก็ยังแอบกลัวอยู่ เพราะเอาจริงถ้าพูดถึงเรื่องแนววันสิ้นโลกกับซอมบี้ ทางเกาหลีมีน้อยกว่าทางจีนมาก (เท่าที่เจอทางเกาหลีดูเน้นไปทางสาย ability พวกฮันเตอร์ไม่ก็เอสเปอร์ไกด์ กับแนว ABO มากกว่า) และถึงมีก็ไม่เจอสนุกแบบอยากก้มกราบสักเรื่อง อย่าง 레인보우 시티 // Rainbow City ที่หลายคนชมก็ไม่ได้รู้สึกว่าสนุกถึงขนาดนั้น กับอีกอย่างก็คือไม่ชอบตรรกะการดำเนินเรื่อง และลักษณะนิสัยของตัวเอกเรื่องล่าสุดก่อนหน้าของคนแต่ง .... แต่พอมาจริงของจริง ตายไปตั้งแต่เห็นปกแล้ว สวยมาก ดีมาก และชอบรายละเอียดทุกอย่างจริงๆ ..... ถึงขั้นที่ขำมาก ตอนที่ 60 มีคนมาคอมเมนต์ว่า how do I get here? เพราะว่ามันสนุกมากยังไงล่ะคะ เริ่มอ่านแล้วก็ต้องซื้อต่อไปเรื่อยๆ จนถึงจบ ถ้าไม่ปาดซื้อรวดเดียวตั้งแต่แรกเถอะ
ถ้าเทียบกันระหว่างงานเกาหลีกับงานจีน งานเกาหลีลงรายละเอียดดีกว่างานจีนที่เน้น action โดยเฉพาะการบุกตะลุยฆ่าซอมบี้แล้วเอานิวเคลียสมาเพิ่มความสามารถตัวเองและพวกพ้องอย่างเดียว ซึ่งพอถ้าบรรยายสภาพอารมณ์และบรรยากาศเหตุการณ์ให้ดีแล้วงานเกาหลีระทึกขวัญและโน้มน้าวได้กว่างานจีนมาก เหมือนอยู่ในสภาพที่กดดันและดิ้นรนไปกับตัวละครตั้งแต่บทแรกแล้ว โดยเฉพาะอ่านเรื่องซอมบี้มาทั้งชีวิต นี่คือซอมบี้ที่น่ากลัวสุดจากใจ สายจีนถ้าไม่ evolve ระดับหนึ่งก็ยังโง่ๆ ทำอะไรไม่ได้อยู่ แต่คือทางอีทเตอร์เรื่องนี้นี่ แค่กลายร่าง ฟันก็กัดเหล็กได้แล้ว เป็นคนธรรมดาไปสู้คงได้แค่ตาย ฮือ ลุ้นระทึกขวัญตั้งแต่เกิดเรื่องแล้วสองคนจะกลับมาที่บ้านแล้ว อยากจะเรียกว่าซอมบี้นรก ที่ใครจะไปสู้ไหวคะ? ทุกคนพูดหมดเลยว่าทหารยังไม่รอด แล้วพลเรือนจะไปเหลืออะไร ฉันคงตาย หนึ่งวินาทีที่ซอมบี้โผล่นะคะ ตอนอ่านก็คือว่าฉันกลัวซอมบี้เรื่องนี้ มาก อ่านดึกๆ แล้วยิ่งหลอนมาก หน้าบ้านเป็นกระจกใสอีก ซอมบี้คงทะลุหน้าต่างมาง่ายเถอะ
กับอีกอย่างหนึ่งที่เทียบกับงานจีนก็คือ งานจีนถ้าไม่แหวกแนวไปเลย ก็จะเป็นตามกระแสคล้ายๆ กัน ซึ่งช่วงที่กระแส AZ ฮิตก็เหมือนกันหมดทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการที่ตัวเองมีพลังพิเศษ หรือแม้แต่มีมิติพิเศษที่มีน้ำพุรักษาอยู่ การตุนอาหารและของใช้จำเป็น (โดยเฉพาะตั้งแต่โอตาคุวันสิ้นโลก) การกลับมาเกิดใหม่ และการตั้งเบสตามเมืองต่างๆ เพื่อทั้งหลบภัยและรับมือสู้กับซอมบี้ ซึ่งในแง่หนึ่งก็ทำให้คาดเดาและรู้ผลง่าย ..... ผิดจากงานเกาหลีที่ทุกเรื่องจะมีแนวของตัวเองโดดเด่นไปเลยมากกว่า (ถึงแม้ว่าบางเรื่องจะโดดเด่นในแง่อินดี้อ่านไม่รู้เรื่องไปเลยก็ตาม )
((ถึงจะพูดอย่างไรก็เถอะ เอาจริงรักงาน AZ จีนมากนะ อ่านมันทุกเรื่องจนไม่มีอ่านแล้วจะว่าไป ฮือ))
แต่ส่วนตัว ก็แอบกลัวชื่อเรื่องที่บอกว่า Let's Meet Alive ในแง่ที่ว่าสองคนจะพลัดพรากจากกันหรือใครมีปัญหาอะไรภายหลังไหม กลัวมาก แต่ก็พยายามคิดว่าชื่อมาจากคำพูดที่รัฐบาลบอกให้ประชาชนออกเดินทางไปที่มกโพ แล้วเจอกันที่นั่นให้ได้มากกว่า เพราะตอนนี้อาการ Separation Anxiety ไม่ได้เป็นแค่กับ Taebaek คนเดียวแล้ว ถ้า Taebaek หายไปนอกสายตา Shinhoo ก็เริ่มตามหาเหมือนกัน
จริงๆ เวลาขึ้นเรื่อง 19+ นี่ หลายเรื่องไม่ใช่เพราะฉากบนเตียงนะ เป็นเพราะความรุนแรงด้วยต่างหาก อย่างเรื่องนี้ก็มีมีเตือนในเรื่องย่อก่อนเลยว่ามีฉากบรรยายความรุนแรง เพราะการฆ่าอีทเตอร์ว่าโหดแล้ว ตอนนี้การสู้กับพวกคลั่งศาสนานี่คือน่ากลัวกว่ามาก เนื่องจากพอกลุ่มคนคลั่งศาสนาไม่เหลือความเป็นมนุษย์ ตัว Shinhoo ก็ไม่คิดจะปราณีกับอีกฝ่ายเหมือนกัน อย่างตอนที่จับพวกผู้ร้ายได้ ก็บอกให้พวกผู้หญิงที่ถูกจับมา ฆ่ากลุ่มคนที่ทำร้ายตัวเองด้วยเชิงเทียนที่ Shinhoo ถือมาเป็นอาวุธ ไม่นับการบรรยายสภาพหลังจากนั้น และการเหลือผู้ร้ายในกลุ่มไว้คนนึงที่ยังไม่ได้ฆ่า เพราะจะเอามาเค้นความ ไม่ได้ฆ่าจริง แต่ว่าเอาที่ทุบข้าวเหนียวทุบ แล้วบรรยายว่าแขนขาหักหมด แล้วที่บอกว่าถ้าบอกความจริงมาจะปล่อยไป ก็คือไว้ชีวิต แต่ถ้าขยับตัวไปไหนไม่ได้อยู่ดี ก็รุนแรงว่าฆ่าให้ตายทันทีเหมือนกัน หรือยังจากนั้นก็เอาขวานจามแขนคนที่เฝ้ายาม แต่ถึงแม้จะไม่ฆ่า ในสภาพวันสิ้นโลกที่ไม่มีหมอ และเลือดออกมากไปในที่สุดก็ต้องตายอยู่ดี แม้ตัว Shinhoo จะบอกตอนเค้าความจริงว่าจะปล่อยไปก็เถอะ สรุปได้แค่ว่า blood and violence และ gore กระจาย
ปล.
1. ถึงแม้จะอยู่วันสิ้นโลกและอีทเตอร์รายล้อม สองคนก็ยังทำให้โลกเป็นสีชมพูได้อยู่ดี ตอนที่ช่วยกันค้นพิพิธภัณฑ์แล้ว Shinhoo ดีใจเพราะเจอลูกอมเอาไปให้อีกคนน่ารักมากก น่ารักที่คิดว่าอีกฝ่ายหน้าขรึมนิ่งเพราะไม่ชอบที่ให้กินลูกอมราคาถูกผิดจากที่ Taebaek เคยกินมาทั้งชีวิต แล้วรีบเลิ่กลั่กขอโทษ แต่ที่ไหนได้คือฝ่าย Taebaek ดีใจมากจนค้างไปแล้ว เพราะมากกว่าลูกอมก็คือความใส่ใจที่พออีกฝ่ายเห็นของปุ๊บก็คิดถึงตัวเองทันที
กับที่น่ารักพอกัน คือหลังจากนั้น ตอนที่ Taebaek ก็เอายาแก้ปวดให้ Shinhoo แล้วพอเจ้าตัวบอกว่าไม่ต้องกิน ไม่เป็นไร แล้ว Taebaek ก็เป็นคนบอกว่าตัว Shinhoo แขนเจ็บ จากที่สังเกตเห็นอยู่ ทั้งที่เจ้าตัวไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำ
2. น่ารักที่บอกว่าอยากอยู่กันสองคน หมาจินโดอ้อนขึ้นเรื่อยๆ แถมกลายเป็นปีศาจจูบไปแล้วว และถ้าอยู่ด้วยกันสองคนก็หาเรื่องจูบ Shinhoo ได้ตลอด หลังๆ นอกจาก Shinhoo จะไม่ขัดแล้ว ยังอัพเกรดขึ้นด้วยต่างหาก ความสามารถ evolve สูงมาก เพราะหนีจากพวกซอมบี้ช้า แล้วทำพระเอกกังวล จะถูกแน็ก ก็ยิ้มแล้วบอกว่า ขอโทษ คืนนี้จะจูบนะ "I'm sorry. I'll kiss you at night." ก็ปิดคดีไปได้ในสามวินาที เพราะสรุปว่าอ้อนแบบนี้ น่ารักมากในสายตาพระเอกจนบ่นต่อไม่ได้เลย
แต่ที่ตอบปิดจบ หมาจินโดที่กลับมารู้ตัวแล้วก็บอกว่าจะจูบทั้งคืนเหมือนกัน "... all day long, only your lips, I will bite and suck."
3. เอาจริง พอหมาจินโดเริ่มโต (ตามคำคนเลี้ยง) ศักยภาพก็สูงขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกันนะ เพราะตอนค้นพิพิธภัณฑ์ก็ดีอกดีใจที่เจอดาบยาว และพอ Shinhoo ที่เห็นจินโดเหมือนเด็กได้ของเล่น กำลังจะบอกว่าดาบใช้ยาก เพราะควบคุมน้ำหนักลำบาก ตัว Taebaek ก็ชักออกมาจากด้ามแล้วแกว่งไปตัดหัวหุ่นที่อยู่ข้างๆ รวดเดียวลงมากลิ้งอยู่ที่พื้นไป ... สรุปว่าเคยเรียนดาบมาก่อน แล้วก็มีดาบเป็นอาวุธเพิ่มมาอีกอย่าง ก็คือ
Awww, Taebaek who swings the long sword skillfully and confidently is so, so cool!
And Shinhoo who thinks of Taebaek the instant he finds the candies is so, so cute!
Wednesday, 17 November 2021
동생이 영웅이라 꿀 빱니다 // My Younger Brother Is a Hero, So I’m Sucking Honey
Saturday, 30 October 2021
서바이벌 오디션 : 내 일은 아이돌 // Survival Audition : My Job Is An Idol
Wednesday, 27 October 2021
아늑한 집착 // Cozy Obsession
คนเขียน: 유성화
แนว: ABO, ทะลุมิติ, ตัวเอกร่าเริง, พระเอกคลั่งรัก, โลกพาราเรล (?), ตลก
ความสัมพันธ์: เพื่อนวัยเด็ก
จำนวนตอน: 45 ตอน (ยังไม่จบ)
Seo Heemin ทะลุมิติเข้ามาเป็นโอเมก้าในนิยายที่เอาของพี่สาวมาอ่าน และเมื่อตื่นขึ้นก็คือตัวเองที่เป็นโอเมก้ากำลังถูกจับประมูล และคนที่ชนะประมูลก็คือ Lee Heon เพื่อนสมัยเด็กที่ทั้งรักทั้งแค้นตัวเอง
ซึ่งตามพล็อตเรื่องเดิมก็จะต้องแสนดราม่าตับพัง ต้องถูกกักขัง หน่วงเหนี่ยว เข้าใจผิดสารพัด เพราะพ่อของ Heon ถูกพ่อของ Heemin โกงฮุบบริษัทไปจนล้มละลายฆ่าตัวตาย ทั้งที่พ่อของ Heon ช่วยเหลือครอบครัว Heemin มาโดยตลอด และช่วงเวลาเดียวกันตัว Heemin ที่เป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่เด็กก็ตัดความสัมพันธ์กับตัวเองอีก จนในที่สุด Heon ต้องซมซานไปอยู่กับพวกแกงค์ และสร้างตัวเพื่อกลับมาแก้แค้น และส่วนตัว Heemin ถึงแม้จะรักเพื่อนเก่าอย่างไร แต่เพราะอีกฝ่ายกลับมาแก้แค้นจนทำให้พ่อตัวเองต้องตายเหมือนกัน ก็เลยให้ทำใจรักอย่างเดิมไม่ได้
กว่าจะรู้ว่ารักกันขนาดไหนก็คือทำร้ายทำลายจิตใจกันสารพัดจนถึงฉากจบที่ Heemin ร้องไห้กอดศพ Heon ที่ปกป้องตัวเองจนตาย ก่อนจะฆ่าตัวตายตาม
.
.
จริงๆ แล้วเรื่องควรจะเป็นไปตามพล็อตเดิม ที่ Heon ต้องทั้งข่มขืนทั้งทำร้ายจิตใจอีกฝ่าย และ Heemin ที่จิตใจบอบบางอยู่เลี้ยงมาอย่างประคบประหงมก็จะยิ่งบอบช้ำแตกสลาย ..... แต่เผอิญว่า ตอนนี้กลายเป็นน้อง Heemin ของเราแล้ว ถึงแม้จะชื่อเหมือนกัน แต่สภาพจิตใจและนิสัยต่างกันลิบโลก
ตั้งแต่ตอนตื่นขึ้นมา เจ้าตัวที่คิดว่าไหนๆ ก็หลุดมาอยู่ในโลกนิยายก็เป็นโอกาสที่จะสังเกตการณ์ เพราะไม่ใช่ทุกคนจะเข้ามาในนิยายได้ ตัวเองไม่ได้เดือดร้อนกับการถูกจับประมูลเลย และเพราะเป็นโอเมก้าที่อ่อนไหวต่อฟีโรโมนของอัลฟ่ารอบๆ ในลานประมูล แทนที่จะตกใจกลัวก็กลับขอน้ำจากโฆษกมาดื่ม ด้วยประโยคข่มขู่ที่ว่า ถ้าไม่ให้น้ำมากินก็จะอ๊วกกลางลานให้ดู และตอนที่ถูกประมูลก็จิบน้ำอย่างใจเย็นมองรอบตัวอีก .... เห็นตัวเลขประมูลแล้วก็คิดว่าตัวเองจะขึ้นไปได้ถึงเท่าไหร่ และพอ Heon ประมูลโดยให้ราคากระโดดสูงเกินราคาก่อนหน้าก็อยากจะทั้งตะโกนโห่ร้องว่าตัวเองถูกประมูลสูงกว่าราคาในเรื่อง กับอยากจะทั้งตะโกนอาละวาดใส่หน้าพระเอกว่าทำไมใช้เงินสิ้นเปลือง
แต่เพราะนิสัยที่แปลกๆ กว่านิสัยที่ควรจะเป็นของ Heemin คนเก่า เจ้าตัวก็คิดไปว่าเพราะ Heemin ถูกคนจับประมูลฉีดยาให้เกินโดสจากรอยเข็มที่แขนหรือเปล่า? โดยเฉพาะเมื่อฟื้นมากลับไม่ได้ตีโพยตีพาย แต่กลับบอกว่าหิว แล้วให้หมอที่ดูตัวเองตอนให้น้ำเกลือ หาอาหารให้ ซึ่งจบลงด้วยการขโมยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของแม่บ้านมาต้มกิน และพูดถึงคนที่ไม่มีอยู่ในชีวิตจริง อย่างพี่สาวของตัวเอง และแม่ที่ตายไปนานแล้ว
สภาพนิสัยที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้ Heon พาไปให้ตรวจกับจิตแพทย์ที่รักษา Heemin มาตลอด และก็ได้ความว่านี่คืออีก Heemin นึง โดยที่หมอที่ไม่ได้รู้เรื่องการทะลุมิติเข้ามา หากวินิจฉัยว่าเป็นอาการทางจิตที่เป็นบุคลิกซ้อนอยู่ในตัว โดยที่ Heemin คนนี้เป็นเด็กกว่า และก็มีอายุ 21 ปี (ร่างเดิมกับ Heon อายุ 30 ปี)
แน่นอนว่า Heon ไม่เชื่อว่า Heemin มีสองบุคลิกจริง แต่เป็นการสร้างเรื่องเพื่อหลบหนีจากตัวเองต่างหาก ดังนั้น สิ่งที่จะทำต่อจากนี้ก็คือ ขัง Heemin ให้อยู่ในบ้านตัวเอง แล้วจับตาดู ซึ่งถ้าตามปกติ ถูกพระเอกสายดาร์กกักขังไว้อยู่ในบ้าน ก็ควรจะต้องมีอาการหดหู่ คิดหนีแล้ว แต่ว่าน้อง Heemin 21 ชีวิตที่โลกจริงลำบาก ไหนๆ ก็ได้โอกาสอยู่ดีกินดี ไม่ต้องทำงานบ้าน ไม่ต้องทำงานพิเศษ ไม่ต้องไปมหาลัยแล้ว ก็จะขออยู่ดีกินดีให้หนำใจ เพราะนอกผ้าห่มอันตราย และบ้านหลังนี้ก็กว้างขวางโล่งโปร่งสบายเมื่อเทียบกับบ้านกึ่งห้องใต้ดินตัวเองที่อาศัยอยู่กับแม่และพี่สาวอีก 3 คน ที่แสนจะคับแคบ และอึดอัด
ตอนที่กลับมาจากตรวจกับหมอ ถูกสั่งให้อยู่ในบ้าน ก่อนที่ Heon จะไปทำงาน น้องเราไม่ได้มีอาการอะไรเลย และไม่ได้สังเกตเห็นความตึงเครียดที่พี่พระเอกกับเลขามีต่อตัวเองอีก พอพระเอกบอกแม่บ้านว่าให้สั่งพิซซ่าให้แล้วกัน ก็ตะโกนว่าขอสั่งพิซซ่าหน้าแองกัสสเต็กได้ไหม แบบเพิ่มขอบชีสพิเศษของพิเศษนะ ขอเพิ่มซอสเยอะๆ ด้วย ด้วยแนวคิดว่าปกติพิซซ่าเป็นของแพงไม่ค่อยได้กิน ถ้าจะได้กินก็จะสั่งแบบแพงสุดมาเลย แต่พอพี่พระเอกจ้องหน้า (ในแง่ที่คิดว่าบุคลิกต่างจากที่เคย ไม่เหมือน Heemin คนเดิม) ก็คิดไปว่าเพราะตัวเองสั่งแพงไปเหรอ งั้นจะสั่งถูกกว่านั้นก็ได้นะ
พอพระเอกบอกว่าทำได้ทุกอย่าง ก็ถามต่อว่าจริงเหรอ งั้นจะกินให้อร่อย ขอบคุณนะ แล้วพอพี่พระเอกบอกว่าอย่าทำอะไรโง่เง่าให้อยู่แต่ในห้องนอน ก็ต่อรองว่าอยู่ในห้องน่าเบื่อ ขอมาดูทีวีในห้องนั่งเล่นได้ไหม
และดังนั้น เมื่อคนที่ถูกจับมาดูเป็นเด็กดีให้ความร่วมมือกันขนาดนี้ ประโยคที่ Heon เคยพูดใส่หน้า Heemin ว่า “ประมูลมาเพื่อเป็นที่ระบายอารมณ์” “จ่ายไปแพงก็ต้องใช้ให้คุ้ม” และร้ายการสารพัดช่วงวันแรกก็พูดแล้วจมหาย ..... เพราะ Heon ไม่รู้จะรับมือกับ Heemin คนใหม่อย่างไร ก็เลยใช้วิธีหลบหน้าหนีไปทำงาน แล้วให้ Heemin อยู่ในบ้านเฉยๆ ไป
ระหว่างนี้ก็กลายเป็นชีวิตดีมาก อยู่ดีกินอร่อย ได้กินอย่างที่อยากกิน .... แต่ว่าเห็นหน้า Heon น้อยมาก ดังนั้นแผนการณ์ที่ตั้งเอาไว้ว่าเป็นโครงการเปลี่ยนนิสัยพระเอกจากคลั่งรักสายดาร์กสายหม่น ให้กลายเป็นพระเอกใจดีอ่อนโยนตามชื่อ Keyword Change Project ก็ไม่น่าจะเกิดได้จริง แล้วถ้าอย่างนั้น จะเปลี่ยนเรื่องให้จบด้วยดี แล้วตัวเองกลับบ้านโลกจริงได้จะเป็นอย่างไร
ก็เลยเอามีดจี้คอตัวเองบอกให้ตาม Heon มา ท่ามกลางการแตกตื่นของทั้งแม่บ้าน ทั้งเลขา ทั้งหมอ พอคุณพี่ Heon กลับมาก็โกรธเลือดขึ้นหน้ามาก ในแง่ที่ทั้ง Heemin ไม่ยอมอยู่เงียบๆ ตามที่ตัวเองสั่ง และแง่ที่ตัวเองต้องล้มการเจรจาหลักหลายร้อยล้านไป ถึงขั้นแย่งมีดมาแล้วปักไปที่กำแพง แต่ก็หายโมโหไปได้เพราะ Heemin บอกว่าก็เพราะว่าอยากเจอ
ความสัมพันธ์ดีขึ้นมาแล้วระดับหนึ่ง แต่ว่าก็ยังนิ่งอยู่ โดยเฉพาะเมื่อบุคลิกที่ต่างก็เลยทำให้พระเอกรู้สึกเหมือนเลี้ยงเด็กแทน โดนเฉพาะ Heemin คนนี้ก็เรียก Heon ว่าพี่ด้วย ดังนั้นแล้ว น้อง Heemin 21 ก็คิดแผนการวุ่นวายเพื่อกระชับความสัมพันธ์ต่อไปอีก ด้วยการวางแผนหนี! โดยตามพล็อตนิยาย Heemin 30 จะขโมยเงินแม่บ้านแล้วหนีไปอยู่เมืองชายทะเล ก่อนที่จะถูกจับกลับมา และพระเอกก็หักข้อเท้าเพื่อไม่ให้หนีได้อีก .... แต่เมื่อเป็น Heemin วุ่นวาย ก็เลยคิดว่าจะขโมยเงินจากแม่บ้านเหมือนเดิม เพื่อจะหนีไปหาหมอ และก็จะโทรบอก Heon ให้ไปรับตัวเอง แน่นอนว่าเมื่อ Heemin หายไป ตัวพระเอกก็ระดมคนตามหาเอิกเกริก และน้องที่ขอยืมโทรศัพท์พยาบาลที่โรงพยาบาลก็โทรไปบอกว่ากำลังหาหมออยู่ เดี๋ยวเสร็จแล้วมารับแล้วไปเดทกันนะ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพระเอกโกรธมาก แต่พอเจอหน้าไม่รู้ไม่ชี้ยิ้มทักระรื่นของ Heemin ก็ทำอะไรไม่ได้ พอขับรถเงียบๆ Heemin นึกว่าจะถูกพาจับกลับบ้าน อีกคนก็ขับรถพาไปดูสวนสาธารณะดูดอกไม้ตามที่ขอไว้สมใจ ... น่ารักที่เพราะหนีมายังไม่ได้กินข้าว ในมือก็ถือถุงข้าวที่สั่งก่อนจะไปหาหมอมากิน แต่มีตะเกียบคู่เดียว ก็เลยหักครึ่ง เป็นตะเกียบสั้นๆ ให้พี่พระเอกแล้วกินกิมบับทูน่ากับต๊อกเผ็ดด้วยกันท่ามกลางดอกไม้โปรย
และพอกลับมา เห็นแม่บ้านก็กอดคอแม่บ้านขอโทษแล้วร้องไห้ พร้อมบอกว่าจะคืนเงินให้นะ ... กลายเป็นตอนนี้ไม่ใช่แค่การหลุดเข้ามาในนิยาย แต่ว่ามีปฎิสัมพันธ์และความผูกผันเพิ่มขึ้นกับคนรอบตัวที่กลายเป็นครอบครัวใหม่ตัวเองขึ้นมาแทนแล้ว
แล้วความสัมพันธ์ก็คืบหน้าไปจริงเหมือนกัน หลังจากนั้น พอกลับบ้านตอนค่ำ Heon ก็จะพา Heemin ไปเดินเล่นละแวกบ้านตอนกลางคืน เป็นการใช้เวลาร่วมกันเงียบๆ แต่ว่ามีความหมาย ...ท่ามกลางคอมเมนต์ที่ว่า Heemin เป็นลูกหมาที่ถูกเลี้ยงนั่นเอง พอเจ้าของกลับมาก็พาไปเดินเล่นนอกบ้านตอนค่ำ
กับ Heon ก็โอ๋ Heemin ในแบบของตัวเองเหมือนกัน ด้วยความที่ถูกจับมาอยู่กับ Heon ตัวเองก็มีเสื้อผ้าแค่ 2-3 ชุดที่ใส่ทั้งในบ้าน และใส่ออกไปข้างนอก ซึ่งตามนิสัย Heemin จริงที่ทั้งมัธยัสถ์ ไม่คิดมาก ก็มองว่าเสื้อผ้ามีใส่ก็พอแล้ว แต่ว่าพี่ Heon ยอมไม่ได้ ลากทั้งเลขา ทั้งลูกน้องอีกคนพา Heemin ไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ที่บังคับให้ Heemin ลองทุกอย่างที่คนขายเอาให้ดู และที่ต้องพาไปเยอะ ก็เพราะว่าไปกันอัลฟ่าตัวอื่นที่คิดจะเข้าใกล้ Heemin นั่นเอง ..... ตามนิสัยใจใหญ่และทุ่มเทเพื่อคนในใจตัวเอง (ที่ถึงแม้จะยังโกรธแค้น และยังซึน) คุณพี่ Heon ก็บอกคนขายว่ามีอะไรที่เหมาะกับ Heemin ให้เอามาลองให้หมด
พอ Heemin งอแงว่าทำไมต้องลองเสื้อผ้าเยอะ ไม่ได้ต้องการเยอะขนาดนี้ซะหน่อย คุณพี่ที่รู้แกวก็บอกว่าถ้าลองหมดแล้ว อยากกินอะไรเดี๋ยวซื้อให้หมดเลย จะเอาพิซซ่าหรือต็อกอะไรก็ได้นะ Heemin ที่ดีใจก็บอกว่างั้นเดี๋ยวไปกินขนมปังครีมพัฟได้ไหม แล้วก็ลองเสื้อด้วยอารมณ์ทำงานพิเศษ โดยที่มีค่าแรงรายชั่วโมงเป็นครีมพัฟ
แล้วพอคุณพี่ Heon กวาดซื้อทุกอย่างที่น้องลอง Heemin ก็แอบโอดครวญว่าจริงๆ อยากได้แค่เสื้อยืดตัวเดียวก็พอ (เพราะคุณเพื่อน Heon ซื้อเสื้อยืดให้ทุกปี) แต่พอคุณพี่ Heon ถามว่าเสื้อยืดอะไรก็รีบเงียบกริบ เพราะกลัวว่าจะต้องไปเข้ามหกรรมลองเสื้อยืดอีกรอบ โถ Heemin
ล่าสุด น้องก็ซื้อเบียร์ซื้อเหล้ามา และตั้งหน้าตั้งตาทำอาหารเต็มโต๊ะมื้อดึก เพราะว่าอยากกระชับความสัมพันธ์กันกับคุณพี่ ซึ่งตามคำของ Heemin ที่ประกาศกร้าวเสียงดัง ก็คือว่าจะ “ยั่ว” Heon ให้ได้ แต่ว่าก็ได้แค่จูบเฉยๆ อยู่ดี เพราะความกลัวฟีโรโมนของ Heemin คนเก่า
น่ารักที่ต้องหยุด เพราะร่างกายมีปัญหา Heemin ที่ถูกอุ้มมานอนบนเตียงและถูกจับห่มผ้าห่มเรียบร้อยก็หดหู่จนร้องไห้ว่า ตัวเองไม่ได้เรื่อง แต่คุณพี่อัลฟ่าที่เพิ่งถูกยั่วแต่ทำอะไรไม่ได้ก็มาปลอบ .... Heemin คนเก่ากระตุ้นให้ Heon โกรธอยากเอาชนะใช้กำลัง แต่ว่า Heemin คนนี้ กระตุ้นให้รู้สึกผิดปนสงสารเนอะ
เพราะพอตามหมอมากลางดึก พี่เขากลัวว่าฟีโรโมนตัวเองจะมีปัญหากับตัวน้อง ก็ไปอยู่นอกห้อง แต่ว่าจ้องจับทุกอย่างผ่านกระจกใสที่กั้นห้องอีก ขำที่ Heemin ปรึกษาหมอเกี่ยวกับเรื่องตัวเองกับ Heon แต่ไม่กล้าหันไปมองเพราะกลัว Heon
รู้ว่าพูดเรื่องตัวเอง ก็เลยจ้องหน้าหมอเขม็งอีกคน .... น่ารักอีกที่ว่าปกติเป็นหมอของแกงค์ ตามผู้อำนวยการ Lee Heon สั่งการ แต่ตอนนี้มีหน้าที่หลักคือดูแล Heemin นอย่างเดียว เปลี่ยนเป็นคุณปู่ แทนหมอโหดไปแล้ว
ตอนที่หลับ Heon ก็มาลูบหัวให้เงียบๆ แล้วปลอบว่า Heemin-ah หายดีเร็วๆ นะ อีก ... เอาจริง ถึงแม้น้อง Heemin จะสลดว่าความสัมพันธ์ทางกายไม่คืบหน้า แต่ว่าทางใจก็ไปไกลกว่าที่คิดแล้วนะคะ
แต่จริงๆ แม้จะเข้ามาในโลกนิยายก็มีประเด็นเหมือนเป็นโลกคู่ขนานเหมือนกัน เพราะตัว Heemin ชื่อเหมือนตัวเอกไม่พอ ตัว Heon ก็เหมือนเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวในโลกจริงของ Heemin ด้วย ไม่ว่าจะเป็นทั้งชื่อ และหน้าตา รวมไปถึงการจัดแปลนบ้าน ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์ ซึ่งนอกเหนือจะเป็นปริศนารอแก้ไขแล้ว ก็ยังทำให้ตัว Heemin ใจอ่อนเพิ่มขึ้นมาเพราะอยากให้คนที่หน้าตาเหมือนเพื่อนรักตัวเองมีความสุข นอกเหนือไปจากการจบพล็อตเพื่อให้ได้กลับโลกจริงเหมือนกัน
กับเพราะตัว Heemin อยากแก้ความกลัวอัลฟ่าของร่างเดิม เพื่อให้อยู่กับ Heon ได้ ก็เลยไปหาหมอจิตแพทย์ตั้งแต่เด็กตัวเอง และทุกครั้งแทนที่ความทรงจำที่ถูกฟื้นขึ้นมาจะเป็นของ Heemin ใหม่ กลับกลายเป็นของ Heemin ในนิยายทั้งสิ้น ทั้งช่วงที่ดีใจที่สุด หรือเสียใจที่สุดก็เกี่ยวข้องกับ Heon หมดเลย .... ซึ่งเหตุผลที่ Heemin เลิกคบกับเพื่อนรักตัวเอง ก็เป็นเพราะว่าตัวเองกลายเป็นโอเมก้า และ Heon เป็นอัลฟ่า และการที่เคยถูกคุกคามทางเพศจากอัลฟ่าในวัยเด็กก็ทำให้กลัวอัลฟ่าจนคิดตัดจบความสัมพันธ์ไปด้วย
เอาจริงอารมณ์ปกกับโทนข้างในคนละแบบกันเลยย ปกดูหนัก แต่พล็อตตอนนี้ดูเพี้ยนๆ ขำๆ เป็นระยะๆ เพราะนิสัยก่อความวุ่นวายและไม่คิดมากของน้อง Heemin ก็แอบอยากดูช่วงหนัก อารมณ์ท่วม intense + dense อยู่เหมือนกันนะคะ กับชอบที่เขียนให้หลายอย่างทับซ้อนกับโลกจริง อย่างตัวพระเอกที่เหมือนเพื่อนสนิททั้งชื่อ หน้าตา และอื่นๆ จนเหมือนโลกพาราเรลมากกว่าโลกนิยาย แต่อยากรู้มากกว่าจะจบยังไง เพราะเหมือนผูกกับโลกจริงไว้สูง .... อย่างหมอที่ Heemin ไปหา ก็หน้าเหมือนเพื่อนสนิทแม่ตัวเองในโลกจริงอีกเหมือนกัน
แต่คือ 43 ตอน ยังไม่ถึงไหนเลยค่ะ ตามประสาการวางเรื่องเกาหลีจริงๆ คงอีกนาน
ปล. ชอบปกนะ อยากดูคุณพี่ Heon ถูก Keyword Change Project ของ Heemin เปลี่ยนให้กลายเป็นพระเอกใจดีอ่อนโยนได้ ซึ่งตามปกหน้าตาคุณพี่ก็ดูอ่อนโยนอินเลิฟ ทั้งคุณพี่และน้อง Heemin ดูตกห้วงความรักสองเราเราสองกันจริงจัง
กับเรื่องนี้ชอบปกแล้วก็ชอบบชื่อด้วย Cozy Obsession จริงจริ๊งง ด้วยความที่ Heemin 21 จะเปลี่ยนให้พระเอกคลั่งรักที่หมกมุ่นกับการแก้แค้นกลายเป็นคุณพี่ชายละมุนไปแล้ว นานๆ ทีจะเจอเรื่องที่รู้สึกว่าทั้งปกทั้งชื่อเรื่องไปด้วยกันอย่างมากกับโครงเรื่องเนี่ยแหละ
ปล. อีกที กับขำมากที่ตอนที่ร่างกาย Heemin แข็งทื่ออัตโนมัติเพราะความกลัวฟีโรโมนอัลฟ่า Heon ก็หยุดจูบ ... ตัว Heemin ก็ถามว่า ไม่มีจูบต่อแล้วเหรอ? ท๊อปคอมเมนต์ก็บอกว่า ไม่มีแล้วเหรอ นี่คือตัวเองเป็นเหมือนแรคคูนที่ถูกแย่งสายไหมไปเลยนะ คนก็มาเมนต์ต่อมา สายไหมหาย ฮืออ แล้วสายไหมก็กลายเป็นโค้ดพูดถึงการจูบของ Heemin กับ Heon ต่อมาในคอมเมนต์ต่อมาไปเลย แบบเป็นแรคคูนมองมือเปล่าตัวเอง โถ สายไหมไม่มีแล้วเนาะ
Monday, 25 October 2021
문 너머 // Beyond the Door
คนเขียน: 해롱씨
แนว: โลกไกด์-เอสเปอร์, ability, regression, large dog, fluff, healing
ความสัมพันธ์: ไกด์ X เอสเปอร์
จำนวนตอน: 61 ตอน (ยังไม่จบ)
นี่คือเรื่อง Guide ที่รอมากที่สุดเดือนนี้ จบ 60 ตอนไปแล้วเมื่อวานซืนค่ะ แล้วจะมาอีกวันไหนเนี่ยยยย ทำไมไม่ประกาศวันตอนมา
Kim Daemun เป็นเอสเปอร์ที่มีพลังสร้างประตู teleport ไปสู่ที่ไหนก็ได้ แต่เจ้าตัวได้พลังมาตอน 8 ขวบ ขณะที่กำลังถูกพ่อแท้ๆ ฆ่าบีบคอ... ถึงแม้จะเป็นการป้องกันตัวเอง ความผิดฐานฆ่าพ่อตัวเองตายก็คงอยู่ และยิ่งถูกสมาคมผู้มีพลังพิเศษพาตัวไปเพราะเห็นว่าเป็นเอสเปอร์ที่มีพลังพิเศษ การถูกทารุณ และใช้งานต่อเนื่องก็เกิดขึ้นจนถึงตอนที่อายุ 27 เมื่อตัวเองกำลังถูกเหล่ามอนสเตอร์ฆ่าตาย ก็เปิดประตูบานสุดท้ายด้วยพลังโดยไม่รู้ตัว
และกลายเป็นย้ายเวลากลับมาในเวลาที่กำลังจะถูกพ่อตัวเองบีบคออีกครั้ง .. เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างเดิม และก็จบที่ Lee Ji-eon ไกด์ที่อยู่ในความทรงจำมาช่วยไว้ และพาไปส่งโรงพยาบาล ซึ่งในชาติที่แล้ว Lee Ji-eon พยายามทำเรื่องเป็นผู้ดูแลเอสเปอร์เด็กที่ถูกพ่อทารุณกรรมมา แต่เพราะตัว Daemun กลัวผู้ใหญ่จนหนีเข้าไปอยู่ใต้เตียงทุกครั้ง ก็ทำให้การพูดคุยกันไม่เกิดผล จนถูกประธานสมาคมผู้มีพลังพิเศษพาตัวไป และถูกใช้งานหนักจนตาย
แต่ชาตินี้ เมื่อมีความทรงจำเดิมอยู่ ก็เลยพยายามเลี่ยงสถานการณ์เดิม โดยการตอบตกลงให้ Lee Ji-eon กลายเป็นผู้ดูแลตัวเอง
สองคนกลับไปบ้าน Lee Ji-eon และก็ได้เจอกับ Lee Geon น้องชายของ Lee Geon ที่เป็นไกด์เหมือนกันในวัย 10 ขวบ
ตอนแรก Geon ไม่ชอบ Daemun เลย เพราะว่าเกลียดเด็กที่มาแย่งความรักและความสนใจของพี่สาวตัวเองไป .... แต่เพราะสภาพตัวเล็กแกรนเกินกว่าวัย 8 ขวบ และท่าทีอ่อนแอน่าสงสารก็ทำให้ Geon เปิดใจรับ Daemon มาทีละน้อยจนเหมือนเป็นน้องชายตัวเองอีกคน
ซึ่งเพราะสถานภาพตัว Geon ที่เป็นไกด์ตั้งแต่แรกเกิด และก็มีแนวโน้มเป็นไกด์ระดับเอสก็ทำให้เจ้าตัวถูกลักพาตัวโดยเอสเปอร์บ้าคลั่งหลายต่อหลายครั้งจนต้องอยู่แต่ในบ้านเพื่อป้องกันการถูกลักพาตัวจากเอสเปอร์ ด้วยความรู้สึกโกรธเกลียดเอสเปอร์ทุกคน
ตอนแรกอ่านเรื่องย่อ เข้าใจว่าตัวเอกที่ย้อนเวลากลับมาเพื่อปกป้องพระเอกกับพี่สาวพระเอกที่เคยดูแลตัวเอง แต่ไปๆ มาๆ กลายเป็นพี่สาวพระเอกกับพระเอกดูแลตัวเอกเหมือนน้องชายคนเล็กไปแทน .. ตอนนี้ครอบครัวเล็กๆ มีกัน 3 คน และชีวิตประจำวันของเด็กสองคนเหมือนจะผ่านไปอย่างเงียบสงบ เมื่อสองคนเข้ากันได้ดี และกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตกันและกัน โดยเฉพาะเมื่อหน้าที่ไกด์ Daemun ของพี่สาวกลายเป็นหน้าที่ของ Geon ที่อยู่ด้วยกันตลอด
แต่ว่าความสงบอยู่ได้ไม่นาน เมื่อประธานสมาคมฯ ไม่ยอมถอดใจจากตัว Daemun และลักพาตัวเด็กสองคนไปจากบ้าน
และการฉีดยาเพื่อสะกดให้เอสเปอร์อยู่ใต้อำนาจตัวเองก็ทำให้ Daemun อยู่ในสภาพ runaway ซึ่งถึงแม้หลังจากนั้นเจ้าตัวจะใช้พลังพาตัวเองและ Geon หนีกลับมาที่บ้านได้ แต่ Daemun ก็หลับไปถึง 6 ปี ซึ่งเมื่อตื่นมาอีกปี ตัวเองก็อายุ 14 ปี และ Geon ก็ 16 ปีแล้ว
.
.
เอาจริง มันคือเรื่องที่ต้องอดทนใจเย็นตอนอ่านมาก เพราะถ้าจะหวังว่าจะเป็นเรื่องแนวเอสเปอร์ปกติที่เหล่าผู้มีพลังเหนือมนุษย์ทั้งหลายใช้พลังน่าอัศจรรย์แล้วล่ะก็ ผิดถนัด!
เพราะว่า Daemun ถูกทำทารุณกรรมเป็นแค่ทาสของสมาคมมาทั้งชีวิต ความรู้สึกรักตัวเองหรือให้ค่าตัวเองไม่เคยมีอยู่เลย และการใช้พลังก็เป็นเพราะถูกบังคับ คุกคาม และดูถูกมาตลอด ไม่เคยเกิดจากความต้องการของตัวเองเลย โดยเฉพาะยิ่งเมื่อตื่นมาอีกครั้ง สภาพร่างกายที่อ่อนแอ เพราะหลับไป 6 ปี กับความรู้สึกว่าการที่ Geon ต้องถูกจับไปด้วยเพราะตัวเอง และก็ไม่กล้าใช้พลังหนีในตอนนั้นก็ยิ่งทำให้ความเกลียดตัวเองด้อยค่าไปอีก
แต่เพราะ Geon ใจเย็นคอยดูแล Daemun อย่างใส่ใจ ก็เลยทำให้ Daemun ยอมเปิดใจ และกล้าเล่าเรื่องในอดีตให้ฟัง ... โดยที่เริ่มรู้แล้วว่าในอดีต นอกเหนือจากการถูกกดข่มว่าเป็นพวกไร้ค่า พลังอ่อนแอมาตลอดในสมาคม ตัวเองก็ถูกใช้ยา และถูกล้างสมองจากประธานสมาคมตั้งแต่เด็กด้วยเหมือนกัน จากความทรงจำที่หายๆ ขาดๆ ไม่ประติดประต่อมาตลอด และทั้งที่มีอายุถึง 27 ปีแล้วก็ยังมีนิสัยหรือวิจารญาณเหมือนเด็กอยู่
จริงๆ สภาพการถูก abuse พลังของพวกผู้มีพลังพิเศษ โดยเฉพาะพวกที่พลังตื่นขึ้นมาตั้งแต่เด็กในสภาพครอบครัวด้อยโอกาส/ เด็กกำพร้าเป็นเรื่องปกติ แต่การยกมาเป็นประเด็นใหญ่ในเรื่องนี้ก็ทำให้ Beyond the Door มีจุดเด่นของตัวเองที่ไม่ได้เริ่มจากพลังน่าตื่นเต้นของตัวเอกเหมือนกัน เพราะเริ่มมาตั้งแต่สภาพที่ติดลบ ยิ่งกว่าเป็นศูนย์ ก็เลยเป็นโจทย์ที่ว่าจะดำเนินเรื่องอย่างไรให้คนที่ขี้ขลาดและไม่มั่นใจในตัวเองอย่าง Daemun กล้าใช้พลัง และพัฒนาตัวเองให้ได้
เพราะหลังจากเหตุการณ์ลักพาตัว เจ้าตัวอยากควบคุมพลังตัวเองให้ได้ที่จะปกป้องคนที่ตัวเองให้ความสำคัญ ซึ่งก็คือ Geon กับ Ji-eon ได้ ไม่ต้องขดอยู่อย่างหวาดกลัวหลัง Geon ซึ่งเด็กกว่าตัวเองได้อีก และตอนนี้ก็เลยคิดว่าจะเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างไร ซึ่งภาพที่เกิดขึ้นจริงๆ ก็คือช่วงหลังตอนที่ 30-35 แล้วด้วยซ้ำ
กับน่ารักที่จริงๆ แล้ว Geon เป็นพวกไกด์ก้าวร้าว ในแง่ที่ว่าเกลียดเอสเปอร์ทุกคนมาก หรือในแง่นิสัยก็เป็นพวกเย็นชา กำแพงน้ำแข็งมากกับทุกคนในโลก แต่ว่าโอ๋มาก ใจดีมากกับเอสเปอร์ตัวเองคนเดียว ถึงขั้นที่วันแต่ละยุ่งวุ่นวายกับการดูแลตัวเอกตั้งแต่ตื่นนอนยันเข้านอน ตามใจมากเวลาทำอาหารที่ชอบให้เช้าเย็น แต่ก็เข้มงวดเวลาสอนหนังสือให้เหมือนกัน และในแง่นี้ก็ต่างจากเรื่องไกด์อื่นเหมือนกัน เพราะคนที่ก้าวร้าวไม่เปิดมิตรต่อโลก และหวงเอสเปอร์ตัวเองเป็นไกด์แทนที่จะเป็นเอสเปอร์เย็นชา หน้านิ่งเหมือนเรื่องอื่นๆ
กลายเป็นความฟลัฟที่อยู่กัน เข้าใจกันสองคน เพราะว่าตัว Geon จะจับมือ Daemun ไว้เสมอเพื่อไกด์ให้ Daemun ที่ตื่นตัวและอารมณ์ไม่มั่นคงง่าย และ Daemun ก็แอบอยู่หลัง Geon ให้ Geon เป็นหลักเป็นที่พึ่งตัวเองเหมือนกัน
โดยเฉพาะพอมาใช้ชีวิตใหม่ ก็มีสิ่งหลายสิ่งที่ตัวเองไม่เคยได้ทำ และไม่เคยได้รับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่มีคนให้ค่าให้ความสำคัญ ได้นอนบนที่นอนที่มีผ้าห่มอุ่นๆ มีคนจัดงานวันเกิดให้ ที่น่ารักตรงสองพี่น้องถาม Daemun ว่าอยากกินอะไร แล้วพอตอบว่าชอบกินข้าวที่ทำเองที่บ้าน Geon ก็ทำอาหารโปรดของ Daemun เต็มที่ ไม่นับที่พอเจ้าตัวหลับก็แอบไปอบเค้กให้ด้วย Daemun ร้องได้ตอนได้เค้ก แล้วก็เพิ่งเข้าใจว่าวันเกิดเป็นวันที่มีความหมาย ไม่ใช่วันอีกวันในปฎิทินอย่างที่เคยเป็นมาทั้งชีวิต ฮือ
และความต้องการเป็นไกด์จับคู่กับเอสเปอร์ก็เริ่มจากตัว Geon เหมือนกันที่การดูแลตัว Daemun รวมถึงการไกด์ผ่านการจับมือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตลอดแวลา จนถึงวันที่ลุกขึ้นมาประกาศว่าจะเป็นไกด์คู่กับ Daemun ก็กลายเป็นเรื่องปกติของเจ้าตัวไป และเมื่อ Geon ออกมาประกาศแบบนั้น ก็เลยทำให้เมื่อเวลาผ่านไป Daemun มีเหตุผลที่จะพัฒนาความสามารถตัวเองเพื่อให้ได้เป็นเอสเปอร์ที่คู่ควรกับ Geon เหมือนกัน
เริ่มต้นที่เมื่อ Daemun ซื้อของอยู่ในห้างกับ Geon และ Ji-eon มีเหล่าสัตว์ประหลาดอาละวาด และเพราะน้ำหนักตัวที่มากของสัตว์ประหลาดตัวสุดท้ายก็ทำให้พื้นห้างถล่ม Daemun กับ Geon ตกลงมา .... Daemun ก็พยายามใช้พลังเปิดประตูย้ายออกมาอยู่นอกห้าง และเหมือนว่าพลังจะเพิ่มขึ้นเพราะมีเสียงในหัวบอกว่าไม่ต้องใช้สื่ออะไรเลย ตัว Daemun สามารถเปิดประตูได้เลย ต่างจากเดิมที่ต้องมีสื่อในการวาดประตูขึ้นมา
และเมื่อพัฒนาตัวเองไป มีช่วงที่ขำมาก เพราะว่า Daemun ไปขอคุยกับปู่ของ Geon เพียงลำพังสองคนว่าถ้าตัวเองวัดเกรดออกมาได้สูง ก็จะเข้ากิลด์ของปู่ แต่ขอให้ Geon เป็นไกด์คู่ตัวเอง เพราะเข้าใจว่าการจับคู่กับเป็นเรื่องของผู้ใหญ่กำหนด และก็ไม่กล้าให้ Geon ฟัง โดยที่ Geon ก็ไม่กล้าโกรธตัว Daemun สุดที่รักของตัวเอง ได้แต่น้อยใจกับหันไปถลึงตาใส่ปู่ก่อนเดินออกไปจากห้อง (และก็ไม่ไหนไกล เป็นการแอบฟังหน้าประตู) แต่พอปู่ได้ยินว่าเป็นเรื่องอะไรก็หัวเราะแล้วเรียก Geon เข้ามาถามความสมัครใจเอง สรุปว่าการอ้อมโลก และการเลี่ยงเจ้าตัวก็ไม่ได้ผลใดๆ
และคราวนี้ตัว Daemun ที่วัดพลังก็กลายเป็นเอสเปอร์ระดับเอสไปแล้ว ทำให้นักวิจัยที่วัดพลังตื่นเต้นว่าตัว Daemun เป็นเอสเปอร์ที่พลังตื่นตอนที่อายุน้อยที่สุดไม่พอ มาจับคู่กับ Geon ก็กลายเป็นคู่เอสเปอร์ไกด์ที่อายุน้อยที่สุดในโลกกันไปอีก — แต่จริงๆ ก็แอบสงสัยว่าพลังของตัวเองควรจะเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรก ที่เพิ่มขึ้นไม่ใช่เพราะรีเกรสกลับมาอย่างที่แนวแฟนตาซีเป็น แต่เป็นเพราะในอดีตถูกพวกสมาคมกดข่มเอาไว้จนพัฒนาความสามารถไปได้ไม่เป็นเต็มที่
กับมีอีกประเด็นนึงที่มีเรื่องเล่าในอดีตว่ามีคนที่ทำหน้าที่ gatekeeper ปิดประตูกั้นไม่ให้เหล่าสัตว์ประหลาดออกมาทำลายล้างโลก และก็บอกว่าวันนึงสายเลือดตัวเองก็จะปรากฎออกมา ซึ่งก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็น Daemun นั่นเอง โดยเฉพาะเมื่อชื่อ Daemun ก็มีความหมายว่าประตูอีก
แต่ตอนนี้คงต้องพักเรื่องใช้พลังแล้วมาเน้นที่การเติบโตกันก่อน ตอนนี้ Daemun เพิ่งอายุ 15 ปี แล้วก็มีความฝันใส่ชุดนักเรียนไปโรงเรียนอย่างที่ชาติที่แล้วไม่เคยได้ทำ
ปล. ไม่ไหวแล้ว ชอบประโยคนี้มากก ฮืออ
'잘 자. 나의 에스퍼.' Sleep tight, my Esper. เนี่ยยย
เป็นชะนีที่โดนดาเมจแทนไปเต็มๆ
Tuesday, 19 October 2021
나를 싫어하는 에스퍼에게 거짓 애인 행세 중입니다 // I'm Pretending to be a Fake Lover to Esper Who Hates Me
คนเขียน: 뛰뛰빵빵
แนว: โลกไกด์-เอสเปอร์, ability, ตัวเอกเก่ง, ตัวเอกสำนึกผิด, พระเอกสำนึกผิด, พระเอกความจำเสื่อม
ความสัมพันธ์: เอสเปอร์ X ไกด์
จำนวนตอน: 66 (ยังไม่จบ)
ไม่บอกก็รู้ว่าตรงไหนมีไกด์และเอสเปอร์ อีฉันก็จะตามไปอ่านอย่างไรล่ะคะ
เรื่องเริ่มที่ Ji Yoonseong ไกด์เอสคลาสถูกคำสั่งจับคู่เป็นพาร์ตเนอร์กับ Lee Tae-eon เอสเปอร์เอสคลาสที่มีพลังไฟฟ้า ค่าความเข้ากันได้สูงควรให้สองคนเข้ากันได้ดี แต่ว่า Tae-eon เกลียด Yoonseong ตั้งแต่ต้น และพยายามล้มเลิกการเป็นคู่หูกับ Yoonseong แต่ว่าไม่สำเร็จ
ดังนั้นด้วยการประนีประนอมแบบไม่ยอมอ่อนข้อให้จากเบื้องต้น สองคนก็พยายามจะทำงานร่วมกันให้ได้ในช่วงระยะเวลาสัญญาหนึ่งปี และการอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน และทำงานร่วมกันก็ถูกขีดเส้นแบ่งระหว่างชีวิตการทำงาน และชีวิตส่วนตัวชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ระหว่างการฝึกการต่อสู้ ค่าความเข้ากันที่มีอยู่สูงก็ทำให้สองคนสามารถแบ่งปันประสาทสัมผัสกันได้ เมื่อพลังของทั้งคู่มาประสานกัน และ Tae-eon ก็จะเป็นมิตร และญาติดีกับ Yoonseong เป็นพิเศษ .... ตามที่ Yoonseong วินิจฉัยว่าการแบ่งปันการรับรู้ทำให้เอสเปอร์สภาพอารมณ์ดี high จากพลังที่เพิ่มขึ้น
อยู่ด้วยกันไป แม้ Tae-eon จะพยายามขีดเส้นแบ่งชีวิตไว้ แต่จากการเป็นคู่หูก็ทำให้สองคนต้องทำงานร่วมกัน และใช้ชีวิตร่วมกัน โดยเฉพาะเวลาที่เอสเปอร์และไกด์ต้องออกภาคสนามกำจัดเหล่าสัตว์ประหลาดทั้งหลายที่เป็นปัญหาในพื้นที่ต่างๆ และ Tae-eon ก็เริ่มลดอคติที่มีต่อ Yoonseong ลง
แต่จากปัญหาการไม่พูดกัน และไม่สื่อสารกันระหว่างการออกภาคสนามครั้งสุดท้าย ก็ทำให้ Yoonseong ตกลงไปในรังมดยักษ์ และถึงแม้ Tae-eon จะช่วยไว้ได้ทันเวลา แต่ก็เป็นความผิดของ Yoonseong ที่ทำให้ทั้งทีมต้องมีความเสี่ยงเพิ่มด้วย และก็ทำให้ตัว Tae-eon โกรธถึงขั้นที่ความสัมพันธ์กลับเป็นเหมือนตอนแรกขึ้นมาอีกครั้ง
ไม่ว่าจะทำอย่างไร Tae-eon ก็ไม่ยอมฟังและไม่สนใจ Yoonseong เลย .... และเมื่อ Yoonseong บุกเข้าไปเพื่อจะขอโทษครั้งสุดท้าย ก็ได้ยินเสียง Tae-eon ที่พูดโทรศัพท์ว่า เกลียด Yoonseong มาก รอให้สัญญาหนึ่งปีผ่านไปจะได้เปลี่ยนคู่หู ให้พ้นจากมนุษย์น่ารังเกียจ และตอนนี้ก็แค่แกล้งทำดีด้วยกับ Yoonseong ที่มีค่าแค่กำแพงกั้นตัวเองจากการ runaway เท่านั้น
และเมื่อ Yoonseong ที่ได้ฟังกำลังจะเดินออกไป Tae-eon ก็ออกมาเห็นพอดี
สองคนจบลงที่การทะเลาะกัน และ Yoonseong ที่กำลังเสียใจ และแค้นใจที่ Tae-eon เคยพูดใส่หน้าว่าตัวเองเป็นไกด์อ่อนแอ ก็ใช้พลังไกด์สะท้อนกลับไปเล่นงาน Tae-eon เพื่อให้เจ้าตัวรับรู้ความโกรธ และเสียใจของตัว Yoonseong บ้าง
หลังจากนั้น Yoonseong พยายามจะขอเลิกการเป็นคู่หู แต่กลายเป็นหัวหน้าให้สองคนพักงานและรับโทษแทน โดยที่ Tae-eon บอกว่าตัวเองเป็นคนผิด
ระหว่างที่กำลังพักงาน Yoonseong ก็ถูกตามมาไกด์ให้ Tae-eon ที่บาดเจ็บสาหัสระหว่างออกภาคสนาม แต่เมื่อ Tae-eon ฟื้นขึ้นมาก็ความจำเสื่อม ไม่มีเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงสามปีก่อนหน้าในหัวเลย
และเพื่อแก้แค้น และเพื่อตอบสนองความต้องการที่รักข้างเดียว Yoonseong ก็เลยโกหกไปว่านอกจากสองคนจะเป็นคู่หูกันแล้ว ก็ยังเดทกันอยู่ ....
.
.
จากใจ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ถ้าเอามาเรียบเรียงใหม่จะเป็นเรื่องที่สนุกมาก และมีศักยภาพมาก เพราะภาพที่เปิดมาให้ Yoonseong เป็นไกด์ที่มีความสามารถ รอบรู้ และรับผิดชอบกับหน้าที่ตัวเองเด่นมาก และก็ให้มุมมองไกด์เอสเปอร์ในแง่การทำงานร่วมกันชัดด้วย โดยเฉพาะเมื่อมีการสร้างโลกที่ทำงานเป็นระบบ มีกฎเกณฑ์ และตรรกะของตัวเองชัด และมี sense sharing ระหว่างเอสเปอร์กับไกด์ที่ทำให้การแบ่งปันรับรู้โลกจากอีกฝ่ายเป็นเรื่องใหม่ในโลกไกด์เหมือนกัน
แต่ปัญหาคือตรรกะเชิงอารมณ์ Tae-eon เกลียด Yoonseong จากเรื่องที่มีสาเหตุเล็กน้อยเกิดกว่าที่จะควรเกลียดคนๆ หนึ่งได้ขนาดนั้น จนถึงขั้นรู้สึกว่าเจ้าตัวเป็นคนใจแคบ และหยาบคายด้วยซ้ำ ถ้าประเด็นที่ทำให้ไม่ชอบหน้ากันตั้งแต่แรกแน่นกว่านี้อาจให้ทำให้เรื่องเดินไปน่าเชื่อถือกว่านี้ก็ได้
กับส่วนตัวไม่ชอบพล็อตที่เริ่มต้นใหม่ด้วยความจำเสื่อมเลย เพราะอยากให้สองคนเริ่มต้นกันใหม่ โดยที่ใช้ความรู้สึกก่อนหน้าเป็นเกณฑ์ และก็อยากเห็นความเสียใจของ Tae-eon ที่จะต้องแก้ตัวสำนึกผิด กับเมื่อ Yoonseong เริ่มต้นที่จะโกหกเพื่อความสะใจในตอนแรก แต่ต้องอยู่ด้วยความรู้สึกผิดก็เป็นเรื่องที่น่าเหนื่อยใจในเวลาต่อไป ไม่กล้าคิดเลยว่าถ้าวันหนึ่งที่ Tae-eon ความทรงจำกลับมา สองคนจะมองหน้ากันอย่างไร ... ไม่อยากเห็น Yoonseong ต่อปัญหากับ Tae-eon ไปเรื่อยๆ เลย
แล้วยิ่ง Tae-eon ภาคความจำเสื่อมที่มีบุคลิกขี้เล่น ช่างแหย่ เอาใส่ใจ ดูแลก็ยิ่งน่าจะทำให้ความสัมพันธ์สองคนยิ่งยุ่งเหยิงไปอีก ..... จริงๆ อยากให้ Yoonseong ตัดจบแล้วไปไกลๆ เจอคู่หูที่ดูแล เอาใจใส่ Yoonseong อย่างที่ควรจะเป็นมากกว่าด้วยซ้ำ
แต่ก็นั่นแหละค่ะ ตกหลุมโลกเอสเปอร์-ไกด์ ตกหลุม love-hate/ enemies turn lovers มาแล้วก็ต้องตกหล่มกันต่อไป destructive relationship นี่จะ turn constructive ขึ้นมาบ้างไหม ... แต่ว่านะ ถ้าเปลี่ยนปก และเปลี่ยนชื่อเรื่องให้จริงจังกว่านี้อาจจะเหมาะกับโทนเรื่องมากขึ้นก็ได้นะ ปกกับชื่อเรื่องมีผลจริงๆ นะ เห็นแล้วเหมือนอ่านการ์ตูนอยู่ ... แต่ในแง่นึงก็บอกความสิ้นหวังจากใจเจ้าตัวชัดอยู่นะ ฮือ
แต่อย่างน้อยก็ขอบคุณที่มาอาทิตย์ละ 5 วันนะคะ
----
เพิ่ม
291021
ตอน 74
Tae-eon เวอร์ชั่นความจำเสื่อมที่ความทรงจำในช่วง 3 ปีหายไป เป็นอีกคนไปแล้ว ใส่ใจ แล้วก็ดูแล Yoonseong ดีมาก เหมือนสองคนเข้ากันได้มากขึ้นเรื่อยๆ ออกไปกำจัดสัตว์ประหวาดด้วยกัน พอรู้ว่าเป็นตัวที่ Yoonseong ไม่ชอบ (กลัว) ก็จับให้พิงตัวเอง แล้วเอามือปิดตาก่อนให้ไกด์ จะได้ไม่ต้องมองเห็นตอน Tae-eon กำจัดอีกต่างหาก แต่คือการปิดตาต่อ แล้วกึ่งๆ กอด กึ่งๆ อุ้มไปที่รถหลังจากนั้นคืออะไรคะ? จะเดินเองก็ไม่ให้เดินอีก แถมไม่ยอมให้ขับรถ ให้นั่งสบายๆ ในเบาะผู้โดยสารด้วย เหมือนความรู้สึกทางฝ่าย Tae-eon เพิ่มขึ้นเหมือนกัน
และที่สำคัญ ตัว sense sharing ก็ยังอยู่ต่อ เพราะว่า Yoonseong ที่ถูกจับอุ้มขึ้นรถ ยังไม่ได้หยุดไกด์ด้วย เป็น 20 นาที เท่าตัวของที่เคยทำได้เลยนะ (ไม่นับว่าเทียบกับที่คู่อื่นมี อย่างมากก็แค่ 2-3 นาทีอีก) เหมือนความเข้ากันได้สองคนนี้สูงมาก ยิ่งพอ Tae-eon เปิดใจ ตัวเลขก็ยิ่งสูงขึ้นไปอีก
เอาจริง โอ๊ยย อย่าเดินเรื่องแบบเนิบๆ ได้ไหมม ฉันลุ้นน ฉันรออออ เมื่อไหร่จะได้เห็น Tae-eon สำนึกผิดบ้างคะ อยากเห็นไล่ตาม Yoonseong บ้าง กับอยากเห็นมุมมองฝั่ง Tae-eon ด้วย
แต่คือรู้สึกบาป เพราะรู้สึกว่าเวลาอ่านไกด์ก็ชอบ 19+ อยู่ดี
ปล. ขวดน้ำที่ใหญ่ขึ้นอีก? ทำไม Yoonseong ซื่อแบบนี้ ไหนว่าเคยมีคนรักมาก่อนไม่ใช่เหรอออ??? จะถูกฝ่ายนั้นหลอกอะไรไหมเนี่ยยย
021121
ตอน 76
พอความรู้สึกระหว่างกันดีขึ้น ความเข้ากันได้สองคนก็เพิ่มขึ้นด้วย ไม่นับ sense sharing ที่นานขึ้นเรื่อยๆ + เกิดเป็นปกติอีก
ช่วงนี้คุณพี่ดูจีบๆ ตามๆ ชอบกล มีตั้งแต่ชวนดูหนังด้วยกันที่บ้าน พูดจาเป็นนัยๆ แปลกๆ รวมไปถึงถึงเนื้อถึงตัวด้วย
แต่เรื่องมันปูไปช้ามากกกกกก ถ้าไม่มาอาทิตย์ละ 5 วันนี่ ... ตายกันไปกลางทางแน่นอน คือผู้ชายจะเอาอย่างไรคะะะ?? ไม่ชอบ การเล่าเรื่องผ่านตัวเองทางเดียวก็เพราะแบบนี้แหละ อยากได้มุมมองบุคคลที่ 3 กรี๊ดดดด อยากได้สำนึกผิดทางฝั่งพระเอกเร็วๆ ด้วยยย
ปล. รอลิฟท์ด้วยกันตอนก่อน ก็มาประชิดตัวกระซิบข้างๆ หู ตอนนี้พอคุยกันว่าสวนกันที่ฐานคนละที่ ก็พูดทำนองว่าเสียดายที่ไม่ได้เจอกันก่อนหน้า ถามว่าชอบหน้าตาตัวเองไหม แล้วยังจะเหมือนบอกว่าชอบอีก ดูหนังด้วยกัน พอ Yoonseong รู้สึกว่าพิงไปทาง Tae-eon มากไป ขอโทษแล้วจะขยับตัวออก Tae-eon ก็ไม่ให้ขยับตัวออกอีก บอกว่า warm and nice เนี่ยยย เอามือมากดไหล่ให้อยู่ท่าเดิมอีก .... ไม่ต้องสงสัยเลยว่า Yoonseong ฉันค้างไปแล้ว
คืออะไรคะะ คืออะไร??? ฉันเบื่อผู้ชายกั๊กแบบนี้ๆๆๆๆๆๆ
((จริงๆ ก็คงไม่กั๊ก เหมือนเวลาคลุมเครือจีบกันใหม่ๆ แต่ปัญหามันคือเป็น Tae-eon ที่ทัศนคติติดลบกับ Yoonseong มากจนพอมาอ่านผ่านมุมมอง Yoonseong ที่ปรับตัวไม่ทัน ทั้งรู้สึกกลัวว่าความทรงจำจะกลับมาเมื่อไหร่ ก็เลยยิ่งไม่ชัดเจน))