Friday 21 May 2010

The Drowning City by Amanda Downum

เห็นเล่มนี้ที่คิโนะ เอ็มโพเรียม ถูกใจกับปกที่เป็นตัวเอกหน้าตาเคร่งขรึมจริงจัง และดูเหมือนจะสามารถ และพอเริ่มอ่านก็ชอบวิธีการใช้ภาษา และการใช้คำ (พูดง่าย ๆ ได้ว่าเลือกหนังสือจากปก...อีกตามเคย)



ชนิด : Semi-Urban Fantasy / Fantasy/ Magic/ Necromancer / Mage/ Politics/ Spy
ชุด : The Necromancer Chronicles, Book 1
สำนักพิมพ์ : Orbit; 1 edition (September 1, 2009)
จำนวนหน้า : 384 หน้า


เปิดฉากที่ Isyllt ผู้มีความสามารถติดต่อกับวิญญาณและคนตาย ถูกมอบหมายให้มาที่เมือง Symir ที่อยู่ข้ามทะเลออกไป เพื่อติดต่อและช่วยเหลือคนพื้นเมืองที่กำลังก่อกบฏ ด้วยจุดมุ่งหมายว่า หากจักรวรรดิต้องวุ่นวายกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นแล้ว ก็จะทำให้ความตั้งใจรุกรานประเทศของเธอล่าช้าลงไป เมื่อเดินทางมาถึงเมือง เธอได้พบกับ Asheris ผู้ที่ทำให้เธอต้องยุ่งยากใจทั้งจากความสามารถในการใช้ไฟ ระดับสติปัญญา และจากความจริงที่ว่าเขาอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับเธอ

ซ้ำร้าย Xinai หนึ่งในสองนักรบรับจ้างที่เดินทางกับเธอ กลับกลายเป็นคนพื้นเมืองของ Symir ที่หนีตายจากการฆ่าล้างเผ่าเมื่อสิบกว่าปีก่อน และเมื่อได้พบกับคนต่างเผ่าที่เคยช่วยเหลือให้รอดชีวิต Xinai ก็เข้าไปผูกวนอยู่กับการล้างแค้นและปลดแอกให้กับชนพื้นเมือง จนหันหลังจากทั้ง Isyllt และ Adam นักรบรับจ้างอีกคนที่เป็นทั้งคู่หูและคนรักของตัวเอง

อีกทั้ง Zhirin ลูกศิษย์ของผู้ใช้เวทย์มนต์ที่ Isyllt รู้จัก อยู่ในสถานะทั้งคนรักของผู้นำกลุ่มก่อกบฏฝ่ายสันติ และฐานะลูกสาวของนักการเมืองทรงอำนาจที่สนับสนุนวัง

และดังนั้น เมื่อทุกฝ่ายมีความต้องการและจุดประสงค์ของตัวเอง สถานการณ์จึงตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆ จนปะทุเมื่อถึงขีดสุดในช่วงหลัง และ Isyllt ก็ต้องเลือกทางที่ให้งานที่ได้รับมอบหมายมาสำเร็จลุล่วง โดยที่ยังรักษาชีวิตของเธอ และคนที่เธอเข้าไปผูกพันในเมืองให้ได้

เลือกหนังสือเล่มนี้จากปกและการใช้คำอย่างที่ได้บอกไป แต่เมื่อมาอ่านเข้าจริง ๆ รู้สึกว่าการใช้คำพรรณนากึ่งบรรยายในเรื่องใช้คำเยอะ และฟุ่มเฟือยมากไปในบางจุด และบางจุดก็ใช้สำนวนภาษาที่วกวนจนอ่านแล้วงง สิ่งเหล่านี้รวมไปถึงการเรียกชื่อเฉพาะด้วยชื่อมากกว่าหนึ่งชื่อด้วยก็ได้ ซึ่งเมื่อประกอบกับตัวละครที่มีอยู่มากแล้วก็ทำให้สับสน และงุนงงจนต้องพลิกกลับมาดูหลายครั้ง และการใส่รายละเอียด และการใช้คำก็ก้ำกึ่งอยู่ระหว่าง ซับซ้อน และ สับสน (complex กับcomplicated ได้) ซึ่งถือเป็นจุดด้อยที่สุดในหนังสือเล่มนี้ และทำลายอรรถรสในการอ่านไปบางส่วน ซึ่งตอนแรกเข้าใจว่าเป็นคนเดียว (และทำลายความเชื่อมั่นในเรื่องการอ่านหนังสือและตีความส่วนตัวไปมากโข ก่อนจะพบว่ามีหลายคนที่บ่นแบบเดียวกัน) และดังนั้น การมีรายชื่อศัพท์มาให้ อาจจะช่วยได้บ้าง

.... ซึ่งจุดที่สำคัญที่สุดที่รู้สึกว่าตัวเองต้องใช้เวลาทำความเข้าใจมากเกินไปก็คือ สภาพฝ่ายกบฏ (สปอยล์) [ที่มีมากกว่าหนึ่งกลุ่ม และแบ่งเป็นฝ่ายที่รักสงบ และใช้ความรุนแรง ซึ่งกว่าจะเข้าใจก็งงไปหลายรอบ]

อย่างไรก็ตาม ปฎิเสธไม่ได้ว่ารายละเอียดมากมาย หลายหลากเช่นนี้ก็มาเพิ่มความสมจริง และใส่มิติให้กับตัวละครจริง ๆ (จุดแบ่งของความรก และรายละเอียดสมจริงแทบจะไม่ชัดเจนเลย และถ้าตัวคนเขียนปรับแก้ได้ เรื่องนี้ก็คงอ่านง่ายกว่านี้มาก) หนังสือมีด้านที่เป็นทั้งแฟนตาซี (การสมมติเมือง สภาพสังคม ทัศนคติ และการใช้ชีวิตต่าง ๆ การพรรณนาความ) แต่ขณะเดียวก็มีมุมที่เป็นแฟนตาซีในเมืองด้วย (วิธีการดำเนินเรื่อง ความฉับไว และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความกล้าได้กล้าเสีย และแนวคิดของตัวละคร) ซึ่งส่วนตัวเห็นว่าเป็นสิ่งที่เพิ่มความแปลกใหม่ให้หนังสือ เพราะอยู่ระหว่างสองอย่าง และดังนั้น สามารถแก้ความซ้ำเดิมที่มีมาของหนังสือทั้งสองประเภทได้ (และก็คิดว่าสิ่งหนึ่งที่ดึงดูดให้ซื้อมาก็คือการดำเนินเรื่องผสานกันเช่นนี้)

มุมมองที่มองผ่านเรื่องไม่ได้มองผ่าน Isyllt เพียงคนเดียว แต่มองผ่าน Xinai และ Zhirin ด้วย โดยการใช้บุคคลที่สามมาเป็นคนเล่าเรื่อง และตัดเรื่องผ่านตัวละครทั้งสามไปมา ทำให้นอกเหนือจากจะรู้สถานะความเป็นไปของตัวละครนั้น ๆ ในขณะนั้นแล้ว ก็ยังรู้ความคิด ความต้องการ และสถานการณ์รอบข้างด้วย ซึ่งสนุกและเร้าใจมาก เมื่อตัวละครแต่ละตัวกระทำการที่ขัดแย้งกัน ด้วยเหตุผลของแต่ละคน และก็ทำให้คนอ่านเกิดความคาดหวัง และเอาใจช่วยตาม โดยเฉพาะเมื่อตัวคนเขียนสามารถสร้างภาพของผู้หญิงสามคนที่มีภูมิหลังแตกต่างกัน ซึ่งทำให้ทั้งนิสัย ความสามารถ ความเข้าใจต่อชีวิต ความต้องการ และสิ่งเร้าในชีวิตของแต่ละคนผิดแผกจากกันด้วย

และดังนั้นชอบการดำเนินเรื่อง ทั้งความรวดเร็ว ความเรียบง่าย และจังหวะในการตัดเรื่อง (ผ่านมุมมองของแต่ละคน) เราเห็นสภาพเมืองที่มีปัญหาภายในและรอจุดประทุขึ้นมา และก็เห็นการกระทำของตัวละครแต่ละตัวที่มีต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ชอบความกล้าที่จะตัดสินใจ และโลกหลายมิติที่คนเขียนสร้าง โดยเฉพาะโครงสร้างโลกวิญญาณและชีวิตหลังความตายที่มีอยู่ในเรื่อง (ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะไม่ได้เรื่องเช่นนี้มาก่อน?)

อย่างไรก็ตาม มีจุดที่ไม่น่าจะมีผลกับเรื่องแทรกเข้ามาในเรื่อง และ/หรือ อธิบายเหตุผลได้ไม่ดีพอหลายครั้ง โดยเฉพาะเรื่อง(สปอยล์) [ฆาตกรที่เป็นคนฆ่าอาจารย์ของ Zhirin ซึ่งหาแรงจูงใจที่ชัดเจนในการฆ่าไม่ได้พอ นอกเหนือไปจากการเปลี่ยนจุดโฟกัสให้ตัว Zhirin กลับไปอยู่ที่บ้าน และเน้นความสัมพันธ์กับแม่ของเธอ นอกเหนือจากความจริงที่อาจารย์ก็เป็นผู้ใช้เวทย์มนต์และเป็นสายลับเก่าที่ไม่น่าจะถูกฆ่าง่าย ๆ]

ช่วงที่เหตุการณ์เข้มข้นขึ้นไปถึงตอนจบคิดว่าสมจริง และเป็นจริงที่สุด แม้จะบอกไม่ได้ว่าเป็นอย่างที่อยากให้เป็นหรือไม่อย่างไร (สปอยล์) [ดังเช่น Isyllt เสียความสามารถในการใช้มือที่ถนัดไป / Adam เลือกที่จะทั้ง Xinai ไว้ที่เมืองก่อนเดินทางกลับ เพราะมองว่านี่เป็นสิ่งที่เธอเลือกแล้ว/ และ Zhirin สังเวยชีวิตตัวเองให้กับเทพแห่งแม่น้ำ เพื่อช่วยเหลือเมืองไว้เมื่อภูเขาไฟปะทุ และเมืองก็ถูกทำลายไปเกือบครึ่ง ถือเป็นโศกนาฏกรรมที่สมจริงครั้งใหญ่ จะมีก็เพียง Asheris คนเดียวที่ดูจะได้ประโยชน์ เมื่อได้กลับเป็นอิสระอีกครั้ง]

อ่านเรื่องนี้ตอนเกิดเรื่องร้าย ๆ ในบ้านเรา และก็เห็นความคล้ายคลึงที่ว่า ความบ้าคลั่ง และใจที่จ้องทำลาย แม้จากความต้องการแสดงออก และเรียกร้องสิทธิของตนไม่เป็นประโยชน์กับใคร แต่กลับเป็นอันตรายทั้งต่อตัวเอง คนรอบข้าง และสังคม ให้คะแนนหนังสือที่ B-/B และสรุปให้ว่า "darkly brilliant madness, darkly brilliant illness." ซึ่งแปลว่าพูดไม่รู้เรื่องอีกแล้ว

ปลายปีน่าจะออกเล่มสอง The Bone Palace ดูอารมณ์อีกที เพราะคะแนนหนังสือที่จะอ่านต่อได้ก็คือ B แต่จากปกแล้วน่าจะซื้อได้อยู่

ปล. ทั้งนี้ คิดว่าสภาพสังคมที่เธอสร้างขึ้นมาจากเมืองในเอเชีย (โดยเน้นที่เอเชียตะวันออก เกือบเฉียงใต้ และตะวันออกกลาง) ผสมกับแนวคิดบางส่วนจากแอฟริกา (ถ้าไม่เข้าใจผิดไปเอง) ชัดเจนที่สุดที่สภาพอากาศ อาหาร (เน้นที่เครื่องเทศรสจัด และแกงกะหรี่) ภาชนะ (ไม้ไผ่ และลำไม้ไผ่) ฯลฯ โดยที่สังคมเป็นจากเอเชียตะวันออกอย่างอินเดีย และการเรียกชื่อ (โดยเฉพาะเผ่าพื้นเมือง) มีส่วนผสมระหว่างจีนและเวียดนาม ดังเช่น Cay Linn และ Cay Xian ซึ่งอย่างหลังนี้ คนเขียนเขียนแล้วเข้าใจ แต่คนอ่านต้องใช้เวลาตีความเข้าสมองอยู่ระยะหนึ่งเสมอ

No comments:

Post a Comment