Monday, 19 April 2021

รักนิรันดร์ของนายท่านแมว // 神木挠不尽

นี่คือรีวิวสุดท้ายก่อนกลับไปทำงานนน 5555 

//สปอยล์แหลกสปอยล์ลานนน เพราะว่าจะกรีดด//

เอาจริง อ่านเพราะไปๆ มาๆ ก็เป็นแฟนงานเขียนลวี่เยี่ยนเชียนเฮ่อมาแบบงงๆ ไม่รู้ตัว ตั้งแต่ “อร่อยล้นวัง” แล้ว แต่ว่ากว่าจะอ่านจริงๆ ก็ช้า เพราะว่าเมื่อก่อนไม่ชอบให้กงดำเนินเรื่อง จนกระทั่งจับพลัดจับพลูไปอ่านเนี่ยแหละ ติดจริงจัง อ่าน mtl จบก็กรีดไปคนเดียว แล้วก็เป็นบุญมาก เพราะปกติตกข่าวนิยาย LC สุดๆ กว่าจะเห็นก็รอบวางขาย แต่งวดนี้เดชะบุญไปเจอโดยบังเอิญ

เอาล่ะ เรื่องมีอยู่ว่า “จอมมารต้วนเทียน” หรือ “โม่เทียนเหลียว” ปรมาจารย์การหลอมอาวุธหลบหนีการไล่ล่าของทั้งฝ่ายธรรมะและมารที่อยากได้อาวุธเทพที่ตัวเองเพิ่งหลอมได้มาถึงหุบเขา และสุดท้ายเมื่อจนตรอกก็ตัดสินใจตกตายตามกันไปกับเหล่าผู้ไล่ล่าทั้งหมด เหลือความเสียใจอย่างเดียวก็คือต้องทิ้ง “อุ้งน้อยโม่” ลูกแมวสีขาวสุดที่รักเอาไว้ตามลำพัง

แต่ว่าถึงเวลา กลับกลายเป็นว่าดวงจิตของตัวเองถูกพลังรักษาไว้ และก็ล่องลอยไปเรื่อยๆ จนเจอต้นไม้เทพ ซึ่งพอผ่านไป 300 ปีก็ได้โอกาสที่จะใช้ต้นไม้นี้เป็นร่างใหม่ไป 

และเป้าหมายก็คือตามหาแมวสุดที่รักของตัวเองให้เจอ

แต่ว่าเทียบกับร่างเดิมที่พลังการฝึกปรือดี ตอนนี้ร่างใหม่ยังไม่มีความสามารถอะไรเลย และดังนั้น ก็เลยตัดสินใจสำนักเพื่อฝึกปรือ และตัวเลือกสำนักว่ออวิ๋นที่ไม่น่าจะเคยเห็นหน้าจริงตัวเองมาก่อนก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

พอเข้าสำนักมาแล้ว กลับได้รับเลือกจากเจ้าถ้ำ “ชิงถง” ผู้รูปงามแต่เย็นชาให้เป็นศิษย์สืบทอด และด้วยพลังปราณไม้ไฟก็ตัวเองได้ก็ได้วิชาฝึกที่แปลกประหลาดคือไปตัดไม้มาย่างเนื้อสัตว์ และระหว่างที่กำลังก่อไฟก็เจอลูกแมวน้อยสุดที่รักของตัวเอง ทำให้เจ้าตัวดีใจและโล่งใจมากที่ลูกแมวที่เป็นสัตว์ภูตยังอยู่ดีมีสุขในสำนัก

ซึ่งความจริงแล้ว แมวน้อยก็คือท่านอาจารย์ชิงถงเจินเหรินนั่นเอง และช่วงแรกการสลับมาตรวจตราคนเลี้ยงและศิษย์สืบทอดก็ดำเนินต่อไปด้วยร่างแมวร่างคน ก่อนที่วันหนึ่งอาการบาดเจ็บก็ทำให้โม่เทียนเหลียวเริ่มสงสัยและรู้ความจริงในที่สุด

รักแมวมาขนาดนี้แล้ว คราวนี้พอแมวกลายเป็นคนขึ้นมา อาการโอ๋ สปอยล์ เอาแต่ใจก็ตามมาไม่มีที่สิ้นสุด!!!

.

.

ถ้าจะสรุปให้ชัด เรื่องนี้ก็คือ “คนหลงแมว แมวติดคน” ได้อย่างเดียว เพราะจอมมารต้วนเทียนโหดร้ายฆ่าคนได้ไม่กระพริบตาอย่างไร ตลบตะแลงอย่างไร พอมากับแมวที่รักก็คือละลายเป็นทาสแมวระดับเกินเต็มแมกซ์ อะไรที่ดีที่ใช่ ก็คือสรรหามาให้แมวตัวเองทั้งหมด ในเรื่อง การจะมีมิติพิเศษเพื่อเก็บสิ่งมีชีวิตเป็นไปไม่ได้ แต่เพื่อใส่ของกินของเล่นของนอนอุ้งน้อยโม่ที่รักแล้ว ทำไมจะใส่สิ่งมีชีวิตไปไม่ได้? ถ้าอุ้งน้อยอยากจะเก็บหนู ผีเสื้อ นก ก็ต้องทำได้อยู่ดี ออกแบบกำไลพิเศษมาเป็นคู่เข้าเซ็ทกับตัวเองต่างหาก 

นอกเหนือจากนี้ของใช้ในชีวิตประจำวันก็ห้ามขาด ชามแมวก็คือหยกเย็นที่ทำให้อาหารไม่ร้อนเกินไปสำหรับลิ้นแมว แถมยังแกะสลักให้ตรงกลางนูนขึ้นมาเพื่อให้เวลากินแล้วหนวดไม่เปื้อนอีก รังแมว (ที่นอนแมว) ก็ต้องมีรังไหมหิมะไว้เพื่อที่จะนอนเล่นอยู่ในห้องหลอมอาวุธได้โดยที่ไม่รู้สึกร้อนเกินไป ที่ลับเล็บก็ไม่ต้องพูดถึง ก็ต้องเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์หายากที่ลับแล้วสัมผัสดีถูกใจแมวสิคะ 

แล้วด้วยความที่ปรมาจารย์หลอมอาวุธ คนทั้งโลกหล้ารู้กันหมดว่าของที่จอมมารต้วนเทียนทำล้วนแต่เน้นการใช้งาน ไม่เน้นรูปลักษณ์ พูดได้ตรงก็คือ อัปลักษณ์ แต่ความจริงก็คือขี้เกียจเท่านั้น ของเล่น ของใช้แมวตัวเองต่างหากที่ท่านจอมมารให้ความสำคัญ ใคร่ครวญพิจารณาว่าต้องดีทุกอย่างไม่มีผิดพลาด แล้วด้วยความที่เป็นคนชอบพลิกแพลงคิดนอกกรอบ การสร้างซัพพลายโดยที่ท่านแมวยังไม่เกิดดีมานด์ก็เป็นเรื่องปกติ ถึงขนาดอยากทำบ้านแมวที่ขยายใหญ่ได้ให้ด้วยซ้ำ แต่เพราะตายก่อน ยังไม่ได้ทำ แต่ระหว่างที่สำนักใหญ่ 3 สำนักมาประลองกันก็เลยถือโอกาสนี้หลอมบ้านแมวเสียเลย ทั้งปราณีตทั้งงดงามทั้งความคิดแปลกใหม่จนได้รางวัลชนะเลิศไป น่ารักที่ตอนอธิบายสรรพคุณให้กรรมการฟังแล้วเงียบเสียง เพราะกำลังเคลิ้มว่านายท่านแมวจะถูกใจบ้านแล้วคาบตัวเองเข้าบ้านไป แต่พอคนอื่นแห่เข้ามาจะลูบบ้านแมวไซส์เท่าบ้านของจริงก็รีบย่อส่วนไม่ให้ใครได้สัมผัส อ้างว่าพลังไม่เสถียร แล้วในใจรีบกรีดร้องว่าจะให้มือสกปรกมาแตะได้อย่างไร

นอกเหนือจากสิ่งประดิษฐ์นวัตกรรมอลังการเพื่อแมวแล้ว การเอาใจใส่แมวก็ยิ่งใหญ่ไม่แก้กัน เพราะว่าท่านแมวไม่ชอบอะไรสกปรก ผลไม้ที่ใหญ่เกินปากตัวเองกินแล้วเปื้อนก็ไม่อยากกิน คนเลี้ยงแมวก็รู้ทัน หั่นผลไม้เป็นชิ้นขนาดพอดีคำให้เสมอ น่องไก่ก็เอามีดมาตัดเป็นชิ้นเล็กๆ ให้เอาตะเกียบคีบง่าย ปลาก็ต้องเอามาเลาะก้างก่อนจะวางในจาน น้ำชาก็ต้องทิ้งไม่ให้ร้อนเกินไป ถึงขั้นที่ศิษย์พี่ของชิงถงอย่างเสวียนจีน้ำตาตกในเสมอ ว่าทำไมลูกศิษย์ตัวเองไม่ใส่ใจแบบนี้บ้าง  หรือถ้าอยู่ในร่างแมว ถ้าเห็นนายท่านแมวหงุดหงิดที่เท้าสกปรกก็รีบเอาน้ำมาล้างแล้วเช็ดให้ พอไปมีเรื่องไปกัดนกแก้ว นกยูงคนอื่น สิ่งที่รีบกรีดก็คือ ระวังขนเข้าปาก เดี๋ยวจะสำลักแล้วไม่สบายตัว หรือย้อนกลับไปตอนที่อยู่ในวังมารเวลาอุ้งน้อยโม่ปีนขึ้นไปอยู่บนหลังคาแล้วลงมาไม่ได้ร้องเหมียวเรียก ไม่ว่าจะคุยอะไรกับใคร ทาสแมวก็พร้อมจะรีบออกมา แล้วปีนหลังคาพานายท่านแมวลงมาเหมือนกัน

สรุปได้ว่า คนทั้งโลกรู้กันว่าปรมาจารย์ต้วนเทียนเป็นพวกหลงแมว ทั้งรักทั้งบูชา ไปไหนก็ต้องไปด้วย สิ่งเดียวที่มองเห็นก็คือนายท่านแมว ทั้งโลกพยายามประจบโดยการเอาคนงามมาเป็นบรรณาการขนาดไหน ตัวเองก็ไม่เคยใส่ใจ ไล่คนเหล่านั้นไปเผาฟืนบ้าง รดน้ำต้นไม้บ้างแค่นั้น ส่วนในชาตินี้ ก็เป็นลูกศิษย์กตัญญูที่ในหัวมีแต่การคิดปรนนิบัติอาจารย์ตัวเอง มีอะไรก็อยู่ข้างตัวชิงถงเจินเหรินพัดวีให้ทุกอย่างโดยที่ทางท่านอาจารย์ไม่ต้องเอ่ยปากพูดใดๆ 

ช่วงแรกดูผิวเผินเหมือนว่าโม่เทียนเหลียวเป็นทาสแมวรนหาที่ตายเสมอ เพราะว่าจะเอาหน้าไปซุก หรือโผไปกอดแมวก็จะถูกนายท่านแมวทั้งตบทั้งข่วนทั้งกัดกลับมา แต่พออ่านไปก็จะพบว่าอุ้งน้อยโม่เป็นแมวซึนตัวจริงเสียงจริงตัวเองก็มีความสุขกับการอยู่ร่วมกับทาสแมวของตัวเองอย่างมากเสมอ อย่างพอตอนกลางคืน หนีไปนอนที่ตำหนักตัวเองได้สักพักก็ต้องแปลงร่างกลับมาเป็นแมวเพื่อจะมาซุกอยู่ในอกเสื้อของโม่เทียนเหลียวเพื่อจะหลับ หรือเหตุผลจริงๆ ที่ท่านอาจารย์รูปงามมีอาการบาดเจ็บเรื้อรังก็เพราะตัวเองฉีกทึ้งจิตตัวเองไปเพื่อรักษาจิตของโม่เทียนเหลียวไม่ให้หายไป เป็นการเสียสละให้เงียบๆ แต่ไม่เคยพูดออกมา 

เพราะสุดท้ายแล้ว ทุกสิ่งที่โม่เทียนเหลียวทำให้ชิงถงก็เป็นสิ่งที่สลักอยู่ในใจของนายท่านแมวเหมือนกัน อย่างที่เจ้าตัวคิดว่าช่วงตอนที่ยังเล็ก พ่อแม่ตายไป การอยู่ร่วมกับอาจารย์และศิษย์พี่ทั้งสองก็ไม่ได้เติมเต็มได้เหมือนที่อย่างโม่เทียนเหลียวทำ เพราะโม่เทียนเหลียววางให้อุ้งน้อยโม่เป็นที่หนึ่ง ทั้งรักทั้งใส่ใจเกินกว่าที่จะใครอื่นทำให้ได้ และกว่าจะรู้ตัวก็ทำให้ตัวเองยึดติดกับตัวโม่เทียนเหลียวไปด้วยแล้ว ชื่อตัว “ชิงถง” ก็เป็นชื่อที่ตั้งให้ตัวเองเพื่อให้เข้าคู่กับชื่อโม่เทียนเหลียวจากบทกลอนที่วังมารอีก 

ตอนที่บอกถึงความยึดติดที่สุดก็คือตอนที่คิดว่าอีกหน่อย โม่เทียนเหลียวก็จะสำเร็จเป็นเซียนอยู่บนสวรรค์แล้วทิ้งตัวเองไป กลายเป็นประเด็นในใจ จนพอโม่เทียนเหลียวรู้ก็บอกว่างั้นจะไม่สำเร็จเป็นเซียน จะอยู่ด้วยกันไปเรื่อยๆ ร้อยปี พันปี หมี่นปีก็จะอยู่ด้วยกันไป แล้วพอชิงถงบอกว่าบนสวรรค์มีคนที่งดงามดีกว่าตัวเองเยอะ แต่พี่โม่ก็ย้อนถามว่าแล้วจะมีแมวที่ไหนกล้าฉีกทึ้งจิตตัวเองให้ หรือว่ากล้าเอาตัวมารับฟ้าผ่าให้อย่างที่แมวตัวเองทำไม เอาจริงก็เป็นการยึดติดสิ่งกันและกัน และก็เป็นฉากที่อ่านแล้วน้ำตาร่วงได้เลย เพราะว่าสำหรับตัวโม่เทียนเหลียวเองก็เหมือนกัน ว่าอุ้งน้อยโม่หรือชิงถมก็คือคนที่ตัวเองรักที่สุดไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบใดก็ตาม 

กับการยึดติดสิ่งกันและกัน อีกตอนที่จะกลับไปวังมาร แล้วกลายเป็นว่าแม้ตัวชิงถงจะหาวิธีให้ไม่ใครเข้ามาข้างในได้เลย แต่เจ้าตัวไม่เคยเหยียบย่างเข้ามาอีกเลยในช่วง 300 ปี เพราะเหตุผลคือไม่อยากกลับบ้านคนเดียว แล้วพี่โม่พูดอยู่ตลอดคำเดียวว่ากลับบ้านของเรา พออุ้มชิงถงร่างคนเข้าบ้านไป เจ้าตัวก็กลายร่างเป็นแมวไปนอนในที่นอนเดิมอย่างสบายใจ กับพอจัดการผู้บุกรุกเรียบร้อย และเรียกลูกน้องเก่ามาก สิ่งที่บอกก็คือสิ่งที่สำคัญเร่งด่วนที่สุดคือหาคนเลี้ยงปลา !!! ใช่ค่ะ ปลาของอุ้งน้อยโม่เป็นปลาน้ำพุเย็นที่ต้องเลี้ยงดี อร่อยนุ่มลิ้นถูกใจนายท่านแมว

แต่ด้วยความที่มาเป็นที่หนึ่งเสมอ ก็ทำให้นายท่านแมวใจแคบมาก และคิดเล็กคิดน้อยมาก เวลาทาสแมวไม่สนใจตัวเอง อย่างที่ลึกๆ จงเกลียดจงชังวัตถุดิบหลอมอาวุธหายากราคาแพงเสมอ เพราะว่าถ้าเจ้าตัวติดพันอยู่กับการหลอมอาวุธ ก็จะต้องให้ข้ารับใช้ในวังมารเตรียมอาหารให้ตัวเอง แทนที่เจ้าทาสแมวจะลงมือเอง หรือตอนหนึ่งก็เข้าใจผิดคิดว่าตัวโม่เทียนเหลียวใช้เวลากว่าค่อนเดือนหลอมอาวุธให้ภูติจิ้งจอก (เพราะรู้ว่าทาสโง่แพ้สัตว์ขนปุกปุย แม้จะรู้ว่าที่หนึ่งในใจก็คือตัวเอง) กว่าจะรู้ว่าหลอมจี้ให้ตัวเองก็น้อยใจไปแล้ว 

และด้วยมีคนเอาใจดูแลก็ทำให้ชิงถงเป็นแมวขี้เกียจไปด้วย เจ้าตัวก็ยอมรับเองว่าถึงขั้นขี้เกียจแม้เวลาจะเดิน เวลานอนหิวน้ำขึ้นมายังให้ทาสแมวป้อนน้ำให้โดยที่ไม่แม้แต่จะเอื้อมมือมาหยิบจอกน้ำชาด้วยซ้ำไป แต่ส่วนตัวที่น่ารักก็คือ ตอนที่โม่เทียนเหลียวเอาจี้คล้องคอให้ แล้วอธิบายอย่างตั้งใจว่ามีคุณสมบัติอย่างไร ใช้งานอย่างไร นายท่านแมวก็ไม่ได้ฟังเข้าหูเลย เพราะคิดว่าทาสโง่อยู่แล้ว เดี๋ยวก็มีคนดูแลจัดการให้เอง

กับพอทุกอย่างลงตัวเป็นเหมือนเมื่อก่อนก็ทำให้นิสัยซุปเปอร์สปอยล์ชิงถงเจินเหรินกำเริบ ปกติการเดินทางด้วยเรือเหาะของสำนักก็เป็นเรื่องปกติ เทอะทะ ช้า แต่ว่าบรรลุทุกคนไปด้วยได้ ทว่าพอกลับมาอยู่ด้วยกัน ได้แต่สิ่งที่ดีสุด ก็ทำให้นายท่านแมวหันไปหาโม่เทียนเหลียวให้เอาบ้านแมวที่แปรสภาพเป็นพาหนะเดินทางได้ออกมาใช้เดินทางแทน หรูหราจนเรือเหาะของสำนักกลายเป็นซอมซ่อไป ซึ่งราคาในการใช้งานบ้านแมวก็คือ แค่ตั้งเฉยๆ เป็นบ้านก็กินหินพลังอย่างดีวันละ 3 ก้อนแล้ว

อีกอย่างที่น่ารักก็คือการที่อุ้งน้อยโม่อยู่ได้อย่างราบรื่นในสำนักก็เพราะสำนักว่ออวิ๋นปกป้องเหล่าสัตว์ภูติ แต่พออ่านไป จริงๆ แล้วสำนักนี่แหละคือดงสัตว์ภูติ! เหล่าอาจารย์จอมถ้ำและศิษย์พี่ศิษย์น้องต่างก็เป็นสัตว์ภูติด้วยกันทั้งสิ้น และแต่ละตัวก็มีความเพี้ยนในแบบของตัวเองเสียด้วย เช่น ไป๋ลั่ว ศิษย์พี่ที่เป็นกระต่าย และมักตกที่นั่งลำบากเพราะเผลอไปกินสมุนไพรและพืชที่ตัวเองต้องดูแลอยู่ตลอดเวลา หรือว่าศิษย์ใต้สังกัดเสวียนจีเจินเหรินต่างก็กลัวชิงถงตัวสั่นขาสั่นเพราะว่ามีตั้งแต่ปลาไน ผีเสื้อ ความกลัวแมวเกินล้าน

จริงๆ หลังๆ ไม่ค่อยอ่านแนวเทพเซียน/ ฝึกตนเพราะรู้สึกว่ามันมีส่วนที่ขมตับไหม้เยอะ ทั้งจากตัวพล็อต ทั้งจากกรอบธรรมเนียม (โดยเฉพาะ 2HA ที่ใจไหม้ไม่ไหวแล้ว)  แต่ว่าเรื่องนี้ไม่มีแบบนั้นเลย ขอบคุณงานลวี่เยี่ยนเชียนเฮ่อที่ราบรื่นสวีทหวานมาก ไม่ผิดหวังจริงๆ ตอนที่พอกลับวังมารกลายเป็นจอมมารต้วนเทียนก็กลัวว่าจะเกิดอะไรไหม ไหนจะตอนที่เปิดมาว่ารักกับท่านอาจารย์ชิงถงเจินเหรินอีก ทั้งกับตัวเอง ทั้งกับสำนัก ถ้าเป็นเรื่องอื่นดราม่าฝ่ายธรรมะตะโกนกรีดร้องว่าผิดประเพณีอันดีงามมาแล้ว แต่เรื่องนี้ ทัศนคติพี่โม่เทียนเหลียว แล้วอย่างไร So what? มาก ชีวิตฉันเกี่ยวอะไรกับแก ยิ่งพอสำนักมารสำนักธรรมะบุกเข้ามาหาเรื่องว่ออวิ๋นเพราะรู้ว่าเป็นดงสัตว์ภูตินี่คือสะใจมาก พี่โผล่มาคือระเบิดหัวฝ่ายมารไปเลย แล้วพอฝ่ายธรรมะตะโกนด่าว่าชั่วร้ายก็บอกให้พวกมารฆ่าพวกธรรมะเสีย ฆ่าคนจะปล่อยไปคน เป็นการยืมมือคนอื่นฆ่ากันเอง ศิษย์อาจารย์สำนักว่ออวิ๋นที่กำลังเตรียมจะลุยก็เลยเอาของกินมากินพร้อมชมดูไปแทน แถมเพราะเป็นเหล่าสัตว์ภูติที่ไม่ยึดติดธรรมเนียม สุดท้ายก็คือแก้ไขด้วยการตัดขาดจากสำนักธรรมะใหญ่กลายเป็นเอกเทศไป

หรือฉากเปิดตัวกับผู้ใหญ่ (ศิษย์พี่ทั้งสองของชิงถง และอาจารย์) ก็น่ารักและราบรื่นกว่าที่คิด เพราะแม้ตัวเสวียนจีเจินเหรินจะกังวลว่าโม่เทียนเหลียวจะไม่ให้ความสำคัญกับศิษย์น้องของตัวเอง แต่พอไปเจอเจดีย์ที่เก็บของวิเศษของพี่โม่ที่วังมารก็ต้องเปลี่ยนความคิดไป เพราะชั้นหนึ่งเต็มไปด้วยของใช้ของอุ้งเท้าโม่สมัยเป็นเด็กวางเป็นระเบียบสวยงาม ไม่ว่าจะเป็นชามบิ่น ผ้าห่มขาด ที่สำคัญคือเอาขนที่ร่วงในแต่ละปีมาทำเป็นตุ๊กตาสะสมเป็นคอลเล็คชั่นในตู้อีก ถึงขั้นท่านเสวียนจีพูดไม่ออก โดยเฉพาะเมื่อลงไปชั้นใต้ดิน แล้วอาวุธมีค่า ของวิเศษควรเมืองทั้งหลายวางกันเขละขละเป็นภูเขาขยะ หรือพอไปเจอท่านอาจารย์ของชิงถงเอ่ยปากพูดถึงอดีตวัยเด็กของแมวที่รัก เจ้าตัวก็รีบเอาแผ่นหยกที่มีดวงชะตาตัวเองให้ พอท่านอาจารย์ของชิงถงอึ้งเงียบไปว่าแม้แต่ในหมู่ผู้ฝึกตัวก็ไม่มีธรรมเนียมแลกดวงชะตาเหมือนชาวบ้านนะ พี่โม่ก็บอกว่าเพราะไม่รู้ว่าธรรมเนียมสัตว์ภูติเป็นอย่างไร ต้องเตรียมให้พร้อมไว้ก่อน จนอีกฝ่ายต้องเอาหยกมาเขียนดวงชะตาลูกศิษย์ตัวเองให้กลับไป

ชอบตอนพิเศษที่พอไปอยู่บนสวรรค์แล้วล้าลากันมากๆ ทั้งชิงถงได้เจอพ่อแม่และมีตระกูลทั้งตระกูลปู่ย่าไปจนถึงปู่ทวดครบไม่ต้องเหงา ส่วนตัวโม่เทียนเหลียวก็ได้เจออาจารย์ตัวเอง ดูเป็น HEA ที่ความสุขอยู่ตลอดไป 

ก็ให้ A นะคะ สรุปได้อย่างที่พูดไปแล้วว่า “คนหลงแมว แมวติดคน” จริงๆ ยิ่งขึ้นไปบนสวรรค์เป็นการสปอยล์แมวสเกลใหญ่กว่าเดิมอีก เพราะว่าไปเอาใจให้ของเล่นทั้งเผ่าเสือขาวแล้ว

ส่วนตัวกลัว LC อยู่หน่อยๆ เพราะว่าชอบงานเนียนเนี๊ยบ ทั้งชื่อ ทั้งปก ทั้งการแปล แต่สำหรับ “รักนิรันดร์ของนายท่านแมว” ให้ผ่าน เพราะชอบปกมาก แม้อยากจะให้ชื่อทั้งภาษาจีนและภาษาไทยเด่นน้อยกว่านี้ก็เถอะ (เอาจริง ถือว่าค่อนข้างรกตานะ ถึงจะมีโปสการ์ดกับโปสเตอร์ A4 ให้เพ่งก็เถอะ) กับการแปล ดีใจและโล่งใจที่ไม่มีคำภาษาสแลง/ ตามกระแสมา ยกเว้นที่เจอคำว่า “เสื้อผ้าหน้าผม” อยู่ 2-3 ครั้ง  กับอธิบายเตียวม่วงว่า เตียวสีม่วงง อืมม...

แล้วก็คือความบ้างานลวี่เยี่ยนเชียนเฮ่อกำเริบอีกแล้วว กรี๊ดดดด จบดีกว่า ยิ่งเขียนยิ่งยาววว

Saturday, 17 April 2021

The Rebirth of the Last Days and Return to [Fang] Hao// 末世重生之重归于郝 โดย 暖荷

//สปอยล์เอเวอรี่ติงงง กรีดร้องอย่างที่นึกออก คงจะยาววว//

คนแต่ง “The Reborn Otaku’s Code of Practice for the Apocalypse /โอตาคุวันสิ้นโลก” (รีวิวแบบสปอยล์ไปแล้ว) เป็นแนว apocalypse กับ rebirth แบบเดิมอีก ไม่อ่านไม่ได้แล้วไหมคะ 

คุณพี่ He Zizhong ถูกทรยศหักหลังจากคนรักและลูกพี่ลูกน้องหลังวันสิ้นโลก โดยช่วงกำลังหนีตายก็ได้น้อง Fang Hao ที่ทำอย่างไรก็ไม่ทิ้งตัวเองไปมาอยู่ด้วยกัน แต่พอน้องปกป้องพี่จนตัวตาย พี่ He Zizhong ก็ได้รู้ว่า Fang Hao เป็นรุ่นน้องที่โรงเรียนตัวเอง จนสุดท้ายตัว He Zizhong ก็ตายไปพร้อมความเสียใจที่รักคนผิด และรู้ตัวช้าไป

แต่ว่าเมื่อตื่นขึ้นมาอีกที ก็ย้อนเวลากลับมาก่อนช่วงวันสิ้นโลก และดังนั้น ปณิธานชีวิตตอนนี้คือ รักคนให้ถูกและอยู่ดีกินดี

.

.

เอาจริงเรื่องนี้มีแค่นี้จริงๆ เพราะว่าตัว He Zizhong คิดว่าถ้าจะอยู่ในวันสิ้นโลกต่อไปก็ควรจะรักคนที่มีค่าพอที่จะมอบความรักให้ และฝากชีวิตไว้ได้ ซึ่งพอเป็น Fang Hao ก็เป็นเงื่อนไขที่ลงตัวยิ่งกว่าพอดี ด้วยว่าตัว Fang Hao เองก็รัก He Zizhong มานาน และก็พร้อมจะทำทุกอย่างให้ He Zizhong เสียด้วย ... น่ารักที่ Fang Hao มุ่งมั่นมโนอยู่คนเดียวสารพัดว่าวันนี้จะอุทิศตัวเพื่อรุ่นพี่ที่รักอย่างไร โดยเฉพาะเมื่อออกมาในรูปการทำอาหาร ตัวเองทำอาหารอร่อย และรุ่นพี่ก็กินอย่างมีความสุข ความไฟลุกท่วมเวลาอยู่ในครัวและบนโต๊ะอาหารก็ทำให้เจ้าตัวคิดเมนูอาหารสารพัดไม่ซ้ำแบบ เป็นทั้งแผนการเอาชนะใจผู้ชายผ่านทางกะเพาะ และทั้งยุทธศาสตร์การเตรียมเสบียงอาหารระหว่างที่สองคนต้องเดินทาง/ สู้กับซอมบี้ไปพร้อมกัน (เพราะว่ามิติเก็บรักษาอาหารไว้ได้ ดังนั้นการทำอาหารตุนไว้ก่อนเป็นเรื่องปกติของน้องมาก) 

เนื่องจากตัว He Zizhong มีมิติพิเศษที่มีทั้งพื้นที่เพาะปลูก บ่อน้ำ และบ้านพัก  นอกเหนือจากทำให้สองคนมีพื้นที่หลบภัย และพักผ่อนได้แล้ว ก็ทำให้เกิดการไร้ขีดจำกัดเรื่องการขนของและพื้นที่จัดเก็บด้วยเหมือนกัน ซึ่งถ้าคิดว่าการเก็บตุนทรัพยากรทั้งอาหาร เครื่องนุ่งห่ม อาวุธ เครื่องจักร และนานาสารพัดในเรื่องแนววันสิ้นโลกเป็นเรื่องใหญ่แล้วก็ขอเชิญมาอัพดีกรีด้วยกัน เพราะว่าด้วยการไร้ขีดจำกัดในเรื่องการขนของและพื้นที่จัดเก็บก็ทำให้ทั้งสองคนมุ่งมั่นและเมามันกับการหาของและตุนไว้ในมิติส่วนตัวของ He Zizhong อย่างเกินห้ามใจได้ หลายครั้งที่การออกไปหาของไม่ใช่แค่ว่าไปหาอะไรได้ เก็บอะไรมา แต่ว่าต้องเป็นเก็บให้หมด เก็บไม่ให้มีอะไรเหลือ อะไรก็เก็บไว้ก่อน แล้วค่อยไปคิดทีหลัง 

ยิ่งไปกว่านั้น ชาติแรกพื้นที่มิติที่ตอนแรกอยู่แค่ในกำไลข้อมือ แต่ชาตินี้กลายเป็นกลายเป็นส่วนหนึ่งของ He Zizhong ไปเลย ใครแย่งชิงไม่ได้อีก และพอมิติเริ่มพัฒนาความสามารถขึ้นมา ก็ทำให้น้อง Fang Hao สามารถเข้าออกและหยิบของจากในมิติตามใจได้เหมือน He Zizhong อีก ช่างอำนวยความสะดวกกันไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ 

ความเก็บหมดไม่แบ่งให้คนอื่นที่ขำมากก็คือตอนมาอยู่ที่ฐานเมือง A ใหม่ๆ ยังไม่มีใครรู้จักนิวเคลียสจากซอมบี้ สองคนนี้ก็รีบรับงานไปเอาขี้เถ้าซอมบี้ที่ถูกฆ่าและเผาไปทิ้ง เพราะว่าได้ผลตอบแทนดี และที่สำคัญหาทางไปรวบเก็บนิวเคลียสของซอมบี้มาเป็นของตัวเอง มีเท่าไหร่ก็กวาดมาหมดจนสงสารตอนที่กว่ากองทัพจะรู้เรื่องเห็นค่านิวเคลียสก็กลายเป็นปริศนาไปแล้วว่าทำไมเหล่าซอมบี้ที่ถูกกวาดล้างไม่มีนิวเคลียสตกไว้แม้แต่ชิ้นเดียว

จริงๆ ในชาติที่แล้ว ตัว He Zizhong ก่อนตายพบว่าตัวเองมีพลังลม แต่เพราะการมีไข้อยู่ตลอดเวลาทำให้ตัวเองอ่อนแอ และไม่ใครอยากรับเป็นพวก ขณะที่ตัว Fang Hao เองมีพลังการรักษา ซึ่งแม้จะเป็นต้องการตัวของจากทุกกลุ่ม แต่ตัวเองก็เลือกจะติดตามและอยู่เคียงข้าง He Zizhong เท่านั้น พอมาในชาตินี้ การดื่มน้ำจากบ่อในมิติพิเศษก็ช่วยให้อาการไข้ของ He Zizhong เบาบางลง และทำให้สามารถเพิ่มความสามารถได้อีก เป็นทั้งมีพลังลมและพลังโลหะ ส่วน Fang Hao ก็ได้ทั้งพลังรักษาและพลังความเร็วมา ... ซึ่งการอัพเกรดของทั้งคู่ก็แตกต่างจากคนอื่น เพราะเริ่มแรก สองคนเอานิวเคลียสที่ได้จากซอมบี้โยนไปเก็บในมิติ แต่กลายเป็นว่าทำให้ห้วงมิตินั้นอัพเกรดได้ และก็ทำให้สองคนอัพเกรดพลังตามได้ในภายหลัง 

ซึ่งด้วยวิธีลัดเช่นนี้ ก็เป็นการอัพพลังที่เร็วล่วงหน้าคนอื่นไปหนึ่งช่วงตัวเสมอ ทำให้พออยู่ไปเรื่อยๆ ทุกคนก็รู้ว่าสองเทพนี้พลังสูงสุด เปลี่ยนจาก He Zizhong ที่พลังการต่อสู้ติดลบ กลายเป็นคนที่พลังต่อสู้/ทำลายสูงที่สุดในกลุ่มไป และแม้กระทั่งกองทัพเองก็ต้องปล่อยสองคนนี้ทำอะไรอย่างที่อยากทำในภายหลัง ยกเว้นเรื่องสำคัญบาดตายที่จะเรียกสองคนนี้มา เพราะรู้ว่าสองคนเก่งจริง แต่ไม่มีความทะเยอะทะยานอะไรใดๆ เลย (ยกเว้นการอยู่ด้วยกัน และอยู่ดีกินดี)

แต่บางการอัพเกรดห้วงมิติก็เป็นปัญหาสำหรับสองคน เพราะทุกครั้งที่ห้วงมิติเพิ่มความสามารถก็จะเข้าในในมิติไม่ได้ อย่างครั้งแรกกว่าจะรู้ตัวก็ถูกตัดขาดจากทรัพยากรในมิติไปแล้ว และครั้งหลังพอเริ่มมีประสบการณ์ก็ต้องเตรียมตัววางแผนให้ดี กลายเป็นเรื่องใหญ่ต้องจริงจังทุกครั้งไป กับอีกครั้งกับพอคนในทีม (ที่สองคนนี้ได้ร่วมกลุ่มด้วยอย่างหลวมๆ) มาถามเรื่องวิธีอัพเกรดพลัง สองคนก็ตอบไม่ได้ อึกอักไปสักพักจนตัว Fang Hao เนียนๆ บอกคำตอบตามหลักนิยายซอมบี้ที่ได้อ่านออกไป แล้วก็บังเอิญสุ่มถูกเสียด้วย ทำให้ภาพลักษณ์สองคนนี้ยิ่งดูยิ่งใหญ่โค่นล้มไม่ได้เข้าไปอีก น่ารักที่คนที่จะอัพเกรดพลังอยู่ท่ามกลางสมรภูมิใหญ่ที่หลายทีมมาเข้าร่วม และพอสามคนนี้คุยกัน ทุกคนก็เงียบกริบ หน้านิ่งๆ แต่ว่ากางหูฟังจริงจังกันหมด 

ส่วนตัว เรื่องนี้น่ารักที่เป็นการกลับมาเกิดใหม่ แต่ว่าไม่มีการเจ้าคิดเจ้าแค้นใด ๆ มีก็มีอยู่ แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือชีวิตมีค่าเมื่อได้อยู่กับคนที่รัก ไม่จำเป็นต้องเอาไปใส่ใจกับคนที่ไม่ควรใส่ใจ สองคนรักกันหมกมุ่นมาก โดยเฉพาะน้อง Fang Hao ที่กว่าจะผันตัวจากสภาพแฟนบอยเป็นคนรักได้จริงๆ ก็นานโข น่ารักที่พอรู้ว่าตัวพี่ชอบกินอาหารรสเค็มเหมือนกันก็เกือบจะจุดพลุฉลอง บอกว่าเป็นคู่สร้างคู่สมที่เหมาะกันได้แล้ว พอพี่ He Zizhong อัพเกรดไปเป็นขั้นที่ 3 ก่อนชาวบ้าน สีตาเริ่มเปลี่ยนแกมเป็นฟ้าๆ ทองๆ ตามพลัง เพื่อไม่ให้คนสงสัยก็เลยใส่แว่นตาดำพราง คุณน้องก็ใส่เป็นเพื่อนเพื่อไม่ให้พี่เด่นแปลกแยกคนเดียว บอกคนในกลุ่มว่าตัวเองไม่ได้อัพเกรดนะ แค่ใส่เป็นเพื่อนคนรักตัวเอง หน้านิ่งก็จริง แต่ข้างในใจคิดว่า ใส่แว่นดำไปดีแล้ว จะได้ไม่มีคนมอง หรืออีกตอน มีคนเอาปืนมาจ่อพี่ ถึงแม้จะสงสารเห็นใจคนที่ถูกล้อม แต่ความคิดแรกก็ยังเป็นความรังเกียจคนพวกนั้นอยู๋ดี อารมณ์ท่วมว่า "กล้าดียังไงเอาปืนมาจ่อสามีฉันนน" (ตามนี้จริงๆ) ดำรงสถานะแฟนบอยอุทิศตัวทุ่มทุนเทถวายเสมอต้นเสมอปลายมาก

ซึ่งช่วงแรกๆ คุณพี่ He Zizhong ก็จะเทียบน้อง Fang Hao กับคนรักเก่าในชาติที่แล้วเป็นระยะๆ ขณะที่คนรักเก่ามัวแต่หลบภัยและแสวงหาความสบายอยู่ในมิติ น้องเราก็ยืนกรานที่จะออกไปข้างนอกไม่ยอมให้พี่ไปคนเดียว แถมเวลาเจอซอมบี้ น้องก็บุกไปฆ่าอยู่หน้าพี่ทั้งๆ ที่กลัวขาสั่น หรือว่าพออยู่ในมิติ แทนที่จะอยู่นิ่งๆ นั่งๆ นอนๆ ก็ไม่เคยอยู่สุข ทำโน้นทำนี่มือเป็นระวิงตลอดเวลา โดยเฉพาะที่ปล่อยให้เข้าครัวไป สภาพบ๊ะจ่าง 30 ลูก ขนมจีบสามสหาย 200 ลูก ซาละเปาไส้หมู 100 ไส้ผัก 50 เกิดขึ้นตลอดเวลา ทำอาหารตุนขุนพี่เหมือนจะเลี้ยงคนทั้งโรงอาหาร แบบนี้จะไม่รักได้อย่างไร รักมาก หวงมาก อย่าให้มีเวลาอยู่กันสองคนในมิติเชียว คือจับน้องกินตลอดเวลา 

แต่เรื่องนี้แทนที่จะสวีทนัวเนียหวานอยู่ในครัวช่วยกัน จะเป็นแนวแบ่งงานกันทำเสมอ คืออยู่ด้วยกันในมิติจริง แต่ว่าน้องอยู่ในครัว ส่วนอีพี่ก็ไปใช้แรงงานอยู่ในไร่ในสวน ทั้งเพาะปลูก เล็มกิ่ง เก็บเกี่ยว ฯลฯ สารพัด 

อย่างไรก็ดี ส่วนตัว รู้สึกแปลกๆ ที่ตัวร้ายมีจุดจบแบบง่ายดายและรวดเร็วไป ทั้งตัวคนรักเก่าที่ทรยศ ญาติผู้น้องที่ขายตัวเอง หรือแม้แต่หัวหน้าทีมพระเอกดังที่คนรักเก่าตัวเองเอากำไลข้อมือที่มีห้วงมิติของ He Zizhong ไปให้ อาจเป็นเพราะมองว่าตัว He Zizhong เองไม่ให้ความสำคัญกับคนเหล่านี้แต่อย่างไร 

กับเพราะว่าพลังมิติของพี่เขาเป็นเรื่องใหญ่เลยทำให้สองคนไม่บอกใคร แต่ส่วนตัวก็รู้สึกว่าอยากให้ทีมที่ทั้ง He Zizhong กับ Fang Hao ไปอยู่ด้วยรู้เรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน หลายครั้งที่ภายนอกแร้นแค้นไร้อาหาร (เนื้อสัตว์) แต่สองคนอาหารไม่เคยพร่อง อย่างไรก็ตาม เพราะว่าต้องเล่นตามน้ำก็เลยทำให้คู่รักต้องกินอาหารแร้นแค้นไปด้วย หรือไม่ก็เอาอาหารดีๆ ในมิติที่ตัวเองมี มาทำหน้าตาให้เหมือนอาหารห่วยข้างนอก (ถึงขั้นที่ Fang Hao ต้องเค้นหัวคิดทำของดีให้ดูไม่ดี ยากขนาดนั้น) ทั้งที่ความจริงก็คือสองคนไว้ใจทีมนี้ถึงขนาดกล้าบอกความลับเรื่องพลังรักษาของ Fang Hao ด้วยซ้ำ และเพราะพลังรักษาของเจ้าตัว ก็ทำให้ทั้งทีมไม่เคยมีประวัติการตายใดๆ เลย

กับเตรียมใจไว้แล้วว่าตอนจบห้วนมาก แต่พอเจอกับตัวยังนิ่งไปเลย ว่าทำไมจบแบบนี้ เพราะสองสามบทสุดท้ายพูดถึงราชาซอมบี้ที่รวบรวมซอมบี้ทั้งหมดมาทำสงครามสู้รบกับมนุษย์ และก็มีชัยชนะสามารถทำลายฐานต่างๆ ตามรายทางมาได้ตลอด ซึ่งฐานเมือง A เองก็เผอิญกับการรุกรานมาจะสองปีแล้ว ถึงขั้นที่ทุกคนคิดว่าเป็นการสู้ตายตามกันครั้งสุดท้าย และสิ้นหวังขนาดที่ตัว He Zizhong กับ Fang Hao ถึงขั้นตัดสินใจว่า ถ้าร้ายที่สุดก็ปล่อยให้คนในทีมตายในน้ำมือซอมบี้ไม่ได้ แต่จะพาทุกคนไปอยู่ในมิติด้วยกัน 

ถึงขั้นคิดภาพทุกคนมาโผล่ในมิติแล้ว แต่กลายเป็นย่อหน้าสุดท้ายของบทมีแดดออก เอาชนะซอมบี้ได้อย่างง่ายดายไป ถึงขั้นที่คนอ่านปรับใจตามไม่ทัน ยิ่งไปกว่านั้น ตอนสุดท้ายของเรื่องราชาซอมบี้ที่แข็งแกร่งยิ่งใหญ่ยังตายเพราะกลายเป็นอาหารต้นไม้กลายพันธุ์ จบแบบคนอ่านไม่เข้าใจ เทียบกัน “โอตาคุวันสิ้นโลก” ช่วงจบลงเนียนสวยงามกว่าเยอะเลย กับเอาจริงเรื่องนี้มันกระโดดเพราะช่วง timeskip เยอะกับไม่ค่อยลงรายละเอียด ทำให้หลายตอนที่น่าจะสนุกก็กลายเป็นเล่าผ่านๆ ขาดสีสันและเสน่ห์ไปมาก เสียดายว่าไม่งั้นเรื่องนี้จะสนุกกว่านี้อีกมาก ให้ B/B- นะคะ 


ส่วนตัว เรื่องนี้เซตติ้งหลายๆ อย่างเหมือนกันกับ “โอตาคุวันสิ้นโลก” มาก ทั้งการกลับมาเกิดใหม่ และการเตรียมตัวรับวันสิ้นโลก จนอยากจะเรียกว่าภาคต่อด้วยซ้ำ แต่เพราะมิติที่ He Zizhong ครอบครองก็เลยทำให้ขอบเขตความสามารถของตัวละครเหนือจริงไปกว่าเรื่องโน้นมาก โดยเฉพาะความสามารถทางการต่อสู้ของ He Zizhong (และในระดับที่รองลงมาของ Fang Hao) และการใช้ชีวิตอยู่ดีกินดีในมิติ ไม่ต้องมานั่งคิดว่าจะขยายพื้นที่ตรงไหนไปปลูกพืชผักปลูกหญ้า เพราะพื้นที่อลังการทำให้สามารถปลูกทุกอย่างเท่าที่นึกออก เป็นการทำกสิกรรมขั้นรุนแรงง ทั้งธัญพืข ข้าว ผัก ผลไม้โน่นนี่นั่นไม่พอ ยังมีสิงสาราสัตว์ทุกประเภทที่นึกออกอีก ซึ่งยิ่งมิติอัพเกรดไปเรื่อยๆ ส่วนทะเลก็ขยายกลายเป็นมีหาดชายและทะเลให้สองคนเล่นน้ำจับปลาได้อีก จนช่วงจบ กลายเป็นสองคนมุ่งมั่นที่จะหานิวเคลียสมาให้พื้นที่ตัวเองอัพเกรดเพื่อดูว่าจะเกิดอะไรใหม่ต่อไป ยิ่งตอนจบ สองคนถึงขั้นออกมาจากค่ายตัวเองแล้วทำอาหารหลอดไปขายตามค่ายต่างๆ เพื่อแลกเป็นนิวเคลียสด้วยตรรกะ Equipment = Food = Crystal Nuclear = Upgrade! แล้ว

กับเรื่องนี้ต่างจากเดิม เพราะตอน “โอตาคุวันสิ้นโลก” ซอมบี้เป็นปัญหาใหญ่ที่น่ากลัวที่สุด และมีเหล่าสัตว์กลายพันธุ์เป็นอาหารให้คนล่า เรื่องนี้ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดกลายเป็น “ต้นไม้กลายพันธุ์” ที่มีขนาดใหญ่และสามารถทำลายฆ่าแม้กระทั่งทหารทั้งกองทัพเพื่อเป็นแหล่งอาหารให้ตัวเองได้ ในเรื่องก็มีหลายฉากที่แม้กระทั่งตัว He Zizhong ก็ยังลังเลที่จะสู้กับต้นไม้พวกนี้ด้วยซ้ำ — ยกเว้นช่วงกลางๆ และหลังๆ ที่มีก้อนแป้ง สิ่งมีชีวิตปริศนาที่อยู่ในห้วงมิติหลังจากเกิดพัฒนาการ ที่ยึดถือ He Zizhongกับ Fang Hao เป็นพ่อและแม่ (?) ตัวตะกละที่พร้อมจะสู้กับต้นไม้กลายพันธุ์เพื่อแย่งนิวเคลียสมากิน 

อีกอย่างก็คือวิธีการรบ เพราะว่าสองคนพลังต่อสู้สูง ก็จะถูกกองทัพหมายหัวให้ไปสู้กับซอมบี้ทำภารกิจระดับ SSS ด้วย และครั้งหนึ่งที่ไปกับภารกิจยากมาก ชนิดโอกาสรอดต่ำเรี่ยดิน ก็ทำให้เกิดสร้างสายสัมพันธ์กับผู้นำทหารรุ่นใหม่ในกองทัพและเหล่าผู้มีพลังวิเศษที่ตัวเองไปร่วมภารกิจด้วย ชอบที่ครั้งหนึ่งการสู้ใหญ่ถึงขนาดเป็นสเกลยึดตึกเป็นฐานสู้กับซอมบี้ แล้วก็แบ่งกลุ่มประเภทตามความสามารถกันเป็นชั้นๆ แบบชั้นหนึ่งพวกสายมิติเก็บของทำงาน พวกพลังดินอยู่ชั้นสอง พลังน้ำอยู่ชั้นสาม พลังไฟชั้นสี่ ทุกคนเร่งช่วยแรงช่วยใจกันสุดๆ เป็นลูป ฆ่า-เก็บนิวเคลียส-อัพเลเวล ไปด้วยกัน และที่น่ารัก คือพอกลับมาถึงฐาน ขั้วอำนาจเปลี่ยน เลยจับกลุ่มตั้งทีมกันเสียเลย เก่งและอัพเกรดสูงจนทุกคนในฐานแอบเรียกลับหลังว่า “ทีมนั้น”


ปล. พล็อตเจอกันตอนเด็กมาอีกแล้ววว แต่น่ารักดี ให้อภัยก็ได้นะ ก็สมกับเป็นชื่อเรื่องเนาะ 

ปล. เอาจริง 暖荷 ชอบเขียนเรื่องแนวซอมบี้นะ แต่เรื่องอื่นนอกจากสองเรื่องนี้ไม่สนุกเลย เสียใจ


Friday, 16 April 2021

Accidental Mark / 意外标记 โดย 蝶之灵

//สปอยล์ตามประสา จงระวังงง//

คนเขียน Card Room ค่า แต่ว่างวดนี้ไม่เหลือแนวทริลเลอร์ ผจญภัย ลุ้นระทึกใดๆ จงมาฟลัฟละมุน น้วย ย้วยเท่านั้นนนนน

Pei Shaoze ท่านประธานบริษัทเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ผู้เคร่งขรึมและจริงจัง พบว่าตัวเองลืมตาตื่นมาอยู่ในโลกนิยายเสียแล้ว 

ในเรื่องพระเอกสุดชั่วผู้มีชื่อเหมือนกันกับ Pei Shaoze พบว่านักแสดงหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าในค่ายอย่าง Cheng Xia อยู่บนเตียงนอนตัวเอง เมื่อมีโอเมก้าในช่วงฮีทอยู่ด้วยกัน ตัวอัลฟ่า Pei Shaoze เสเพลในนิยายก็พร้อมจะเล่นด้วย และคืนนั้น Cheng Xia ก็ถูกกัดกลายเป็นของเล่น Pei Shaoze จนละทิ้งความฝันที่จะเป็นนักแสดง และกลายเป็นเด็กเก็บทุ่มเทรักใคร่อัลฟ่าของตนเต็มตัว แต่ว่าตัว Pei Shaoze ก็ไม่ได้รัก Cheng Xia จริง เพราะตัวเองรักเพื่อนในวัยเด็ก แต่ว่าพอ Cheng Xia ก็หนีไปก็กักขังทำร้ายสารพัด เนื้อเรื่องดำดิ่งลงเหวจนจบที่ Cheng Xia เปลี่ยนจากรักเป็นแค้นและกลับมาแก้แค้นฆ่า Pei Shaoze เสเพลในที่สุด

เอาล่ะ เมื่อเรื่องมาแบบนี้ Pei Shaoze จริงจังจะไปทนได้อย่างไร พออีระบบออกคำสั่งให้กัด Cheng Xia ไม่งั้นจะหักคะแนน พี่ Pei Shaoze จริงจังก็ไม่ฟัง หันไปทำสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกแทน นั่นคือรีบโทรไปตามเพื่อนสนิทตัวเองที่เป็นหมอมาฉีดยาระงับให้น้อง แล้วตัวเองก็รีบเข้าไปอาบน้ำเย็น ซึ่งพอวันต่อมา พอ Cheng Xia ได้สติ ตัว Pei Shaoze จริงจังก็รีบพาน้องไปส่งบ้าน แถมพอห่วงว่าอากาศหนาว ตัวเองก็เลยเอาเสื้อหนาวอย่างดีให้ Cheng Xia อีกต่างหาก ซึ่งก็ทำให้เนื้อหายิ่งเปลี่ยนแปลง เพราะพอยิ่งคิดตัว Cheng Xia ก็ยิ่งมีความรู้สึกดีต่อ Pei Shaoze จริงจังมากขึ้น ค่าความชอบขึ้นมารัวๆ ตลอดเวลา

ยิ่งตัวพี่ Pei Shaoze จริงจังเอง (ที่ต่อไปนี้จะเรียก Pei Shaoze เฉยๆ แล้ว) พอไปเจอพล็อตน้ำเน่า scum gong แบบที่ทำลายโอเมก้าดีๆ และทำลายทุกอย่างในชีวิตน้องไป ก็ทำใจไม่ได้ ทั้งความรับผิดชอบกับมโนธรรมในใจ ทั้งความยุติธรรมสูงก็เลยตัดสินใจว่าจะดำเนินเนื้อเรื่องใหม่ใช้ความรู้ความสามารถทางด้านบริหารแวดวงบันเทิงจากชาติที่แล้วของตัวมาปั้นน้องจนโด่งดังให้จงได้ 

และดังนั้น หนทาง "ท่านประธานทุ่มเทอัจฉริยะกับเด็กปั้นที่จริงจังกับงานแสดง" ก็เกิดขึ้น 

.

.

เพราะตัว Pei Shaoze มีประสบการณ์มาก รู้ว่าจะปั้น Cheng Xia  ให้ดังอย่างให้รู้ว่าเป็นเด็กปั้นก็จะไม่เนียน กลัวว่าคนจะอคติใส่ Cheng Xia ก็เลยเป็นการทุ่มทรัพยากรหมดทั้งจักรวาลให้เด็กปั้นของตัวเองแบบอ้อมโลก อุตส่าห์นั่งตะลุยอ่านหาบทที่เหมาะกับน้องให้ แต่ก็ไม่ให้เลยตรงๆ ให้มีการออดิชั่นคัดตัวอย่างเปิดเผย จริงจังอย่างที่ใช้ทีมงานและอุปกรณ์ถ่ายทำเหมือนแสดงจริง ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ทำให้ผิดหวังเสียด้วย ทั้งอ่านหนังสือมาก่อนให้เข้าใจบทบาทได้สมจริง เอาชุดนักเรียนมาใส่ตอนคัดบท หรือแม้กระทั่งฝึกพับกระดาษตามนิสัยตัวละคร ทุ่มเทกับขนาดนี้ ทั้งผู้กำกับ ผู้ช่วยผู้กำกับ หรือแม้แต่นักเขียนเจ้าของเรื่องเองก็ยิ่งเห็นค่า 

และเพื่อให้การถ่ายทำเป็นไปอย่างราบรื่น นอกเหนือจากตัวพี่จะทุ่มเงินอัดฉีดกระหน่ำเข้าไปในทีมถ่ายหนังแล้ว ก็ยังใส่ชื่อตัวเองมาเป็นโปรดิวเซอร์ของทีมอีก อาหารการกินของทั้งทีม ที่อยู่อาศัยสิ่งใดๆ ล้วนยิ่งกว่าหรูหรา ยกระดับการถ่ายละครแค่ออนไลน์มาเป็นมิติใหม่ทันที

เอาจริง ตัวพี่เขาไม่ได้คิดอะไรเล๊ยย คิดแต่ว่าจะทำอย่างไรในฐานะคนปลูกต้นไม้ ให้ “ต้นอ่อน”ของตัวเติบโตเป็นไม้ใหญ่แข็งแรงในวงการบันเทิง (ใช้คำตามพี่เลย) แต่ว่าทำกันถึงขนาดนี้ มีเหรอ ผู้รับจะไม่รู้สึกอะไร ขนาดของกินที่เอามาเป็นอาหารกลางวันตอนถ่ายงานยังคัดมาแต่ของที่น้องชอบทั้งนั้น ดังนั้น Cheng Xia ก็เริ่มคิดไปว่าตัว Pei Shaoze ชอบตัวเอง แต่ว่าไม่พูดตรงๆ เพราะห่วงอนาคตการแสดงตัวเอง และก็เริ่มคิดมากไปเรื่อยๆ อย่างพอท่านประธานส่งฉากที่คิดว่าเหมาะกับฉากสารภาพรักมาให้ดู เจ้าตัวก็เพ้อไปว่าอยากบอกอะไรหรือเปล่า พอช่วงที่ไปถ่ายละครกัน แล้วสองคนบังเอิญมาเจอกันตอนเช้า ก็เลยพา Cheng Xia ไปดูฉาก โดยที่น้องก็คิดว่า นี่คือการพามาเดทใช่ไหม... นี่คือเดทครั้งแรกของเราใช่หรือเปล่า...

แต่จะไปว่าน้องฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ เพราะยิ่งไปกว่านั้น ปัญหาก็ยังเกิดขึ้นเพราะตัวท่านประธานใหญ่เข้ามาอยู่ในโลก ABO โดยที่ไม่รู้ว่าโลกนี้เป็นอย่างไร แค่คิดหาวิธีการศึกษาเข้าใจอุตสาหกรรมบันเทิงในโลกนิยายที่ตัวเองหลุดเข้ามา จัดการบริษัทที่ในนิยายตกไปเป็นของลูกน้องเก่าพ่อ และดูแลกองถ่ายให้เป็นอย่างราบรื่น และที่สำคัญ ทุ่มเททุ่มทุนปั้นน้อง ก็หมดวันแล้ว ดังนั้น พี่ Pei ก็ไม่รู้เลยว่าหลายอย่างที่ทำลงไป เป็นสิ่งที่อัลฟ่าทำเพื่อเข้าใกล้โอเมก้าที่ตัวเองสนใจเท่านั้น —โดยเฉพาะตอนที่ทำงานอยู่อีกเมือง แล้วรู้ว่าน้องบาดเจ็บตอนถ่ายละครก็รีบขึ้นเครื่องบินกลับมากลางดึกเพื่อไปหาน้องที่โรงพยาบาล ฉากที่น้องถามว่ากลับมาทำไม แล้วพี่บอกว่ากลับมาหาไง ถ้าตีความได้จะไม่ใช่ฉากสารภาพรักได้อย่างไร

และด้วยความที่เป็น O ปฎิกิริยาต่อ A ก็เลยมากเป็นพิเศษ หน้าแดงบ้าง ใจเต้นแรงบ้าง แต่ด้วยที่พี่หลงเข้ามานิยายไม่เข้าใจโลก ABO ก็เลยคิดว่าน้องไม่สบายอย่างไร ป่วยตรงไหนตลอดเวลา ยิ่งเข้าไปใกล้พันกันอุรุงตุงนังกว่าเดิม ไม่เข้าใจด้วยว่าน้องคิดไปไกลขนาดที่ว่าอยากกัดพี่ ทั้งที่ตัวเองเป็น O ด้วยซ้ำ อีพี่ทุ่มสุดตัวเพื่อน้องตลอดเวลา ถึงวันเกิดน้อง ตอนถ่ายละครกันอยู่ ก็กลัวว่าน้องจะรู้สึกอ้างว้าง ถึงขั้นโทรหาออร์แกนไนเซอร์จัดงานวันเกิดหรูหรากว่างานแต่ง ถึงขั้นผู้จัดการน้องเองที่กำลังจะสั่งเค้กมาฉลองให้ยังตกใจ ส่วนน้องอืมม งานหรูหราก็ดาเมจรุนแรงแล้ว ที่รุนแรงต่อใจกว่าคือของขวัญที่เป็นรถของเล่นทั้งยี่ห้อทั้งรุ่นที่น้องอยากได้ ถามพี่ยังประกอบให้เองอย่างนี้ ใจน้องจะไปไหนได้ หลังจากวันงานก็เริ่มมโนคิดภาพงานแต่ง คิดชื่อลูกไปเรียบร้อยแล้ว เพ้อไปได้ถึงขนาดนั้นจริงๆ 

ทีนี้ ด้วยความที่อีพี่ Pei Shaoze เป็นพวกคุณชายเสเพลไม่เอาถ่านมาก่อน จะกลับมาบริหารบริษัทก็ถูกคนในบริษัทและในวงการเล่นแง่ จะเอาละครไปขายแพลตฟอร์มก็ถูกกดราคา แต่อีพี่ก็เชื่อมั่นในฝีมือตัวเองมาก ให้วิธีไปผูกกับแพลตฟอร์มรายเล็กที่ยอมรับวิธีหารครึ่งกำไรกับพี่ คนก็ดูถูกว่าอีพี่คงขาดทุน แต่ที่ไหนได้ ด้วยความที่ละครดีมีคุณภาพ (แน่สิคะ คุณพี่อัดเงินไปขนาดนี้ ทุกอย่างอะไรยังไงก็ต้องดีสุดเนี๊ยบสุด คงไม่ออกมาห่วยแน่) คนก็เริ่มแห่มาดู แถมพอบอกต่อปากต่อปาก คนก็ยิ่งมา ที่สำคัญ อีพี่คิดไว้แล้วว่า ละครเรื่องอื่นทุ่นเงินลงไปเยอะ ฟอร์มใหญ่ยักษ์ก็จริง แต่เพราะดราม่าขมตับไหม้ ยังไงๆ คนก็ต้องหาอะไรมาฮีล ซึ่งสิ่งนั้นก็คือหนังตัวเอง ทำเงินไม่ทำเงินก็คือลงทุนไป 10 ล้าน ได้กลับมา 20 เท่า เป็น 200 ล้านเท่านั้นเองง!

พี่ก็เริ่มมีชื่อติดตลาดในฐานะโปรดิวเซอร์มือทอง ประสบความสำเร็จทั้งชื่อทั้งเงิน ใครๆ ก็เริ่มไม่กล้าประมาท และที่พีคกว่าก็คือ ไม่ใช่เฉพาะแค่ในสายดารา นักลงทุน แต่บรรดาคนดูหนังดูละครก็เริ่มรู้จักพี่ไปด้วย กลายเป็นชื่อผลงานคุณภาพกันไป ในแง่พร้อมเอาเงินลงทุน ทั้งในแง่ผลงานละเมียด ซึ่งความจริงก็คือ ทำละครทำหนังให้น้องเล่น จะไปทำแบบขอไปทีได้ไง ลงทุนเยอะๆ เอาเงินโปะเข้าไป ยังไงในกองถ่ายก็ต้องให้เกียรติน้องง

แต่คือกว่าพี่จะรู้ตัวก็นานอยู่ คนรอบข้างคิดว่าพี่ชอบน้อง แต่พี่ก็บอกไม่ใช่ บอกว่าทุกคนเข้าใจผิด แต่นะคะ พอจะมีฉากจูบ พี่ก็รีบตะโกนสั่งคัท ทุกคนงงมากว่าเกิดอะไร ฉากก็ถ่ายทำไปด้วยดี ทำไมอีพี่หน้าทะมึนอย่างนั้น จนพี่ Pei Shaoze ต้องไถลว่าเราเป็นหนังรักวัยรุ่นแบบใสๆ ดำเนินเนื้อเรื่องและเน้นพัฒนาการตัวละครนะ อย่าไปทำแบบเรื่องอื่นในตลาดที่เน้นขายเลิฟซีนเลย ผู้กำกับ คนเขียนบท เจ้าของนิยายได้ยินก็ละอายใจ ฉากทั้งหลายหายไปหมด จนแม้กระทั่งภาพจูบตอนจบยังเปลี่ยนเป็นแค่กอด แต่ โถ ไม่ได้รู้เลยว่าใจพี่แท้จริงคิดอย่างไร 

แต่พอรู้ตัวว่าชอบน้องขึ้นมาก็มีปัญหาอีก เพราะกลัวว่าน้องจะไม่ชอบตัวเอง ไม่ได้รู้เลยว่าอีน้องเนี่ย ตีความเข้าข้างตัวเองไปไกลขนาดไหนก่อนแล้ว จนกระทั่งพาน้องไปหัดยิงปืนเพื่อเข้าฉาก แล้วเผลอปากสัมผัสกัน ไหนๆ ก็ไหนๆ เลยจูบน้องไปจริงจัง เป็นการเริ่มความสัมพันธ์กันไป ตอนเย็นพาไปกินข้าวฉลองเดทแรก แต่คือในใจน้องมันคือเดทที่สามแล้ว โถ พี่

ส่วนตัวอ่านไปได้เรื่อยๆ ละมุนน่ารักเป็นระยะๆ  ให้ B- เป็น "ท่านประธานทุ่มเทกับเด็กปั้นที่จริงจัง" เหมือนอ่าน Shao Qingge + Ye Qi หลังที่เก็บกดจาก 8 ตอนพิเศษมา มันเกือบจะสุด แต่ส่วนตัวยังรู้สึกว่าช่วงหลังอืดไปนิดนึง กับไม่สมจริง เพราะว่าพี่คะ พี่ไม่เนียน แบบไม่เนียนของไม่เนียน ถ้าเป็นที่อื่น พี่กับน้องส้มของพี่ถูกนักข่าวจับได้ไปหลายยกแล้ว โดยเฉพาะการคุยกันในห้องโรงแรมเนี่ยย! ก็นะ เน้นโมเมนต์นี่เนอะ!! 

แต่ว่าความดีงามอยู่ในตอนพิเศษตอนสุดท้ายที่ขอให้ A เพราะว่าพอกลับมาที่โลกจริง พี่เคยฟังจากระบบแล้วเชื่อว่าในโลกนี้ก็มี Cheng Xia เหมือนกัน แล้วก็ตามหาน้องแบบอลังการมาก ด้วยการเรียกประชุมทั้งบริษัทบอกว่าจะสร้างหนังชื่อ “ตามหา Cheng Xia” คอนเซ็ปท์ทุ่มทุนตามไปทุกโลกจริงๆ อยากจะกรี๊ดดด แล้วก็อยากจะกรี๊ดเหมือนกันว่าพอคิดว่าสิ้นหวัง ไม่แน่ใจว่าจะต้องไปหาน้อง Cheng Xia ที่ไหน ใช้เวลาเท่าไหร่ น้องก็มาคัดตัววันสุดท้าย คนสุดท้ายพอดี แล้วตัวน้องก็มีความฝันช่วงที่อยู่กับพี่ในโลกนิยายมาตลอดด้วยเหมือนกัน อ่านแล้วแอบน้ำตาท่วม ฮือ 


อื่นๆ ที่ชอบว่าน่ารักดี ก็คือด้วยความที่เข้ามาในนิยายก็เลยเปลี่ยน scum gong ที่วันๆ ผลาญเงินมาเป็นท่านประธานจริงจังบ้างาน แล้วก็คิดจะเปลี่ยนน้องชายที่เอาแต่เล่นด้วย เพราะว่ารู้สึกว่าน้องชายตัวเองไม่ได้แย่ แต่เพราะถูกเลี้ยงมาไม่ถูกวิธี เลยบังคับให้น้องมาทำงานกับตัว แรกๆ น้องก็ไม่พอใจ แต่พอเห็นพี่ทำงานกลับตัวได้ ก็เริ่มก็เปลี่ยนทัศนคติบ้าง ขยันทำงานจริงจัง ให้ทำอะไรก็ทำ ตอนได้เงินเดือนเดือนแรกก็ดีใจที่หาเงินก้อนแรกในชีวิตเองได้ ถึงกับคิดว่าจะกินกับพี่ชายทุกมื้อเพื่อเก็บเงิน จนกว่าคนจะรู้ว่านี่คือคุณชายรองของตระกูล Pei ก็ตกใจกันไป และที่ขำก็คือเข้าใจว่าพี่ชายตัวเองชอบ Cheng Xia จนทำทุกอย่างทั้งชงเรื่อง ทั้งพายเรือเพื่อพี่ชายกับอาซ้อ  

กับตอนนึงพอตกลงเป็นคนรักกันแล้ว พี่จะเอาน้องส้มไปสู้กับดาราคนอื่น ผจก. ก็ถามว่าจะเอาอะไรไปแข่งกับเขา ของเราเป็นเด็กใหม่แท้ๆ โดยอีพี่ก็หน้านิ่งมาก แต่คิดในใจว่าก็ฉันไง ฉันเนี่ยแหละ advantage ให้ อืม เดิมทีก็อินโอ๋หนักอยู่แล้ว พอคราวนี้รู้ใจตัวเองยิ่งทุ่มไปหนักกว่าเดิมอีก คุณพระะะ

จนกว่าจะอยู่ด้วยกันจริงๆ พี่ถึงรู้ว่าจริงๆ น้องคิดไปเยอะกว่าพี่เยอะมาก และรู้ว่าที่พี่รู้เยอะมาก แบบต้องมานั่งรำพึงกับตัวเองว่ากลัวว่าน้องอายุน้อง ไร้เดียงสา แต่ทำไมน้องไม่ใช่แบบนั้นเลย นี่คือรู้มากกว่าตัวเองอีกเหรอ   

Tuesday, 13 April 2021

Meeting the Wolf / 逢狼时刻 โดย 吕天逸

//สปอยล์กรี๊ดวี๊ดแหลกกกก //




มาค่ะ ขอเชิญมาบาปด้วยกัน นักเรียนกินครูนะคะ แต่ว่าเป็นกึ่งๆ โลกปีศาจค่ะ 

อ่านเพราะเป็นคนเขียน "ตกลงนายชอบฉันใช่ไหม" แล้วก็อยากจะบอกว่าเป็นอารมณ์เดียวกันเลยยย ชอบมากอีกเรื่องง 

Bai Ruan อาจารย์มัธยมหนุ่มกำลังมีความเครียดครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตอยู่ เพราะ Lang Jingfeng นักเรียนที่เพิ่งมาใหม่เป็นปี-ศาจ-หมา-ป่าาา!!! แถมด้วยความที่ไม่รู้ว่าตัวเองต้องเก็บงำไอร่างปีศาจหมาป่าของตัวเองก็ปล่อยกระจายออกมาพุ่งกระแทกใส่อาจารย์เต็มๆ เสียด้วยย เจอหน้านักเรียนใหม่ครั้งแรก อาจารย์ Bai Ruan ผู้มีร่างจริงเป็นปีศาจกระต่ายขาวที่ตอนเด็กๆ เคยถูกหมาป่ากัดก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเสียแล้ว แล้วอย่างนี้จะไปสอนนักเรียนได้อย่างไร? รวบรวมความกล้าครั้งแล้วครั้งเล่าก็ยังสติกระเจิงอยู่ดี 

ซึ่งน้องหมาป่าก็ถูกใจอาจารย์ตัวเองตั้งแต่ถูกครูคนอื่นลากไปดุในห้องพักครู แล้วทิ้งให้นั่งทำการบ้านที่โต๊ะ Bai Ruan แล้ว ด้วยความที่โต๊ะอยู่ในสุด หมาป่าน้อยนั่งเรียนการบ้านข้างนอก และคุณครูกระต่ายนั่งอยู่ข้างใน ทำอย่างไรก็หนีออกมาไม่ได้ ซ้ำร้ายครูคนอื่นก็ออกไปสอนกันหมด กลิ่นไอหมาป่าทำให้กลัวสุดชีวิตจนแทบจะเอาตัวเองซุกเข้าไปกับฮีตเตอร์หลบลูกหมาป่าตรงหน้า จนในที่สุดก็ร้องไห้น้ำตาหยดแปะๆ แต่ลูกหมาป่าที่อยู่ในสังคมมนุษย์ไม่รู้เรื่องเข้าใจไปว่า ครูกลัวตัวเองที่ทีข่าวลือชกต่อยมาก่อนย้ายโรงเรียน ทำให้ดูน่ารักน่าเอ็นดูตามสเปคในสายตา Lang Jingfeng ขึ้นมาเต็มที่

แต่ถึงแม้จะกลัว จิตวิญญาณพ่อพิมพ์ของคุณครูกระต่ายก็ยังมีอยู่ โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่าลูกศิษย์หมาป่าของตัวเองมีไอชั่วร้ายที่เกิดจากการทำไม่ดีเยอะๆ ก็อยากจะช่วยแก้ไข เพราะกลัว Lang Jingfeng จะถูกฟ้าผ่าลงโทษ ก็เลยตะล่อมเนียนๆ บอกคุณลูกศิษย์ว่าต้องไปทำกิจกรรมอาสาสมัครที่นักเรียนคนอื่นทำไปแล้วนะ ตัวเองในฐานะครูประจำชั้นจะคอยดูแลเอง มีตั้งแต่ไปให้อาหารนกบนภูเขาบ้าง เล่นกับเด็กๆ ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าบ้าง และเพราะตัว Bai Ruan กลัว-กลัว-และกลัวหมาป่ามาก ก็ไม่กล้ามองหน้า Lang Jingfeng เยอะ ทั้งหลบตาไม่กล้าสู้หน้า ทั้งหน้าแดง น้องหมาป่าก็เข้าใจผิดคิดไปว่าคุณอาจารย์ชอบตัวเอง แถมมองว่ากิจกรรมทั้งหลายที่ลากไปทำก็เพื่อหาข้ออ้างอยู่ด้วยกันต่างหาก  

กับอีกอย่างเพราะลูกหมาป่า ความรู้ทางวิชาการต่ำเรี่ยดิน ที่ไม่ยอมส่งการบ้านเป็นเพราะทำไม่ได้ เรียนไม่รู้เรื่อง คุณครูก็เลยต้องหาทางรับผิดชอบ ทั้งเรื่องนี้เรื่องนั้นก็เลยทำให้ต้องดูแลลูกหมาป่ามากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งหมาป่า Lang Jingfeng ก็ใส่ฟิลเตอร์ไปสุดกู่แล้วว่าครูชอบตัวเองแต่ว่าไม่กล้าส่งสัญญาณเยอะ เพราะติดว่าตัวเองอยู่ในฐานะครู ..... จนในที่สุดก็อดใจไม่ไหว แอบจูบ Bai Ruan ไปนั่นแหละ ที่คุณครูที่น่าสงสาร (หรือไม่ก็นักเรียนที่น่าสงสารดี?) ไม่ได้คิดเรื่องเชิงชู้สาวใดๆ เพราะมัวแต่กรีดร้องในหัวว่าถูกหมาป่ากัดปากกกก!!! ความกลัวตอนเด็กๆ มาเต็มที่จนกลายร่างเป็นกระต่ายขนาดเท่าฝ่ามือไป ทำให้ความแตกถูก Lang Jingfeng รู้ว่าตัวครูเป็นปีศาจกระต่าย .... และก็ตามมาด้วยการที่น้องหมาน้อยตั้งใจที่จะเรียนวิธีคุมพลังในร่างตัวเองให้ได้ เพื่อไม่ให้คุณครูที่รักกลัวอีกต่อไป กับตั้งใจเรียนเพื่อที่จะกลับมาเป็นอาจารย์พละอยู่ด้วยกันที่โรงเรียนได้ (?)

.......

ความบังคับลูกหมาป่าเรียนของคุณครูกระต่ายที่ทุ่มเทสุดตัวไม่มีขอบเขตจริงๆ ไม่ว่าจะทำอะไร Bai Ruan ก็จะให้ Lang Jingfeng  อ่านหนังสือทำแบบฝึกหัด จนมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เจ้าตัวอดไม่ได้ เอ่ยปากถามว่า ถ้าอยู่วันสิ้นโลกก็จะให้ใส่ชุดไบโอสูทท่ามกลางซากอารยธรรมแล้วให้นั่งเรียนหนังสือพร้อมกับรังสีนิวเคลียร์ใช่ไหม ซึ่งคุณครูก็ไม่ยอมน้อยหน้า ถามกลับว่าประเด็นสำคัญคือตอนนั้นยังมีมหาวิทยาลัยอยู่ไหม ระบบสอบเข้ามหาวิทยาลัยยังมีหรือเปล่า

กับความขำอีกตอนนึงที่มีปีศาจหลุดออกมา แล้วเพราะเป็นปีศาจที่ใช้ความกลัวในใจออกมาทำให้คนกลัวเพื่อดูดกลืนความกลัวและพลังงานด้านลบ ก็เลยทำให้เกิดผีออกมา พอสู้กันก็มีฉากเลือดท่วม ถึงกระต่ายไม่กลัวผี แต่ว่าสัตว์กินพืชกลัวเลือดสาด ตัว Bai Ruan ก็เลยท่องบอกตัวเองเป็นระยะๆ ว่าผีไม่กินกระต่าย... ผีไม่กินกระต่าย... ผีไม่กินกระต่าย... เพื่อให้ตัวเองสบายใจ

เอาจริงเรื่องนี้เป็นแบบเดียวกับ "ตกลงนายชอบฉันใช่ไหม" ทุกอย่าง ทั้งความเข้าใจผิดของพระเอกที่คิดว่าอีกฝ่ายชอบตัวเองก่อน แต่ว่าเพราะความเข้าใจผิดและการรุกหนักแบบใส่ใจก็ทำให้ได้รักความรู้สึกดีตอบกลับจากตัวเอกด้วยเหมือนกัน กับทั้งลักษณะนิสัยหลายอย่างของทั้งตัวเอกและพระเอก 

ชอบการรุกหนักแต่ว่าใส่ใจอย่างหนึ่งก็คือ พอรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นกระต่ายและใกล้จะถึงวันเกิดก็ทำเค้กผัก โดยที่เอาผักหลากชนิดในสวนที่บ้านมาเรียงมาเป็นชั้นๆ แบ่งประเภทอย่างตั้งใจ และเอาดอกแดนดี้ไลอ้อน 27 ดอกเท่าอายุ Bai Ruan มาให้เป่า ซึ่งนี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้คุณครูกระต่ายตกหลุมรักอีกฝ่ายกลับไปเหมือนกัน 

และหลายตอนก็น่ารักกว่าที่คิดเยอะมาก ในตอนพิเศษมีตอนที่ Lang Jingfeng แปลงร่างเป็นหมาป่าแล้วให้ Bai Ruan ในร่างกระต่ายนั่งบนหัวตัวเองก่อนจะพาวิ่งเที่ยวเล่นบนเขา แล้วพอลูกหมาป่าหอนตอนวิ่ง กระต่ายก็ลืมตัวส่งเสียงตามไป ก่อนที่จะรู้ตัวว่าวันนี้ไม่กลัวหมาป่าเหมือนที่เคยกลัวตอนเด็กๆ แล้ว 

กับพออยู่ด้วยกัน Bai Ruan ไม่ชอบอากาศหนาว ไม่อยากไปไหน Lang Jingfeng ก็เลยให้แปลงร่างกลับเป็นกระต่ายแล้วอุ้มซุกไว้ในเสื้อพาไปกินปิ้งย่างด้วยกัน เพราะจากที่เมื่อก่อนไม่เคยกินอาหารมนุษย์กินแต่หญ้าอัลฟาฟ่า ผักกาด แล้วมาคบกัน Bai Ruan ก็ค้นพบว่าผักปิ้งย่างก็อร่อยเหมือนกัน ชานมรสชีสก็อร่อยดี พอนั่งลง ตัวหมาป่าก็ขีดสั่งให้แบบรู้ใจแล้วถามว่ากินอะไรอีกไหม ประคองเปิดชาให้กิน ทั้งโอ๋ทั้งตามใจ จนคนผ่านไปมาคิดว่าเลี้ยงกระต่ายต้องโอ๋ขนาดนี้เลยเหรอ

อีกตอนตอนที่ถูกกระต่ายพาไปเล่นกับเด็กๆ ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ทำอย่างไรเด็กก็ไม่สนใจตัวเอง Lang Jingfeng ก็เลยบอกว่าพี่ชายจะเล่นกลนะ แล้วแปลงร่างเป็นหมาป่ากลับเฉพาะส่วนหูให้เด็กๆ จับ กลายเป็นที่ติดอกติดใจและเป็นที่รักของทุกคนทันที

กับการแก้ปัญหาความรักระหว่างครูกับนักเรียนก็ราบรื่นกว่าที่คิด เรื่องนี้อ่านสบายและฟลัฟมาก เพราะพอเรียนจบ ลูกหมาป่าที่กลัวว่ากระต่ายที่รักกลัวจะเสียชื่อเสียงก็สร้างเรื่องบอกแม่ว่าหลงรักครู ด้วยความที่ผ่านมา ครู Bai ช่วยให้ลูกตัวเองกลับไป ความรู้สึกของคุณแม่ก็ยิ่งดี แถมพอรู้ว่าคุณครูก็เป็นปีศาจเหมือนกัน ไม่มีปัญหาเรื่องอายุขัยที่แตกต่างกัน ก็พร้อมจะจับครูห่อให้ลูกชายตัวเองอีกต่างหาก ถึงขั้นช่วยคิดช่วยวางแผนสร้างโอกาสให้ลูกชายตัวเอง ทำมันทุกรูปแบบ แถมยังพยายามแนะนำครูกระต่ายให้รู้จักกับแวดวงปีศาจสัตว์อื่นๆ ในสังคมมนุษย์ด้วย ... กับเพราะ Bai Ruan เป็นปีศาจสัตว์กินพืชที่มีอยู่น้อยมากท่ามกลางเหล่าสัตว์กินเนื้ออย่างหมาป่า เสือ การเป็นปีศาจกระต่ายก็ทำให้เหล่าญาติๆ ของ Lang Jingfeng ระวังและดูแลอาจารย์กระต่ายเป็นพิเศษเหมือนกัน ตอนที่จัดงานเลี้ยงขอบคุณอาจารย์ (หรืออันที่จริงการจัดงานเปิดช่องว่างและโอกาสให้ลูกรักของแม่หมาป่า!) ก็จบลงที่ลูกหมาป่ากับกระต่ายขาวมาเดินเล่นข้างล่าง แล้วมีสายตาญาติๆ ทั้งแผงเกาะกระจกดูอยู่ 

และด้วยความที่ปีศาจสัตว์กินพืช โดยเฉพาะปีศาจกระต่ายมีอยู่น้อย Bai Ruan ก็ไปซื้อกระต่ายเกือบยี่สิบตัวมาเลี้ยงเพื่อจะลุ้นว่าตัวไหนจะพัฒนาความหยั่งรู้จนกลายเป็นปีศาจกระต่ายได้ไหม และก็เลยมีฉากพรมขนกระต่ายเต็มพื้นเวลาที่ Bai Ruan แปลงร่างกลับไปเป็นกระต่ายแล้วให้ลูกกระต่ายตัวอื่นๆ มากอดตัวเอง หรือเวลาโกรธ Lang Jingfeng ก็แอบแปลงกลับไปเป็นกระต่ายแล้วหนีไปอยู่กับลูกกระต่ายในกรง ซึ่งหลังๆ ลูกกระต่ายก็ฉลาดถึงขั้นเปิดทีวีดูเองตอนที่ทั้งสองคนไม่อยู่ได้หมือนกัน

ชอบเรื่องการตั้งชื่อที่ให้เป็น Bai Ruan ที่มาจากทั้งขาว บวกกับนุ่มนิ่ม ให้ภาพลักษณ์กระต่ายสมบูรณ์แบบ อย่างที่บอกในเรื่องว่าลักษณะพิเศษของปีศาจกระต่ายยังไงก็คือตัวขาว ตากแดดอย่างไรก็ไม่ดำ กับความนุ่มนิ่มที่ทำอย่างไรก็ไม่มีกล้ามขึ้น ส่วนชื่อลูกหมาป่าก็สกุลหลางเป็นหมาป่าเหมือนกัน น่ารักดี ดูเตะตาชวนให้ยิ้มตั้งแต่เริ่มอ่าน

ให้ B+ “Such a fluff story to melt your heart—how a big bad wolf cub runs around chasting after his little bunny”

แต่เสียดาย/หงุดหงิดมากที่ตอนพิเศษดูเหมือนจะเยอะ แต่จริงๆน้อยมากมีสวีทอยู่แค่ 3 ตอน เพราะไปเล่าเรื่องอาจารย์เยอะ ซึ่งไม่ชอบบ (เหมือน "ตกลงนายชอบฉันใช่ไหม" อีกอย่างเลย) จะไปเล่าเรื่องคู่รองทำไมมมมม ฉันไม่สนใจจ เข้าใจไหมมมมม


120921

ปล. อยากได้แบบเล่ม โอย ปกดีมากก TT 






Monday, 12 April 2021

Fake Slackers / แอบเนียนเป็นนักเรียนห่วยๆ / 伪装学渣

//ตามประสาเขียนจริงจังก่อน แล้วจะไปกรีดทีหลังนะคะ //

เอาจริงไม่คิดว่าจะอ่านเพราะส่วนตัวไม่ชอบแนวปัจจุบัน แล้วก็ไม่ชอบแนววัยเรียน แต่เผอิญช่วงนี้เจอ Pay Attention to Me กับ I Like Your Pheromones เข้าไปหลังจาก Meeting the Wolf ก็เลยอ่านไป กับอีกอย่างที่อ่านก็เพราะคิดว่าจะสั่งหนังสือจากโรสมาส่งบ้านก็เลยต้องสั่งเยอะให้ได้ส่งฟรีด้วย (เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่ายเนาะ)

ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องอ่าน mtl แต่ว่าเก็บ lc ทีหลัง ทำไมไม่อ่านซื้อแล้วอ่าน lc ไปเลยคะ?


นั่นแหละ สองคน Xie Yu กับ He Zhao ต่างเป็นเด็กเรียนเก่งมากทั้งคู่ แต่ว่ากลับทำตัวไม่สนใจเรียน แย่งกันเป็นที่สุดท้ายของระดับชั้นปีในโรงเรียนตลอดมา และชื่อเสียงในโรงเรียนก็ติดลบ เป็นทั้งหัวโจก เด็กเกเร ก้าวร้าวและทุกอย่างที่จะเป็นไปได้ (ตามจินตนาการเด็กนักเรียนคนอื่นในโรงเรียน)

เรื่องเกิดขึ้นเมื่อหัวโจกสองคนต้องมาเรียนห้องเดียวกัน แล้วก็นั่งร่วมโต๊ะเดียวกัน ซึ่งนอกจากจะทำให้สองคนได้เริ่มเปิดใจเข้าหารู้ใจอีกฝ่ายมากขึ้นก็ทำให้เจอคนที่พร้อมจะเป็นหลักในตัวเองด้วย

เอาจริงที่ชอบเรื่องนี้มาก ก็เพราะว่ามันดูสะท้อนประเด็นปัญหาสังคมมากกว่าจะเป็นแค่เรื่องรัก เพราะสองคนมีเหตุผลที่จะต้องแกล้งทำตัวเรียนไม่เก่งไม่สนใจเรียน ซึ่งถ้าพูดจากมุมมองผู้ใหญ่ก็อาจจะมองว่ามันไม่ใช่เรื่องอะไรเลย ไม่ใช่สิ่งที่คุ้มค่าพอจะเอาชีวิตตัวเองไปเสียเปล่าอย่างนั้น แต่ถ้ามองจากมุมมองของเด็กที่ดูว่าปัญหาที่เกิดขึ้นตรงหน้าเป็นเรื่องใหญ่แล้ว และดังนั้น การค่อยๆ คลายตัวออกมาจากปัญหา และก้าวต่อไปจากการตัดสินใจของตัวเองและแรงสนันสนุนจากอีกคนข้างตัวถึงเป็นเรื่องใหญ่และเป็นก้าวที่สำคัญมาก โดยเฉพาะเมื่อการเรียนในเรื่องเกี่ยวพันกับอนาคตต่อไปทั้งชีวิต

อีกอย่างที่ชอบก็คือสองคนรู้ใจตัวเองเร็ว และเลือกที่จะอยู่ด้วยกัน (ในความหมายว่าเป็นแฟนกัน) เมื่อเข้าใจความรู้สึกของตัวเอง และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็เป็นไปในเชิงบวกที่สองคนช่วยเหลือกัน เข้าใจกัน พึ่งพากันได้ I feel their relationship is pretty healthy, when they can be each other’s pillar of strength ทำไมเผลอไปพิมพ์อังกฤษ? และก็เป็นไปอย่างเท่าเทียมด้วย (ช่วงหลังอ่านหลายเรื่องที่ตัวเอกถูกพระเอกชัดจูงทั้งทางตรงทางอ้อมเยอะ เลยดีใจที่เจอตัวเอกที่มีทัศนคติตัวเองชัด) ทั้งเรื่องแสดงความคิด และการเข้าหากัน ... โดยเฉพาะ Xie Yu ที่หน้านิ่งๆ ดูเย็นชา แต่ว่าเป็นคนเริ่มเกมก่อนตลอดเวลา(? 5555)

เหมือน Xie Yu ถูกดึงดูดไปหา He Zhao เพราะอีกฝ่ายตรงข้ามกับตัวเอง ด้วยความที่วัยเด็กไม่มั่นคงทำให้ตัว Xie Yu เหมือนเม่นกางเกราะน้ำแข็งแผ่รังสีอำมหิตเย็นชาไปสามเมตรว่าอย่าเข้าใกล้ฉัน แต่อีพี่ก็ไม่สนใจกระโจนเข้าใส่ถึงตัวจนเกราะไม่เหลือ กลายเป็นรู้ตัวอีกทีก็มีอิทธิพลในใจตัวเองไปแล้วว กับฝั่ง He Zhao ก็เหมือนกัน คนนี้เล่นสนุก เอาตลกบ้าบอมาเป็นหลักแล้วซ่อนความสลดน้ำตาไหลเอาไว้ข้างใน แต่ว่า Xie Yu ก็ดูออก แล้วก็ช่วยเยียวยาอีกฝ่ายเหมือนกัน กลายเป็นอยู่ด้วยกัน เข้าใจกันไป และอีกฝ่ายก็เริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองและรับจุดดีอีกฝ่ายมา โดยเฉพาะ Xie Yu เริ่มที่จะอดทนกับคนรอบข้างมากขึ้น และมีปฎิสัมพันธ์กับคนอื่น แทนที่จะเป็นหมาป่าเดียวดายโดดเดี่ยวเย็นชาเหมือนเมื่อก่อน ขณะที่ He Zhao ก็เริ่มที่จะเห็นค่าตัวเอง และกล้าที่จะปล่อยวางความเห็นที่คนอื่นมีต่อตัวเองด้วยเหมือนกัน

กับอีกอย่าง เพราะสองคนเชื่อมั่นในตัวเองสูง และเชื่อการตัดสินใจตัวเอง เมื่อจะคบกันเป็นแฟน ก็พร้อมจะเปิดโหมดเราสองคนขึ้นมา ไม่ปิดบังความสัมพันธ์ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นธรรมชาติ (ซึ่งช่วงแรกๆ ก็เป็นเพราะคนอื่นในห้องไม่กล้ายุ่งปล่อยให้สองคนหลังห้องตบตีบ้าง นัวเนียบ้างกันไป และหลังจากนั้นก็กลายเป็นชิน และพร้อมจะแก้ต่างให้ทุกคนที่มองว่าความสัมพันธ์สองคนนี้เริ่มออกไปไกล) ชอบที่ He Zhao วิ่งไปซื้อสร้อยข้อมือให้ Xie Yuใส่ และสองคนก็ใส่แบบไม่สนสายตาชาวโลก

ความขำมากก็คือต่างคนต่างเรียนดี แต่ก็ต้องเก็บเป็นความลับเนียนๆ ที่ไม่กล้าบอกอีกฝ่าย ตกดึกแยกเข้าห้องตัวเองเมื่อไหร่ก็ซุ่มทำโจทย์ อ่านหนังสือ ทำแบบฝึกหัดกันของใครของมัน แต่ขณะเดียวกันก็แอบเครียดกับการเรียนดีของตัวเอง แต่เรียนห่วยเกินทนของอีกฝ่าย ถึงขั้นแอบหาวิธีเรียนบ้าง หนังสือเรียนบ้างไปให้อีกฝ่ายไม่ให้รู้ตัวเหมือนกัน และก็คืออ่านไปลุ้นไปว่าเมื่อไหร่ จะเปิดตัวกันเสียที .... ซึ่งโอกาสตอนที่มาถึงก็ “โป๊ะแตก” ไม่รู้จะพูดอย่างไร เมื่อก่อนรู้จักกัน ทั้งคู่ไปโหลดแอปแข่งทำข้อสอบ และก็กลายเป็นแข่งกันชนะอยู่ในแอปไม่รู้ตัว ซึ่งอีแอปนี่ก็ปิดปรับปรุงหายไปก่อนทั้งคู่เปิดเทอม แล้วพอมาเป็นแฟนกันอยู่ด้วยกันไปแล้ว อีแอปก็กลับมาใหม่ แล้วมาแบบอลังการเปิดงานนัดคนบ้าเรียนในแอปไปเจอกันเสียด้วย ซึ่ง Xie Yu ก็ดันเผลอไปท้า He Zhao เพราะความหงุดหงิดเพิ่งตื่นนอนเข้า แล้วความเป็นจริงก็คือ ทั้งสองคนไปเจอกัน และความแตกตอนวันนัด โถ ความพีคยังมีไปถึงว่า He Zhao ลายมืออัปลักษณ์เกินบรรยายเป็นเพราะแกล้งเขียนมือขวาแทนมือซ้ายที่ถนัดด้วยซ้ำ จริงจังกับการเรียนห่วยกันถึงขนาดนี้

แต่ว่าแกล้งโง่มาอย่างไรก็ต้องแกล้งต่อไปอย่างนั้น สองคนก็เลยตกลงกันว่าจะแกล้งฉลาดขึ้นแบบกระเตื้องขึ้นมาทีละนิดๆ ... ซึ่งทำไปได้ครั้งเดียวก็ไปไม่รอด เพราะห้องสามดันไปมีเรื่องกับอีเด็กห้องสี่ข้างๆ จากที่สู้กับในเกมบาส เกมออนไลน์ ไปจนถึงท้าผลสอบด้วยกัน และความโกรธทะลุฟ้าก็ทำให้ทั้ง Xie Yu กับ He Zhao ไม่ออมมืออีกต่อไป ทำข้อสอบเต็มหรือเกือบเต็มในแต่ละวิชาให้เหล่าครูตัวเองจะหัวใจวาย ถึงขั้นต้องสอบใหม่ต่อหน้าครูให้รู้ว่าเป็นเรื่องจริงไม่ได้ลอกมา กลายเป็นที่หนึ่งและที่สองของชั้นปี (และของโรงเรียนข้างๆ ที่ข้อสอบชุดเดียวกัน) และกลายเป็นเรื่องเมาท์ทอล์กออฟเดอะทาวน์ของทั้งโรงเรียน

นอกเหนือจะเปลี่ยนสายตาครูและนักเรียน (และตบหน้าตัวหาเรื่องห้อง 4) สิ่งที่ขำมากที่ตามมาคือ He Zhao รีบไปขอครูให้สองคนอยู่หอห้องเดียวกันได้ เพราะตอนแรกต่างคนต่างต้องปิดเรื่องการโจทย์และแบบฝึกหัดตัวเอง แล้วพอโป๊ะรู้เรื่องอีกคน ครูก็ไม่ให้ย้ายเพราะกลัวว่าสองคนนี่จะเล่มเกมกันโต้ยาว แต่พอคะแนนออกมาดีก็เลยไม่มีเรื่องให้เป็นข้อปฎิเสธแล้ว

เอาจริง ครูเรื่องนี้น่ารักด้วย จากได้ครูประจำชั้นคนแรกมากที่ไม่สนใจเด็ก สนใจแค่เกรดและหน้าตา กลายเป็นครูคนใหม่ที่พยายามทุ่มเท ใส่ใจ และเข้าใจนักเรียนมาก และเพื่อนที่ตอนแรกก็กลัวสองหัวโจกโหดของโรงเรียนตามข่าวลือ แต่ค่อยๆ ใช้ใจยอมรับทั้งสองคน กลายมาเป็นลิ่วล้อจิ๋วๆ แบบไม่รู้ตัว ทั้งสร้างชีวิตวัยเรียนที่มีเพื่อนให้ทั้งคู่ และสร้างปัญหาให้ช่วยแก้ (โดยเฉพาะพวกที่ชอบเอาเรื่องผีบ้าง หนังผีบ้างมาเล่ามาเปิดให้บิ๊กบอสฟัง โดยที่ไม่ได้รู้เล๊ยว่า He Zhao กลัวผีอย่างหนัก) 

ซึ่งส่วนที่สนุกก็คือช่วงโป๊ะแตกกับช่วงตบหน้าคนทั้งโลกเนี่ยแหละ และก็เหมือนว่าพอให้ความสำคัญกับสอบเข้ามหาลัยได้ การหนังสือก็รีบจบด้วย ช่วงตอนพิเศษยังอ่านไม่พอเลย ปิดจบอย่างทำร้ายกันเกินไปมาก ฮือ ช่วงแรกให้ C+ นะ เพราะว่าเอื่อยไป กับอ่านเพราะรู้สึกเหมือนตีแผ่ชีวิตและปัญหาเด็กวัยรุ่นมากกว่าอ่านนิยายจริงจัง (แม้ว่าจะเป็นสาย OP กันทั้งคู่ แบบที่ความเป็นนิยายเท่านั้นที่เป็นได้ก็เถอะ) แต่ว่ารวมๆ เพราะเหตุผลนี้ และเพราะทิศทางตอนจบที่คุมได้ดีก็เลยทำให้ได้ A- ไป ไม่มีสรุป gist เพราะนึกไม่ออก แต่ถ้าจะไปซื้อนิยายเพราะชอบต่อก็น่าจะอธิบายได้พอแล้ว

คิดว่าจะไปอ่านภาษาไทยอีกรอบ แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นอย่างไร เพราะเห็นมีคนบ่นเรื่องสำนวนแปลอยู่เหมือนกัน เฮ้อ ช่วงนี้อยู่กับภาษาอังกฤษมากไป จนอ่านภาษาไทยแล้วจับผิด โดยเฉพาะเวลาไปเจอแปลแบบใช้สำนวนศัพท์ฮิตตามกระแสด้วย