Wednesday, 12 October 2011

‘The High Lord’s Daughter’ in Twilight's Dawn by Anne Bishop


เรื่องนี้พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่ Jaenelle ตาย และเหตุการณ์ที่ดำเนินต่อไปหลังจากนั้น

Jaenelleเป็นคนที่ Daemon รอคอยมาทั้งชีวิต (ซึ่งเป็นช่วงชีวิตที่ยาวนานเสียด้วย โดยเฉพาะเมื่อเขาเป็นเผ่าอายุยืน) แต่การได้อยู่ด้วยกันก็ไม่ได้หมายถึงชีวิตนิรันดร์หลังจากนั้น เพราะช่วงอายุของ Janelle ไม่สามารถเทียบเท่าได้ และการจากกันก็มาถึงอยู่ดี

เรื่องเปิดตัวหลังการตาย และเป็นวันสิ้นสุดที่ Daemon จะยอมให้ตัวเองจมอยู่กับความโศกเศร้า แต่ก็ไม่ง่ายเสมอไป โดยเฉพาะเมื่อเจ้าตัวรู้ว่า ผู้เป็นพ่อ ก็กำลังนับถอยหลังเวลาของตัวเองเช่นกัน

หลังการตายของคนที่รักที่สุดในชีวิตสองคน สำหรับ Daemon และคนที่เสมือนพ่อสำหรับ Surreal ก็ทำให้ทั้งสองลงเอยด้วยค่ำคืนด้วยกัน และน่าจะจบเพียงแค่นั้น ถ้าไม่ด้วยผลลัพธ์ที่ตามมา

ย่อเรื่องได้แย่เป็นปกติ และอ่านเรื่องนี้ด้วยความรู้สึกกึ่งจริงกึ่งฝัน เพราะว่าตัวละคนหลักสองตัวหายไป และไปเน้นที่เรื่องราวของ Surreal กับ Daemon แทนที่

ส่วนตัวเอง เป็นจบที่ลงตัวในระดับหนึ่ง (ถึงแม้ว่าความคิดการสลับคู่เช่นนี้จะเหมือนกับการอ่านเรื่องแต่งของแฟนมากกว่าเป็นเรื่องของ Anne Bishop และเน้นที่ความสัมพันธ์มากกว่าเป็นที่อำนาจอย่างที่เคยเป็น) นอกจากไปจากความชอบ Surreal ส่วนตัว ยังรู้สึกว่าคนเขียนกล้าที่จะเขียนมิติความเป็นจริงลงไปในนิยาย เพราะชีวิตต้องเปลี่ยนแปลง และดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ (และการเขียนเรื่องตามที่คนอ่านชอบและคาดหวังต่อไปเรื่อย ๆ ไม่มีจุดจบ ก็เป็นการดูถูกทั้งตัวคนเขียนและคนอ่านเองด้วย)

แอบยอมรับไม่ได้ว่าเหมือนอ่านนิยายรักพล็อตน้ำเน่า แต่ก็ชอบ เพราะตัวละครดี และการดำเนินเรื่องดี สร้างภาพความการก่อร่างความสัมพันธ์ มากกว่าจะเน้นที่อารมณ์ (แม้ว่าจะต้องยอมรับว่ากระโดดและผ่านไปเร็วจนงงในบางครั้ง .... และก็อยากอ่านอารมณ์ในบางครั้งเหมือนกัน) คนหนึ่งเริ่มชีวิตแต่งงานด้วยความต้องการลูก และคนหนึ่งเริ่มด้วยการเสียสละตัวเอง (เพื่อไม่ให้ Daemon โดดเดี่ยวหรือแปลกแยก) และดังนั้น สัมพันธภาพความเป็นเพื่อนลงลึกระหว่างทั้งสองคน แม้จะมีความรู้สึกใด ๆ ตามมา ก็เต็มไปด้วยความระแวง และคำถามที่ไม่กล้าตอบกันทั้งคู่ ความเปราะบางนี้มีให้เห็นเป็นระยะ ๆ อย่างตอนที่จะคลอด Surreal ระแวงและระวังสวัสดิภาพของลูกที่เพิ่งเกิดจนทำร้าย Daemon และฝ่ายชายก็คิดว่า เป็นความจงใจของเธอ และส่วน Surreal ก็คิดไปว่าการที่ Daemon เลี่ยงไปจากการบาดเจ็บ เป็นเพราะต้องการเลี่ยงตัว Surreal เอง หรือแม้แต่หลังจากนั้นก็ยังมีคำถามต่อไปว่าหลังจากที่ ได้สิทธิความเป็นพ่อ อีกฝ่ายจะยังอยากคงสภาพแต่งงานอยู่ไหม

สรุปแล้ว การที่เด็กเกิดมาก็เพราะ Jaenelle ต้องการให้เกิด และก็ต้องการให้ฝันของทั้งคู่ (การได้เห็น Jaenelle ภาคที่ไม่มีบาดแผล และไม่มีเรื่องเลวร้ายในชีวิต และเป็นที่รักของทุกคน) และของตัวเอง (ทิ้งส่วนหนึ่งของตัวเองไว้) เป็นจริง และก็เป็นการหมุนวนกลับมาของทุกอย่าง ... เหมือนเป็นการเริ่มเรื่องใหม่ที่โศกเศร้าและบาดแผลน้อยกว่าไว้

ส่วนตัวอีกนิด มองว่า Surreal เป็นตัวเลือกที่ถูก และส่วนหนึ่งอาจจะถูกกว่า Jaenelle ถ้าพล็อตเรื่องไม่ได้วางไว้เช่นนั้น เพราะจากต้นจนจบ เจ้าตัวเป็นคนที่เข้าใจและรู้จัก Daemon ดีที่สุด (ดูจากแม้แต่ตอนที่เธอให้คำปรึกษา Jaenelle เกี่ยวกับเขาได้) ไม่ใช่แค่ Daemon ในฐานะที่เป็น Daemon ด้านดี แต่เป็นในฐานะ The Sadist ด้านมืดด้วย .... และการเลือกตัดสินใจเช่นนี้ของ Surreal ก็เป็นเรื่องที่น่าสรรเสริญเพราะเธอเลือกที่จะเสียสละไม่ให้ Daemon ต้องโดดเดี่ยว และตัดสินใจพลาดเหมือนที่ Saetan เคยเป็น

(แต่บางทีการพูดแบบนี้ก็คงไม่ถูก เพราะคนสองคนอยู่ด้วยกัน ผลลัพท์ความสัมพันธ์ไม่เคยเท่ากันอยู่แล้ว)

รู้สึกว่าเป็นความเป็นจริงที่ขมขื่น Bittersweet reality. Everything good comes to an end … and starts again. คิดว่าคงชอบ เพราะอ่านเรื่องนี้ไปสองรอบ คืนละรอบสองคืนติด

ปล. เหมือนเล่มนี้ที่อ่านเป็นเล่มเดียวที่พูดเรื่องทิศทางในอนาคตที่จะเป็นต่อไป สิ่งนี้มีเริ่มในเล่ม ..... แต่ก็ดูเหมือนการปรับสภาพเป็นปกติ ขณะที่เล่มนี้พูดเรื่องสิ่งที่จะเกิด ... การเริ่มต้น การแต่งงาน และใช้ชีวิตครอบครัว (ตัว Anne เองก็พูดเรื่องการเปลี่ยนแปลงนี้ไว้เช่นกันในเวบของเธอ )

คนเขียนโตขึ้น และคนอ่านก็โตขึ้น?

Friday, 7 October 2011

ชอบ Dragon Kin 5 มากก

ไม่ไหวแล้ว ชอบสุด ๆ คิดว่าจะเขียนรีวิว แต่ขอไปอ่านอีกรอบก่อนดีกว่า
ชอบ ชอบ ชอบบบ

Sunday, 5 June 2011

Kiss of Snow by Nalini Singh

เพราะว่าเป็นเรื่องในชุด Psy/Changeling และเป็นเรื่องของ Sienna

-คำเตือน- ไม่คิดว่าวิจารณ์ในฐานะ Romance แต่ประการใด

**กำลังคิดว่าควรซื้อ Kindle ดีไหม

ชนิด : Paranormal Romance

ชุด : Psy/Changeling, Book 10

เล่มนี้พูดถึง Sienna สาวชาว Psy ผู้มีพลัง X ระดับ Cardinal กับ Hawke จ่าฝูงของ SnowDancer

จากเล่มอื่น ๆ แม้ Sienna จะเป็นผู้ใหญ่เกินวัย ด้วยความเคร่งขรึมและจริงจังกว่าเด็กในวัยเดียวกัน และกับคนที่โตกว่า แต่ Sienna มักจะตามก่อกวนรังควาน Hawke อยู่เสมอ และที่สำคัญ ถึงตัว Hawke จะใจเย็น และมีเหตุผลตามนิสัยคิดดีดลูกรางแก้ว หาก Sienna ก็เป็นคนเดียวที่ทำให้ตัวจ่าฝูงอารมณ์เสียได้ในเวลาอันรวดเร็ว

ไม่น่าแปลกใจอะไรที่ทั้งคู่จะมีแรงดึงดูดระหว่างกัน แต่ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อชายหนุ่มคิดว่า Sienna เด็กเกินไป และเขาเชื่อว่าคนที่เป็น คู่ ของตัวเองตายไปแล้ว จนไม่คิดที่จะดึงสาว Psy เข้ามาอยู่ด้วยกัน

แต่ Sienna ย่อมไม่คิดจะให้การตัดสินใจขึ้นอยู่กับ Hawke คนเดียวแต่อย่างใด และเล่มนี้ก็เป็นการย่นระยะระหว่างทั้งคู่ให้หมดไป ซึ่งในขณะเดียวกัน เหล่า Psy ที่ต้องการให้พวก Psy เป็นใหญ่ก็คิดจะกำจัดฝูง SnowDancer และ DarkRiver ซึ่งแกร่งขึ้นมาเรื่อย ๆ จนเป็นหนามชิ้นใหญ่ให้หมดไป

ย่อได้ประหลาดที่สุดในโลก อย่างที่บอกไป ว่าชอบ Sienna ด้วยความที่ชอบตัวเอกที่เก่ง แกร่ง และมีความเชื่อมั่นในตัวเอง และสิ่งที่ทำให้หนังสือเล่มนี้สนุกก็คือ ความเชื่อมั่น และความกล้าที่จะออกไปท้าทายโลก และสู้ในสิ่งที่ตัวเธอเชื่อ ... ซึ่งรวมไปถึงการสู้เพื่อให้ได้ความสนใจและความเคารพจากคนที่เธอคิดว่าเธอรักด้วย

ที่ผ่านมา เราเห็นภาพ Sienna จากมุมมองของคนอื่น ๆ เสมอ ภาพในเล่มแรก (Slave to Sensation) ที่เธอทะเลาะกับ Hawke ทำให้เราคิดว่าเธอเป็นเด็กชอบหาเรื่อง ชวนทะเลาะ หากแต่เล่มต่อ ๆ มา เราเห็น Sienna มากขึ้น และเห็นถึงความจริงจัง และความมีวินัยในตัวเอง ซึ่งเล่มนี้ก็เปิดให้รู้ว่าในฐานะเด็กในความคุ้มครองของ Ming LeBon ตัว Sienna ถูกบังคับให้เป็นผู้ใหญ่เกินวัย และเพื่อการเอาชีวิตรอด เธอก็ต้องเข้มงวดกับตัวเองอย่างที่สุด ซึ่งสุดท้ายแล้ว สิ่งนี้ก็มาตอบปัญหาเรื่องช่องว่างระหว่างวัยของทั้งคู่ได้ เพราะโลกทัศน์ที่เธอมอง และการเข้าใจโลกไม่ได้ต่างจากผู้ใหญ่เลย และอาจจะพูดได้ว่า เธอมองโลกและเข้าใจได้ลึกซึ้งถึงมุมมองที่โหดร้ายกว่าผู้ใหญ่ด้วยซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การมองผ่านโลกและคิดด้วยมุมมองของ Councilor ซึ่งเหล่า Changeling ไม่สามารถทำได้ ชัดที่สุดคือตอนที่เธออ่านสถานการณ์และคาดเดาได้ว่าพวก Psy วางแผนจะฆ่าเด็ก ๆ Changeling ในฝูงให้หมด (ซึ่งจากมุมมองที่ต่างนี้ก็เป็นสิ่งที่อยู่เหนือการคาดการณ์ เป็น unthinkable act เกินจะกล่าวในความรู้สึกของมนุษย์ Changeling)

หนังสือเปิดประเด็น X-Psy มาจากเล่มก่อน ๆ และเล่มนี้ก็เป็นการตอบปัญหาว่า X-Psy คืออะไร ซึ่งจริง ๆ แล้ว ก็คือ (สปอยล์) [X จากคำลาตินว่า exardesco ซึ่งมีความหมายว่า ลุกไหม้/ เผาไหม้ (to blaze up) หน้า 144 เพราะกลายเป็นว่าพวกนี้จะมีพลังเหลือเฟือที่จะปลดปล่อยเป็นพลังงานไฟ และเพราะการมีพลังเหลือเฟือจนควบคุมไม่ได้นี่เองที่ทำให้พลังนั้นกลับมาทำร้ายและเผาไหม้ตัวเองที่เรียกว่า synergy] อย่างที่ประวัติศาสตร์ของชาว Psy บอกว่า ไม่มี X-Psy คนใดเลยที่จะอายุยืนพ้นช่วงวัยรุ่น และก็ไม่เคยมี X-Psy ที่เป็น Cardinal อย่าง Sienna อีกด้วย

ชอบวิธีแก้ปัญหา X-Psy ที่มีในเล่ม ซึ่งแม้จะเป็นทางออกที่ง่าย แต่ก็น่ารักและดูสมจริงอย่างมาก อย่างที่ Alice Eldridge นักวิจัยและค้นคว้าเรื่อง Psy บอกไว้ว่า Valve ก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เพราะ Psy ที่มีพลังอันตรายมักจะแปลกแยกตัวเองออกมา เพราะเชื่อว่าการควบคุมตัวเอง และ Silence จะช่วยให้คุมตัวเองอยู่ หากแต่จริง ๆ แล้ว สิ่งที่ดีกว่าก็คือ การมีใครสักคนให้พึ่งพา และเป็นตัวกัน/กรองพลังให้ อย่างที่ (สปอยล์) [ Walker ผู้มีศักดิ์เป็นลุง แต่เสมือนพ่อเป็นให้ Sienna ซึ่งเป็นจุดดีอย่างหนึ่งที่ไม่ใช่เป็น Hawke เพราะนอกเหนือจะเป็นการเพิ่มภาระ (หรืออีกนัยหนึ่ง ความไม่มั่นคง) ซึ่งอาจส่งผลต่อการดูแลฝูงให้เจ้าตัวแล้ว ก็ยังฉีกกรอบเรื่องรักที่พระเอกจะต้องเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง โดยการให้ความสำคัญในระดับเท่ากันไปที่ครอบครัว]

และจุดที่น่ารักอีกอย่างก็คือ (สปอยล์) [การที่สุดท้ายแล้วพลังที่เหลือเฟือของ Sienna กลับมาเป็นพลังงานให้ทุกคนผ่านทาง “เครือข่าย” คอรบครัว และฝูง ซึ่งเป็นการ “ผลาญ” พลังเพื่อให้ X-Psy อยู่ในระดับสมดุล อย่างที่ X-Psy ซึ่งอยู่อย่างโดดเดี่ยวจะไม่มีวันทำได้] ซึ่งก็ถือเป็นการยิงปืนนัดเดียวด้วยนกสองตัวอย่างมาก (สปอยล์) [อย่างที่ Lara ผู้รักษาในฝูงดีใจที่พลังเหลือเฟือเหล่านั้นกลับมาช่วยให้ทุกคนในฝูง – แม้แต่คนที่ใกล้ตายจากการต่อสู้กับ Psy- กลับมาแข็งแรงเป็นปกติ]

ส่วนตัว ไม่ค่อยชอบความคิดและทัศนคติของ Hawke ในเล่มนี้ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนช่วงแรก) เท่าไหร่ เพราะเจ้าตัวผลัก Sienna ออกไปตลอดเวลา ด้วยการอ้างเหตุผลความไม่เหมาะสมทั้งหลายทั้งปวงมาประกอบ แต่พอตัวสาวเจ้าคิดจะออกห่างและตัดใจ ก็ยอมไม่ได้ แล่นไปอาละวาดทุกที โดยเฉพาะเมื่อ Sienna ออกไปเที่ยวกับเพื่อน และมีคนมาสนใจ (ซึ่งก็สนุกและขบขันที่ในที่สุด Sienna ก็ใช้จุดอ่อนนี้ของ Hawke ให้เขา แล่น ไปตามการวางแผนของเธอได้) ซึ่งทำให้น่ารำคาญ ภาพหมาหวงก้าง (ไม่ได้ดูถูก Hawke เพราะ Hawke เป็นหมาป่าอยู่แล้ว) ที่เกิด ความเป็น alpha ทั้งในฐานะทัศนคติและตำแหน่งก็ยิ่งทำให้ความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของและเรียกร้องมีสูง อย่างภาพที่ใช้ผ้าชุบน้ำ เช็ด” Sienna เพื่อลบกลิ่นผู้ชายอื่นก่อนจะเปิดปากคุย (หรืออีกนัยหนึ่งทะเลาะ) โดยที่ไม่คิดว่าตัวเองจะต้องมอบสิ่งเดียวกันกลับไปที่ Sienna ในตอนแรก

ซึ่งฉากที่ชอบมากก็คือ ตอนที่ Sienna ระเบิดอารมณ์ใส่เขาว่า ความเชื่อที่ว่ามี คู่ อื่นไม่ได้ เพราะคิดว่า คนที่เชื่อว่าเป็น คู่ ของตัวเองตายไปแล้ว เป็นแค่ความเชื่อเพื่อปิดกั้นตัว Hawke จากความเจ็บปวดที่เจ้าตัวไม่อยากให้มีอีก และเป็นความคิดจากส่วนมนุษย์ของ Hawke แทนที่จะเป็นส่วนหมาป่าอย่างที่เขาเชื่อว่าเป็น ซึ่งแม้จะโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงขนาดไหน แต่สุดท้าย Hawke ก็มองเห็นว่าตัวเอง ขลาด ไปอย่างที่ Sienna คิดไว้จริง ๆ

อย่างไรก็ดี ความเด็ดขาดของ Hawke ก็ทำให้เกิดนิสัย all-or-nothing แบบแปลก ๆ นั่นคือ ตอนแรกที่คิดว่า Sienna เด็กกว่า และเขาเชื่อว่า ตัวเองรักใครไม่ได้อีกแล้ว ก็ปฎิเสธ Sienna ชนิดหัวชนฝา แต่พอตัดสินใจได้ และคิดจะไล่ตาม ก็ไล่ตามชนิดกัดไม่ปล่อย และเป็นการรักแบบทุ่มสุดตัว ช่วงตอนใกล้จบเป็นช่วงที่ Sienna หนีออกไปจากฝูง เพราะกลัวว่าพลังที่ควบคุมไม่ได้ของตัวเองจะทำร้ายคนในฝูง และ Hawke ไล่ตามไปเจอหลังจากนั้น คำพูดแรกที่เขาเอ่ยปากมาก็คือ “You. Left. Me.” กลับกลายเป็นว่าคนที่อ่อนไหวและยึดติดกับความสัมพันธ์มากกว่าก็คือ ตัวเขาเอง และคนที่เป็นจริงมากกว่าก็คือ Sienna

นอกเหนือจากฉากนี้ก็มีหลายครั้งขณะที่ทั้งสองสวีทหวานอยู่ด้วยกัน และถูกขัดขวางด้วยปัญหาที่เกิดขึ้นในฝูง และคนที่ปรับอารมณ์กลับมาเป็นโหมดจริงจังได้ก่อนก็คือ Sienna อย่างเช่น เมื่อ Hawke รู้สึกผิดที่วิ่งออกมาจัดการกับปัญหาเลย และโทรไปหา Sienna คำพูดแรกที่เธอถามก็คือ เกิดปัญหาอะไรขึ้นไหม โดยที่ไม่มีการพูดโยงไปถึงเรื่องของทั้งคู่ก่อนหน้าเลย

ปฏิเสธไม่ได้ว่า Hawke อิจฉาและคาดหวังความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมกับคู่ของตนอย่างที่ Lucus กับ Sasha มี โดยเฉพาะเมื่อตำแหน่ง alpha ทำให้มีน้อยคนที่จะกล้าท้าทายหรือแม้แต่ทัดทานเจ้าตัว ซึ่งก็ทำให้ต้องการคนมาท้าทาย ขณะที่อยู่เคียงข้างทัดเทียมไปด้วยกันลึก ๆ อยู่ และก็กลายเป็นว่าคนที่ตอบสนองความต้องการนี้ของเขาก็ได้ก็คือเธอ

สิ่งหนึ่งที่ต่างจากเล่มอื่นก็คือ มีเรื่องของคู่รองที่มีอยู่และจบอยู่ในเล่มชัดเจน ต่างจากเล่มอื่นที่มักจะเป็นการเกริ่นนำเพื่อนำไปสู่คู่อื่นในเล่มใหม่ ดังที่แรงดึงดูดและความผูกพันระหว่าง Walker กับ Lara ที่เกิดขึ้นในช่วงแรกทำให้คิดว่าจะเกิดเรื่องสั้นของทั้งคู่ต่อไป แต่กลายเป็นว่า จบในเล่มนี้ไปพร้อมกัน (เกิด Mating Bond ระหว่างทั้งคู่ขึ้นเลย)

อย่างไรก็ตาม คิดว่าสิ่งที่ดีที่สุด และน่ารักที่สุดในหนังสือเล่มนี้ก็สายสัมพันธ์ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และขยายวงกว้างขึ้น เริ่มจากการเป็นพันธมิตรระหว่างฝูง DarkRiver กับ SnowDancer ซึ่งแข็งแกร่งและกระจายวงกว้างขึ้นไปเรื่อย ๆ ทั้งกับฝ่าย Shine Foundation ซึ่งเป็นพวก Psy กลายพันธุ์ (พวกที่ deflect มา และมีส่วนผสมเป็นมนุษย์ธรรมดามากขึ้น) ฝ่าย Council ที่ไม่เชื่อในเรื่อง Silence อย่าง Nikita กับ Anthony หรือแม้กระทั่งกับ Changeling ฝูงอื่น อย่างที่ Slave to Sensation ในเล่มแรกเปิดประเด็นมาด้วยมุมมองฝูง DarkRiver ที่มอง SnowDancer ว่าแตกต่างและเย็นชา ก่อนที่มิตรภาพของทั้งสองจะแน่นแฟ้นขึ้นเรื่อย ๆ จากการมีผลประโยชน์ร่วม และศัตรูกลุ่ม จนถึงขั้นที่เป็นการเล่าเรื่องผ่านฝูง SnowDancer ในช่วงหลัง ถึงขั้นที่ทั้งสองกลายเป็นกลุ่มเดียวกันอย่างแท้จริง

หนังสือเปิดตัว Alice Eldridge เอาไว้ในเล่มก่อน ๆ ในฐานะที่เป็นคนเขียนวิจัยเรื่อง E-Psy ที่ช่วยให้ Sasha เข้าใจตัวเธอและพลังของเธอมากขึ้น และการเปิดประเด็นว่าเธอยังมีชีวิตอยู่ (แต่ถูกทำให้หลับหลังจากเริ่มค้นคว้าเรื่อง X-Psy) ก็น่าจะมีประเด็นต่อ ๆ มา โดยเฉพาะการบรรยายลักษณะของเธอทำให้รู้สึกสงสัยเรื่องความเป็นไปได้ที่เธอจะเป็นตัวเอกในเล่มต่อ ๆ ไป (คู่กับ Riaz?)

ตัวคนเขียนบอกว่าเล่มนี้เป็นเล่มจบของภาค (arch) แรก แต่ส่วนตัวไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่ นอกเหนือจากการเปิดประเด็นว่า การหลบซ่อนตัวของครอบครัว Lauren ไม่ได้เป็นความลับอีกต่อไป (จากการใช้พลังของ Sienna เพื่อช่วยฝูงที่กำลังตกเป็นรองฝ่าย Psy) และเป็นการสร้างความหวังและความน่าจะเป็นที่มีต่อเหล่า Psy อื่น ๆ โดยเฉพาะพวก Arrow ด้วย

ทั้งชุดก็ยังยืนยันว่า Branded by Fire เป็นเล่มที่ชอบที่สุด และสมบูรณ์แบบที่สุด เพราะความที่ท้ายที่สุดแล้วก็ตอบโจทย์ในใจได้พอดี

สุดท้าย เมื่อถึงเวลาให้คะแนน ให้คะแนนที่ B- เพราะไม่ค่อยชอบทัศนคติของ Hawke ในช่วงตอนต้นอย่างมาก และไม่ชอบที่หลาย ๆ อย่างเป็นรูปแบบมากเกินไป

และสำหรับเพลงประกอบเล่ม ขอเลือกให้ E.T. ของ Katy Perry feat. Kanye West ซึ่งคงไม่มีเพลงไหนเหมาะไปกว่านี้อีกแล้ว

[Kanye West] = Hawke
I got a dirty mind
I got filthy ways
I'm tryna Bath my Ape in your Milky Way
I'm a legend, I'm irreverent
I be reverand
I be so fa-a-ar up, we don't give a f-f-f-f-ck
Welcome to the danger zone
Step into the fantasy
You are not invited to the otherside of sanity


[Katy Perry] = Sienna

They say be afraid
You're not like the others
Futuristic lover
Different DNA
They don't understand you

Your from a whole other world
A different dimension
You open my eyes
And I'm ready to go
Lead me into the light

Kiss me, ki-ki-kiss me
Infect me with your love and
Fill me with your poison

Take me, ta-ta-take me
Wanna be a victim
Ready for abduction

Boy, you're an alien
Your touch so foreign
It's supernatural
Extraterrestrial









Saturday, 4 June 2011

ห่างหายไปนาน

1. พบว่าเขียนรีวิวค้างไม่จบอยู่หลายเล่มมาก (ซึ่งก็คิดว่าจะพยายามต่อให้จบ ถ้ายังไม่ลืม)

2. อ่านหนังสือไป แต่จำไม่ได้ว่าอ่าน เพราะขาดการรีวิว (ที่แปลว่าการจดบันทึกอย่างเป็นทางการ)

3. เปลี่ยนโหมดแฟนตาซีในเมือง เป็นเรื่องรักเหนือจริงไปอย่างงง ๆ

4. เวลาอ่านหนังสือน้อยลง เพราะต้องไปทำงาน